“ตรงนี้!”ใบหน้าของหยุนเจิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วชี้ไปที่ภาพแผนที่“เมืองสู้ฉวี?”เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่เข้าใจ “ทำไมถึงทำเครื่องหมายที่เมืองสู้ฉวีอีกแล้วล่ะ?”“โง่!”หยุนเจิงเคาะศีรษะของเสิ่นลั่วเยี่ยนเบาๆ “ถ้าทหารม้าเป่ยหวนจะบุกมาจากปากเขาเขี้ยวหมาป่า ทำไมพวกเขาต้องโจมตีซั่วฟางด้วย โจมตีตลอดทางตอนใต้ไปยังเมืองสู้ฉวีที่อ่อนแอกว่าไม่ดีกว่าหรือ? ”ทหารรักษาการณ์เมืองสู่ฉวีมีเพียงห้าพันนายเท่านั้น!แต่ทหารฝั่งซั่วฟางมีเท่าใดกัน?นั่นมันแสนกว่านานเชียวนะ!แม้ว่าจะเป็นทหารทั่วไปทั้งหมด แต่จำนวนคนก็กดเป่ยหวนได้อย่างแน่นอนนอกจากนั้น เมืองสู้ฉวีซึ่งเป็นกองหลังยังจะต้องตุนเสบียงไว้มากมายด้วยเมืองสู้ฉวีอยู่ห่างจากปากเขาเขี้ยวหมาป่าเพียงสามร้อยกว่าลี้เท่านั้นทหารม้าเป่ยหวนจู่โจมด้วยความเร็วเต็มกําลัง เพียงแค่หนึ่งวัน ก็สามารถฆ่าเมืองสู้ฉวีได้แล้ว ที่อื่นๆ ไม่สามารถเข้ามาสนับสนุนได้ทันเลยด้วยซ้ำ!หากกองทหารซั่วฟางกล้าออกเมืองมาหยุดการโจมตี พวกเขาก็จะมีตกอยู่ในแผนการของเป่ยหวน!ดังนัน หากกองทหารเป่ยหวนเข้ามาจากปากเขาเขี้ยวหมาป่าแล้วตรงไปที่เมืองสู้ฉวีนั้น จะเป็นทางที่ดีที่สุด!เป่ยหวนแ
เมี่ยวอินยิ้ม “ดีไม่ดีพวกเขาไม่หยุดที่สองหมื่นคนล่ะ?”หยุนเจิงส่ายหน้าเอ่ย “ข้าประมาณการ ให้ตายก็คงสองหมื่นคน! หากความทะเยอทะยานของเป่ยหวนน้อยหน่อย แต่หากอยากจะจับข้า คาดว่าคงส่งคนหนึ่งหมื่นคน...”“เพราะเหตุใดเล่า?”เมี่ยวอินไม่เข้าใจหยุนเจิงกล่าวอธิบาย “หุบผาชันช่องลมไม่เอื้อประโยชน์ต่อการวางกำลังทหารม้า คนมากเกินไป แค่เดินทางผ่านหุบผาชันช่องลมก็จำเป็นต้องใช้เวลานานมากแล้ว! อีกทั้ง คนมากเกินไป เสบียงอาการที่จัดสรรก็ไม่อาจตามทัน...”ข้อนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาได้สรุปมาก่อนแล้วหากต้องส่งทหารสี่ห้าหมื่นคนมา การจัดสรรเสบียงก็เป็นปัญหาที่ยากและใหญ่มากหากจำเป็นต้องลำบากเช่นนี้ บุกโจมตีป้อมเมืองสุ่ยหนิงหรือป้อมเมืองจิ้งอันโดยตรงไม่ดีกว่าหรือ?……ป้อมรักษาการปานปู้และพวกองค์ชายใหญ่อู้เลี่ยกำลังกินเนื้อคำโตและปรึกษาหารือเรื่องแผนการต่อไปจากนี้เวลานี้ ทหารสื่อสารเข้ามารายงาน “รายงานองค์ชายใหญ่ กองกำลังซูหลู่ถูออกเดินทางลับๆ จากชิงเปียนแล้ว กำลังเคลื่อนทัพไปที่ปีกขวาของต้าเฉียน!”“ดีมาก!”อู้เลี่ยหยิบเหล้านมม้าขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก จากนั้นก็สั่ง “บอกซูหลู่ถู จับตาดูการเคลื่อนไหวของศัตร
จู่โจมหม่าอี้ มีเพียงเพื่อเผาเสบียงเท่านั้นหม่าอี้และติ้งเป่ย ล้วนเป็นประตูชีวิตของกองทหารมณฑณทางเหนือจู่โจมติ้งเป่ย ใช้หัวแม่เท้าก็คิดได้ มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน!“ถูกต้อง!”ปานปู้พยักหน้าเบาๆ นัยน์ตาไหววูบแววโหดเหี้ยม “หยุนเจิงหากไม่ติดกับดัก พวกเราก็ทุ่มทั้งหมดไปจู่โจมหม่าอี้ ไม่ต้องสนใจว่าต้องจ่ายด้วยสิ่งใด ต้องเผาเสบียงของหม่าอี้ทิ้ง จากนั้นก็บุกไปทางเมืองเทียนหู! ถึงตอนนั้น องค์ชายใหญ่ค่อยสั่งกองกำลังซูหลู่ถูโจมตีเทียนหูโต้กลับพวกเขา...”ขอแค่เผาเสบียงที่ต้าเฉียนสะสมไว้ที่หม่าอี้ได้ กองทัพมณฑลทางเหนือก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ขาดแคลนเสบียงถึงเวลานั้น เมืองชายแดนต้าเฉียน ย่อมพ่ายแพ้โดยไม่ต้องโจมตี!แต่ว่า กองทหารมณฑณทางเหนือเองก็ไม่ใช่คนตาย ไม่อาจมองดูพวกเขาจู่โจมหม่าอี้ได้หน้าตาเฉยเมื่อถึงเวลานั้น กองทหารมณฑลทางเหนือจำเป็นต้องส่งคนมาขัดขวางพวกเขาและต่อให้พวกเขาเผาเสบียงของหม่าอี้ได้สำเร็จ ทหารสองหมื่นที่สามารถบุกไปต่อได้เกรงว่าจะมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นผลที่เลวร้ายที่สุดคือ ไม่เพียงไม่สามารถเผาเสบียงของหม่าอี้ได้ ทหารสองหมื่นนั้นยังถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นต่อให้เป็นเช่นนี้
อู้เลี่ยไม่เห็นด้วย ยิ้มอย่างเห็นอกเห็นใจกล่าว “ถึงเช่นไรก็เตรียมใจที่จะสูญเสียทั้งกองทัพแล้ว แค่เวลาไม่กี่วัน จะบริโภคเสบียงได้มากเพียงใด?”“นี่...”ร่างกายปานปู้รู้สึกความเหน็บหนาวประหลาดผุดขึ้นมา จากนั้นก็ส่ายหน้า “องค์ชายใหญ่ หากต้องจู่โจมหม่าอี้ จำเป็นต้องส่งทหารชั้นยอดออกศึก! การสมัครรับชายหนุ่มชั่วคราวมาออกศึก ไม่ต่างอะไรกับส่งพวกเขาไปตาย...”หม่าอี้คือหนึ่งในประตูชีวิตของกองทหารมณฆลทางเหนือ!ต่อให้กองทหารมณฆลทางเหนือทหารไม่พอ แต่ก็ไม่อาจเมินเฉยไม่ป้องกันเมืองหม่าอี้คิดจะเผาเสบียงหม่าอี้ จำเป็นต้องส่งทหารชั้นยอดออกจู่โจม!“นี่...”อู้เลี่ยคิดสักพัก จากนั้นก็ยิ้มส่ายหน้า “พวกเรายังไม่รู้หยุนเจิงจะติดกับดักหรือไม่ อยู่ปรึกษากันที่นี่กันทำไม?”“ใช่แล้ว!”ปานปู้พยักหน้ายิ้ม “หากหยุนเจิงติดกับดัก ก็ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายแล้ว!”“เช่นนั้นก็ดูไปก่อนค่อยว่ากันเถอะ!”อู้เลี้ยไม่คิดมากต่อไปแล้วออกจากกระโจมใหญ่ของอู้เลี่ย ปานปู้รีบกลับกระโจมตัวเองอย่างรวดเร็วครุ่นคิดเงียบๆ ชั่วครู่ ปานปู้รีบหยิบหนังแกะแผ่นหนึ่งออกมาเขียนเขียนเสร็จ ปานปู้นำหนังแกะห่อไว้อย่างรวดเร็ว เรียกคนสนิ
เสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินก็มองตู้กุยหยวนด้วยสีหน้าประหลาดใจนี่ไม่เหมือนกับนิสัยของตู้กุยหยวน!“เจ้าแน่ใจว่าเจ้าไม่ได้พูดผิด?”เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องตู้กุยหยวนแล้วจ้องอีกนางสงสัย ตู้กุยหยวนเป็นคนอื่นปลอมตัวมาหรือไม่ตู้กุยหยวนหัวเราะ ตอบ “ข้ามาเพื่อพนันกับองค์ชายจริงๆ”“เจ้าจะพนันสิ่งใดกับข้า?”หยุนเจิงสงสัยเช่นกันตู้กุยหยวนหัวเราะ ถาม “องค์ชายรู้หรือไม่เป่ยหวนจะบุกมาเมื่อใด?”“ข้าจะรู้ได้เช่นไร!”หยุนเจิงยักหัวไหล่ “คนของเรายังไม่ส่งข่าวกลับมาไม่ใช่หรือ?”ตู้กุ้ยหยวนหัวเราะ กล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจ “ข้ารู้!”“เจ้ารู้?”หยุนเจิงแปลกใจ “เจ้ารู้ได้เช่นไร?”เสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินเองก็มองตู้กุยหยวนด้วยสีหน้าผิดปกติพวกเขาล้วนรู้ว่าเป่ยหวนต้องบุกมาแน่นอนแล้วก็คาดการณ์ทิศทางที่เป่ยหวนจะบุกมาแต่เป่ยหวนจะบุกมาเมื่อใด พวกเขาไม่อาจคาดการณ์ได้เรื่องนี้ เดิมก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะสามารถประมาณการได้พวกเขาทำได้เพิ่งรับมือกับข่าวที่มาถึงก่อนล่วงหน้าตู้กุยหยวนยิ้มกล่าว “สายหน่อยข้าค่อยบอกองค์ชาย”“ดังนั้น เขาคิดจะเอาเวลาที่เป่ยหวนบุกมาพนันกับข้า?”หยุนเจิงเข้าใจความคิดข
“พูดภาษาคน!”หยุนเจิงหน้ามุ่ยขัดจังหวะตู้กุยหยวนเฝ้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน?เขาไม่เชื่อว่าตู้กุยหยวนจะเฝ้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน!เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง ตู้กุยหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เมื่อก่อนข้าเคยเรียนการเฝ้ามองท้องฟ้าจากคนที่ถูกเนรเทศมาซั่วเป่ยมานิดหน่อย แต่ที่สำคัญคือแขนข้างนี้ของข้าก่อปัญหา...”ด้วยการอธิบายสถาการณ์ของตู้กุยหยวน พวกเขาจึงเข้าใจสถานการณ์แขนที่หักตู้กุยหยวนจะรู้สึกเจ็บทุกครั้งเมื่อถึงฤดูหนาว แต่ก็ไม่ใช่ความเจ็บขนาดที่ทนไม่ไหวแต่ว่า แขนที่หักของตู้กุยหยวนวันนี้เจ็บเป็นพิเศษแม้เขาจะมีความอดทนต่อความเจ็บปวดก็ตาม ก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วด้วยประสบการณ์ของเขา นี่เป็นจุดเริ่มต้นของลมหนาวเสียดกระดูกใกล้มาถึงแล้วทางด้านซั่วเป่ย เมื่อลมหนาวเสียดกระดูกมาถึง ก็จะมีหมอกหนาตามมาด้วยแต่ว่า หมอกหนานี้ไม่เช่นหมอกที่พบเห็นได้ทั่วไปแต่เป็นหมอกน้ำแข็ง!มันก็คือความหนาวจนควันออกปากที่พวกอวี้ซื่อจงพูดถึงจากประสบการณ์ของพวกเขา หลังผ่านวันหมอกน้ำแข็งหนา ก็น่าจะมีหิมะตกเป็นวงกว้างแล้วดังนั้น ตู้กุยหยวนจึงคาดว่า เป่ยหวนจะฉวยโอกาสนี้บุกโจมตีไม่ว่าจะเป็นหมอกน้ำแข็งหรือว่
ต้องบอกว่า ตู้กุยหยวนเป็นเครื่องวัดสภาพอากาศของมนุษย์ที่ค่อนข้างแม่นยำวันที่สองตอนเช้า ซั่วเป่ยเริ่มมีลมหนาวเสียดกระดูกลมหนาวพัดมาจากพื้นผ่านไป หมอกน้ำแข็งจำนวนมากจะม้วนตัวขึ้นมาเงยหน้ามองไป บริเวณสิบห้าเมตรมองเห็นสิ่งใดไม่ชัดแล้วลมนี้เมื่อพัดโดนใบหน้า รู้สึกเหมือนถูกคมมีดบาดทำเอาหยุนเจิงอยากจะเอาหมวกคลุมหน้าและเล่นบทผู้ก่อการร้ายยังดีที่คนจำนวนมากในกองทัพล้วนอยู่ที่ซั่วเป่ยเป็นเวลานาน คุ้นเคยกับลมหนาวเสียดกระดูกนี้แล้วแต่ว่า หยุนเจิงก็ยังคงสั่งให้คนแจกจ่ายผ้าออกไปจำนวนมากไม่ใช่ทำพวกเสื้อผ้าให้พวกเขา เพียงแต่นำผ้าตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็ก เอาไว้ห่อหุ้มใบหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากแผลหนาวเป็นวงกว้างเวลาไม่นาน โหยวอีเย่วกลับมารายงานทัพทหารม้าเป่ยหวนจำนวนมากรวมตัวกันที่หุบผาชันช่องลมดูจากท่าทาง เป่ยหวนอย่างเร็วที่สุดพรุ่งนี้ อย่างช้าที่สุดวันมะรืน ก็จะเริ่มบุกเมื่อได้รับข่าวที่ยืนยันแล้ว หยุนเจิงสั่งกองทัพออกเคลื่อนไหวตอนนี้หากเร่งเดินทางไปที่หุบผาชันช่องลมเพื่อสร้างแนวป้องกัน ยังสามารถขุดโพรงหิมะเพื่อป้องกันหนาวได้ทันกาล มิฉะนั้น หลังผ่านพ้นกลางคืน คงมีจำนวนไม่น
ทุกคนไม่รู้หยุนเจิงคิดจะทำสิ่งใด แล้วก็ไม่กล้าถามมาก ทำได้เพียงพยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณ“เอาล่ะ ยามปกติพวกเขาทำเช่นไร ตอนนี้ก็ทำเช่นนั้น! ทำเหมือนพวกเราไม่ได้อยู่ที่นี่ก็พอแล้ว!”หยุนเจิงกำชับ จากนั้นก็สั่งอวี๋ซื่อจง “ส่งคนมาเฝ้าพวกเขาไว้ ขอแค่พวกเขาไม่ตุกติก ก็อย่าทำให้พวกเขาลำบาก!”“ขอรับ!”อวี๋ซื่อจงรับคำสั่ง จากนั้นก็กล่าวกับหยุนเจิง “ด้านนอกหนาว องค์ชายและพวกพระชายาคืนนี้ก็พักที่นี่เถอะ!”หยุนเจิงโบกมือ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว ข้ามีแผนของข้า!”กล่าวจบ หยุนเจิงก็ออกไปจากป้อมเฝ้ายามหยุนเจิงไม่ได้พักอยู่ภายในป้องเฝ้ายามกลางคืน เขากับเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินนอนกันอยู่ภายในโพรงหิมะโพรงหิมะเล็กเพียงนิดเดียว สามคนนอนอยู่ด้วยกัน แม้จะอบอุ่น แต่จะพลิกตัวสักครั้งยังลำบาก“เจ้าจงใจ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนหยิกหยุนเจิงด้วยความโมโห “นอนภายในป้อมเฝ้ายามได้แท้ๆ เจ้ากลับต้องมาอยู่โพรงน้ำแข็งนี่ให้ได้!”“เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล!”หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าก็เคยได้ยิน เจ้านายไร้เสื้อผ้า ร่วมใส่เสื้อผ้าของลูกน้อง...”“ข้าว่าเจ้าคิดจะร่วมเตียงกับลูกน้องมากกว่า?”เมี่ยวอินยิ