Share

บทที่ ๓ แม่รักแรกพบของร้อย (๑๐๐%)

"เลิกแถว!!"

เสียงเข้มดังกู่ก้องมาจากครูฝึกผิวสีน้ำผึ้งใจกลางสนาม ปลดปล่อยเหล่าทหารน้อยให้เป็นอิสระเมื่อเข็มสั้นชี้ตรงไปที่เลขสี่ เหล่านักเรียนชั้นมัธยมปลายในชุดสีเขียวเปื้อนดินพากันจับกลุ่มเดินกลับบ้านด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนจากการฝึกอันเข้มงวดรวมไปถึงอดิศรที่โดนเพื่อนคล้องคอกะจะพากันไปนั่งเล่นใต้ต้นไทรที่อยู่ไม่ห่าง

"นายอดิศร"

เสียงทุ้มคุ้นหูแว่วดังมาจากข้างหลังชวนให้เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีเป็นไก่ต้ม หันไปตอบรับแต่เพียงผู้เดียวเพราะเหล่าผองเพื่อนวิ่งหนีเตลิดไปไกลกันแล้ว

"ครับร้อย" ศรยกมือทำความเคารพ พร้อมส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ครูฝึกสุดโหด

"แผลเป็นยังไงบ้าง"

"ดีขึ้นเยอะแล้วครับ"

"ถ้าไม่ไหวให้มาบอกฉัน เข้าใจไหม ฝากไปบอกเพื่อน ๆ ด้วย"

"ครับ"

แม้เด็กหนุ่มจะตอบรับทราบมาสักพักแต่พิภพก็ยังไม่หยุดจ้องมองมาที่เขา จู่ ๆ คิ้วหนาก็กดลงเหมือนเคร่งเครียดกับอะไรบางอย่าง ทำเอาศรตัวสั่นงั่กเป็นลูกหมาตกน้ำ

"พี่นายเป็นนางรำใช่ไหม?"

"ครับ! ใช่ครับ!"

ศรสะดุ้งตอบเสียงดังฟังชัด

"เป็นนางรำที่ขึ้นแสดงเมื่องานกาชาดใช่ไหม?"

"ครับ! เป็นพี่ชายของผมเองครับ!"

ยิ่งพิภพได้ยินคำว่าพี่ชายเหมือนภายในอยากจะกระอักเลือดว่าแม่โฉมยงรักแรกพบเป็น'พี่ชาย'ของนักเรียนตัวเอง

"วันนั้นฉันเก็บปิ่นปักผมของพี่นายได้ ฝากเอาไปคืนที"

"บ้านผมอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มาก ร้อยไปด้วยกันเลยไหมครับ เดี๋ยวผมพาไป"

ศรคิดว่านิสัยอย่างพี่เขาคงอยากจะกล่าวขอบคุณด้วยตัวเอง จึงคิดว่าพาเจ้าตัวไปด้วยจะเป็นการดีกว่า

"ไม่ได้"

"ครับ?"

"ฉันไปไม่ได้น่ะ ฝากนายเอาไปคืนที แล้วก็ห้ามบอกด้วยนะว่าฉันเป็นคนเก็บได้"

ถ้าได้เจอหน้ากันอีกเขาคงทำหน้าไม่ถูกในหลาย ๆ ความหมาย

"ครับ ได้ครับ"

แม้หนุ่มศรจะสงสัยว่าทำไมห้ามบอก แต่ก็ไม่อยากซักไซ้อะไรมากประเดี๋ยวจะโดนดุ

"อือ กลับบ้านดี ๆ ล่ะ"

"ครับ!"

เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทำความเคารพแล้วจึงวิ่งออกไปยังกลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่ โดยมีสายตาของร้อยเอกจ้องมองจากด้านหลังพร้อมขบคิดอะไรบางอย่างไปด้วย

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

"กลับมาแล้วครับ"

ศรเปิดรั้วเข้ามาเอ่ยบอกคนในบ้าน เมื่อเห็นว่าพี่นพกำลังกวาดเศษใบไม้หน้าบันไดเรือนอยู่จึงเดินเข้าไปถามไถ่ก่อน

"พี่นพครับ วันนี้พี่มีงานไหมครับ?"

"วันนี้ไม่มี"

ทั้งสองเดินขึ้นบันไดไปพลางสนทนาไปพลาง ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ นพก็ไปนำน้อง ๆ ในค่ายสี่ห้าคนซ้อมรำสำหรับพิธีครอบครู ส่วนศรก็ตรงเข้าห้องเก็บข้าวของก่อนจะเดินไปหาพี่ชาย

*ก๊อก ๆ * เมื่อได้ยินว่าคนในห้องอนุญาตจึงเปิดประตูเข้าไป เห็นพี่เจ้ากำลังเปิดตู้เสื้อผ้าขนเอาผ้าถุงสไบเครื่องประดับหลากสีออกมากองรวมกัน

"ศร มาหาพี่มีอะไร"

ตรีศูลผินหน้ามาสนทนาขณะกำลังถือพับผ้าทออยู่

"คนที่เก็บปิ่นพี่ได้เขาฝากให้ผมเอามาคืนน่ะครับ"

"ใครเก็บได้เหรอ ใช่คนที่ใส่ชุดทหารรึเปล่า"

เนื่องจากวันนั้นเขาไม่ได้สวมแว่นจึงมองไม่ชัดว่าคนที่เก็บได้เป็นใคร รู้สึกได้แต่เพียงว่าอีกฝ่ายสวมชุดสีเขียวแก่เหมือนทหาร ทั้งยังตัวหนาสูงใหญ่มากก็แค่นั้น

"เขาบอกว่าไม่อยากเปิดเผยตัวน่ะครับ"

"งั้นเหรอ..."

ตรีศูลรับปิ่นปักผมดอกไม้แห้งมาดูพลางกลั้วหัวเราะในลำคอ 'ไม่อยากเปิดเผยตัวงั้นเหรอ' เขากะจะหาอะไรไปขอบคุณเสียหน่อย ว่าแต่ปิ่นไม่มีรอยขีดข่วนสักนิด ดอกไม้ถึงจะแห้งกรอบหมดแล้วแต่ก็ไม่มีดอกไหนหลุดจากด้ายเลย

ดูแลรักษาดีเหมือนกันนะเนี่ย

"อ้าว อาจารย์หาปิ่นเจอแล้วเหรอ?"

เจ้านพเข้ามาหลังจากซักซ้อมเด็ก ๆ เสร็จ กะจะมาช่วยเตรียมเรื่องชุดการแสดงถัดไปประหนึ่งเป็นผู้จัดการประจำตัวครูแก้ว

"มีคนเก็บได้น่ะ"

ตรีศูลเนื่องจากไม่มีที่จะวางจึงดึงพวงดอกไม้ออกทิ้งลงถัง รวบผมขึ้นปักปิ่นลงไป

"ศร เขาฝากเรามาเหรอ ใครอะ" นพใคร่รู้

"ผมบอกไม่ได้ครับพี่นพ"

"เห ศรเดี๋ยวนี้หัดมีลับลมคมในกับพี่เหรอเราน่ะ"

นพทำเป็นลูบเคราที่ไม่มีอยู่จริง ยื่นหน้าไปหยอกล้อกับเจ้าเด็กที่พึ่งหัดโกหก

"ปะ...เปล่านะครับ แต่ถ้าผมบอก ผมตายแน่เลยครับ!"

"ใช่ทหารที่มายืนดูวันนั้นรึเปล่า เห็นจ้องอาจารย์ตาเป็นมันเลย"

"ครูมองไม่ออกหรอกว่าใครมาดูบ้าง"

บนเวทีเขาเห็นเป็นภาพรางๆ ของชายใส่ชุดที่เขียวที่ยืนถือปิ่นของเขาอยู่ก็เท่านั้น ส่วนเรื่องหน้าตาเขาบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวมีลักษณะอย่างไร

"เนี่ย ผมบอกให้พกแว่นติดไปด้วย" ศิษย์เอกหน้างอทำหน้าทำตาไม่พึงใจเท่าไร

"ไปรำแป๊บ ๆ ก็กลับแล้ว พูดมากนักมาช่วยครูจัดชุดเลย"

ตรีศูลนั่งจับคู่ผ้าไปก็คิดไป ว่าจะหาอะไรไปเป็นของขอบคุณดี ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเก็บได้

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

ตกดึกคืนนั้นตรีศูลออกมาซ้อมรำตามปกติ แต่ช่วงหนึ่งสัปดาห์มานี้ไม่รู้เขาเหนื่อยล้าสะสมหรือคิดไปเองกันแน่ เพราะเวลาสองสามทุ่มไม่ขาดไม่เกินนี้บริเวณหน้าเรือนเขามักจะมีคนมายืนอยู่ บางครั้งก็ขยับหยุกหยิกไปมาแม้เขาจะมีแว่นแต่ก็มองไม่ออกนั่นเป็นใครนอกเสียจากเงาตะคุ่ม ๆ คราวจะลงไปดูก็กลัวจะเป็นโจรขโมย หรือเขาควรจะไปแจ้งสถานีตำรวจเอาไว้ก่อนดี

ตรีศูลหลังยืดเส้นคล้ายกล้ามเนื้อเสร็จก็มายืนค้ำระเบียงลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาคงแก่แล้วจริง ๆ ซ้อมสองสามรอบก็เมื่อยไปทั้งตัว

พลันคนงามกระชับแว่นขึ้นมองไปยังหน้าเรือน วันนี้ไม่ยักจะเห็น แต่ก็ดีแล้ว เขาชินมาสักพักแล้วเพราะขนาดบ้านเขาอยู่ท้ายชุมชนตอนกลางวันมันก็ยังมีเด็กโค่งแอบโดดเรียนมาดูเด็ก ๆ ซ้อมรำกัน หากเจ้านพไม่ค่อยทำหน้าที่ยามรักษาการณ์คอยไล่ เด็ก ๆ คงไม่มีสมาธิซ้อม แค่นี้เขาก็ไว้วางใจสืบทอดหน้าที่เจ้าของคณะต่อไปแล้วกระมัง

ตรีศูลมองไปยังสวนข้างเรือนพลางอมยิ้มขึ้นด้วยความสบายใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนกิ่งไม้หักดังมาจากหน้าบ้าน จนคุณครูต้องผินหน้าไปมองยังถนน ก่อนจะเห็นเงาดำ ๆ วิ่งผ่านหน้าบ้านไปแวบ ๆ

นี่มันจะไม่เป็นอันตรายอะไรใช่ไหม เขาได้แต่คิดก่อนในใจแล้วจึงจัดแจงเตรียมเข้าห้องน้ำชำระร่างกาย

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

พิภพในช่วงนี้ออกมาวิ่งในตอนกลางคืนจนกลายเป็นกิจวัตร จากกิจกรรมที่คิดว่าจะทำเวลาคิดฟุ้งซ่าน กลายเป็นว่าเขาฟุ้งซ่านทุกวันจนต้องออกมาใช้แรงยามกลางคืนถึงจะนอนหลับได้เสียอย่างนั้น

แล้วไม่รู้ทำไมทั้ง ๆ ที่อยากจะหลบเลี่ยงไม่วิ่งไปทางเรือนหลังนั้น ทว่าสุดท้ายทุกปลายทางล้วนไปบรรจบที่ท้ายหมู่บ้านเสียทุกที

แม้จะพยายามควบคุมร่างกายให้รีบวิ่งวกกลับที่พักแต่เมื่อได้ยินเสียงนับจังหวะอันแผ่วเบาจากริมระเบียงนั้น ขาเขากลับหยุดนิ่งไม่ยอมทำตามที่สมองสั่งสักครั้ง แล้วเมื่อคนบนเรือนมายืนตากลมริมระเบียง ยามเมื่อสายลมพัดผ่านปัดเส้นผมยามที่ปรกหน้าเปื้อนยิ้มนั้น มันยิ่งทำเขาที่มีอาชีพเป็นถึงทหารซึ่งควรจะเข้มแข็งถึงกับใจเหลวเป็นน้ำเผลอเอาเท้าไปเหยียบกิ่งไม้เข้าส่งผลให้เจ้าของเรือนชะงักแล้วหันมามองทันที จึงทำให้เขาต้องวิ่งผละออกมาจากตรงนั้นโดยพลัน เมื่อหันกลับไปมองอีกทีคนงามบนระเบียงก็เดินเข้าบ้านไปเสียแล้ว

'พิภพ ถ้าเอ็งไม่อยากติดคุกติดตะรางข้อหาทำตัวโรคจิต เอ็งควรหยุดการกระทำแบบนี้ซะ' เขาได้แต่บอกตัวเอง ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าพรุ่งนี้เขาจะวิ่งมายังจุด ๆ เดิมอยู่ดี

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

"ร้อย มียุวชนทหารฝากจดหมายมาให้น่ะ บอกว่าพี่ชายฝากมา"

รุ่นน้องที่เดินตามขึ้นอาคารมาทีหลังจากฝึกเตรียมทหารเสร็จยื่นซองกระดาษที่พับอย่างเรียบร้อยมาให้ พิภพรับมันมามอง

"ใช่นายอดิศรรึเปล่า"

รุ่นน้องพยักหน้าพร้อมมอบยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะเดินไปนั่งที่สะสางงานในส่วนของตัวเอง ชวนให้ร้อยรู้สึกหมั่นหน้านายสิบคนนี้เหลือจะทน

เขาพรูลมหายใจออก เอื้อมหยิบมีดมากรีดเปิดซองจดหมายด้วยความประณีต หยิบกระดาษด้านในออกมาอ่าน เพียงแค่เห็นลายมือก็รู้เลยว่าคนเขียนต้องเป็นโฉมงามผู้นั้น ลายเส้นตวัดชดช้อยทว่ากลับอ่านง่ายจนน่าแปลกใจ

' เรือนนางรำ ๗ มิถุนายน ๒๔๘๔ ถึงคุณคนดีที่เก็บปิ่น-

*พรึ่บ!* เมื่ออ่านได้ไม่ถึงครึ่งประโยค สมองมันดันจินตนาการภาพเจ้าของจดหมายอย่างเป็นไปเอง ยามที่ใช้ปลายนิ้วจับปอยผมทัดหู ยามจรดปลายปากกาลงบนกระดาษ ยามคิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อสับสนไม่รู้จะเรียบเรียงคำอย่างไรดี จนผู้รับจดหมายอย่างพิภพใบหูร้อนผ่าวจนต้องรีบพับกระดาษใส่คืนซองทันที จะให้เจ้ารุ่นน้องมาเห็นสภาพแบบนี้ของเขาไม่ได้อย่างเด็ดขาดไม่งั้นได้โดนล้อไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแน่ ๆ

เย็นวันนั้นพิภพแทบจะไม่เป็นงาน ทำหัวดินสอหักแล้วหักอีก ดังนั้นจากหน้ากระดาษที่ควรจะมีร่างเอกสารของบประมาณกลับมีแต่เศษหัวดินสอและผงสีดำกระจายตัวอยู่เป็นกระหย่อม ๆ

Kaugnay na kabanata

Pinakabagong kabanata

DMCA.com Protection Status