นายสิบปลื้มปีติรู้สึกว่าตัวเองทำงานคุ้มเงินเดือนก็วันนี้แล เพียงแค่นั่งอยู่เฉย ๆ โดยมีสายตาอาฆาตของผู้ปกครองจ้องมองมาก็รู้สึกพลังชีวิตจากหนึ่งร้อยลงมาติดลบจนอยากออกไปแรดฟื้นฟูสัพพะกำลังแล้ว
ความสามารถพูดคล่องน้ำไหลไฟดับของพ่อหนุ่มทะเล้นได้หมดลงไปเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ก็ได้แต่หวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้ร้อยตื่นขึ้นมาจากภวังค์แล้วเดินมานั่งรับกรรมเป็นเพื่อนรุ่นน้องคนนี้สักทีเถอะครับ!
ตรีศูลนั่งจิบน้ำไปกัดฟันกรอด ๆ ไป ใครมันบางอาจมาทำร้ายน้องชายเพียงคนเดียวของเขาหากเป็นนักเรียนเขาจะตามไปชำระถึงหน้าประตูบ้าน หรือหากเป็นเจ้าทหารสองคนนี้ก็อย่าหวังเลยว่าพรุ่งนี้จะได้มีชีวิตอยู่อย่างครบสามสิบสอง
"ขออภัยที่ชักช้านะครับ"
นางรำหนุ่มวางแก้วน้ำลงบนตัก ตวัดหางตามองนายทหารร่างกำยำที่กำลังเดินหอบเอกสารรายชื่อบางอย่างมาวางไว้บนโต๊ะรับแขก
"ไม่ทราบว่า คุณเป็นผู้ปกครองของยุวชนทหารคนไหนเหรอครับ?"
"นายอดิศร วิศิษฐ์สกุล ม.๕ ครับ"
แม้จะพูดสุภาพแต่คนงามก็คล้ายจะกัดฟันพูด ทำเอาพ่อปลื้มอกสั่นขวัญแขวนไม่เคยเจอคนงามสายโหดมาก่อน เขานั่งเกร็งสั่นสู้ประหนึ่งเครื่องจักรรถไฟต่างกับร้อยเอกพิภพที่นั่งค้นเอกสารอย่างสงบนิ่ง
"นายคนนี้-
"นักเรียนคนนี้ต่างหากล่ะครับ รบกวนอย่ามาใช้ศัพท์แบบพวกคุณในสถานศึกษาด้วย"
ร้อย ร้อยทนได้อย่างไร เป็นผมโดนคนสวยดุขนาดนี้ ผมมุดหัวลงดินกลับไปนั่งสำนึกผิดที่แกนโลกแล้วนะครับ!
"ขออภัยด้วยครับ"
รุ่นพี่ครับ! นี่รู้ไหมนี่เป็นครั้งแรกเลยนะครับที่กระผมได้ยินคำว่าขอโทษออกมาจากปากเรือคว่ำของรุ่นพี่น่ะ!
"ครับ"
เอาปลื้มออกไป เอาปลื้มออกไปจากตรงนี้ที!
ในขณะที่สิบเอกกำลังนั่งสั่นสู้น้ำตาตกในอยู่นั้นรุ่นพี่ก็สะกิดเขาจนน้ำลายแทบพุ่ง ถ้าจะเรียกรบกวนให้มันอ่อนโยนมากกว่านี้ทีสิครับ
รุ่นน้องผู้อยู่ไม่สุขเอียงกายไปมองหน้าตายุวชนทหารบนหน้ากระดาษก็รู้ได้ทันทีว่าต้องจัดการอย่างไร ผนวกกับรุ่นพี่ที่ส่งสายตาอันว่างเปล่ามาทางเขา วันนี้ร้อยเป็นอะไรเนี่ย กินไก่ย่างชุมพรไปเมื่อคืนแล้ววิญญาณหลุดออกจากร่างเหรอ!?
กระนั้นสิบเอกปลื้มปีติจึงกระแอมในลำคอเบา ๆ แล้วทำเป็นหยิบเอกสารมาพิจารณาก่อนจะเรียบเรียงเรื่องราวของเด็ก ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นกล่าวออกมาเป็นคำพูดให้คนงามตรงหน้าคลายอารมณ์ร้อนลง
"คุณผู้ปกครองครับมาเรื่องนักเรียนได้รับบาดเจ็บใช่ไหมครับ?"
"ครับ สภาพเยินกว่าที่จินตนาการไว้เลยอยากรู้ว่าพวกคุณฝึกอะไรกับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ"
ปลื้มแค่ถามเองครับทำไมคนสวยต้องดุด้วย ปลื้มจะร้องไห้
"หากเป็นเรื่องนี้แล้ว..."
ไม่นานเรื่องก็ขมวดปมได้ว่าเหล่ายุวชนทหารหน้าใหม่ในวันนี้ทำแค่การฝึกร่างกาย และกฎระเบียบในกองทัพขั้นพื้นฐานแต่เพียงเท่านั้น อาจมีการลงโทษสำหรับผู้ที่ติดเล่นบ้าง ทว่ามากที่สุดก็แค่ชุดเปื้อนเศษดินเท่านั้น อนึ่งหากใครได้รับบาดเจ็บขณะฝึกหรือไม่ไหวสามารถออกมาพักดูอาการสำหรับประเมิน ทว่าแผลสุดอลังการที่คุณผู้ปกครองเห็นมานั้นเกิดจากหลังการฝึก มียุวชนทหารสองนายทะเลาะกันยกใหญ่ และน้องชายเจ้าตัวที่ชื่อ'อดิศร'เข้าไปช่วยห้าม ในขณะที่สองคนกำลังจะต่อยกัน หมัดเลยตรงเข้าที่ขมับเต็ม ๆ ทั้งยังสะดุดขาพากันล้มระเนระนาด แขนไปครูดกับเศษหินบริเวณนั้นจนถลอกปอกเปิก
คุณพี่นางรำเมื่อได้ฟังจนจบก็ดูเหมือนจะพยักหน้าเข้าใจ และกล่าวขอบคุณที่ให้ความร่วมมือทั้งยังทิ้งท้ายเอาไว้แบบจุก ๆ ว่า
'ก่อนอื่นผมคงต้องขออภัยที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่หากในอนาคตเป็นพวกคุณที่สร้างแผลพวกนั้นเอง อย่าคิดว่าผมจะไม่กล้ากับทหารนะครับ'
คนสวยครับ คนสวยพอแล้ว ปลื้มน้ำตาจะไหลเป็นสายน้ำแล้วครับ
เมื่อเสียงกระพรวนข้อเท้าออกห่างจากประตูไปไกลจนไม่ได้ยิน เหมือนกับนายทหารทั้งสองคนในห้องได้ผ่านสมรภูมิรบกันมาหมาด ๆ นายสิบที่มายืนส่งคุณพี่นางรำหน้าประตูถึงกับขาเปลี้ยยืนแทบจะไม่ไหวขอลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นแล้วจึงเบนสายตาไปมองร้อยเอกพิภพซึ่งยังนั่งดูเอกสารอยู่กับโต๊ะรับรอง
อาการเดียวกันเลยนี่หว่า!
ดวงตาดุดันว่างเปล่าเหมือนทุ่งนาร้าง บรรยากาศเย็นยะเยือกหดหู่สุด ๆ อะไรกัน นายสิบคนนี้ได้แค่สงสัย ทำไมหัวหน้าเขาถึงตกอยู่ในสภาพนี้ได้ ไม่มีทางเด็ดขาด คนที่หน้าเหมือนยมบาลคนนั้นจะมานั่งหน้าซีดเป็นผีแบบนี้เนี่ยนะ
"ร้อย! บอกตามตรงเลยนะ วันนี้ร้อยเป็นอะไรเนี่ย"
"เอ็งอย่ามาสอด"
มือหนารวบกำเอกสารจัดเรียงเข้าที่ เดินจากโต๊ะรับแขกไปนั่ง ณ ที่ทำงานเดิม ทหารยศสูงจัดการหยิบดินสอขึ้นมาจรดลงบนหน้ากระดาษอีกครั้ง แต่ทำไมครั้งนี้มือกลับไม่ขยับไปตามใจนึก ปลายแท่งไม้หยุดอยู่นิ่งกับที่มาสักพัก รุ่นน้องจึงใช้สมองอัจฉริยะของตัวเองในการประมวลผลเรื่องราวเมื่อครู่
พี่นางรำที่เคยแสดงเมื่องานกาชาดเมื่อวันนั้นซึ่งร้อยมองตาเป็นมันกลับโผล่มาเป็นพี่ชายมาดดุในวันนี้
อ๋อ
"ร้อย อกหักเหรอ?"
ทันใดนั้นสายตาของพิโรธคนเดิมก็เหยียดหางตามายังเขาพร้อมรังสีอำมหิตแผ่ซ่านปานจะฆ่ากันให้ตาย
น่าจะใช่แล้วแหละครับ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
คืนนั้นนายทหารร่างใหญ่เดินเข้าบ้านพักด้วยความสับสนอยู่เต็มอก วางข้าวของเอนตัวลงที่นอนจนฟ้าข้างนอกเปลี่ยนจากสีส้มสดยามเย็นเป็นสีกรมยามราตรี
พิภพเอาแขนยกขึ้นก่ายหน้าผาก เอื้อมแขนไปคว้าปิ่นปักผมของคนผู้นั้นขึ้นมามอง ไม่ว่าจะนึกถึงอีกกี่ครั้งก็ชวนให้เขาระส่ำระสาย นี่มันก็นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้ หรือบางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิตเสียด้วยซ้ำที่หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาใคร่คิดถึงจนบางทีไม่เป็นอันหลับอันนอน จนได้มารู้ว่านางรำผู้นั้นเป็นผู้ชายเฉกเช่นเดียวกัน
เขาไม่มีความคิดดูถูกอะไรเลยแม้แต่น้อย ทว่าก็ต้องคิดตกตะกอนสักหน่อยว่าควรจะหยุดความรู้สึกเอาไว้ที่ตรงนี้หรือไปต่อ มันยากจะตัดสินใจ
เมื่อคราวที่ต้องหลับนอนถึงข่มตาลงก็ไม่อาจเข้าสู่ห้วงนิทราได้ ตอนนี้เขาจึงออกมาวิ่งให้ตัวเองสงบจิตสงบใจลงบ้างเผื่อเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมาจะเลือกคำตอบได้เสียที
ด้วยว่าตอนนี้ก็ปาไปสองทุ่ม ผู้คนเข้านอนกันหมดแล้วจึงไม่มีใครมาเดินตามท้องถนนลาดยาง ขาหนาในกางเกงยาวอย่างง่ายก้าววิ่งไปด้วยความเร็วคงที่ เส้นผมสั้นปลิวไปตามแรงลม เหงื่อกระเซ็นซ่านเป็นประกายท่ามกลางแสงไฟดวงน้อยจากโคมไฟรายทางที่ไม่ได้มีมากมายนัก ทว่าแม้จะวิ่งมาแล้วหลายต่อหลายนาที ทุกก้าวที่เหยียบลงพื้นถีบร่างกายไปข้างหน้าในหัวก็มักจะปรากฏเป็นภาพคนงามในชุดอย่างนางนาฏศิลป์ในท่ารำอ่อนช้อยเสมอ จากที่เขาจะได้ผ่อนคลายกลายเป็นฟุ้งซ่านเสียยิ่งกว่าเก่า
ดังนั้นนายทหารจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นข่มตาวิ่งตรงไปตามทางข้างหน้าอย่างสุดแรง เสียงตึก ๆ ๆ หนักขึ้นตามระยะทาง จนไปหยุดอยู่ที่เสาไฟฟ้าต้นสุดท้าย
ชายร่างกำยำย่อตัวก้มลงพักหอบเอาอากาศเข้าปอด เหงื่อไคลไหลท่วมตัวหยดลงพื้นแหมะ ๆ หัวเขาโล่งขึ้นแล้ว
"หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า...หก...เจ็ด...แปด...หนึ่ง...สอง-"
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงนับจังหวะดังแผ่วเบามาจากที่ไหนสักแห่ง นายทหารจึงเงยหน้าขึ้นหันซ้ายขวาหาต้นเสียง ทว่าหลาย ๆ บ้านก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว เสียงจะมาจากที่ไหนได้ จนหางตาไปสะดุดกับบ้านทรงเรือนไทยที่ยังคงมีไฟสลัวออกมาจากระเบียง พิภพจึงเดินไปตามต้นเสียงนั้นด้วยความสงสัย
'ดึก ๆ ดื่น ๆ แบบนี้นอกจากเขาแล้วยังจะมีใครตื่นอยู่อีก' เขาคิด จนเมื่อได้หันขึ้นไปมองบนเรือน ทำเอาจิตที่กลับมาสงบเกิดความยุ่งเหยิงขึ้นมาอีกครั้ง
ร่างผอมเพรียวคุ้นตาในเสื้อแขนกุดสีขาวสะอาดและนุ่งผ้าสีแดงเข้มขลังรวบปลายนิ้วเรียวติดชิดวาดจรดโคนผม ส่งสายตาไปยังปลายนิ้วที่ส่งจีบไปข้างหน้า ย่อลำตัวกดเอวบิดอย่างเชื่องช้าไปตามจังหวะนับเลขอย่างง่าย เพียงแค่นั้นก็ทำเอาชายวัยกลางคนไปไม่เป็น หัวใจเต้นโครมครามคล้ายจะหลุดออกจากอก
ทว่าเหมือนคนบนเรือนก็จะรับรู้ถึงใครบางคนอยู่ด้านล่าง จึงหยุดการกระทำทุกอย่างมามองสอดส่อง ณ ริมระเบียง แต่ก็ไม่พบอะไร แม่นางรำจึงแก้มัดผมแล้วรวบขึ้นเป็นก้อนกลมเตรียมจะไปอาบน้ำอาบท่า
ไม่รู้อะไร การกระทำทุกอย่างคงอยู่ในสายตานายทหารที่หนีมาหลบอยู่หลังรั้วบ้านแม่นางรำ มือขวายังคงกำผ้าซับเหงื่อแน่นจนเส้นเลือดขึ้น มือซ้ายยกขึ้นกุมหัวขยี้ไปมาพยายามสลัดความคิดที่วิ่งวนอยู่ออกไปก่อนจะลงมาลูบคลำรอยสักบริเวณท้ายทอยแก้รำคาญตัวเอง จนเมื่อตั้งสติขึ้นมาได้จึงเดินกลับที่พัก โดยลืมไปว่าทั้งใบหูหน้าแก้มยังคงรู้สึกร้อนผ่าวจนขึ้นสีอยู่
"เลิกแถว!!"เสียงเข้มดังกู่ก้องมาจากครูฝึกผิวสีน้ำผึ้งใจกลางสนาม ปลดปล่อยเหล่าทหารน้อยให้เป็นอิสระเมื่อเข็มสั้นชี้ตรงไปที่เลขสี่ เหล่านักเรียนชั้นมัธยมปลายในชุดสีเขียวเปื้อนดินพากันจับกลุ่มเดินกลับบ้านด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนจากการฝึกอันเข้มงวดรวมไปถึงอดิศรที่โดนเพื่อนคล้องคอกะจะพากันไปนั่งเล่นใต้ต้นไทรที่อยู่ไม่ห่าง"นายอดิศร"เสียงทุ้มคุ้นหูแว่วดังมาจากข้างหลังชวนให้เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีเป็นไก่ต้ม หันไปตอบรับแต่เพียงผู้เดียวเพราะเหล่าผองเพื่อนวิ่งหนีเตลิดไปไกลกันแล้ว"ครับร้อย" ศรยกมือทำความเคารพ พร้อมส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ครูฝึกสุดโหด"แผลเป็นยังไงบ้าง""ดีขึ้นเยอะแล้วครับ""ถ้าไม่ไหวให้มาบอกฉัน เข้าใจไหม ฝากไปบอกเพื่อน ๆ ด้วย""ครับ"แม้เด็กหนุ่มจะตอบรับทราบมาสักพักแต่พิภพก็ยังไม่หยุดจ้องมองมาที่เขา จู่ ๆ คิ้วหนาก็กดลงเหมือนเคร่งเครียดกับอะไรบางอย่าง ทำเอาศรตัวสั่นงั่กเป็นลูกหมาตกน้ำ"พี่นายเป็นนางรำใช่ไหม?""ครับ! ใช่ครับ!"ศรสะดุ้งตอบเสียงดังฟังชัด"เป็นนางรำที่ขึ้นแสดงเมื่องานกา
เรือนนางรำ๗ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณคนดีที่เก็บปิ่นปักผมมาคืนสวัสดีครับ ผมเป็นนางรำเจ้าของปิ่นที่คุณเก็บได้ ก่อนอื่นเลยคงต้องกล่าวขอบคุณเป็นอย่างสูงที่อุตส่าห์ฝากน้องชายผมมาคืนครับ ผมจึงอยากจะมอบของตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คุณ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกมาเจอกันไหมครับขอให้เป็นวันที่ดีนะครับจาก ตรีศูล (แก้ว) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .ร้อยเอกพิภพคิดดีแล้วที่ตัดสินใจอดทนรอไม่เปิดจดหมายอ่านต่อหน้าสาธารณชนไม่อย่างนั้นชาวบ้านชาวช่องคงต้องเห็นเขาทรุดลงกลางถนนเป็นอันแน่แท้พิภพได้อ่านจดหมายฉบับนี้หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จโดยที่ยังไม่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ดีดังนั้นบนตัวจึงยังมีแค่ผ้าขาวม้าผืนเดียวเปิดแผ่นอกและลอนหน้าท้องส่วนบนที่ยังคงชุ่มน้ำอยู่ ทว่าดูเหมือนไอร้อนที่แผ่ออกมาบนหน้าเขามันจะมากเกินสงสัยคงจะต้องไปตักน้ำสักขันมาราดให้หัวเย็นลงเสียหน่อยแล้วด้วยความเค
ตกเย็นหลังการเรียนการสอนเมื่อพิภพได้รับจดหมายมาจากยุวชนทหารในการดูแลอย่างอดิศร ร้อยเอกจึงเก็บมันเข้ากระเป๋าสะพายประจำกายเตรียมจะเอาไปเปิดอ่านที่บ้านพัก ซึ่งเขามักจะเปิดอ่านมันก่อนจะออกไปวิ่งทว่าเมื่อเปิดผนึกขึ้นมาร้อยเอกผู้เข้มแข็งถึงกับต้องลุกออกจากเก้าอี้มาทำใจ'ทำไมครั้งนี้มันถึงมีกลิ่นหอมติดมาด้วย!'อยากอ่านก็อยากอ่านแต่ก็กลัวว่าตัวเองจะเผลอยกมันขึ้นมาดม ถึงในบ้านหลังนี้จะมีเพียงเขาอาศัยแต่เพียงลำพังแต่เขาก็อายฟ้าอายดินเป็น ท้ายที่สุดร่างกำยำก็ตัดสินใจหย่อนตัวลงเก้าอี้หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านอย่างใจเย็นและอดทน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .๙ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณดินผมตอบรับข้อเสนอของคุณครับ ดังนั้นแล้วต่อจากนี้เราคือเพื่อนทางจดหมายกันแล้วใช่ไหมครับแต่ผมไม่ทราบว่าเวลาคนเขาเขียนจดหมายกันแบบนี้แล้วเขาคุยกันเรื่องอะไรกันบ้าง พอดีผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องนี้เท่าไร รบกวนคุณดินลองยกตัวอย่างมาให้ผมสั
1. นิยายเรื่องนี้อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงในช่วงปีพ.ศ.2484(ค.ศ.1941) และภาพยนตร์เรื่อง'ยุวชนทหาร เปิดเทอมไปรบ' ซึ่งอาจมีเนื้อหาคล้ายคลึง แต่อยากให้ทราบเอาไว้ว่า ทุกตัวละคร และบางสถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจ คู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน) และ เคะหนวด4. บางส่วนในนิยายอาจมีเนื้อหาที่เป็นข้อถกเถียงระหว่างสองความคิดในแง่การเมือง/สถาบันศาสนา5. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึงองค์กรทางศาสนา, ความรุนแรง, สภาวะทางจิต, สารเสพติด, การล่วงละเมิดทางเพศในรูปแบบต่าง ๆโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .จำนวนตอน
สงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้นแล้ว หากแต่สยามที่ได้เปลี่ยนนามเป็นไทยนั้นยังคงไว้ซึ่งความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งสิ้นกระนั้นก็เป็นรู้กันปากต่อปากว่าการเลือกเป็นกลางนั้นถือเป็นการเลือกฝักฝ่ายไปแล้วสิ้น ทว่าเรื่องเช่นนั้นไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยของชายแดนและเหล่าประชาชนที่อาจถูกรุกรานจากชาติญี่ปุ่นที่กดดันเข้ามาไม่ต่างจากนาฬิกาปลุกที่เมื่อยามใดเข็มทั้งสองมาบรรจบกันเวลาอันเหมาะ นกน้อยจะออกมาร่ำร้องเป็นทำนอง. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .ตำบลท่าตะเภา อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพรขบวนรถไฟสีดำขลับแล่นผ่านหมู่แมกไม้รายทาง สายลมที่เกิดจากความเร็วของล้อที่เคลื่อนตัวด้วยแรงไอน้ำพัดพากลีบดอกสีขาวไม่ทราบนามสวนทางผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดรับลมธรรมชาติทันทีที่ดอกน้อยร่วงหล่นแตะพื้นที่นั่งข้างชายร่างกำยำในชุดทหารภูมิฐาน มือหยาบกร้านจากการฝึกอาวุธมาตลอดร่วมสิบปีก็จับกลีบบางโปร่งแสงนั้นขึ้นมามองฆ่าเวลาก่อนจะโยนมันทิ้งไปประหนึ่งสิ่งของไร้ค่าชิ้นหนึ่ง
เมื่อมาถึงสิบเอกจอมเจ้าเล่ห์ก็ไม่พลาดโอกาสถลาลงจากเบาะคนขับลงไปสอดส่องภายในงานทันทีทั้งยังชักชวนเขาอีกนะว่า'สาวแจ่ม ๆ ตรึมเลยนะคร้าบ ไม่ลงมาดูหน่อยเหรอครับร้อย เผื่อจะได้หาแม่ใหม่ให้น้องขวัญไง'รุ่นน้องเขานี่ก็ขยันสะกิดปมเขาตลอดเลยสินะแต่ไม่ว่าเปล่าหลังจากเขาเห็นหลังของทหารยศสิบเอกหายไปแล้วเขาจึงลงมาจากรถ เดินเตร็ดเตร่ผ่อนคลายเสียหน่อย บางทีอาจจะได้ข้าวเย็นเก็บใส่ตู้กินไปได้หลายวัน จนเดินมาเห็นเจ้าปลื้มมันสนทนากับหญิงสาวอย่างออกรสออกชาติ นี่เขาชักสงสัยแล้วนะว่าไอ้คนนี้มันไปเอาแรงพูดมาจากไหนเยอะแยะ ไม่ว่าเมื่อไหร่รุ่นน้องเขาก็หาเรื่องอู้ได้ตลอดไม่ว่าจะเป็นเวลางานหรือไม่ ทั้งยังติดนิสัยอ้อล้อแม่ค้ารายทางเป็นว่าเล่นแล้วก็มาเป็นภาระหูของเขาที่ต้องฟังเจ้านี่บ่นว่าทำไมสาวไม่รักบ้างล่ะ ทำไมหาเมียไม่ได้บ้างล่ะ และส่วนใหญ่ที่ตอบกลับไปก็จะเป็นคำว่าสมน้ำหน้าพิภพทอดถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ของวัน การที่เขาได้มาที่นี่มันไม่ได้มาจากสาเหตุที่น่าอภิรมย์อย่างการอาสามาเป็นครูอะไรเทือกนั้น แต่เป็นการกลั่นแกล้งกันในหมู่ทหารเสีย
"พี่ครับ"เสียงของเด็กหนุ่มวัยย่างสิบแปดผมสั้นเกรียนพร่ำเรียกคนอายุมากกว่าที่ยังคงนอนสลบไสลไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ให้ทำอย่างไรเล่าก็เมื่อวานพี่ของเขากว่าจะขึ้นแสดงก็ปาไปหนึ่งทุ่มเศษทั้งหลังจากทักทายปวงประชาเสร็จก็ออกตามหา'ทหาร'ที่เจ้าตัวเห็นว่าเป็นคนเก็บปิ่นแสนแพงนั่นได้ก็กินเวลาไปจนงานเลิกสองทุ่มครึ่งนั่นแหละกว่าจะยอมกลับบ้านมาทั้งที่คว้าน้ำเหลวอยู่อย่างนั้น"พี่ครับ วันนี้พี่ต้องไปประชุมผู้ปกครองให้ผมนะครับ""อือ... แป๊บหนึ่งศร พี่ขอสิบนาที"เจ้าของชื่ออดิศรถอนหายใจเพราะพี่เจ้าพูดคำว่าสิบนาทีมาสองรอบเห็นจะได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีเด็ดขาดเนื่องด้วยเรือนหลังนี้เป็นพื้นที่สำหรับคณะนางรำเช้าตรู่จึงมีศิษย์ร่วมสำนักมาทำความสะอาดและฝึกซ้อมรอเจ้าของคณะตื่นตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันเพื่อตระเตรียมของ ขายาวเดินปรี่ไปที่พี่ผู้ชายตัวเล็กอีกคนหนึ่งที่นุ่งโจงกระเบนจับผ้าขี้ริ้วเช็ดราวบันไดอยู่"พี่นพครับ ผมรบกวนอะไรหน่อยได้ไหมครับ"ศรจับดึงลากคนอายุมากกว่าตนสองปีมายืนดูอาจารย์ของตนที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียง
"อุแหม วันนี้ผมขอบคุณครูแก้วอีกครั้งนะครับ พิธีมีสีสันขึ้นเยอะ"ชายร่างท้วมดูอารีกล่าวยินดีแก่แม่นางรำด้วยความจริงใจ เพราะการจะจองตัวแม่นางรำคนนี้มาแต่ละครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เดือนหนึ่งครูแกรับแค่งานเดียว หรือสองเดือนครั้งเท่านั้น ยากนักที่จะได้ตัวมาร่วมงาน"ผมยินดีครับ แล้วจะยินดีมากเลยหากวันข้างหน้าเด็ก ๆ ในคณะจะได้มารำด้วย"ตรีศูลอมยิ้มพร้อมกล่าวตอบผู้ว่าจ้างประนมมือขอบคุณ ชายสูงอายุหัวเราะร่าพูดคุยโต้ตอบกับนางรำที่ตนว่าจ้างมารำถวายศาลทุกครั้งที่มีโอกาส จนผู้คนที่นั่งโต๊ะจีนอยู่โดยรอบอยากจะเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยไม่ว่าใครก็ต่างรู้ดีว่า'ครูแก้ว'แห่งคณะนางรำประจำชุมพรนี้มีความสามารถมากมายนัก ทั้งใบหน้ายังสะสวยเกินกว่าจะเรียกได้ว่าบุรุษ เพียงแต้มชาด ปัดแก้มเพียงนิดก็งามหยาดเยิ้มจนใครที่เดินผ่านต่างก็ไถ่ถามว่าสตรีนางนี้คือใครตรีศูลในชุดเครื่องทรงกินรีรีบเปิดกล่องแว่นหยิบเลนส์ขึ้นมาสวม บรรจงถอดเล็บปลอมสีทองนำมาวางเก็บไว้ในกล่องน้อยพกพา ก่อนจะค่อย ๆ จับตะเกียบประคองชิ้นเนื้อเข้าปากอย่างสุภาพเป็นภาพที่น่ามองแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ร่วมโต๊ะย