"เลิกแถว!!"
เสียงเข้มดังกู่ก้องมาจากครูฝึกผิวสีน้ำผึ้งใจกลางสนาม ปลดปล่อยเหล่าทหารน้อยให้เป็นอิสระเมื่อเข็มสั้นชี้ตรงไปที่เลขสี่ เหล่านักเรียนชั้นมัธยมปลายในชุดสีเขียวเปื้อนดินพากันจับกลุ่มเดินกลับบ้านด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนจากการฝึกอันเข้มงวดรวมไปถึงอดิศรที่โดนเพื่อนคล้องคอกะจะพากันไปนั่งเล่นใต้ต้นไทรที่อยู่ไม่ห่าง
"นายอดิศร"
เสียงทุ้มคุ้นหูแว่วดังมาจากข้างหลังชวนให้เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีเป็นไก่ต้ม หันไปตอบรับแต่เพียงผู้เดียวเพราะเหล่าผองเพื่อนวิ่งหนีเตลิดไปไกลกันแล้ว
"ครับร้อย" ศรยกมือทำความเคารพ พร้อมส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ครูฝึกสุดโหด
"แผลเป็นยังไงบ้าง"
"ดีขึ้นเยอะแล้วครับ"
"ถ้าไม่ไหวให้มาบอกฉัน เข้าใจไหม ฝากไปบอกเพื่อน ๆ ด้วย"
"ครับ"
แม้เด็กหนุ่มจะตอบรับทราบมาสักพักแต่พิภพก็ยังไม่หยุดจ้องมองมาที่เขา จู่ ๆ คิ้วหนาก็กดลงเหมือนเคร่งเครียดกับอะไรบางอย่าง ทำเอาศรตัวสั่นงั่กเป็นลูกหมาตกน้ำ
"พี่นายเป็นนางรำใช่ไหม?"
"ครับ! ใช่ครับ!"
ศรสะดุ้งตอบเสียงดังฟังชัด
"เป็นนางรำที่ขึ้นแสดงเมื่องานกาชาดใช่ไหม?"
"ครับ! เป็นพี่ชายของผมเองครับ!"
ยิ่งพิภพได้ยินคำว่าพี่ชายเหมือนภายในอยากจะกระอักเลือดว่าแม่โฉมยงรักแรกพบเป็น'พี่ชาย'ของนักเรียนตัวเอง
"วันนั้นฉันเก็บปิ่นปักผมของพี่นายได้ ฝากเอาไปคืนที"
"บ้านผมอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มาก ร้อยไปด้วยกันเลยไหมครับ เดี๋ยวผมพาไป"
ศรคิดว่านิสัยอย่างพี่เขาคงอยากจะกล่าวขอบคุณด้วยตัวเอง จึงคิดว่าพาเจ้าตัวไปด้วยจะเป็นการดีกว่า
"ไม่ได้"
"ครับ?"
"ฉันไปไม่ได้น่ะ ฝากนายเอาไปคืนที แล้วก็ห้ามบอกด้วยนะว่าฉันเป็นคนเก็บได้"
ถ้าได้เจอหน้ากันอีกเขาคงทำหน้าไม่ถูกในหลาย ๆ ความหมาย
"ครับ ได้ครับ"
แม้หนุ่มศรจะสงสัยว่าทำไมห้ามบอก แต่ก็ไม่อยากซักไซ้อะไรมากประเดี๋ยวจะโดนดุ
"อือ กลับบ้านดี ๆ ล่ะ"
"ครับ!"
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทำความเคารพแล้วจึงวิ่งออกไปยังกลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่ โดยมีสายตาของร้อยเอกจ้องมองจากด้านหลังพร้อมขบคิดอะไรบางอย่างไปด้วย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
"กลับมาแล้วครับ"
ศรเปิดรั้วเข้ามาเอ่ยบอกคนในบ้าน เมื่อเห็นว่าพี่นพกำลังกวาดเศษใบไม้หน้าบันไดเรือนอยู่จึงเดินเข้าไปถามไถ่ก่อน
"พี่นพครับ วันนี้พี่มีงานไหมครับ?"
"วันนี้ไม่มี"
ทั้งสองเดินขึ้นบันไดไปพลางสนทนาไปพลาง ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ นพก็ไปนำน้อง ๆ ในค่ายสี่ห้าคนซ้อมรำสำหรับพิธีครอบครู ส่วนศรก็ตรงเข้าห้องเก็บข้าวของก่อนจะเดินไปหาพี่ชาย
*ก๊อก ๆ * เมื่อได้ยินว่าคนในห้องอนุญาตจึงเปิดประตูเข้าไป เห็นพี่เจ้ากำลังเปิดตู้เสื้อผ้าขนเอาผ้าถุงสไบเครื่องประดับหลากสีออกมากองรวมกัน
"ศร มาหาพี่มีอะไร"
ตรีศูลผินหน้ามาสนทนาขณะกำลังถือพับผ้าทออยู่
"คนที่เก็บปิ่นพี่ได้เขาฝากให้ผมเอามาคืนน่ะครับ"
"ใครเก็บได้เหรอ ใช่คนที่ใส่ชุดทหารรึเปล่า"
เนื่องจากวันนั้นเขาไม่ได้สวมแว่นจึงมองไม่ชัดว่าคนที่เก็บได้เป็นใคร รู้สึกได้แต่เพียงว่าอีกฝ่ายสวมชุดสีเขียวแก่เหมือนทหาร ทั้งยังตัวหนาสูงใหญ่มากก็แค่นั้น
"เขาบอกว่าไม่อยากเปิดเผยตัวน่ะครับ"
"งั้นเหรอ..."
ตรีศูลรับปิ่นปักผมดอกไม้แห้งมาดูพลางกลั้วหัวเราะในลำคอ 'ไม่อยากเปิดเผยตัวงั้นเหรอ' เขากะจะหาอะไรไปขอบคุณเสียหน่อย ว่าแต่ปิ่นไม่มีรอยขีดข่วนสักนิด ดอกไม้ถึงจะแห้งกรอบหมดแล้วแต่ก็ไม่มีดอกไหนหลุดจากด้ายเลย
ดูแลรักษาดีเหมือนกันนะเนี่ย
"อ้าว อาจารย์หาปิ่นเจอแล้วเหรอ?"
เจ้านพเข้ามาหลังจากซักซ้อมเด็ก ๆ เสร็จ กะจะมาช่วยเตรียมเรื่องชุดการแสดงถัดไปประหนึ่งเป็นผู้จัดการประจำตัวครูแก้ว
"มีคนเก็บได้น่ะ"
ตรีศูลเนื่องจากไม่มีที่จะวางจึงดึงพวงดอกไม้ออกทิ้งลงถัง รวบผมขึ้นปักปิ่นลงไป
"ศร เขาฝากเรามาเหรอ ใครอะ" นพใคร่รู้
"ผมบอกไม่ได้ครับพี่นพ"
"เห ศรเดี๋ยวนี้หัดมีลับลมคมในกับพี่เหรอเราน่ะ"
นพทำเป็นลูบเคราที่ไม่มีอยู่จริง ยื่นหน้าไปหยอกล้อกับเจ้าเด็กที่พึ่งหัดโกหก
"ปะ...เปล่านะครับ แต่ถ้าผมบอก ผมตายแน่เลยครับ!"
"ใช่ทหารที่มายืนดูวันนั้นรึเปล่า เห็นจ้องอาจารย์ตาเป็นมันเลย"
"ครูมองไม่ออกหรอกว่าใครมาดูบ้าง"
บนเวทีเขาเห็นเป็นภาพรางๆ ของชายใส่ชุดที่เขียวที่ยืนถือปิ่นของเขาอยู่ก็เท่านั้น ส่วนเรื่องหน้าตาเขาบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวมีลักษณะอย่างไร
"เนี่ย ผมบอกให้พกแว่นติดไปด้วย" ศิษย์เอกหน้างอทำหน้าทำตาไม่พึงใจเท่าไร
"ไปรำแป๊บ ๆ ก็กลับแล้ว พูดมากนักมาช่วยครูจัดชุดเลย"
ตรีศูลนั่งจับคู่ผ้าไปก็คิดไป ว่าจะหาอะไรไปเป็นของขอบคุณดี ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเก็บได้
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ตกดึกคืนนั้นตรีศูลออกมาซ้อมรำตามปกติ แต่ช่วงหนึ่งสัปดาห์มานี้ไม่รู้เขาเหนื่อยล้าสะสมหรือคิดไปเองกันแน่ เพราะเวลาสองสามทุ่มไม่ขาดไม่เกินนี้บริเวณหน้าเรือนเขามักจะมีคนมายืนอยู่ บางครั้งก็ขยับหยุกหยิกไปมาแม้เขาจะมีแว่นแต่ก็มองไม่ออกนั่นเป็นใครนอกเสียจากเงาตะคุ่ม ๆ คราวจะลงไปดูก็กลัวจะเป็นโจรขโมย หรือเขาควรจะไปแจ้งสถานีตำรวจเอาไว้ก่อนดี
ตรีศูลหลังยืดเส้นคล้ายกล้ามเนื้อเสร็จก็มายืนค้ำระเบียงลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาคงแก่แล้วจริง ๆ ซ้อมสองสามรอบก็เมื่อยไปทั้งตัว
พลันคนงามกระชับแว่นขึ้นมองไปยังหน้าเรือน วันนี้ไม่ยักจะเห็น แต่ก็ดีแล้ว เขาชินมาสักพักแล้วเพราะขนาดบ้านเขาอยู่ท้ายชุมชนตอนกลางวันมันก็ยังมีเด็กโค่งแอบโดดเรียนมาดูเด็ก ๆ ซ้อมรำกัน หากเจ้านพไม่ค่อยทำหน้าที่ยามรักษาการณ์คอยไล่ เด็ก ๆ คงไม่มีสมาธิซ้อม แค่นี้เขาก็ไว้วางใจสืบทอดหน้าที่เจ้าของคณะต่อไปแล้วกระมัง
ตรีศูลมองไปยังสวนข้างเรือนพลางอมยิ้มขึ้นด้วยความสบายใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนกิ่งไม้หักดังมาจากหน้าบ้าน จนคุณครูต้องผินหน้าไปมองยังถนน ก่อนจะเห็นเงาดำ ๆ วิ่งผ่านหน้าบ้านไปแวบ ๆ
นี่มันจะไม่เป็นอันตรายอะไรใช่ไหม เขาได้แต่คิดก่อนในใจแล้วจึงจัดแจงเตรียมเข้าห้องน้ำชำระร่างกาย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
พิภพในช่วงนี้ออกมาวิ่งในตอนกลางคืนจนกลายเป็นกิจวัตร จากกิจกรรมที่คิดว่าจะทำเวลาคิดฟุ้งซ่าน กลายเป็นว่าเขาฟุ้งซ่านทุกวันจนต้องออกมาใช้แรงยามกลางคืนถึงจะนอนหลับได้เสียอย่างนั้น
แล้วไม่รู้ทำไมทั้ง ๆ ที่อยากจะหลบเลี่ยงไม่วิ่งไปทางเรือนหลังนั้น ทว่าสุดท้ายทุกปลายทางล้วนไปบรรจบที่ท้ายหมู่บ้านเสียทุกที
แม้จะพยายามควบคุมร่างกายให้รีบวิ่งวกกลับที่พักแต่เมื่อได้ยินเสียงนับจังหวะอันแผ่วเบาจากริมระเบียงนั้น ขาเขากลับหยุดนิ่งไม่ยอมทำตามที่สมองสั่งสักครั้ง แล้วเมื่อคนบนเรือนมายืนตากลมริมระเบียง ยามเมื่อสายลมพัดผ่านปัดเส้นผมยามที่ปรกหน้าเปื้อนยิ้มนั้น มันยิ่งทำเขาที่มีอาชีพเป็นถึงทหารซึ่งควรจะเข้มแข็งถึงกับใจเหลวเป็นน้ำเผลอเอาเท้าไปเหยียบกิ่งไม้เข้าส่งผลให้เจ้าของเรือนชะงักแล้วหันมามองทันที จึงทำให้เขาต้องวิ่งผละออกมาจากตรงนั้นโดยพลัน เมื่อหันกลับไปมองอีกทีคนงามบนระเบียงก็เดินเข้าบ้านไปเสียแล้ว
'พิภพ ถ้าเอ็งไม่อยากติดคุกติดตะรางข้อหาทำตัวโรคจิต เอ็งควรหยุดการกระทำแบบนี้ซะ' เขาได้แต่บอกตัวเอง ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าพรุ่งนี้เขาจะวิ่งมายังจุด ๆ เดิมอยู่ดี
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
"ร้อย มียุวชนทหารฝากจดหมายมาให้น่ะ บอกว่าพี่ชายฝากมา"
รุ่นน้องที่เดินตามขึ้นอาคารมาทีหลังจากฝึกเตรียมทหารเสร็จยื่นซองกระดาษที่พับอย่างเรียบร้อยมาให้ พิภพรับมันมามอง
"ใช่นายอดิศรรึเปล่า"
รุ่นน้องพยักหน้าพร้อมมอบยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะเดินไปนั่งที่สะสางงานในส่วนของตัวเอง ชวนให้ร้อยรู้สึกหมั่นหน้านายสิบคนนี้เหลือจะทน
เขาพรูลมหายใจออก เอื้อมหยิบมีดมากรีดเปิดซองจดหมายด้วยความประณีต หยิบกระดาษด้านในออกมาอ่าน เพียงแค่เห็นลายมือก็รู้เลยว่าคนเขียนต้องเป็นโฉมงามผู้นั้น ลายเส้นตวัดชดช้อยทว่ากลับอ่านง่ายจนน่าแปลกใจ
' เรือนนางรำ ๗ มิถุนายน ๒๔๘๔ ถึงคุณคนดีที่เก็บปิ่น-
*พรึ่บ!* เมื่ออ่านได้ไม่ถึงครึ่งประโยค สมองมันดันจินตนาการภาพเจ้าของจดหมายอย่างเป็นไปเอง ยามที่ใช้ปลายนิ้วจับปอยผมทัดหู ยามจรดปลายปากกาลงบนกระดาษ ยามคิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อสับสนไม่รู้จะเรียบเรียงคำอย่างไรดี จนผู้รับจดหมายอย่างพิภพใบหูร้อนผ่าวจนต้องรีบพับกระดาษใส่คืนซองทันที จะให้เจ้ารุ่นน้องมาเห็นสภาพแบบนี้ของเขาไม่ได้อย่างเด็ดขาดไม่งั้นได้โดนล้อไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแน่ ๆ
เย็นวันนั้นพิภพแทบจะไม่เป็นงาน ทำหัวดินสอหักแล้วหักอีก ดังนั้นจากหน้ากระดาษที่ควรจะมีร่างเอกสารของบประมาณกลับมีแต่เศษหัวดินสอและผงสีดำกระจายตัวอยู่เป็นกระหย่อม ๆ
เรือนนางรำ๗ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณคนดีที่เก็บปิ่นปักผมมาคืนสวัสดีครับ ผมเป็นนางรำเจ้าของปิ่นที่คุณเก็บได้ ก่อนอื่นเลยคงต้องกล่าวขอบคุณเป็นอย่างสูงที่อุตส่าห์ฝากน้องชายผมมาคืนครับ ผมจึงอยากจะมอบของตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คุณ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกมาเจอกันไหมครับขอให้เป็นวันที่ดีนะครับจาก ตรีศูล (แก้ว) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .ร้อยเอกพิภพคิดดีแล้วที่ตัดสินใจอดทนรอไม่เปิดจดหมายอ่านต่อหน้าสาธารณชนไม่อย่างนั้นชาวบ้านชาวช่องคงต้องเห็นเขาทรุดลงกลางถนนเป็นอันแน่แท้พิภพได้อ่านจดหมายฉบับนี้หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จโดยที่ยังไม่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ดีดังนั้นบนตัวจึงยังมีแค่ผ้าขาวม้าผืนเดียวเปิดแผ่นอกและลอนหน้าท้องส่วนบนที่ยังคงชุ่มน้ำอยู่ ทว่าดูเหมือนไอร้อนที่แผ่ออกมาบนหน้าเขามันจะมากเกินสงสัยคงจะต้องไปตักน้ำสักขันมาราดให้หัวเย็นลงเสียหน่อยแล้วด้วยความเค
ตกเย็นหลังการเรียนการสอนเมื่อพิภพได้รับจดหมายมาจากยุวชนทหารในการดูแลอย่างอดิศร ร้อยเอกจึงเก็บมันเข้ากระเป๋าสะพายประจำกายเตรียมจะเอาไปเปิดอ่านที่บ้านพัก ซึ่งเขามักจะเปิดอ่านมันก่อนจะออกไปวิ่งทว่าเมื่อเปิดผนึกขึ้นมาร้อยเอกผู้เข้มแข็งถึงกับต้องลุกออกจากเก้าอี้มาทำใจ'ทำไมครั้งนี้มันถึงมีกลิ่นหอมติดมาด้วย!'อยากอ่านก็อยากอ่านแต่ก็กลัวว่าตัวเองจะเผลอยกมันขึ้นมาดม ถึงในบ้านหลังนี้จะมีเพียงเขาอาศัยแต่เพียงลำพังแต่เขาก็อายฟ้าอายดินเป็น ท้ายที่สุดร่างกำยำก็ตัดสินใจหย่อนตัวลงเก้าอี้หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านอย่างใจเย็นและอดทน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .๙ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณดินผมตอบรับข้อเสนอของคุณครับ ดังนั้นแล้วต่อจากนี้เราคือเพื่อนทางจดหมายกันแล้วใช่ไหมครับแต่ผมไม่ทราบว่าเวลาคนเขาเขียนจดหมายกันแบบนี้แล้วเขาคุยกันเรื่องอะไรกันบ้าง พอดีผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องนี้เท่าไร รบกวนคุณดินลองยกตัวอย่างมาให้ผมสั
1. นิยายเรื่องนี้อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงในช่วงปีพ.ศ.2484(ค.ศ.1941) และภาพยนตร์เรื่อง'ยุวชนทหาร เปิดเทอมไปรบ' ซึ่งอาจมีเนื้อหาคล้ายคลึง แต่อยากให้ทราบเอาไว้ว่า ทุกตัวละคร และบางสถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจ คู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน) และ เคะหนวด4. บางส่วนในนิยายอาจมีเนื้อหาที่เป็นข้อถกเถียงระหว่างสองความคิดในแง่การเมือง/สถาบันศาสนา5. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึงองค์กรทางศาสนา, ความรุนแรง, สภาวะทางจิต, สารเสพติด, การล่วงละเมิดทางเพศในรูปแบบต่าง ๆโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .จำนวนตอน
สงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้นแล้ว หากแต่สยามที่ได้เปลี่ยนนามเป็นไทยนั้นยังคงไว้ซึ่งความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งสิ้นกระนั้นก็เป็นรู้กันปากต่อปากว่าการเลือกเป็นกลางนั้นถือเป็นการเลือกฝักฝ่ายไปแล้วสิ้น ทว่าเรื่องเช่นนั้นไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยของชายแดนและเหล่าประชาชนที่อาจถูกรุกรานจากชาติญี่ปุ่นที่กดดันเข้ามาไม่ต่างจากนาฬิกาปลุกที่เมื่อยามใดเข็มทั้งสองมาบรรจบกันเวลาอันเหมาะ นกน้อยจะออกมาร่ำร้องเป็นทำนอง. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .ตำบลท่าตะเภา อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพรขบวนรถไฟสีดำขลับแล่นผ่านหมู่แมกไม้รายทาง สายลมที่เกิดจากความเร็วของล้อที่เคลื่อนตัวด้วยแรงไอน้ำพัดพากลีบดอกสีขาวไม่ทราบนามสวนทางผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดรับลมธรรมชาติทันทีที่ดอกน้อยร่วงหล่นแตะพื้นที่นั่งข้างชายร่างกำยำในชุดทหารภูมิฐาน มือหยาบกร้านจากการฝึกอาวุธมาตลอดร่วมสิบปีก็จับกลีบบางโปร่งแสงนั้นขึ้นมามองฆ่าเวลาก่อนจะโยนมันทิ้งไปประหนึ่งสิ่งของไร้ค่าชิ้นหนึ่ง
เมื่อมาถึงสิบเอกจอมเจ้าเล่ห์ก็ไม่พลาดโอกาสถลาลงจากเบาะคนขับลงไปสอดส่องภายในงานทันทีทั้งยังชักชวนเขาอีกนะว่า'สาวแจ่ม ๆ ตรึมเลยนะคร้าบ ไม่ลงมาดูหน่อยเหรอครับร้อย เผื่อจะได้หาแม่ใหม่ให้น้องขวัญไง'รุ่นน้องเขานี่ก็ขยันสะกิดปมเขาตลอดเลยสินะแต่ไม่ว่าเปล่าหลังจากเขาเห็นหลังของทหารยศสิบเอกหายไปแล้วเขาจึงลงมาจากรถ เดินเตร็ดเตร่ผ่อนคลายเสียหน่อย บางทีอาจจะได้ข้าวเย็นเก็บใส่ตู้กินไปได้หลายวัน จนเดินมาเห็นเจ้าปลื้มมันสนทนากับหญิงสาวอย่างออกรสออกชาติ นี่เขาชักสงสัยแล้วนะว่าไอ้คนนี้มันไปเอาแรงพูดมาจากไหนเยอะแยะ ไม่ว่าเมื่อไหร่รุ่นน้องเขาก็หาเรื่องอู้ได้ตลอดไม่ว่าจะเป็นเวลางานหรือไม่ ทั้งยังติดนิสัยอ้อล้อแม่ค้ารายทางเป็นว่าเล่นแล้วก็มาเป็นภาระหูของเขาที่ต้องฟังเจ้านี่บ่นว่าทำไมสาวไม่รักบ้างล่ะ ทำไมหาเมียไม่ได้บ้างล่ะ และส่วนใหญ่ที่ตอบกลับไปก็จะเป็นคำว่าสมน้ำหน้าพิภพทอดถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ของวัน การที่เขาได้มาที่นี่มันไม่ได้มาจากสาเหตุที่น่าอภิรมย์อย่างการอาสามาเป็นครูอะไรเทือกนั้น แต่เป็นการกลั่นแกล้งกันในหมู่ทหารเสีย
"พี่ครับ"เสียงของเด็กหนุ่มวัยย่างสิบแปดผมสั้นเกรียนพร่ำเรียกคนอายุมากกว่าที่ยังคงนอนสลบไสลไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ให้ทำอย่างไรเล่าก็เมื่อวานพี่ของเขากว่าจะขึ้นแสดงก็ปาไปหนึ่งทุ่มเศษทั้งหลังจากทักทายปวงประชาเสร็จก็ออกตามหา'ทหาร'ที่เจ้าตัวเห็นว่าเป็นคนเก็บปิ่นแสนแพงนั่นได้ก็กินเวลาไปจนงานเลิกสองทุ่มครึ่งนั่นแหละกว่าจะยอมกลับบ้านมาทั้งที่คว้าน้ำเหลวอยู่อย่างนั้น"พี่ครับ วันนี้พี่ต้องไปประชุมผู้ปกครองให้ผมนะครับ""อือ... แป๊บหนึ่งศร พี่ขอสิบนาที"เจ้าของชื่ออดิศรถอนหายใจเพราะพี่เจ้าพูดคำว่าสิบนาทีมาสองรอบเห็นจะได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีเด็ดขาดเนื่องด้วยเรือนหลังนี้เป็นพื้นที่สำหรับคณะนางรำเช้าตรู่จึงมีศิษย์ร่วมสำนักมาทำความสะอาดและฝึกซ้อมรอเจ้าของคณะตื่นตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันเพื่อตระเตรียมของ ขายาวเดินปรี่ไปที่พี่ผู้ชายตัวเล็กอีกคนหนึ่งที่นุ่งโจงกระเบนจับผ้าขี้ริ้วเช็ดราวบันไดอยู่"พี่นพครับ ผมรบกวนอะไรหน่อยได้ไหมครับ"ศรจับดึงลากคนอายุมากกว่าตนสองปีมายืนดูอาจารย์ของตนที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียง
"อุแหม วันนี้ผมขอบคุณครูแก้วอีกครั้งนะครับ พิธีมีสีสันขึ้นเยอะ"ชายร่างท้วมดูอารีกล่าวยินดีแก่แม่นางรำด้วยความจริงใจ เพราะการจะจองตัวแม่นางรำคนนี้มาแต่ละครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เดือนหนึ่งครูแกรับแค่งานเดียว หรือสองเดือนครั้งเท่านั้น ยากนักที่จะได้ตัวมาร่วมงาน"ผมยินดีครับ แล้วจะยินดีมากเลยหากวันข้างหน้าเด็ก ๆ ในคณะจะได้มารำด้วย"ตรีศูลอมยิ้มพร้อมกล่าวตอบผู้ว่าจ้างประนมมือขอบคุณ ชายสูงอายุหัวเราะร่าพูดคุยโต้ตอบกับนางรำที่ตนว่าจ้างมารำถวายศาลทุกครั้งที่มีโอกาส จนผู้คนที่นั่งโต๊ะจีนอยู่โดยรอบอยากจะเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยไม่ว่าใครก็ต่างรู้ดีว่า'ครูแก้ว'แห่งคณะนางรำประจำชุมพรนี้มีความสามารถมากมายนัก ทั้งใบหน้ายังสะสวยเกินกว่าจะเรียกได้ว่าบุรุษ เพียงแต้มชาด ปัดแก้มเพียงนิดก็งามหยาดเยิ้มจนใครที่เดินผ่านต่างก็ไถ่ถามว่าสตรีนางนี้คือใครตรีศูลในชุดเครื่องทรงกินรีรีบเปิดกล่องแว่นหยิบเลนส์ขึ้นมาสวม บรรจงถอดเล็บปลอมสีทองนำมาวางเก็บไว้ในกล่องน้อยพกพา ก่อนจะค่อย ๆ จับตะเกียบประคองชิ้นเนื้อเข้าปากอย่างสุภาพเป็นภาพที่น่ามองแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ร่วมโต๊ะย
นายสิบปลื้มปีติรู้สึกว่าตัวเองทำงานคุ้มเงินเดือนก็วันนี้แล เพียงแค่นั่งอยู่เฉย ๆ โดยมีสายตาอาฆาตของผู้ปกครองจ้องมองมาก็รู้สึกพลังชีวิตจากหนึ่งร้อยลงมาติดลบจนอยากออกไปแรดฟื้นฟูสัพพะกำลังแล้วความสามารถพูดคล่องน้ำไหลไฟดับของพ่อหนุ่มทะเล้นได้หมดลงไปเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ก็ได้แต่หวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้ร้อยตื่นขึ้นมาจากภวังค์แล้วเดินมานั่งรับกรรมเป็นเพื่อนรุ่นน้องคนนี้สักทีเถอะครับ!ตรีศูลนั่งจิบน้ำไปกัดฟันกรอด ๆ ไป ใครมันบางอาจมาทำร้ายน้องชายเพียงคนเดียวของเขาหากเป็นนักเรียนเขาจะตามไปชำระถึงหน้าประตูบ้าน หรือหากเป็นเจ้าทหารสองคนนี้ก็อย่าหวังเลยว่าพรุ่งนี้จะได้มีชีวิตอยู่อย่างครบสามสิบสอง"ขออภัยที่ชักช้านะครับ"นางรำหนุ่มวางแก้วน้ำลงบนตัก ตวัดหางตามองนายทหารร่างกำยำที่กำลังเดินหอบเอกสารรายชื่อบางอย่างมาวางไว้บนโต๊ะรับแขก"ไม่ทราบว่า คุณเป็นผู้ปกครองของยุวชนทหารคนไหนเหรอครับ?""นายอดิศร วิศิษฐ์สกุล ม.๕ ครับ"แม้จะพูดสุภาพแต่คนงามก็คล้ายจะกัดฟันพูด ทำเอาพ่อปลื้มอกสั่นขวัญแขวนไม่เคยเจอคนงามสายโหดมาก่อน เขานั่งเกร็งสั่นสู้ประหนึ่งเ