เรือนนางรำ
๗ มิถุนายน ๒๔๘๔
ถึง คุณคนดีที่เก็บปิ่นปักผมมาคืน
สวัสดีครับ ผมเป็นนางรำเจ้าของปิ่นที่คุณเก็บได้ ก่อนอื่นเลยคงต้องกล่าวขอบคุณเป็นอย่างสูงที่อุตส่าห์ฝากน้องชายผมมาคืนครับ
ผมจึงอยากจะมอบของตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คุณ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกมาเจอกันไหมครับ
ขอให้เป็นวันที่ดีนะครับ
จาก ตรีศูล (แก้ว)
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ร้อยเอกพิภพคิดดีแล้วที่ตัดสินใจอดทนรอไม่เปิดจดหมายอ่านต่อหน้าสาธารณชนไม่อย่างนั้นชาวบ้านชาวช่องคงต้องเห็นเขาทรุดลงกลางถนนเป็นอันแน่แท้
พิภพได้อ่านจดหมายฉบับนี้หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จโดยที่ยังไม่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ดีดังนั้นบนตัวจึงยังมีแค่ผ้าขาวม้าผืนเดียวเปิดแผ่นอกและลอนหน้าท้องส่วนบนที่ยังคงชุ่มน้ำอยู่ ทว่าดูเหมือนไอร้อนที่แผ่ออกมาบนหน้าเขามันจะมากเกินสงสัยคงจะต้องไปตักน้ำสักขันมาราดให้หัวเย็นลงเสียหน่อยแล้ว
ด้วยความเคยชินก่อนนอนจึงเอื้อมแขนกะจะไปหยิบของบนหัวเตียงทว่ากลับลืมไปว่าเขาคืนเจ้าของไปแล้วได้จดหมายน้อยกลับมาแทน ทำให้ทั้งคืนนั้นเขาคิดแทบเป็นแทบตายว่าจะเขียนตอบกลับไปอย่างไรดี ส่วนเรื่อง 'เจอกัน' คงจะไม่ได้ ถ้าอาการเขายังไม่มั่นคงแบบนี้คงทำใจไปพบปะไม่ได้แน่ ๆ
พิภพคิดแล้วคิดอีกตั้งแต่เช้าจรดเย็น ฝึกรอบเช้ารอบบ่ายก็ชำเลืองไปมองหน้าเจ้าศรคะนึงหาพี่ชายเจ้าตัวจนเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง ตกเย็นก็มีเหม่อลอยเมื่อเพื่อนร่วมงานอย่างเจ้ารุ่นน้องหรือครูมาประสานงานก็ดูอาการไม่ค่อยดี คล้ายเอาคนละเมอมาทำงาน
'ช่วงนี้ใกล้หน้าฝนแล้ว บางทีครูฝึกเขาอาจจะไม่ชินสภาพอากาศก็ได้นะจ๊ะ' คุณนายผอ.สนทนากับเจ้าปลื้มโดยมีร้อยเอกเป็นญัตติ
'แหม คุณนายผอ.ไม่ชินอะไรกันครับ แค่นี้ยังเบา ๆ หัวหน้าผมน่ะนะ ช้างเป็นโขลงวิ่งมาชนยังไม่ตายเลยครับ'
'โถ่ พ่อปลื้มก็พูดไป'
พิภพคิดอยู่ภายในใจเนื่องจากได้ยินทุกประโยคแจ่มชัด 'ไอ้ปลื้ม เดี๋ยวเถอะเอ็ง อย่าให้ผ่านช่วงนี้ไปได้กูจะสร้างลานประหารไว้สำหรับกุดหัวเอ็งโดยเฉพาะ'
เมื่อหญิงวัยกลางคนและรุ่นน้องช่างจ้อออกไปจากห้องแล้ว บรรยากาศก็พลอยสงบเงียบขึ้นทันตาเห็น ท้องฟ้าด้านนอกในตอนเย็นไม่ได้เป็นสีส้มสดทว่าเป็นสีเทาหม่นตามฤดู สายลมเริ่มกระโชกแรงจนเขาต้องเดินไปปิดหน้าต่างด้านหลัง หันกลับมาอีกทีก็มีดอกไม้สีขาวปลิวเข้ามาอยู่บนใจกลางหน้าโต๊ะทำงาน
ดอกแก้ว?
มือหยาบหยิบดอกไม้น้อยขึ้นมาดอมดมอย่างเป็นไปเอง พลันนึกถึงชื่อเจ้าของจดหมายในวงเล็บ แล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้
ดอกไม้สีขาวสะอาดถูกวางเอาไว้ข้างพื้นที่ทำงาน นายทหารจัดแจงยกตั้งเอกสารที่ได้รับการตรวจทานแล้วมาไว้อีกโต๊ะหนึ่ง ก่อนจะตรงไปยังชั้นกระดาษเปล่า ทว่าที่นี่เป็นโรงเรียนกระดาษทุกใบในที่นี้ใครดูก็รู้ว่ามาจากสถานที่ราชการ หากโฉมงามตามสืบมาจนเจอว่าคู่ทางจดหมายคือคนที่ตัวเองพึ่งแสดงฝีปากไปคงจะไม่เป็นการดี
ทันใดนั้นตัวช่วยเขาก็เดินแทะมังคุดถือตะกร้าผลไม้เข้ามา
"ไอ้ปลื้ม"
"อีอะไยอ๋อย้อย"
"เอ็งพอจะรู้ร้านขายเครื่องเขียนแถวนี้ไหม"
รุ่นน้องเขามาที่นี่เพียงไม่ถึงสัปดาห์ก็ตีสนิทกับคนได้เกือบทั้งหมู่บ้าน เรื่องแค่นี้คงจะเป็นเรื่องขี้ ๆ และแน่นอนว่านายสิบพยักหน้าพร้อมยิ้มกรุ้มกริ่มมาทางรุ่นพี่ที่กำลังมีความรัก
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
๘ มิถุนายน ๒๔๘๔
ถึง คุณตรีศูล
ผมต้องขอโทษที่ไม่สามารถไปพบคุณได้ เนื่องจากผมยังไม่พร้อมด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ส่วนเรื่องของตอบแทนผมขอรับไว้แต่เพียงน้ำใจก็พอครับ แต่บางทีคุณตรีศูลอาจจะไม่สบายใจ สามารถเปลี่ยนจากสิ่งของตอบแทนเป็นการเขียนจดหมายโต้ตอบกันก็เพียงพอแล้วครับ เดี๋ยวผมถามนายอดิศรให้นำทางไปที่ตู้จดหมาย ณ 'เรือนนางรำ' เองครับ
หวังว่าคุณจะตอบกลับ และรับจดหมายในอนาคตจากผมนะครับ
ขอให้เป็นวันที่ดีเช่นกันครับ
จาก ดิน
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
"อาจารย์ ยิ้มอะไรอะ"
นพที่ระหว่างพับผ้าก็แอบมองคุณครูไปก็ได้แต่ตงิดใจ ว่าทำไมถึงได้ยกยิ้มขึ้นยามเปิดผนึกจดหมายขึ้นมาอ่าน จนโดนเตะก้นออกมาจากห้องเก็บเสื้อผ้า ก่อนจะปะหน้าเข้ากับศรที่ออกมาจากหลังจากอาบน้ำเสร็จ
นี่ไง เจอแหล่งข้อมูลแล้ว
นพพุ่งตัวเข้าไปจับไหล่ที่ยังไม่แห้งสนิทดีของหนุ่มศรดัง*หมับ!*
"บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าเกิดอะไรขึ้น"
นพเขย่าตัวอดิศรที่ตัวชุ่มน้ำไปมาเพื่อเค้นหาความจริง แต่หนุ่มอดิศรหน้าแดงเถือก พี่เจ้ากะจะให้เขานั่งเล่าในขณะที่นุ่งผ้าขาวม้าอยู่ตัวเดียวหรือไร
"พะ...พี่นพครับ! ให้ผมไปแต่งตัวก่อนสิครับ!!"
เพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัยแก่คุณพี่ชายอย่างตรีศูล ศรจึงลากศิษย์เอกช่างรู้มานั่งสนทนาในห้องส่วนตัว ไอ้ลูกหมาขนลุกซู่ทุกครั้งที่เจ้าพี่ตัวเล็กทำท่าทำทางเหมือนกำลังคิดแผนอะไรบางอย่าง คราวจะปฏิเสธไม่เล่าส่วนใดส่วนหนึ่งก็คงจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว
"เล่ามาให้หมด"
นพนั่งขัดสมาธิเท้าคางส่งยิ้มกว้างไปยังเจ้าเด็ก
"ครับ"
แล้วอย่างศรจะทำอะไรได้ล่ะ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
"ครูฝึกนายอะนะ-อุบ!?"
"ชู่ อย่าพูดดังสิครับ เดี๋ยวพี่เขาได้ยิน"
ศรรีบเอามือปิดปากนพ เขาในฐานะคนกลางหากพี่เขารู้ละก็มีหวังได้โดนไล่ลงไปนอนในเล้าไก่แน่ ๆ หรือหากร้อยทราบว่าเขาแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปมีหวังชีวิตการเป็นทหารคงจะอยู่ไม่สุขแหง ๆ ไม่ว่าทางไหนก็แย่ด้วยกันหมดทั้งสิ้น
"เข้าใจแล้ว แต่ทำไมเขาไม่มาเจอหน้ากันตรง ๆ เล่า"
นพจับปลายคางนั่งครุ่นคิดหรี่ตามองพื้นวิเคราะห์
"พี่นพจำเย็นวันที่ผมเจ็บกลับมาได้ไหมครับ?"
"วันที่ฉันต้องมานั่งทำแผลให้นายอะนะ?"
วันนั้นเขารู้สึกได้ว่ามีเสียงเครื่องยนต์ พร้อมกับเสียงพูดคุยนิดหน่อยจึงคิดว่าเป็นอาจารย์กลับมาแล้ว แต่ไม่นานเสียงเครื่องยนต์ก็กลับมาอีกครั้งก่อนจะไร้วี่แววเจ้าของเรือนราวสองสามชั่วโมง ตกค่ำมาครูเจ้าก็ยังไม่ขึ้นเรือนแวะไปก๊งเหล้ากับตาเทิด ตาไฮ้หลังเรือน
จะว่าไปก็ปกตินี่ที่อาจารย์แกจะไปสังสรรค์ยาดองกับลุงแฝดขี้เมาหลังออกงานเสร็จ แต่หายไปสองสามชั่วโมงนี่...
"วันนั้นอาจารย์ไปไหนมาเหรอ?"
"นั่นแหละครับ เขาไปโรงเรียนผมมา"
ณ ขณะนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่ตรีขึ้นเรือนมาเห็นสภาพเขาแล้ว แถมพี่นพรู้ทั้งรู้ก็ยังไม่บอกให้ผมทราบ คืนนั้นหลังจากพี่ศิษย์เอกกลับบ้านไป พี่ชายนางรำก็ขึ้นเรือนมาเล่าทั้ง ๆ ที่ยังไม่สร่างเมา
ตรีศูลในชุดนางรำผ้าโปร่งบางเดินโซซัดโซเซขึ้นมาจากใต้ถุนเรือนพร้อมพวงแก้มแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุราก่อนจะเอ่ยพูดด้วยเสียงง่วงงุนปนสะอึกเป็นพัก ๆ
'พี่ไปถามครูฝึกเรามาแล้ว'
'นี่ถือว่าโชคยังดีนะ แต่คราวหลังถ้า-อุบ!'
'ถ้าบาดเจ็บหนักมาอีกพี่จะไปโวยถึงที่แน่!'
เขาจับใจความได้ประมาณนี้เพราะพี่เจ้าพูดไปกลั้นอาเจียนไป ตอนนั้นทำตัวให้ตรงยังยากเลยเพราะพี่เขาเมาแอ๋สิ้นสภาพ แล้วที่บอกจะไปโวย คือพี่ไปมาแล้วไม่ใช่เหรอครับ?! ดีนะที่ร้อยเขาไม่มีปัญหาอะไรกับผมเป็นการส่วนตัวน่ะ
เว้นแต่เรื่อง'จดหมาย'ที่เป็นประเด็นอยู่ จนแล้วจนรอดเย็นวันนี้หลังเลิกแถวเขาก็ถูกเรียกตัวไปพร้อมกับร้อยที่ยื่นซองจดหมายพร้อมบอกว่า 'ฝากเอาไปให้พี่ชายเราด้วย' ครูฝึกไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น แล้วเดินขึ้นอาคารไปปล่อยให้นายอดิศรงงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทันใดนั้นนพส่งเสียง'หึ'ในลำคอพร้อมยกยิ้มอย่างมีเลศนัย มีหรือคนอย่างนพเก้าจะทิ้งวัตถุดิบชั้นเลิศแบบนี้ไปง่าย ๆ
"ศร ฉันมีแผน เอาหูมานี่"
เด็กหนุ่มเงี่ยหูไปฟังอย่างตั้งใจก่อนจะตาเบิกโพลง
"แอบดูจดหมายคนอื่นมันไม่ดีนะครับ! แถมยังจะให้ผมไปหลอก-"
ให้ดูต้นทางต้อนพี่ตรีไปอาบน้ำกับหลอกร้อยเอกสุดโหดเนี่ยนะ แค่คิดก็เหมือนศรเอาตัวเองเข้าตะแลงแกงแล้ว!
"ฉันอยากจะแน่ใจไงว่าครูฝึกนายชอบอาจารย์จริงรึเปล่า"
"แค่นั้นพี่ก็รู้แล้วเหรอครับ? แล้วร้อยเขาจะไปชอบผู้ชายได้ยังไงล่ะครับ"
นพลูบเคราทิพย์ที่ไม่มีอยู่จริง พลางคิดว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้ไม่รู้อะไร คนที่ชอบพอในอาจารย์คนงามและหวังจะเข้ามาอ้อล้อมีกันให้ถ้วนทั่ว
ยกตัวอย่างเช่นไอ้ลุงพรเทพ ถ้าสบโอกาสเมื่อไหร่ก็แอบจับต้องเนื้อตัวครูตรีตลอด แค่อ้าปากก็เห็นไปยังปลายตีนว่าหมอนี่มันหวังแอ้มอาจารย์เขาอยู่แหง ๆ แต่ครูฝึกคนนี้เขาไม่เคยเห็นหน้า ทว่าดูจากนิสัย หน้าตาที่เจ้าศรน้องน้อยมันอธิบายก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นทหารตัวล่ำ ๆ ที่มองครูเขาตาไม่กะพริบเมื่องานวันกาชาด
บวกกับเดี๋ยวนี้อาจารย์ชอบบ่นว่ารู้สึกเหมือนมีคนมาป้วนเปี้ยนแถวหน้าบ้านสองสามทุ่ม ทั้งยังมีเสียงรองเท้าหนักคล้ายคนวิ่ง เขาจึงทดลองรอให้ถึงเวลาดังกล่าวแล้วสอดส่องลงมาจากหน้าต่างชั้นสองบนบ้านของเขา เพราะเขาก็อยู่ไม่ห่างจากเรือนอาจารย์มากนัก แล้วจึงเห็นว่ามีชายร่างสูงออกมาวิ่งอยู่จริง ๆ และหากเดาไม่ผิดนี่อาจเป็นคนเดียวกันกับหน้าเรือนอาจารย์ ยิ่งไปกว่านั้นก็อาจจะเป็นครูฝึกของศรเองเสียด้วยซ้ำไป
ศรเมื่อได้ฟังก็ถึงกับอึ้ง พี่นพของเขามีความสามารถในการใส่ใจผู้อื่นได้มากขนาดนี้เลยหรือ
นพไม่สนใจสีหน้าปลงตกของศรแม้แต่น้อย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หวังจะทำตัวเป็นกามเทพเชื่อมสัมพันธ์รักระหว่างอาจารย์ขี้เมาของเขากับนายทหารที่มาจากเมืองกรุง
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ในขณะเดียวกันตรีศูลที่นั่งคิดอะไรไปเรื่อยระหว่างพับผ้า ก็พลันเหม่อลอยนึกถึง'คุณดิน'เจ้าของจดหมายที่ตอบกลับมา เพียงแค่รอยพับกระดาษที่คมกริบก็รู้ได้แล้วว่าเป็นคนมีระเบียบ ทั้งบนกระดาษยังทิ้งเส้นบรรทัดที่ใช้ดินสอขีดเอาไว้จาง ๆ เมื่อเทียบกับเขาที่บางครั้งก็ปล่อยปละแล้วคนคนนี้ช่างดูเป็นคนสมบูรณ์แบบนิยมเสียจนน่าเอ็นดู
ตรีศูลออกมาซ้อมรำในตอนกลางคืนอีกตามเคย และทุกครั้งที่ซ้อมเสร็จก็จะมีเสียงรองเท้าวิ่งมาเป็นจังหวะ เขาลองปรึกษากับศิษย์ในคณะแล้วเห็นว่าเป็นแค่คนมาออกกำลังกาย จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักเพราะอย่างไรเสียเรือนเขาก็อยู่เป็นหลังสุดท้าย จะกลายเป็นปลายทางสำหรับนักวิ่งไม่ก็ไม่แปลก แม้จะสงสัยที่ทำไมถึงออกมาวิ่งในตอนนี้ที่คนอื่น ๆ เขาเข้านอนกันแล้ว แต่ช่างเถอะ ขนาดเขายังหนีผู้คนมาซ้อมรำเงียบ ๆ คนเดียวเลยนี่ อีกคนก็คงต้องการความเป็นส่วนตัวไม่ต่างกัน
หัวหน้าคณะนางรำออกมาสูดอากาศริมระเบียงยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเดินไปปลดเชือกกันสาดเพราะคาดว่าคืนนี้จะมีฝน หวังว่าคุณคนนั้นที่ออกมาวิ่งจะกลับบ้านทันก่อนพายุเข้า เขาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยพลางเดินไปเปลี่ยนผ้าเตรียมจะอาบน้ำนอน จนประโยคในจดหมายผุดขึ้นในหัว
'...บางทีคุณตรีศูลอาจจะไม่สบายใจ สามารถเปลี่ยนจากสิ่งของตอบแทนเป็นการเขียนจดหมายโต้ตอบกันก็เพียงพอแล้วครับ...'
พอกลับมาคิดดูอีกที เนื้อความในจดหมายดูใส่ใจในรายละเอียดไปเสียหมด ทั้งกลัวว่าเขาจะลำบากใจที่เจ้าตัวไม่ยอมรับของตอบแทนจึงขอแลกเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นที่ไม่น่าจะเกินตัวเขาแทน รวมไปถึง
'...ขอให้เป็นวันที่ดีเช่นกันครับ'...
เขาไม่คิดว่าคำลงท้ายจดหมาย เจ้าตัวก็ยังจะสามารถตอบกลับเขามา ปกติแต่ละคนเขาก็จะมีคำลงท้ายฉบับของตัวเองกันทั้งนั้น
จู่ ๆ ร่างกายก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ตรีศูลรีบหันไปประจันหน้ากับกระจกเพื่อตรวจสอบทันทีจนเห็นว่าหน้าเขาขึ้นสีเสียแล้ว เขาจึงรีบกระชับผ้าขนหนูเดินกลับเข้าห้องมาจัดการกับตัวเอง
ตรีศูล เอ็งจะเขินทำไมเล่า!
เขาคิดแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาใช้สองมือตบหน้าเรียกสติตัวเองให้กลับมาอยู่ในร่องในรอย จนเมื่อหันไปเห็นจดหมายฉบับนั้นเท่านั้นแล สติที่อุตส่าห์เรียกกลับมาก็แตกซ่านเป็นผุยผง
โฉมงามเริ่มทำใจอีกครั้งและจัดการเก็บจดหมายเจ้าปัญหาเข้าลิ้นชัก กลับมานั่งคิดต่อว่าจะตอบจดหมายอย่างไรดี นึกไปก็ก้มเปิดเก๊ะชั้นล่างหยิบกระดาษเปล่าขึ้นมาวาง จัดแจงจรดปลายปากกาเขียนวันที่ ทว่าจมูกกลับได้กลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาจากกระดาษ สงสัยคงจะเป็นกลิ่นของเก่า นั่นสิ เขาอยู่ที่นี่มาจะสิบปีกระดาษก็ไม่ค่อยได้เอาออกมาใช้ แถมขอบกระดาษยังออกเป็นสีติดเหลืองน้ำตาล
ตรีศูลเอนกายกอดอกครุ่นคิด มองหาสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ จนหางตาไปสะดุดกับขวดน้ำอบที่เขามักจะใช้ทาตามข้อมือก่อนออกงาน อาจารย์นาฏศิลป์ใช้ความคิดครู่หนึ่งก่อนจะคว้าน้ำปรุงขวดจิ๋วมาเหยาะลงฝ่ามือ ชโลมให้ทั่วและรอแห้ง กลิ่นที่ติดไปกับกระดาษจะได้กลบกลิ่นเก่าเก็บทั้งยังไม่แรงจนฉุนจมูก
เมื่อได้ดังนั้นตรีศูลจึงคว้าปากกามาคัดอักษรอีกครั้ง
ตกเย็นหลังการเรียนการสอนเมื่อพิภพได้รับจดหมายมาจากยุวชนทหารในการดูแลอย่างอดิศร ร้อยเอกจึงเก็บมันเข้ากระเป๋าสะพายประจำกายเตรียมจะเอาไปเปิดอ่านที่บ้านพัก ซึ่งเขามักจะเปิดอ่านมันก่อนจะออกไปวิ่งทว่าเมื่อเปิดผนึกขึ้นมาร้อยเอกผู้เข้มแข็งถึงกับต้องลุกออกจากเก้าอี้มาทำใจ'ทำไมครั้งนี้มันถึงมีกลิ่นหอมติดมาด้วย!'อยากอ่านก็อยากอ่านแต่ก็กลัวว่าตัวเองจะเผลอยกมันขึ้นมาดม ถึงในบ้านหลังนี้จะมีเพียงเขาอาศัยแต่เพียงลำพังแต่เขาก็อายฟ้าอายดินเป็น ท้ายที่สุดร่างกำยำก็ตัดสินใจหย่อนตัวลงเก้าอี้หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านอย่างใจเย็นและอดทน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .๙ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณดินผมตอบรับข้อเสนอของคุณครับ ดังนั้นแล้วต่อจากนี้เราคือเพื่อนทางจดหมายกันแล้วใช่ไหมครับแต่ผมไม่ทราบว่าเวลาคนเขาเขียนจดหมายกันแบบนี้แล้วเขาคุยกันเรื่องอะไรกันบ้าง พอดีผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องนี้เท่าไร รบกวนคุณดินลองยกตัวอย่างมาให้ผมสั
1. นิยายเรื่องนี้อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงในช่วงปีพ.ศ.2484(ค.ศ.1941) และภาพยนตร์เรื่อง'ยุวชนทหาร เปิดเทอมไปรบ' ซึ่งอาจมีเนื้อหาคล้ายคลึง แต่อยากให้ทราบเอาไว้ว่า ทุกตัวละคร และบางสถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจ คู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน) และ เคะหนวด4. บางส่วนในนิยายอาจมีเนื้อหาที่เป็นข้อถกเถียงระหว่างสองความคิดในแง่การเมือง/สถาบันศาสนา5. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึงองค์กรทางศาสนา, ความรุนแรง, สภาวะทางจิต, สารเสพติด, การล่วงละเมิดทางเพศในรูปแบบต่าง ๆโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .จำนวนตอน
สงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้นแล้ว หากแต่สยามที่ได้เปลี่ยนนามเป็นไทยนั้นยังคงไว้ซึ่งความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งสิ้นกระนั้นก็เป็นรู้กันปากต่อปากว่าการเลือกเป็นกลางนั้นถือเป็นการเลือกฝักฝ่ายไปแล้วสิ้น ทว่าเรื่องเช่นนั้นไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยของชายแดนและเหล่าประชาชนที่อาจถูกรุกรานจากชาติญี่ปุ่นที่กดดันเข้ามาไม่ต่างจากนาฬิกาปลุกที่เมื่อยามใดเข็มทั้งสองมาบรรจบกันเวลาอันเหมาะ นกน้อยจะออกมาร่ำร้องเป็นทำนอง. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .ตำบลท่าตะเภา อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพรขบวนรถไฟสีดำขลับแล่นผ่านหมู่แมกไม้รายทาง สายลมที่เกิดจากความเร็วของล้อที่เคลื่อนตัวด้วยแรงไอน้ำพัดพากลีบดอกสีขาวไม่ทราบนามสวนทางผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดรับลมธรรมชาติทันทีที่ดอกน้อยร่วงหล่นแตะพื้นที่นั่งข้างชายร่างกำยำในชุดทหารภูมิฐาน มือหยาบกร้านจากการฝึกอาวุธมาตลอดร่วมสิบปีก็จับกลีบบางโปร่งแสงนั้นขึ้นมามองฆ่าเวลาก่อนจะโยนมันทิ้งไปประหนึ่งสิ่งของไร้ค่าชิ้นหนึ่ง
เมื่อมาถึงสิบเอกจอมเจ้าเล่ห์ก็ไม่พลาดโอกาสถลาลงจากเบาะคนขับลงไปสอดส่องภายในงานทันทีทั้งยังชักชวนเขาอีกนะว่า'สาวแจ่ม ๆ ตรึมเลยนะคร้าบ ไม่ลงมาดูหน่อยเหรอครับร้อย เผื่อจะได้หาแม่ใหม่ให้น้องขวัญไง'รุ่นน้องเขานี่ก็ขยันสะกิดปมเขาตลอดเลยสินะแต่ไม่ว่าเปล่าหลังจากเขาเห็นหลังของทหารยศสิบเอกหายไปแล้วเขาจึงลงมาจากรถ เดินเตร็ดเตร่ผ่อนคลายเสียหน่อย บางทีอาจจะได้ข้าวเย็นเก็บใส่ตู้กินไปได้หลายวัน จนเดินมาเห็นเจ้าปลื้มมันสนทนากับหญิงสาวอย่างออกรสออกชาติ นี่เขาชักสงสัยแล้วนะว่าไอ้คนนี้มันไปเอาแรงพูดมาจากไหนเยอะแยะ ไม่ว่าเมื่อไหร่รุ่นน้องเขาก็หาเรื่องอู้ได้ตลอดไม่ว่าจะเป็นเวลางานหรือไม่ ทั้งยังติดนิสัยอ้อล้อแม่ค้ารายทางเป็นว่าเล่นแล้วก็มาเป็นภาระหูของเขาที่ต้องฟังเจ้านี่บ่นว่าทำไมสาวไม่รักบ้างล่ะ ทำไมหาเมียไม่ได้บ้างล่ะ และส่วนใหญ่ที่ตอบกลับไปก็จะเป็นคำว่าสมน้ำหน้าพิภพทอดถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ของวัน การที่เขาได้มาที่นี่มันไม่ได้มาจากสาเหตุที่น่าอภิรมย์อย่างการอาสามาเป็นครูอะไรเทือกนั้น แต่เป็นการกลั่นแกล้งกันในหมู่ทหารเสีย
"พี่ครับ"เสียงของเด็กหนุ่มวัยย่างสิบแปดผมสั้นเกรียนพร่ำเรียกคนอายุมากกว่าที่ยังคงนอนสลบไสลไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ให้ทำอย่างไรเล่าก็เมื่อวานพี่ของเขากว่าจะขึ้นแสดงก็ปาไปหนึ่งทุ่มเศษทั้งหลังจากทักทายปวงประชาเสร็จก็ออกตามหา'ทหาร'ที่เจ้าตัวเห็นว่าเป็นคนเก็บปิ่นแสนแพงนั่นได้ก็กินเวลาไปจนงานเลิกสองทุ่มครึ่งนั่นแหละกว่าจะยอมกลับบ้านมาทั้งที่คว้าน้ำเหลวอยู่อย่างนั้น"พี่ครับ วันนี้พี่ต้องไปประชุมผู้ปกครองให้ผมนะครับ""อือ... แป๊บหนึ่งศร พี่ขอสิบนาที"เจ้าของชื่ออดิศรถอนหายใจเพราะพี่เจ้าพูดคำว่าสิบนาทีมาสองรอบเห็นจะได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีเด็ดขาดเนื่องด้วยเรือนหลังนี้เป็นพื้นที่สำหรับคณะนางรำเช้าตรู่จึงมีศิษย์ร่วมสำนักมาทำความสะอาดและฝึกซ้อมรอเจ้าของคณะตื่นตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันเพื่อตระเตรียมของ ขายาวเดินปรี่ไปที่พี่ผู้ชายตัวเล็กอีกคนหนึ่งที่นุ่งโจงกระเบนจับผ้าขี้ริ้วเช็ดราวบันไดอยู่"พี่นพครับ ผมรบกวนอะไรหน่อยได้ไหมครับ"ศรจับดึงลากคนอายุมากกว่าตนสองปีมายืนดูอาจารย์ของตนที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียง
"อุแหม วันนี้ผมขอบคุณครูแก้วอีกครั้งนะครับ พิธีมีสีสันขึ้นเยอะ"ชายร่างท้วมดูอารีกล่าวยินดีแก่แม่นางรำด้วยความจริงใจ เพราะการจะจองตัวแม่นางรำคนนี้มาแต่ละครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เดือนหนึ่งครูแกรับแค่งานเดียว หรือสองเดือนครั้งเท่านั้น ยากนักที่จะได้ตัวมาร่วมงาน"ผมยินดีครับ แล้วจะยินดีมากเลยหากวันข้างหน้าเด็ก ๆ ในคณะจะได้มารำด้วย"ตรีศูลอมยิ้มพร้อมกล่าวตอบผู้ว่าจ้างประนมมือขอบคุณ ชายสูงอายุหัวเราะร่าพูดคุยโต้ตอบกับนางรำที่ตนว่าจ้างมารำถวายศาลทุกครั้งที่มีโอกาส จนผู้คนที่นั่งโต๊ะจีนอยู่โดยรอบอยากจะเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยไม่ว่าใครก็ต่างรู้ดีว่า'ครูแก้ว'แห่งคณะนางรำประจำชุมพรนี้มีความสามารถมากมายนัก ทั้งใบหน้ายังสะสวยเกินกว่าจะเรียกได้ว่าบุรุษ เพียงแต้มชาด ปัดแก้มเพียงนิดก็งามหยาดเยิ้มจนใครที่เดินผ่านต่างก็ไถ่ถามว่าสตรีนางนี้คือใครตรีศูลในชุดเครื่องทรงกินรีรีบเปิดกล่องแว่นหยิบเลนส์ขึ้นมาสวม บรรจงถอดเล็บปลอมสีทองนำมาวางเก็บไว้ในกล่องน้อยพกพา ก่อนจะค่อย ๆ จับตะเกียบประคองชิ้นเนื้อเข้าปากอย่างสุภาพเป็นภาพที่น่ามองแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ร่วมโต๊ะย
นายสิบปลื้มปีติรู้สึกว่าตัวเองทำงานคุ้มเงินเดือนก็วันนี้แล เพียงแค่นั่งอยู่เฉย ๆ โดยมีสายตาอาฆาตของผู้ปกครองจ้องมองมาก็รู้สึกพลังชีวิตจากหนึ่งร้อยลงมาติดลบจนอยากออกไปแรดฟื้นฟูสัพพะกำลังแล้วความสามารถพูดคล่องน้ำไหลไฟดับของพ่อหนุ่มทะเล้นได้หมดลงไปเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ก็ได้แต่หวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้ร้อยตื่นขึ้นมาจากภวังค์แล้วเดินมานั่งรับกรรมเป็นเพื่อนรุ่นน้องคนนี้สักทีเถอะครับ!ตรีศูลนั่งจิบน้ำไปกัดฟันกรอด ๆ ไป ใครมันบางอาจมาทำร้ายน้องชายเพียงคนเดียวของเขาหากเป็นนักเรียนเขาจะตามไปชำระถึงหน้าประตูบ้าน หรือหากเป็นเจ้าทหารสองคนนี้ก็อย่าหวังเลยว่าพรุ่งนี้จะได้มีชีวิตอยู่อย่างครบสามสิบสอง"ขออภัยที่ชักช้านะครับ"นางรำหนุ่มวางแก้วน้ำลงบนตัก ตวัดหางตามองนายทหารร่างกำยำที่กำลังเดินหอบเอกสารรายชื่อบางอย่างมาวางไว้บนโต๊ะรับแขก"ไม่ทราบว่า คุณเป็นผู้ปกครองของยุวชนทหารคนไหนเหรอครับ?""นายอดิศร วิศิษฐ์สกุล ม.๕ ครับ"แม้จะพูดสุภาพแต่คนงามก็คล้ายจะกัดฟันพูด ทำเอาพ่อปลื้มอกสั่นขวัญแขวนไม่เคยเจอคนงามสายโหดมาก่อน เขานั่งเกร็งสั่นสู้ประหนึ่งเ
"เลิกแถว!!"เสียงเข้มดังกู่ก้องมาจากครูฝึกผิวสีน้ำผึ้งใจกลางสนาม ปลดปล่อยเหล่าทหารน้อยให้เป็นอิสระเมื่อเข็มสั้นชี้ตรงไปที่เลขสี่ เหล่านักเรียนชั้นมัธยมปลายในชุดสีเขียวเปื้อนดินพากันจับกลุ่มเดินกลับบ้านด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนจากการฝึกอันเข้มงวดรวมไปถึงอดิศรที่โดนเพื่อนคล้องคอกะจะพากันไปนั่งเล่นใต้ต้นไทรที่อยู่ไม่ห่าง"นายอดิศร"เสียงทุ้มคุ้นหูแว่วดังมาจากข้างหลังชวนให้เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีเป็นไก่ต้ม หันไปตอบรับแต่เพียงผู้เดียวเพราะเหล่าผองเพื่อนวิ่งหนีเตลิดไปไกลกันแล้ว"ครับร้อย" ศรยกมือทำความเคารพ พร้อมส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ครูฝึกสุดโหด"แผลเป็นยังไงบ้าง""ดีขึ้นเยอะแล้วครับ""ถ้าไม่ไหวให้มาบอกฉัน เข้าใจไหม ฝากไปบอกเพื่อน ๆ ด้วย""ครับ"แม้เด็กหนุ่มจะตอบรับทราบมาสักพักแต่พิภพก็ยังไม่หยุดจ้องมองมาที่เขา จู่ ๆ คิ้วหนาก็กดลงเหมือนเคร่งเครียดกับอะไรบางอย่าง ทำเอาศรตัวสั่นงั่กเป็นลูกหมาตกน้ำ"พี่นายเป็นนางรำใช่ไหม?""ครับ! ใช่ครับ!"ศรสะดุ้งตอบเสียงดังฟังชัด"เป็นนางรำที่ขึ้นแสดงเมื่องานกา