จู่โจมหม่าอี้ มีเพียงเพื่อเผาเสบียงเท่านั้นหม่าอี้และติ้งเป่ย ล้วนเป็นประตูชีวิตของกองทหารมณฑณทางเหนือจู่โจมติ้งเป่ย ใช้หัวแม่เท้าก็คิดได้ มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน!“ถูกต้อง!”ปานปู้พยักหน้าเบาๆ นัยน์ตาไหววูบแววโหดเหี้ยม “หยุนเจิงหากไม่ติดกับดัก พวกเราก็ทุ่มทั้งหมดไปจู่โจมหม่าอี้ ไม่ต้องสนใจว่าต้องจ่ายด้วยสิ่งใด ต้องเผาเสบียงของหม่าอี้ทิ้ง จากนั้นก็บุกไปทางเมืองเทียนหู! ถึงตอนนั้น องค์ชายใหญ่ค่อยสั่งกองกำลังซูหลู่ถูโจมตีเทียนหูโต้กลับพวกเขา...”ขอแค่เผาเสบียงที่ต้าเฉียนสะสมไว้ที่หม่าอี้ได้ กองทัพมณฑลทางเหนือก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ขาดแคลนเสบียงถึงเวลานั้น เมืองชายแดนต้าเฉียน ย่อมพ่ายแพ้โดยไม่ต้องโจมตี!แต่ว่า กองทหารมณฑณทางเหนือเองก็ไม่ใช่คนตาย ไม่อาจมองดูพวกเขาจู่โจมหม่าอี้ได้หน้าตาเฉยเมื่อถึงเวลานั้น กองทหารมณฑลทางเหนือจำเป็นต้องส่งคนมาขัดขวางพวกเขาและต่อให้พวกเขาเผาเสบียงของหม่าอี้ได้สำเร็จ ทหารสองหมื่นที่สามารถบุกไปต่อได้เกรงว่าจะมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นผลที่เลวร้ายที่สุดคือ ไม่เพียงไม่สามารถเผาเสบียงของหม่าอี้ได้ ทหารสองหมื่นนั้นยังถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นต่อให้เป็นเช่นนี้
อู้เลี่ยไม่เห็นด้วย ยิ้มอย่างเห็นอกเห็นใจกล่าว “ถึงเช่นไรก็เตรียมใจที่จะสูญเสียทั้งกองทัพแล้ว แค่เวลาไม่กี่วัน จะบริโภคเสบียงได้มากเพียงใด?”“นี่...”ร่างกายปานปู้รู้สึกความเหน็บหนาวประหลาดผุดขึ้นมา จากนั้นก็ส่ายหน้า “องค์ชายใหญ่ หากต้องจู่โจมหม่าอี้ จำเป็นต้องส่งทหารชั้นยอดออกศึก! การสมัครรับชายหนุ่มชั่วคราวมาออกศึก ไม่ต่างอะไรกับส่งพวกเขาไปตาย...”หม่าอี้คือหนึ่งในประตูชีวิตของกองทหารมณฆลทางเหนือ!ต่อให้กองทหารมณฆลทางเหนือทหารไม่พอ แต่ก็ไม่อาจเมินเฉยไม่ป้องกันเมืองหม่าอี้คิดจะเผาเสบียงหม่าอี้ จำเป็นต้องส่งทหารชั้นยอดออกจู่โจม!“นี่...”อู้เลี่ยคิดสักพัก จากนั้นก็ยิ้มส่ายหน้า “พวกเรายังไม่รู้หยุนเจิงจะติดกับดักหรือไม่ อยู่ปรึกษากันที่นี่กันทำไม?”“ใช่แล้ว!”ปานปู้พยักหน้ายิ้ม “หากหยุนเจิงติดกับดัก ก็ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายแล้ว!”“เช่นนั้นก็ดูไปก่อนค่อยว่ากันเถอะ!”อู้เลี้ยไม่คิดมากต่อไปแล้วออกจากกระโจมใหญ่ของอู้เลี่ย ปานปู้รีบกลับกระโจมตัวเองอย่างรวดเร็วครุ่นคิดเงียบๆ ชั่วครู่ ปานปู้รีบหยิบหนังแกะแผ่นหนึ่งออกมาเขียนเขียนเสร็จ ปานปู้นำหนังแกะห่อไว้อย่างรวดเร็ว เรียกคนสนิ
เสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินก็มองตู้กุยหยวนด้วยสีหน้าประหลาดใจนี่ไม่เหมือนกับนิสัยของตู้กุยหยวน!“เจ้าแน่ใจว่าเจ้าไม่ได้พูดผิด?”เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องตู้กุยหยวนแล้วจ้องอีกนางสงสัย ตู้กุยหยวนเป็นคนอื่นปลอมตัวมาหรือไม่ตู้กุยหยวนหัวเราะ ตอบ “ข้ามาเพื่อพนันกับองค์ชายจริงๆ”“เจ้าจะพนันสิ่งใดกับข้า?”หยุนเจิงสงสัยเช่นกันตู้กุยหยวนหัวเราะ ถาม “องค์ชายรู้หรือไม่เป่ยหวนจะบุกมาเมื่อใด?”“ข้าจะรู้ได้เช่นไร!”หยุนเจิงยักหัวไหล่ “คนของเรายังไม่ส่งข่าวกลับมาไม่ใช่หรือ?”ตู้กุ้ยหยวนหัวเราะ กล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจ “ข้ารู้!”“เจ้ารู้?”หยุนเจิงแปลกใจ “เจ้ารู้ได้เช่นไร?”เสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินเองก็มองตู้กุยหยวนด้วยสีหน้าผิดปกติพวกเขาล้วนรู้ว่าเป่ยหวนต้องบุกมาแน่นอนแล้วก็คาดการณ์ทิศทางที่เป่ยหวนจะบุกมาแต่เป่ยหวนจะบุกมาเมื่อใด พวกเขาไม่อาจคาดการณ์ได้เรื่องนี้ เดิมก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะสามารถประมาณการได้พวกเขาทำได้เพิ่งรับมือกับข่าวที่มาถึงก่อนล่วงหน้าตู้กุยหยวนยิ้มกล่าว “สายหน่อยข้าค่อยบอกองค์ชาย”“ดังนั้น เขาคิดจะเอาเวลาที่เป่ยหวนบุกมาพนันกับข้า?”หยุนเจิงเข้าใจความคิดข
“พูดภาษาคน!”หยุนเจิงหน้ามุ่ยขัดจังหวะตู้กุยหยวนเฝ้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน?เขาไม่เชื่อว่าตู้กุยหยวนจะเฝ้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน!เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง ตู้กุยหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เมื่อก่อนข้าเคยเรียนการเฝ้ามองท้องฟ้าจากคนที่ถูกเนรเทศมาซั่วเป่ยมานิดหน่อย แต่ที่สำคัญคือแขนข้างนี้ของข้าก่อปัญหา...”ด้วยการอธิบายสถาการณ์ของตู้กุยหยวน พวกเขาจึงเข้าใจสถานการณ์แขนที่หักตู้กุยหยวนจะรู้สึกเจ็บทุกครั้งเมื่อถึงฤดูหนาว แต่ก็ไม่ใช่ความเจ็บขนาดที่ทนไม่ไหวแต่ว่า แขนที่หักของตู้กุยหยวนวันนี้เจ็บเป็นพิเศษแม้เขาจะมีความอดทนต่อความเจ็บปวดก็ตาม ก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วด้วยประสบการณ์ของเขา นี่เป็นจุดเริ่มต้นของลมหนาวเสียดกระดูกใกล้มาถึงแล้วทางด้านซั่วเป่ย เมื่อลมหนาวเสียดกระดูกมาถึง ก็จะมีหมอกหนาตามมาด้วยแต่ว่า หมอกหนานี้ไม่เช่นหมอกที่พบเห็นได้ทั่วไปแต่เป็นหมอกน้ำแข็ง!มันก็คือความหนาวจนควันออกปากที่พวกอวี้ซื่อจงพูดถึงจากประสบการณ์ของพวกเขา หลังผ่านวันหมอกน้ำแข็งหนา ก็น่าจะมีหิมะตกเป็นวงกว้างแล้วดังนั้น ตู้กุยหยวนจึงคาดว่า เป่ยหวนจะฉวยโอกาสนี้บุกโจมตีไม่ว่าจะเป็นหมอกน้ำแข็งหรือว่
ต้องบอกว่า ตู้กุยหยวนเป็นเครื่องวัดสภาพอากาศของมนุษย์ที่ค่อนข้างแม่นยำวันที่สองตอนเช้า ซั่วเป่ยเริ่มมีลมหนาวเสียดกระดูกลมหนาวพัดมาจากพื้นผ่านไป หมอกน้ำแข็งจำนวนมากจะม้วนตัวขึ้นมาเงยหน้ามองไป บริเวณสิบห้าเมตรมองเห็นสิ่งใดไม่ชัดแล้วลมนี้เมื่อพัดโดนใบหน้า รู้สึกเหมือนถูกคมมีดบาดทำเอาหยุนเจิงอยากจะเอาหมวกคลุมหน้าและเล่นบทผู้ก่อการร้ายยังดีที่คนจำนวนมากในกองทัพล้วนอยู่ที่ซั่วเป่ยเป็นเวลานาน คุ้นเคยกับลมหนาวเสียดกระดูกนี้แล้วแต่ว่า หยุนเจิงก็ยังคงสั่งให้คนแจกจ่ายผ้าออกไปจำนวนมากไม่ใช่ทำพวกเสื้อผ้าให้พวกเขา เพียงแต่นำผ้าตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็ก เอาไว้ห่อหุ้มใบหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากแผลหนาวเป็นวงกว้างเวลาไม่นาน โหยวอีเย่วกลับมารายงานทัพทหารม้าเป่ยหวนจำนวนมากรวมตัวกันที่หุบผาชันช่องลมดูจากท่าทาง เป่ยหวนอย่างเร็วที่สุดพรุ่งนี้ อย่างช้าที่สุดวันมะรืน ก็จะเริ่มบุกเมื่อได้รับข่าวที่ยืนยันแล้ว หยุนเจิงสั่งกองทัพออกเคลื่อนไหวตอนนี้หากเร่งเดินทางไปที่หุบผาชันช่องลมเพื่อสร้างแนวป้องกัน ยังสามารถขุดโพรงหิมะเพื่อป้องกันหนาวได้ทันกาล มิฉะนั้น หลังผ่านพ้นกลางคืน คงมีจำนวนไม่น
ทุกคนไม่รู้หยุนเจิงคิดจะทำสิ่งใด แล้วก็ไม่กล้าถามมาก ทำได้เพียงพยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณ“เอาล่ะ ยามปกติพวกเขาทำเช่นไร ตอนนี้ก็ทำเช่นนั้น! ทำเหมือนพวกเราไม่ได้อยู่ที่นี่ก็พอแล้ว!”หยุนเจิงกำชับ จากนั้นก็สั่งอวี๋ซื่อจง “ส่งคนมาเฝ้าพวกเขาไว้ ขอแค่พวกเขาไม่ตุกติก ก็อย่าทำให้พวกเขาลำบาก!”“ขอรับ!”อวี๋ซื่อจงรับคำสั่ง จากนั้นก็กล่าวกับหยุนเจิง “ด้านนอกหนาว องค์ชายและพวกพระชายาคืนนี้ก็พักที่นี่เถอะ!”หยุนเจิงโบกมือ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว ข้ามีแผนของข้า!”กล่าวจบ หยุนเจิงก็ออกไปจากป้อมเฝ้ายามหยุนเจิงไม่ได้พักอยู่ภายในป้องเฝ้ายามกลางคืน เขากับเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินนอนกันอยู่ภายในโพรงหิมะโพรงหิมะเล็กเพียงนิดเดียว สามคนนอนอยู่ด้วยกัน แม้จะอบอุ่น แต่จะพลิกตัวสักครั้งยังลำบาก“เจ้าจงใจ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนหยิกหยุนเจิงด้วยความโมโห “นอนภายในป้อมเฝ้ายามได้แท้ๆ เจ้ากลับต้องมาอยู่โพรงน้ำแข็งนี่ให้ได้!”“เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล!”หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าก็เคยได้ยิน เจ้านายไร้เสื้อผ้า ร่วมใส่เสื้อผ้าของลูกน้อง...”“ข้าว่าเจ้าคิดจะร่วมเตียงกับลูกน้องมากกว่า?”เมี่ยวอินยิ
หลังเที่ยงคืน ท้องฟ้าเริ่มมีหิมะตกหนักข้างนอกหนาวมาก แต่ภายในโพรงหิมะนับว่าพอไปได้อยู่แม้จะไม่ถึงกับอบอุ่น แต่อย่างนั้นก็ยังสามารถหลับได้หยุนเจิงเองก็ต้องรู้สึกทอดถอนใจ การตัดสินใจให้ทหารนาของเขากินเนื้อเป็นความคิดที่ฉลาดมากพวกเขากินเนื้อแกะมากมาย และถลกหนังแกะจำนวนมากตอนนี้ หนังแกะเหล่านี้มีประโยชน์มากหากไม่มีหนังแกะห่อหุ้มร่างกาย คืนนี้คงไม่มีผู้ใดสามารถข่มตาหลับได้ตอนเช้า หยุนเจิงเดินออกจากโพรงหิมะด้านบนท้องฟ้า หิมะยังคงตกลงมาไม่หยุดเงยหน้าขึ้นไปมอง ระยะสิบห้าเมตรล้วนเห็นไม่ชัดแล้วหยุนเจิงสาปแช่งสภาพอากาศเลวร้ายของซั่วเป่ยในใจ อีกด้านนำคนไปยังด่านหน้าคนภายในด่านหน้ากำลังเผาน้ำแข็ง หยุนเจิงกำลังจะขอน้ำร้านเพื่อมาเทใส่อาหารแห้งจากพวกเขาสักชาม ในหูพลันได้ยินเสียง “กุบกับ กุบกับ” ดังขึ้นแม้ว่าลมหนาวจะคร่ำครวญ ทว่าเสียงนั้นยังคงชัดเจนนั่นคือเสียงกีบม้าที่กระทบกับน้ำแข็ง!ทัพทหารม้าเป่ยหวนเคลื่อนไหวแล้ว!หยุนเจิงพลันตัวสั่น ทิ้งอาหารแห้งในมือทันที กดเสียงต่ำเรียกเกาเหอ “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป กองทัพทั้งหมดเตรียมพร้อม! เสียงกลองไม่ดัง ห้ามใครเคลื่อนไหวทั้งนั้น!”เกา
เดิมทีก่อนหน้านี้พวกเขารู้สึกกังวล กลัวว่าต้าเฉียนจะส่งคนจำนวนน้อยมาซุ่มโจมตีที่นี่ตอนนี้ พวกเขาไม่ต้องกังวลแล้ว!เวลานี้ ทัพหน้าส่งคนมารายงาน บอกว่าพวกเขาเจอกับการขัดขวางของชาวต้าเฉียน“มีม้าและคนเท่าใด?”ซู่ตูถามทันที“หลายสิบคน!”ทหารส่งสารตอบกลับ “พวกเขาโจมตีเราด้วยธนูและก้อนหิน ทำให้คนของเราบาดเจ็บและตายเป็นจำนวนเล็กน้อย”แล้วทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ “ต้องเป็นทหารยามของป้อมเฝ้ายาม”“จำนวนแค่หลายสิบคน ยังคิดจะขัดขวางการบุกของทหารม้าเป่ยหวนข้า?”ซู่ตูหัวเราะเหยียดหยาม จากนั้นก็ตะโกนสั่งลั่น “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ไม่ต้องสนใจการขัดขวางของศัตรู ทั้งหมดเร่งเข้าไปในหุบผาชัน!”“ขอรับ!”ผู้ส่งสารไปถ่ายทอดทันทีซู่ตูบิดคอไปมา ตะโกนสุดเสียงใส่ทุกคนด้วยสีหน้าดุดัน “บุกเข้าไป! ข้ารอที่จะนำหัวใจของพวกเขามาใส่เหล้า!”“ขอรับ!”ทุกคนรอบกายของซู่ตูพากันร้องตะโกนออกมาทุกคนดูตื่นเต้นมากด้วยคำสั่งของซู่ตู ทัพทหารม้าเป่ยหวนยาวไร้ที่สิ้นสุดมุ่งตรงเข้าไปในหุบผาชันหุบผาชันสายนี้ทั้งยาวทั้งแคบ ส่วนที่กว้างที่สุดของหุบผาชันล้วนไม่เกินสิบจ้างส่วนที่แคบที่สุด อาจมีความกว้างเพียงยี่สิบสามสิบ
แต่ที่น่าเสียดายคือ เจียเหยาไม่ใช่สตรีแบบนั้น! ทุกความยินยอมและการประนีประนอมของเจียเหยาต่อเขาล้วนเกิดจากสถานการณ์บีบบังคับ เยี่ยจื่อย่อมชื่นชมเจียเหยาอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ แต่หากเจียเหยาเป็นสตรีที่หลงใหลในความรักอย่างเดียว เยี่ยจื่ออาจไม่รู้สึกชื่นชมนาง และคงไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ว่านางกับหยุนเจิงจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ "ไม่แน่หรอก" เยี่ยจื่อยิ้มบาง "เรื่องของความรัก ไม่มีใครในโลกนี้สามารถอธิบายได้ชัดเจน! เช่นเดียวกับข้า ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งข้าจะไม่สนใจสายตาของผู้คนในแผ่นดิน และรักชายคนหนึ่งอย่างไม่ลังเล พร้อมทั้งให้กำเนิดบุตรธิดาแก่เขา..." "เรื่องของพวกเจ้ามันไม่เหมือนกัน" หยุนเจิงบีบเบาๆ ที่ตัวเยี่ยจื่อ "พอแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย! รีบลุกขึ้นเถิด ไม่เช่นนั้นพอคนในจวนมาเรียกเราไปกินข้าวเย็น เจ้าคงอายอีกแน่" "ก็เพราะเจ้านั่นแหละ!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิด้วยความอาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นและสวมเสื้อผ้า เมื่อเห็นเยี่ยจื่อสวมชุดชั้นใน หยุนเจิงก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอีก "ยังมองอยู่อีกหรือ?" เยี่ยจื่อปรายตามองหยุนเจิงด้วยความเข
เนื่องจากเยี่ยจื่อกำลังตั้งครรภ์ หยุนเจิงจึงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเกินไป อย่างไรก็ตาม พายุที่โหมกระหน่ำมีเสน่ห์ในแบบของมัน และสายฝนที่โปรยปรายก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ หลังจากหยุดยั้งความเร่าร้อน เยี่ยจื่อซบอยู่ในอ้อมอกของหยุนเจิงอย่างแมวน้อยเชื่องๆ "คืนนี้ข้าจะนอนที่ห้องของเจ้า" หยุนเจิงกอดร่างอ่อนนุ่มของเยี่ยจื่อไว้ ด้วยท่าทีที่ดูยังไม่พอใจ "อย่าเลย!" เยี่ยจื่อเอื้อมมือมาตบหน้าอกของหยุนเจิงเบาๆ "หากเจ้ามาอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องโดนเจ้ารังแกอีก หากเกิดอะไรขึ้นกับลูก เราคงร้องไห้ไม่ออก เจ้าไปห้องเมี่ยวอินเถิด!" จากนิสัยของหยุนเจิง ต่อให้ใช้ปลายเท้าคิด นางก็รู้ว่าเขาต้องรังแกนางอีกสักหนึ่งหรือสองรอบหากเขาอยู่ในห้องนี้ แม้ว่าช่วงตั้งครรภ์จะไม่ใช่ว่าจะใกล้ชิดกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไป "ลูกของข้าหยุนเจิง จะอ่อนแอขนาดนั้นได้อย่างไร?" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะวางมือลงบนหน้าท้องของเยี่ยจื่อโดยไม่รู้ตัว "เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิอย่างเขินอาย "เมื่อสองวันก่อน ลั่วเยี่ยนยังแอบมาบอกข้าเลยว่าเจ้าไปรังแกนางอีก จวนนี้มิใช่มีเพียงข้ากับลั่วเยี่ยนสองค
ชุดนี่มันชั้นแล้วชั้นเล่า ถอดออกแต่ละครั้งช่างเสียเวลาเสียจริง หยุนเจิงบ่นในใจพลางจัดการอยู่นาน กว่าจะถอดอาภรณ์ออกหมด แล้วรีบก้าวลงไปในถังอาบน้ำขนาดใหญ่ด้วยความกระตือรือร้น "ดูท่าทางเจ้าสิ!" เยี่ยจื่อจ้องมองหยุนเจิงด้วยความเขินอาย พลางหัวเราะเบาๆ "หากคนอื่นมาเห็นเข้า คงคิดว่าเจ้าคือโจรขโมยดอกไม้จริงๆ!" "ต่อหน้าเจ้า ข้าก็เป็นโจรขโมยดอกไม้ดีๆ นี่เอง!" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง แล้วดึงเยี่ยจื่อเข้ามาในอ้อมกอด เกรงว่าเยี่ยจื่อจะหนาว หยุนเจิงจึงราดน้ำอุ่นลงบนตัวนาง แน่นอนว่า ระหว่างนี้มือเจ้าเล่ห์ของหยุนเจิงก็ไม่วายลวนลามบนตัวเยี่ยจื่อ เยี่ยจื่อปล่อยให้หยุนเจิงทำตามใจ พลางยื่นนิ้วเรียวขาวลูบไล้รอยแผลเป็นที่เอวของเขา นางจำได้ว่ารอยแผลนี้เกิดขึ้นจากศึกที่หยุนเจิงสังหารฮูเจี๋ยฉานอวี่ นั่นน่าจะเป็นการบาดเจ็บที่หนักที่สุดของหยุนเจิงนับตั้งแต่คุมทัพมา โชคดีที่เป็นเพียงบาดแผล ไม่ได้ถึงแก่ชีวิต ตอนนี้บาดแผลนั้นสมานแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังคงปรากฏอย่างชัดเจน "ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นแบบนี้ตลอดไป" เยี่ยจื่อก้มหน้าพลางพึมพำ "หากวันใดเจ้ามิได้เป็นเช่นนี้ คงเพราะเราชราและห
หลังจากส่งสาวรับใช้หน้าประตูไปแล้ว หยุนเจิงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที ก่อนจะผลักประตูเข้าไป "อิงเถา ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงใครผลักประตูเข้ามา" เสียงของเยี่ยจื่อดังมาจากหลังฉากกั้น "บ่าวก็เหมือนจะได้ยินเหมือนกัน บ่าวจะไปดูเจ้าค่ะ" อิงเถาตอบรับแล้วรีบวิ่งออกมาจากหลังฉากกั้น นางเพิ่งจะออกมาก็เห็นหยุนเจิงยืนอยู่ในห้อง เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่คนอื่นที่บังอาจบุกรุกเข้ามา อิงเถาถึงได้คลายความกังวลก่อนจะรีบคำนับ แต่ก่อนที่อิงเถาจะทันได้พูดอะไร หยุนเจิงก็ทำท่าทางให้เงียบ และโบกมือเบาๆ ส่งสัญญาณให้อิงเถาออกไป ดูเหมือนอิงเถาจะเดาได้ว่าหยุนเจิงตั้งใจจะทำอะไร ใบหน้าของนางพลันขึ้นสีแดงเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว หยุนเจิงปิดกลอนประตูจากด้านใน แล้วค่อยๆ ย่องไปทางหลังฉากกั้น "อิงเถา มีคนผลักประตูหรือไม่?" เยี่ยจื่อเอ่ยถาม ความคิดซุกซนของหยุนเจิงเริ่มเล่นงาน เดิมทีเขาตั้งใจจะจู่โจมเยี่ยจื่ออย่างไม่ให้ทันตั้งตัว แต่คิดได้ว่านางกำลังตั้งครรภ์ เกรงว่าจะทำให้นางตกใจจนเกิดเรื่องไม่คาดคิด จึงเอ่ยขึ้นว่า "มีสิ มีโจรขโมยดอกไม้คนหนึ่ง" เมื่อได้ยิน เยี่ยจื่อหน้าถ
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง