หากไม่หนีจะอยู่ทำหอกอันใดในวังหลวงล่ะ?หากอยู่ในวังหลวงต่อ ก็ต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่!หนี!ต้องหนี!สายตาของจักรพรรดิเหวินดุดันขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมองหยุนเจิงพลางกล่าว “เจ้าลูกทรพี เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด เราจะให้เจ้าพูด ให้โอกาสเจ้าอธิบาย!”หยุนเจิงรับกับความโกรธโค้งคำนับพลางกล่าว “ลูกไม่อยากอธิบายพ่ะย่ะค่ะ และไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายด้วย! ไม่ว่าอย่างไร ลูกก็บังอาจทำร้ายพี่สามเช่นนั้น ไปแล้ว! ลูกยอมรับโทษพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยอนคำพูดนี้ของหยุนเจิง สวีสือฝู่ก็อดที่จะทำเสียงเหอะๆ อยู่ในใจไม่ได้ สวะไร้ประโยชน์ก็ยังเป็นสวะไร้ประโยชน์อยู่วันยังค่ำ!ให้โอกาสไปแล้วก็ไม่ใช้ทว่า ต่อให้ให้โอกาสคนไร้ประโยชน์อธิบายมันก็ไร้ค่าอยู่ดี!เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ให้จักรพรรดิเหวินถอดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายไร้ประโยชน์นี้ให้เป็นสามัญชนคนธรรมดาสวีสือฝู่ครุ่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโค้งคำนับและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายหกยอมรับโทษแล้ว โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนคนธรรมดา เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”“โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนเพื่อไม่
เช่นนั้น ให้เริ่มที่หยุนเจิงเป็นคนแรกเลยก็แล้วกัน!คำพูดของหยุนเจิงทรงพลัง ดังก้องไปทั้งตำหนักเมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง ความเป็นวีรบุรุษก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในใจของคนหลายคนแม่ทัพหลายคนไม่ได้สนิทมักคุ้นกับหยุนเจิง ยากมากที่จะได้รับความชื่นชมจากพวกเขาไม่นานนักหลายคนต่างเอ่ยปากกล่าวออกมาว่า“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าเรากับเป่ยหวนจะเปิดศึกรบกัน! หากองค์ชายหกลงสนามออกรบด้วยตัวเอง จะเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจให้กองทัพได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! องค์ชายหกมีฐานะสูงศักดิ์ แต่ยังใจกล้าออกรบไม่กลัวตาย กระหม่อมเป็นชาวต้าเฉียน จะเสียดายชีวิตได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ?”“ได้โปรดฝ่าบาทอนุญาตองค์ชายหกด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพื่อเป็นการเพิ่มขวัญกำลังให้ให้เหล่าทหาร!”ในขณะที่แม่ทัพกล่าวนั้น ก็มีเสียงสนับสนุนปรากฏขึ้นไม่น้อยโดยเฉพาะฝ่ายบู๊พวกเขาไม่ได้หวังว่าหยุนเจิงจะฆ่าศัตรูในสนาม แต่หยุนเจิงสามารถทำให้ขวัญกำลังของกองทัพแข็งแกร่งขึ้นได้จริงๆสำหรับทางเหนือที่อาจเปิดศึกสงครามได้ตลอดเวลานั้น เรื่องนี้เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ขอ
ซูเฟยสีหน้าเปลี่ยนทันที รีบร้อนพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพคะ แม้ว่าลี่เออร์จะไม่เป็นไรมาก แต่…”“หุบปาก!”จักรพรรดิเหวินเบิกพระเนตรจ้องไปที่ซูเฟย “เจ้าหกนิสัยเช่นไร ขุนนางบู๊บุ๋นทั่วทั้งราชสำนักต่างรู้ดี! หากวันนี้ไม่ใช่ว่าเกิดเรื่อง เจ้าหกจะกล้าทำเช่นนี้กับเจ้าสามหรือ ข้าก็ไม่อยากไล่ถามถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้แล้ว เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้!”ซูเฟยชะงักงัน ตอนนี้นางยิ้มไม่ออกแล้วจักรพรรดิเหวินปรามซูเฟยแล้วก็โบกพระหัตถ์ไปยังหยุนเจิงอย่างเหนื่อยล้า “แล้วเจ้าก็กลับไปขอโทษที่สามของเจ้าด้วย เรื่องนี้ก็ให้มันผ่านไปเช่นนี้เถอะ!”ซวยแล้ว!แสดงเกินบทบาท!หยุนเจิงค่อยๆ มองไปทางสวีสือฝู่กับซูเฟย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสองพี่น้องนี้จะกระโดดขึ้นมาคัดค้านแม้ว่าสวีสือฝู่กับซูเฟยไม่กล้าดื้อดึงสุดขีดอีก แต่คำพูดของจักรพรรดิเหวินเมื่อครู่นี้ได้ตัดความคิดที่จะเรียกร้องให้จักรพรรดิเหวินลดหยุนเจิงเป็นเพียงสามัญชนแล้วจากนี้ย่อมมีโอกาสจัดการหยุนเจิง!พอหยุนเจิงเห็นว่าคาดหวังอะไรจากคนตัวดีสองคนนี้ไม่ได้เลย เขาจึงคุกเข่าลง “ตุ้บ“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่มีพระทัยกว้างขวาง!”หยุนเจิงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แต
ไม่ว่าหยุนเจิงจะยินยอมหรือไม่ จักรพรรดิเหวินก็ได้ออกราชโองการแล้ว เขาก็ทำได้แต่ยอมรับเอาเถอะ!แต่งงานพระราชทานก็พระราชทานมาเถอะ!เอาอำนาจทหารมาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!จะยังไง จะดีจะร้ายยังไงตนก็ยังคงเป็นองค์ชายอยู่นะ!พิธีมงคลสมรสขององค์ชาย ต่อให้พวกขุนนางจะดูถูกตนมากเพียงใด อย่างไรก็ต้องเออออตามกันอืม ฉวยโอกาสทำเงิน!ยิ่งมากยิ่งดีมีทัพทหารม้าแล้วก็ต้องมีเงินมีเสบียงกรังด้วย!เพียงแต่ หากเป็นเช่นนี้ ก็ต้องอยู่ที่เมืองหลวงอีกสักช่วงหนึ่งสินะ!พวกหยุนลี่กับซูเฟยก็ต้องฉวยโอกาสนี้แก้แค้นตนแน่ๆ!ช่วงเวลาที่อยู่เมืองหลวงนี้ เป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงอันตรายมากแน่ๆต้องรีบหาวิธีรับมือ!“องค์ชายหก ช้าก่อน!”ขณะที่หยุนเจิงเดินไปคิดไปนั้น หัวหน้าขันทีมู่ซุ่นผู้รับใช้ข้างกายจักรพรรดิเหวินก็ไล่ตามเขามาหยุนเจิงหยุดฝีเท้า หันหลังกลับดูมู่ซุ่น “หัวหน้ามู่เรียกข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”หยุนเจิงมองมู่ซุ่น จิตใจของเขาตื่นตระหนกขึ้นมามู่ซุ่นเป็นคนสนิทใกล้ตัวพ่อจำเป็นนั่นเชียวนะแม้แต่องค์รัชทายาทองค์ก่อนยังต้องให้เกียรติมู่ซุ่นถ้าหากว่าสามารถชักชวนมู่ซุ่นมาเป็นพวก…ไม่ช้า หยุนเจิงก็ยกเลิ
มู่ซุ่นหัวเราะเหอะๆ แล้วเหงยหน้ามองหยุนเจิง“ไม่ต้องมากพิธี!”หยุนเจิงยกมือขึ้นเล็กน้อย ในใจคิดว่ามู่ซุ่นช่างเป็นผู้รู้ความจริงๆ“ขอบพระทัยเพคะ”ทั้งกลุ่มคนจึงยืดตัวยืนตรง“ฮูหยินเสิ่น ยินดีด้วย ยินดีด้วยจริงๆ!”เมื่อมู่ซุ่นเห็นฮูหยินเสิ่นเขาจึงรีบกล่าวยินดีฮูหยินเสิ่นยินดียิ่ง รีบถามขึ้นว่า “หัวหน้ามู่เจ้าคะ มีเรื่องอันใดให้ยินดีหรือ”มู่ซุ่นลีลาเล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้นอีกว่า “คุณหนูเสิ่นลั่วเยี่ยนอยู่ไหนหรือ”เสิ่นลั่วเยี่ยนพอได้ยิน ก็รีบก้าวเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว “ข้าน้อยคาราวะท่านหัวหน้ามู่เจ้าค่ะ”หยุนเจิงมองเสิ่นลั่วเยี่ยนอย่างละเอียดดวงตาสดใสฟันขาวสะอาด รูปร่างสูงเพรียวมีร่องรอยของความกล้าหาญระหว่างคิ้วนับว่าเป็นสาวงามที่ห้าวหาญ!มู่ซุ่นมองที่เสิ่นลั่วเยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วส่งเสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน “เสิ่นลั่วเยี่ยนรับราชโอการ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนตกใจค้าง รีบคุกเข่าลงรับราชโองการ“ฝ่าบาทมีราชโองการ: ตระกูลเสิ่น จงรักภักดีมิเสื่อมคลาย มีศีลธรรมอันดี สมเป็นมาตรฐานของราชวงศ์เรา! วันนี้เป็นฤกษ์ดี มีราชโองการให้พระราชทานเสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นพระชายาเอกขงอองค์ชายหก เลือกวั
เสิ่นเนี่ยนฉือ!เสิ่นลั่วเยี่ยนมองไปที่หลานสาวของตนนี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของพี่ชายคนโตนาง!เสิ่นลั่วเยี่ยนเห็นเสิ่นเนี่ยนฉือร้องไห้โฮเพราะความตกใจ ใจนางจึงอ่อนลงเว่ยซวงรีบวิ่งไปอุ้มลูกสาวของตนมา ขอร้องน้ำตานองหน้า “ลั่วเยี่ยน พวกเราตายไม่เป็นไร แต่เนี่ยนฉือยังมีอายุไม่ถึงเจ็ดปีเลย!”เสิ่นลั่วเยี่ยนเห็นหลานสาวมีน้ำตาอาบสองแก้ม มือที่กำหมัดแน่นของนางก็คลายออกตุ้บ!เสิ่นลั่วเยี่ยนคุกเข่าลง น้ำตาแห่งความเสียใจและความโกรธไหลผ่าน“หม่อมฉัน…รับราชโองการ ขอบพระทัยฝ่าบาท!”ขณะที่พูดสองประโยคนี้ เสิ่นลั่วเยี่ยนราวกับว่าตนได้ดึงพลังงานทั้งหมดออกจากร่างไปแล้วกระทั่งตอนที่เสิ่นลั่วเยี่ยนรับราชโองการ สีหน้าของมู่ซุ่นจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นดี“เช่นนั้นข้าก็ขอตัวกลับไปรายงานก่อน สำหรับเรื่องกำหนดวันสมรสนั้น จะแจ้งให้ทราบภายหลัง!”พูดไปมู่ซุ่นก็มองไปที่หยุนเจิง “องค์ชายหก พวกเรากลับวังกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”“หัวหน้ามู่เชิญกลับก่อนเถอะ ข้าอยากจะพูดคุยกับพวกนางสักหน่อย”หยุนเจิงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “หัวหน้ามู่ คุณหนูเสิ่นตกใจจนเสียการควบคุม เรื่องในวันนี้ ขอหัวหน้ามู่รายงานเสด็
“…”เสิ่นลั่วเยี่ยนใบหน้ากระตุกอย่างคุมไม่ได้ ตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออดว่า “ใครจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ต่อให้ข้าต้องตาย ก็จะไม่ตายพร้อมกับเจ้า!” ต้องขนาดนี้เลยหรือ?ยัยเด็กโง่นี่!แค่หยอกล้อเล่นนิดหน่อย นางยังคิดถือเป็นจริงจัง?สติปัญญานาง ดูท่าแล้วคงไม่ได้สูงมากนัก?นางฝึกสมองแต่ไปขึ้นที่กล้ามเนื้อแล้วหรือไง?เสียงกบร้องระงม แมลงวันบินดังหวี่ๆ ทั้งวี่ทั้งวันไม่มีใครฟังไก่ขันเพียงยามเช้า แต่กลับปลุกสรรพสิ่งให้ตื่นจากภวังค์ได้คำพูดหากไม่มีใครฟัง ก็อย่าได้พูดพล่ามเลยหยุนเจิงลอบหัวเราะในใจ แล้วพูดหยอกล้อขึ้นอีกว่า “เสด็จพ่อได้พระราชทานงานสมรสแล้ว หากพวกเราล้วนตกตายกันไปหมด คาดว่าเสด็จพ่อคงสั่งให้คนฝังเราไว้ด้วยกัน!”เสิ่นลั่วเยี่ยนฟังคำพูดของหยุนเจิงใบหน้าก็กระตุกขึ้นมาอีกแม้กระทั่งความตายก็มิอาจพรากนางไปจากไอ้สวะนี่ได้งั้นหรือ?“เอาล่ะ”หยุนเจิงค่อยๆ ยืดตัวยืนขึ้น แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “เสด็จพ่อได้ตัดสินพระทัยแล้ว ราชวงศ์เราในเวลานี้ก็มีเรื่องมากมาย พวกเจ้าก็อย่าได้ไปหาเรื่องใส่ตัวอีกเลย” กล่าวจบ หยุนเจิงก็ปลีกตัวจากไปอย่างไรเขาก็ได้เตือนพวกนางแล้วหากพวกนางยังไม่ฟั
ในวังหลวงยามวิกาล“ตรวจสอบได้ความหรือยัง”จักรพรรดิเหวินเงยประพักตร์ขึ้นจ้องถามองค์รักษ์เงา“กราบทูลฝ่าบาท ตรวจสอบได้ความแล้วพ่ะย่ะค่ะ”องค์รักษ์เงาค้อมกาย ค่อยๆ รายงานความจริงตามที่ได้สืบได้จากองครักษ์ที่จับตัวมาจากเรือนปี้ปัว“จับเข้าคุกสวรรค์?”จักรพรรดิเหวินตบไปที่กองฎีกา พูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “กำเริบเสิบสานยิ่งนัก ไม่มีคำอนุญาตจากข้า แต่เจ้าสามกลับกล้าจับเจ้าหกเข้าคุกสวรรค์? มิน่าเล่า เจ้าหกจึงได้ตกใจกลัวจนมาขอความตายกับข้า!”จักรพรรดิเหวินกริ้วเป็นอย่างมาก หายใจหอบแรง“ฝ่าบาทได้โปรดคลายโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ”มู่ซุ่นที่รับใช้อยู่ข้างกายรีรบกล่าวเตือนอย่างเป็นห่วง “องค์ชายสามอาจจะแค่อยากหยอกล้อองค์ชายหกก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเสีย คนสนิทขององครัชทายาทได้ไปหาองค์ชายหกก่อนตาย…”จักรพรรดิเหวินยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย หันสายตาไปมองมู่ซุ่น “เจ้าคิดว่าเจ้าหกมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขององค์รัชทยาท?”“เรื่องนี้…”มู่ซุ่นตัวกระตุกอย่างแรงแล้วรีบตอบว่า “บ่าวไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่รู้? เช่นนั้นก็แปลว่าเป็นไปไม่ได้ล่ะสิ?”จักรพรรดิเหวินส่งเสียงเหอะเบาๆ “หากเจ้าเป็นองค์รัชทายาท เจ้าจะคนไ
ขณะที่หยุนลี่กำลังคิดอย่างโกรธเคืองอยู่ในใจ ทหารสอดแนมที่เขาส่งไปก็กลับมารายงาน"ขอถวายบังคมองค์รัชทายาท องค์ชายหกและพวกของเขากำลังมาถึงที่นี่แล้ว ห่างจากที่นี่ไม่ถึงสิบลี้ อีกอย่าง..."ทหารสอดแนมที่กลับมาหยุดพูดไปทันที"อีกอย่างอะไร?"หยุนลี่มองเขาด้วยสายตาที่เยือกเย็นทหารสอดแนมมองหน้าหยุนลี่อย่างระมัดระวัง ก่อนจะพูดด้วยเสียงอ่อนเบา "องค์ชายหกได้นำทหารที่สวมเกราะหนักมา...""อะไรนะ?"สีหน้าของหยุนลี่เปลี่ยนไปทันที "เจ้ามั่นใจว่าเป็นทหารม้าชุดเกราะหนักหรือ?""มั่นใจพ่ะย่ะค่ะ!""มีกี่คน?""จำนวนไม่แน่ชัด แต่ไม่น่าจะต่ำกว่าสองพันคน..."สองพันคน... มากกว่าสองพันคน?เมื่อได้ยินการรายงานนี้ สีหน้าของหยุนลี่ก็เปลี่ยนไปเป็นเขียวอย่างชัดเจนทหารม้าชุดเกราะหนัก!เจ้าหกตัวนี้ ไอ้หมาหมู่! เขากล้าสร้างทหารม้าชุดเกราะหนักในซั่วเป่ยได้หรือ?แม้ว่าหยุนลี่จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทหารนัก แต่เขาก็รู้ดีว่าทหารม้าชุดเกราะหนักนั้นน่ากลัวแค่ไหนปัญหาคือ ทหารทั้งหมดในหัวเมืองสี่ทิศล้วนเป็นทหารเดินเท้า!และยังเป็นทหารเดินเท้าที่เกราะก็ไม่ได้สมบูรณ์ด้วย!ทหารม้าชุดเกราะหนักสองพันนาย สามารถทลายทั
หลังจากพักที่ด่านเป่ยลู่หนึ่งคืน หยุนเจิงก็เป็นผู้นำกองทัพออกเดินทางเมื่อพวกเขาออกเดินทาง มาในขบวนมีรถม้าบรรทุกสินค้าหลายสิบคันภายในรถม้ามีทั้งขนสัตว์ ทองคำ เงิน และสมุนไพรต่างๆ รวมไปถึงบัลลังก์ของราชาโฉวฉือแต่หลายคันในขบวนดูเหมือนจะเต็มไปด้วยสินค้าจริงๆ แต่อันที่จริง กล่องในรถม้าบางคันมีของจริงแค่ชั้นบน ส่วนข้างล่างเต็มไปด้วยหญ้าสิ่งเหล่านี้เป็นของที่หยุนเจิงเตรียมให้เจียเหยาเป็นสินเดิม และต้องนำกลับไปด้วยการบรรทุกสินค้านั้นดูเหมือนจะเต็มมาก แต่การขนย้ายไปมาอย่างนี้ก็เหนื่อยพอสมควร"รายงาน...!"ทหารม้าคนหนึ่งขี่ม้าพุ่งมาหยุนเจิงอย่างรวดเร็ว "ฝ่าบาท ขุนนางทุกท่านภายใต้การนำขององค์รัชทายาทกำลังรอรับฝ่าบาทและขบวนส่งตัวเจ้าสาวจากเป่ยหวนที่อยู่นอกหัวเมืองสี่ทิศสิบลี้!""รู้แล้ว!"หยุนเจิงพยักหน้าและยิ้ม ก่อนจะสั่งเสิ่นควาน "สั่งให้ทุกคนเร่งความเร็ว! อย่าให้องค์รัชทายาทต้องรอนาน!"ยังจะเล่นละครว่ามารับสิบลี้อีกหรือ?เจ้าสามนี่ไม่เลวเลย!ถึงขั้นรู้จักอดทนและรับภาระแล้วสินะ!แต่ไม่รู้ว่าเจ้าสามจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นขบวนของพวกเขาเมื่อเสิ่นควานถ่ายทอดคำสั่งของหยุนเจิงไป ทุ
"มีข่าวจากนักรบภูตสิบแปดหรือไม่?"หยุนเจิงนั่งลงทันทีและถามเรื่องสำคัญ"มีพ่ะย่ะค่ะ!"อวี่ซื่อจงรายงาน "ไม่ผิดจากที่ฝ่าบาทคาดไว้จริงๆ ตอนนี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือส่งคนมาที่นี่! นักรบภูตสิบแปดส่งข่าวมาว่า เมื่อวันก่อนในช่วงเย็น จ้าวจี๋ได้ยกทัพมาพร้อมกับทหารม้าฝีมือดีหนึ่งหมื่นนายเข้าสู่หุบเขาที่อยู่ห่างจากหัวเมืองสี่ทิศทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณห้าสิบลี้…"เรื่องที่จักรพรรดิเหวินส่งข่าวถึงหยุนเจิงนั้น หยุนเจิงไม่ได้บอกให้ใครรู้เขาบอกแค่ว่านี่คือการคาดการณ์ของเขาบางเรื่อง ถ้าเป็นเรื่องในบ้านเราก็ควรเก็บไว้รู้กันแค่ในครอบครัว ไม่จำเป็นต้องให้คนทั้งโลกได้รู้"จ้าวจี๋ออกนำทัพเองหรือ?"หยุนเจิงหรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ "นอกจากทัพม้าฝีมือดีหมื่นนายแล้ว ยังมีการเคลื่อนไหวจากทัพอื่นๆ หรือไม่?""ตอนนี้ยังไม่มีข่าวสารที่เกี่ยวข้องครับ" อวี่ซื่อจงตอบหยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปที่อวี่ซื่อจง "ท่านมีทัพม้าฝีมือดีหมื่นนายเหมือนกัน, อยากทดสอบฝีมือกับแม่ทัพเก่าของข้าดูไหม?""แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!"อวี่ซื่อจงไม่ลังเลเลยที่จะตอบ พร้อมกับมองหยุนเจิงด้วยสายตาที่มั่นคง "เพียงแค่ฝ่าบาท
ในวันที่สามของเดือนหนึ่ง หยุนเจิงพาเจียเหยาออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ฟู่โจวงานแต่งงานของเขากับเจียเหยาถูกกำหนดไว้ในวันที่สิบของเดือนหนึ่งระยะทางไปฟู่โจวนั้นไม่ใกล้ แม้ว่าพวกเขาจะเดินทางด้วยกองทหารม้าทั้งหมด ก็ยังจำเป็นต้องออกเดินทางล่วงหน้าเพราะในวันแต่งงาน วันที่เก้าของเดือนหนึ่ง พวกเขาต้องเดินทางไปถึงหัวเมืองสี่ทิศให้ได้เดิมทีเยี่ยจื่อตั้งใจจะเดินทางไปด้วย แต่หยุนเจิงยืนกรานไม่ให้เยี่ยจื่อเดินทางเพราะรู้ดีว่าเจ้าสามมีเจตนาจะฉวยโอกาสเล่นงานพวกเขา การพาเยี่ยจื่อไปด้วยนั้นไม่ต่างอะไรกับการทำเรื่องโง่เขลาแม้หยุนเจิงจะไม่กลัวแผนการอันลึกลับของเจ้าสาม แต่เยี่ยจื่อกำลังตั้งครรภ์ หากเกิดอะไรขึ้นและนางได้รับบาดเจ็บ เขาคงเสียใจจนแทบอยากตายหยุนเจิงก็ไม่ให้ฮูหยินเสิ่นและเว่ยซวงร่วมเดินทางด้วยเพราะไม่แน่ใจว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนจะคลอดเมื่อไร การให้ฮูหยินเสิ่นและเว่ยซวงอยู่ดูแลในจวนจะทำให้เขาสบายใจมากกว่าสำหรับการเดินทางครั้งนี้ หยุนเจิงเตรียมกำลังทหารมาอย่างเพียงพอเฉพาะกองทหารองครักษ์ประจำตัวของเขาก็ถูกเพิ่มชั่วคราวเป็นสองพันนาย และยังมีกองทหารโลหิตอีกสามพันนายทั้งนี้ กำลังพลเหล่านี้เ
"ใช่ ข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน"เยี่ยจื่อที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่พยักหน้า "น่าจะเป็นเสียงจ้าล่าจื่อจริงๆ…"ต้นจ้าล่าจื่อนั้นดูเหมือนจะมีอยู่แค่บนภูเขาแถวซั่วเป่ยเท่านั้นเมื่อหลายปีก่อน ชาวบ้านในซั่วเป่ยเริ่มนิยมเผาจ้าล่าจื่อช่วงปีใหม่ว่ากันว่า การเผาใบนี้ช่วยขับไล่เหาและแมลงต่างๆ ในพื้นที่ ติ้งเป่ยบางพื้นที่จึงเรียกมันว่าเผากำจัดเหายังมีเพลงพื้นบ้านร้องว่า "วันขึ้น 15 ค่ำเผาไล่เหา บ้านตระกูลหลี่มาก บ้านตระกูลหวังน้อย…"โดยทั่วไป ชาวบ้านส่วนใหญ่จะเผาจ้าล่าจื่อหลังเที่ยงคืนแต่ก็มีบางคนที่เผาล่วงหน้า เพื่อให้เกิดเสียงดังและเพิ่มความสนุกสนานทว่า การเผาจ้าล่าจื่อไม่ได้อนุญาตให้ทำได้ทุกเวลาทางการอนุญาตให้เผาเฉพาะช่วงปีใหม่และวันขึ้น 15 ค่ำเท่านั้นปีที่แล้ว เพราะซั่วเป่ยมีศึกสงครามอย่างหนัก ทางการจึงสั่งห้ามเผาจ้าล่าจื่อเป็นการชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอาจเป็นเพราะเหตุนี้เอง ที่หยุนเจิงไม่รู้เรื่องการเผาจ้าล่าจื่อในขณะที่เยี่ยจื่ออธิบายเรื่องนี้ให้หยุนเจิงฟัง ซินเซิงก็รีบสั่งให้คนไปเอาจ้าล่าจื่อมาไม่นาน สาวใช้คนหนึ่งก็ถือกิ่งไม้เข้ามาในห้องซินเซ
ท้องฟ้าของซั่วเป่ยมืดเร็วกว่าที่อื่น หมายความว่าคืนนี้จะยาวนานเป็นพิเศษคืนนี้ ทุกคนต้องอยู่เฝ้ายามดึกจนถึงหลังเที่ยงคืนหลังจากเล่นกันได้สักพัก ฉินชีหู่กับภรรยาและบุตรทั้งสามก็พากันกลับไปก่อน ส่วนเว่ยซวงและพวกก็ไม่ได้จัดการเล่นไพ่นกกระจอกต่อ ต่างนั่งเฝ้ายามอย่างสงบอยู่ข้างเตาไฟ พูดคุยเรื่องไร้สาระกันไปเรื่อยๆหยุนเจิงนอนเหยียดขาเหมือนนายท่านใหญ่ พาดขาไว้บนตักของเมี่ยวอิน เมี่ยวอินผลักขาเขาออกหลายครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าคนหน้าด้านอย่างหยุนเจิงไม่ยอมลดละ นางก็ปล่อยเลยตามเลยอย่างไรเสีย คนในจวนก็รู้ดีอยู่แล้วถึงความประพฤติของหยุนเจิงถึงแม้จะคิดเช่นนั้น แต่เมี่ยวอินก็ยังคงหยิกขาหยุนเจิงเป็นระยะๆไม่ได้มีเหตุผลอะไรพิเศษ นอกจากอยากเห็นสายตาน้อยใจที่หยุนเจิงส่งมาเป็นระยะ"อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ เรามาเล่นหมากรุกกันเถอะ"เจียเหยาที่เบื่อหน่ายจนไม่รู้จะทำอะไร จึงเสนอตัวเล่นหมากรุกกับหยุนเจิง"ไม่เอา!"หยุนเจิงปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด "เจ้าคิดมากทั้งวันยังไม่พออีกหรือ? วันสิ้นปีแบบนี้ ทำตัวสบายๆ ปล่อยวางหน่อยจะดีกว่าไหม?""ปล่อยวาง?"เจียเหยาไม่เข้าใจในคำพูดของเขาหยุนเจิงอธิบายว่า "ก
หลังจากนั้น หยุนเจิงก็ไม่ได้พูดอะไรที่เจียเหยาไม่ชอบฟังอีก เปลี่ยนไปคุยเรื่องทั่วไปกับเสิ่นลั่วเยี่ยนและคนอื่นๆ แทนแต่เรื่องที่คุยกันนั้นล้วนเป็นเรื่องครอบครัว ไม่มีใครพูดถึงเรื่องบ้านเมืองหรือการเมืองแต่อย่างใดเมื่อกินดื่มกันอิ่มหนำแล้ว ภรรยาหลวงและอนุของฉินชีหู่ก็ไปรวมกลุ่มกับเมี่ยวอินและเว่ยซวงเพื่อเล่นไพ่นกกระจอกกันส่วนคนอื่นๆ ในจวนก็เริ่มเล่นเกมปาทู่กันอย่างสนุกสนานฉินชีหู่ที่ดื่มจนเกือบเมานิดหน่อย ยังออกไปที่ลานหิมะข้างนอกแล้วแสดงฝีมือการต่อสู้หมัดเต่าทอง อ้างว่าเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับทุกคนเจียเหยาที่มีทักษะการยิงธนูเป็นเลิศ เล่นเกมปาทู่ได้อย่างสบายใจ นางกวาดเงินรางวัลมาไม่น้อยแล้วในขณะที่เจียเหยากำลังสนุกสนาน ฮูหยินเสิ่นก็พาสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาสาวใช้ในมือถือชุดเสื้อผ้าหนึ่งชุด ประกอบไปด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์ด้านนอก เสื้อผ้านุ่มคล้ายขนสัตว์ด้านใน และเสื้อคลุมขนมิงค์เมื่อฮูหยินเสิ่นเดินมาหยุดตรงหน้าเจียเหยา นางมองไปที่เสื้อผ้าในมือของสาวใช้ ก่อนจะนิ่งไปเล็กน้อย "ทั้งหมดนี้...คงไม่ใช่สำหรับข้าหรอนะ?""แน่นอนว่าให้เจ้า"ฮูหยินเสิ่นพยักหน้าพลางยิ้ม "พรุ่งนี้ก็
ในฤดูหนาวของซั่วเป่ย ท้องฟ้าค่ำมืดเร็วกว่าปกติเพิ่งจะห้าโมงเย็น ท้องฟ้าก็มืดลงอย่างรวดเร็วและมื้อค่ำสำหรับวันสิ้นปีของหยุนเจิงและพวก ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเหล่าเด็กๆ ถูกจัดให้นั่งแยกไปอีกมุมหนึ่ง โต๊ะของพวกเขามีขนมหวานที่พวกเขาชอบเต็มโต๊ะ พร้อมกับหม้อทองแดงเล็กๆ ตรงกลางที่ใช้เตาถ่านให้ความร้อนสาวรับใช้สองคนในจวนถูกจัดให้นั่งร่วมโต๊ะกับเด็กๆ ด้วยแม้สาวรับใช้ทั้งสองต้องรับหน้าที่ดูแลเหล่าเด็กๆ ที่ถือเป็นบรรพบุรุษตัวน้อย แต่การได้ร่วมโต๊ะกับพวกเขาก็นับว่าเป็นพระคุณอันใหญ่หลวงสำหรับพวกนางแล้วส่วนอีกโต๊ะหนึ่ง เป็นโต๊ะที่หยุนเจิงสั่งทำพิเศษ โดยมีหม้อทองแดงใบใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางหม้อนี้ดูเหมือนกับหม้อทองแดงสำหรับลวกเนื้อแกะของภาคเหนือในชาติก่อนของเขาไม่มีผิดหยุนเจิงและพวกนั่งล้อมรอบหม้อทองแดงนี้ โดยมีซินเซิงได้รับเชิญให้นั่งร่วมโต๊ะด้วยบนโต๊ะไม่เพียงแค่มีเนื้อแกะและเนื้อกวางที่หั่นบาง แต่ยังมีเนื้อวัวซึ่งหาได้ยากยิ่งสองวันก่อน มีข่าวว่าในบ้านของตระกูลใหญ่แห่งหนึ่ง วัวของพวกเขา "บังเอิญ" ล้มจนขาหัก และไม่อาจรักษาได้พวกเขาจึงแจ้งทางการ พร้อมเตรียมเชือดวัวตัวนั้นเ
"อันนี้เข้าท่าดี!"พอพูดถึงการดื่มเหล้า ฉินชีหู่ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีหยุนเจิงมีกฎห้ามดื่มเหล้าในกองทัพ และฉินชีหู่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นแม้กลับมาที่จวนติ้งเป่ย เขาก็ไม่กล้าดื่มจนสุดเหวี่ยง เพราะเกรงว่าจะมีงานด่วนทางทหารเข้ามาแต่วันนี้เป็นวันสิ้นปีทั้งที เขาจึงคิดว่าจะได้ดื่มจนหนำใจเสียบ้างหยุนเจิงไม่อยากประลองต่อ ส่วนเจียเหยาก็ไม่เซ้าซี้จะให้เขาสู้ด้วยอีก แต่เจียเหยากลับยังติดใจสิ่งที่หยุนเจิงเก็บไว้ก่อนหน้านี้ "เจ้าจะให้ข้าดูสิ่งที่เจ้าซ่อนไว้เมื่อครู่อีกครั้งได้หรือไม่?""จะดูไปทำไม?"หยุนเจิงปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด "นั่นเป็นของที่ข้าทำไว้ให้ลูกของข้า เจ้าโตขนาดนี้แล้ว ยังจะมาแย่งของเล่นกับลูกข้าอีกหรือ? ไม่อายบ้างหรือไง?""ข้า…"เจียเหยาอึ้งไป ก่อนจะถลึงตาใส่หยุนเจิงด้วยความไม่พอใจไม่ให้ดูก็ไม่ดู!แต่ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ของเล่นธรรมดาแน่ๆมันต้องเป็นอาวุธลับอย่างแน่นอน!นางรู้สึกว่าหากตนคิดจะลอบสังหารหยุนเจิง ในระยะใกล้เช่นนั้น คนที่ตายก่อนคงเป็นนางเสียเองเว้นเสียแต่ว่า จะต้องอาศัยจังหวะที่หยุนเจิงเผลอ ใช้ธนูยิงเขาจากระยะไกลเท่านั้น!"เอาล่ะ เจ้า