พิภพสาวเท้าด้วยความเร็วกว่าปกติแม้ยังเหลือเวลาอีกเกือบตั้งหนึ่งชั่วโมง เดินไปกะจะหาที่นั่งรอเวลาทว่าก็ดันมีสองตาจากที่ไหนไม่รู้กำลังแบกไม้กระดานมาด้วยความทุลักทุเล พิภพจึงไม่มีทางเลือกนอกจากอาสาเข้าไปช่วย จนได้มารู้ว่าสองตาคนนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มประกอบเวทีสำหรับเปิดงาน
"เอ้อ ๆ ใจหลายนะพ่อหนุ่ม"
"ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี"
"เอ้า หนุ่มเป็นคนกรุงรึนี่ ฮ่าฮ่า ๆ " ชายแก่กล่าวเสียงเหน่อใต้กลั้วหัวร่อเสียงดัง
"ดูก็รู้แล้ว ชุดแบบนี้คนแถบนี้หาใส่ยาก ฮ่า ๆ "
พิภพหัวเราะแห้ง ๆ ตามประสาพลางจัดแขนเสื้อที่ถกขึ้นมาตอนช่วยขนท่อนเหล็กมาต่อกัน คนแถบนี้อารมณ์ดีจริง ๆ เขาคิดไปเรื่อย
"ตาเทิด ตาไฮ้ นั่นใครเหรอจ๊ะ"
เสียงทุ้มหวานแว่วมาแต่ไกล ชวนให้คนในชุดทหารหันไปมอง ทันใดนั้นพิภพจึงรู้สึกเหมือนเวลาหยุดลงชั่วขณะ ปอยผมที่พลิ้วตามแรงลม ผ้าลูกไม้เงาผูกพาดตั้งแต่หัวไล่ลงมาเป็นโบใหญ่ใจกลางอก ผ้าปาเต๊ะลายพร้อยเน้นผิวเนียนกริบให้สว่างเตะตา
"อ้าว เจ้าแก้ว มาไวแท้ ฮ่า ๆ แล้วทำไมเอ็งไม่สวมแว่นเล่า จะมองเห็นไหมล่ะนั่น ฮ่า ๆ"
"พอดี
ยามนี้เป็นเวลาย่ำค่ำเหล่าลูกศิษย์ลูกหาต่างพากันกลับไปหมดแล้ว การสอนสำหรับออกงานเป็นไปได้ด้วยดี เขาดีใจที่มีคนว่าจ้างเด็ก ๆ ของเขา ช่วงนี้จึงง่วนอยู่กับการคิดการแสดงและส่งจดหมายคุยกับวงปี่พาทย์ทว่าเมื่อคิดถึงดนตรีครูแก้วคนงามก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อก่อนเรือนนี้ไม่ได้มีแต่นางรำ ทว่ากลับมีพ่อครูผู้ชำนาญดนตรีคอยสั่งสอนและภรรยาของเจ้าตัวเป็นคนสอนท่าทว่าเมื่อทั้งสองเสียไปเขาจึงขึ้นมารับช่วงต่อแทนในฐานะของลูกบุญธรรม เพราะลูกชายแท้ ๆ ของทั้งสองขอตัวไปเรียนที่เมืองหลวง กว่าจะกลับมาสืบทอดเรือนคงร้างไปเสียก่อนหากได้เจ้าตัวมาอยู่คอยช่วยคุยคงจะดีไม่น้อย เพราะถึงเขาจะเป็นนางรำอยู่คู่กับนักดนตรีก็ใช่ว่าจะรู้ไปเสียทุกเรื่องตรีศูลถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สอง พลางยืดเส้นยืดสายเตรียมจะซ้อมท่าของตัวเองสำหรับงานส่วนตัวที่ได้รับมา ครั้งนี้เป็นการรำบูชาพญานาคซึ่งผู้ว่าจ้างเขาย้ายถิ่นฐานจากอีสานมาตั้งรกรากที่ชุมพรและพกเอาความเชื่อนี้มาด้วย นับเป็นอีกงานที่ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง เพราะไม่ได้ใช้ท่าของภูมิภาคอื่นมาพักใหญ่แล้วนี่เองคงจะเป็นเสน
"นี่ เล่ามาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น"ตรีศูลนั่งกอดอกมองสามแสบ นพ สิงห์ ศร ที่กำลังนั่งคุกเข่าเตรียมรอรับความผิดอยู่ด้วยสายตาที่เลิ่กลั่กไม่ต่างกันเท่าไรนักจนเหตุการณ์ทั้งหมดขมวดปมได้ว่าเจ้าสิงห์มันเห็นว่าคุณดินมองตัวเขาบ่อยเลยอยากแกล้งเล่น จึงลองใจโดยการเข้าทำเป็นสนิทชิดเชื้อกับเขาตลอดทั้งงานส่วนเจ้าศรไม่รู้เป็นไงมาไงเด็กดีคนนี้ถึงโกรธเกลียดเจ้าสิงห์มันนัก อยู่ ๆ ก็มองเขม่นใส่ พูดจาไม่ไพเราะอย่างเคยหนักสุดเห็นจะเป็นเจ้านพศิษย์เอกที่สารภาพออกมาหมดทุกอย่างว่าตัวเองคอยเป็นเบื้องหลังสนับสนุนคุณดินหรือ'ลุงทหาร'อย่างที่เจ้าตัวเรียก เพื่อจะผลักดันให้คุณมาเป็น'องครักษ์พิทักษ์ครูแก้วจากตาแก่พรเทพ' เป็นชื่อที่ได้ยินก็แสลงหูแล้ว ถึงจะรู้ว่าไม่ชอบหน้าอย่างไรแต่เขาก็คือคนที่ให้เงินเรามานะ!"เฮ้อ ศรครั้งนี้พี่ให้อภัย ส่วนอีกสองคน..."นพกับสิงห์ขนลุกซู่เมื่อดวงตาเรียวยาวตวัดมองมาทางพวกเขา"ให้เลือกระหว่างไม้เรียวอันนี้กับทำความสะอาดเรือนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เลือกมา"ลูกศิษย์สองสะดุ้งเฮือก พวกเขารู้ซึ้งดีถึงอานุภาพของไม้ก้านบาง ๆ
"เชิญคร้าบ เชิญนั่งเลยนะคร้าบ"ปลื้มปีติยิ้มต้อนรับแขกคนพิเศษหน้าบาน วาดมือนำโฉมงามมานั่งลงที่โต๊ะรับแขก จัดเตรียมขนมเพียบพร้อมกับชาร้อน ๆ สำหรับหน้าฝนที่อุณหภูมิลดลงต่ำ"กระผมดีใจจริง ๆ ที่จะมีนางฟ้ามาช่วยงาน"นายสิบกุมมือทั้งสองข้างของนางรำหนุ่มยกขึ้นลงเป็นการขอบคุณอย่างสุดซึ้งเพราะเขาเองก็แก้เอกสารมาไม่ต่ำกว่าสิบรอบได้แล้ว แต่เบื้องบนก็ยังไม่อนุมัติงบให้เสียทีจนต้องมาพึ่งวิธีเรี่ยไรเงินแบบนี้นี่แล"ขออภัยที่แนะนำตัวช้าครับคุณแก้ว ผมสิบเอกปลื้มปีติ วิภา เรียกปลื้มก็ได้ครับ เป็นรุ่นน้องของร้อยครับ"นายทหารร่างสันทัดกล่าวเสียงเจื้อยแจ้ว แล้วจึงรินน้ำใส่แก้วให้แขกคนสำคัญดื่ม"ครั้งก่อนผมมารบกวนไว้เยอะเลย ต้องขอโทษด้วยนะครับ"ตรีศูลกระชับเสื้อแขนยาวกันหนาวโน้มตัวกล่าวด้วยความจริงใจ ในวันนั้นเขามาด้วยอารมณ์เลยอาจพลั้งพลาดเสียมารยาทไป"แหม ๆ ไม่เป็นไรเลยครับ พวกผมเข้าใจถึงความเป็นห่วงในฐานะผู้ปกครองดี""แล้วเรื่องที่เรียกผมมาวันนี้...""ยุทธกีฬาครับ"ร้อยที่ยืนจัดเรียงเอกสารอยู่หน้าโต๊ะกล
ตกเย็นมาร้อยเอกที่จัดการเอกสารทุกอย่างครบแล้วก็ได้เวลาออกจากสถานที่ทำงาน พิภพตอนนี้แม้ภายนอกจะดูเป็นคนมาดดุแต่ก็เป็นที่นับหน้าถือตาของคนภายในโรงเรียน มีคนทักทายบ้างประปรายจนทำให้เขานึกถึงนางรำหนุ่มที่มีคนรู้จักแทบจะทั้งชุมชนก็อดอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้เมื่อนั้นพิภพก้มหน้าเอามือป้องปากเพื่อไม่ให้ใครเห็นว่าเขาเป็นบ้าเพราะยิ้มอยู่คนเดียวไปเสียก่อน ทันทีเมื่อหางตาชำเลืองไปเห็นว่าปลายทางเป็นเรือนไทยดังจุดหมายจึงสาวเท้าให้ไวกว่าเดิมจนในที่สุดก็มาถึงเสียทีเสียงระนาดดังมาจากบนเรือนผสานกับเสียงนับจังหวะของคนที่คุ้นเคย รองเท้าหนังสีดำขลับจากที่เดินลงน้ำหนักมาตลอดกลับค่อย ๆ ก้าวขึ้นเรือนมาอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงจนเมื่อหัวโผล่พ้นบานกั้นพิภพจึงตาเบิกโพลง เมื่อมองไปยังนางรำหนุ่มที่กำลังนำนักเรียนอยู่ ท่วงท่ายังคงลื่นไหลและสวยงามอย่างเคยจนคนมองได้แต่เคลิบเคลิ้มมองเสียจนนักดนตรีที่เดี่ยวระนาดอยู่สังเกตเห็นสิงห์ที่นั่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากหน้าบันไดมากได้เห็นผู้มาใหม่ก็ยกยิ้ม นพบอกเขามาหมดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่สิงห์ตัดสินใจทำคือการหยุดเพลงระนาดไปเสียดื้อ ๆ ทำเอ
ตรีศูลในวันนี้ตั้งใจตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำอาหารเองกับมือสำหรับให้เจ้าศรน้องน้อยได้ทานหลังจากแสดงมาเหนื่อย ๆ ตอนพักกลางวัน ผมเผ้าจากที่รวบแบบหยาบ ๆ เช้านี้เป็นมวยกลมรวบผมขึ้นไปจนหมด มือคู่สวยจัดการตั้งไฟกระทะราดน้ำมันด้วยแววตาอันมุ่งมั่น ทว่าท้ายที่สุดผลลัพธ์ของการตื่นตีสี่มาทำอาหารเองก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จากวัตถุดิบอันเลอค่ากลายเป็นตอตะโกดำมิดหมีนางรำหนุ่มกุมขมับและตระหนักได้ว่าตนเองเป็นนางรำมีหน้าที่รำ ดังนั้นอาหารจึงเป็นหน้าที่ของพ่อครัว คิดแล้วก็ตัดสินใจหยิบกระเป๋าเงินวิ่งไปตลาดซื้ออาหารสำเร็จตามแผงมาอุ่นไว้แทน"พี่ตรี ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจัง?"อดิศรที่พึ่งออกมาจากห้องน้ำยกผ้าขนหนูซับหัว
'ถ้าสารอาหารคุณไปหากินที่อื่นก็ได้นะครับ ไม่ต้องมาตรงนี้''ผมนั่งตรงนี้แล้ว จะลุกไปเฉย ๆ คงจะเสียมารยาทกับครูแก้วเปล่า ๆ ครับ''เก้าอี้คุณก็มีให้นั่ง ทำไมไม่นั่งล่ะครับ''ลูกศิษย์คุณเสื่ออื่นก็มีตั้งเยอะแยะ ทำไมมานั่งเสื่อนี้ล่ะครับ'ในขณะที่สองหนุ่มจ้องไฟแทบลุก เมื่อพิภพเผลอก็เป็นฝ่ายของพรเทพที่ได้จานตรงกลางไปครอบครอง เศรษฐีหนุ่มหันมายิ้มเยาะกับนายทหารยศร้อยเอกไปหนึ่งทีก่อนจะก้มลงไปละเมียดตักแบ่งข้าวและกับขึ้นมาชิมอย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่พิภพต้องตกอย
ตรีศูลขอตัวออกมาชำระล้างร่างกายที่เปียกปอนไปทั้งตัว แม้มือจะสามารถขยับได้ปกติดีแล้วแต่อาการวิตกในใจก็ยังไม่จางหายไป มือปรางค์เท้าร่างเปลือยเปล่ากับขอบโอ่งยันตัวเองเอาไว้ไม่ให้เป็นลมไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นส่องกระจกแขวนแล้วจึงเห็นสภาพขอบตาตัวเองแดงรื้น'อายุปูนนี้แล้วยังร้องไห้กับเรื่องเก่า ๆ อยู่อีกนะเรา'ร่างโปร่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนรีบจัดการตักขันน้ำรดตัวสระผมล้างร่างกายให้สะอาดนุ่งผ้าขาวม้า ก่อนจะมารู้ตัวว่าเขาลืมหยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนติดมือด้วยมา ตรีศูลเลิ่กลั่กเสื้อตัวเก่าก็อยู่ที่ตะกร้าด้านนอกทั้งยังปนกับผ้าเหม็นไปแล้ว แถมคุณดินยังอยู่ในห้องเขาจะเข้าไปเปลี่ยนตามปกติแม้พวกเราจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่เขาก็อายอยู่ดี *แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก* ตรีศูลที่ตีกับตัวเองอยู่หน้าห้องน้ำหูกระตุก เร่งไฟตะเกียงเดินออกมายังใจกลางเรือนก่อนจะพบว่าที่หน้าห้องนอนตัวเองได้มีแม่แมวกับลูก ๆ ของมันราวกว่าสิบตัวตะกุยประตูอยู่*ม้าว* เสียงใสของเหล่าลูกแมวร้องประสาน ตรีศูลที่เห็นภาพนี้จนชินตาจึงวางทุกอย่างเดินไปหน้าห้องเก็บลูกแมวข
พิภพโล่งอกที่วันพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องตื่นแต่มืดเพื่อเดินกลับบ้านพักไปจัดการข้าวของ นายทหารที่ไม่มีอะไรทำนั่งพิงกำแพงชำเลืองมองเจ้าของเรือนกำลังสางผมอยู่อย่างเหม่อลอยอยู่หน้ากระจกมือคู่สวยจับแบ่งลอนผมชื้นเป็นช่อไล่สางปลายผมลงอย่างประณีต กระทั่งท่านั่งบนเก้าอี้กลมยังเก็บขาเรียบร้อย"อ๊ะ!"ตรีศูลอุทานเมื่อหวีไปติดเข้ากับเส้นผมไม่ว่าจะพยายามแก้เท่าไรก็ไม่คลายเสียที"ให้ผมช่วยนะครับ"มือหนาเข้าประชิดใต้กกหู ค่อย ๆ ใช้ปลายนิ้วแก้ปมอย่างใจเย็น ดวงตาสีหม่นหรี่ลงใช้สมาธิมองไปยังเส้นผมเงางาม โดยไม่เห็นเลยว่าใบหูของคนบนเก้าอี้ขึ้นสีเลือดฝาด ตรีศูลนั่งเกร็งไม่ขยับอะไรเพราะอีกคนดูจะตั้งใจช่วยมาก"ขะ...ขอบคุณครับ คุณดูคล่องจังเลย"ตรีศูลจับช่อผมเรียบแปล้ไม่มีปมก่อนจะสางเล่น เมื่อกี้ทำเขาตกอกตกใจหมด"ผมทำบ่อยน่ะครับ ตอนหวีผมให้ภรรยากับลูก"ตรีศูลตาเบิกโพลง หยุดการกระทำทุกอย่างและหันขวับมามองนายทหารที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เมื่อกี้นี้เขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม"คุณดินแต่งงานมีลูกแล้วเหรอคร
๑๙ถึง คุณแก้วผู้ครอบครองหัวใจของผม ตอนผมเขียนจดหมายฉบับนี้แม้มันจะไม่ใช่ฉบับสุดท้าย แต่ผมก็ใจหายไม่น้อยเมื่อรู้ว่าจะเขียนจดหมายถึงคุณได้เพียงแค่นี้เพราะผมเหลือเวลาอีกไม่มากในการเขียนพวกมันขึ้นมา บางทีโทษที่ได้รับอาจมากเกินกว่ายี่สิบปีหรือผมอาจไม่มีลมหายใจจะกลับมาบอกรักคุณด้วยตัวเอง ดังนั้นไม่ว่ามันจะจำเจแค่ไหน ผมก็จะบอกว่าผมรักคุณ ผมรู้ว่าผมกำลังใช้คำที่มีความหมายอันลึกซึ้งพร่ำเพรื่อ แต่ไม่มีคำไหนที่จะอธิบายความรู้สึกของผมไปได้มากไปกว่าคำนี้แล้ว ได้โปรดให้อภัยผู้ชายน่าเบื่อคนนี้ด้วยนะครับ ผ่านมาจนจะครบยี่สิบปี โลกในตอนนั้นคงเปลี่ยนไปมาก คงจะมีรถเต็มทั่วท้องถนน คงจะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมากมาย แต่อย่างน้อย ขอแค่คุณเปิดอ่านจดหมายเก่า ๆ ฉบับนี้และอ่านมันเพียงแค่คำขึ้นต้น ผมที่อยู่ในเรือนจำคงจะมีความสุขมากเกินคณานับ
วันที่พวกเขาต้องกลับบ้านนั้นมาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ประหนึ่งชั่วพริบตาช่วงเวลาหนึ่งเดือนก็หมดลง กระนั้นแม้ตัวเขาจะกลับมาใช้ชีวิตบนเรือนนางรำอย่างปกติ กระนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขาและพ่อเสือสุพรรณยังคงดำเนินต่อไป "แบบนี้ผมคงคิดถึงแย่" "พูดแบบนี้แต่ยังไงผมก็ต้องกลับบ้านอยู่ดีนะครับ" พิภพตั้งใจพูดให้ตนนั้นดูน่าสงสารในสายตาโฉมงามแต่เพราะคงจะใช้วิธีนี้บ่อยเกินจนโดนแก้วจับไต๋ได้หมดแล้ว ช่วงเวลาหนึ่งเดือนพวกเขาได้ทำหลายอย่างร่วมกัน ตระเวนป่า ชวนกันไปเก็บผลไม้ หรือแม้แต่การนอนบนเตียงเดียวกันทว่าถึงอย่างนั้น แม่คนงามยังคงไม่อนุญาตให้เขาขยับความสัมพันธ์ไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งยังดูสนุกสนานที่ได้หยอกล้อปั่นหัวเขาเล่น แสนซนเหลือเกิน&nbs
ตรีศูลอยู่ที่นี่มาร่วมเดือนเริ่มสนิทกับทุกคนในชุมเสือมากขึ้น ยิ่งได้มารู้ว่าแต่ละคนผ่านอะไรมาบ้างในชีวิต ความเข้าใจที่มีเจตนารมณ์ของชายผู้เป็นมหาโจรยิ่งมากขึ้น เบื้องลึกเบื้องหลังของแต่ละคนช่างน่าเศร้า บางคนระหกระเหินเร่ร่อนมาจากแดนไกล บางคนเคยมีการงานที่ดีแต่หัวหน้าคดโกงใส่ร้าย หรืออย่างพี่ประไพที่เกิดมาในชุมเสือแต่แรก เพราะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสืออย่างใครเขา สาวเจ้าจึงอ่านเขียนไม่ได้ จะมีก็แต่คุณดิน คุณปลื้ม และเจ้าสิงห์ที่เรียนมา ว่าง ๆ ก็จะมาคอยสอนหนังสือ ทว่าเอาเข้าจริงทั้งสามคนก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากนักหรอก "แก้วสอนเก่งจัง" "พี่เรียนรู้ไวต่างหากจ้ะ" เนื่องจากเจ้าพี่ขอให้เขาสอนเขียนอ่านพื้นฐานให้บนชานเรือน ดีที่ที่นี่มีกระดาษเครื่องเขียนครบครัน เขาจึงสอนให้ได้อย่างไม่ติดขัดอะไร&n
ตรีศูลแม้ร่างกายยังคงหนักอึ้งและสะลึมสะลือเพราะฤทธิ์ยาแต่ตลอดหลายวันที่เขานอนซมอยู่บนเตียงเขารู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นที่เข้ามาเช็ดเนื้อตัวอยู่ไม่ขาด ทว่าเมื่อตอนที่เขาลืมตาตื่นชายคนนั้นก็มักจะมีกิจให้ต้องออกไปนอกห้องจนเขาไม่สามารถขอบคุณได้ ทว่าตอนนี้อาการเขาดีขึ้นมากแล้ว สามารถมีแรงกลับมาพาตัวเองลุกขึ้นนั่งได้โดยไม่ปวดหัว ร่างโปร่งในเสื้อผ้าตัวโคร่งปล่อยผมยาวสยายลงมาก่อนจะใช้นิ้วสางให้พอเรียบเป็นทรง มองซ้ายมองขวาสำรวจข้าวของภายในห้องก่อนจะรู้ว่าเจ้าของเป็นคนเรียบง่าย โต๊ะตู้เตียงล้วนเป็นของไม่ได้มีลวดลายหวือหวา ทั้งห้องยังโล่งโปร่งไม่มีเครื่องเรือนประดับเพื่อความสวยงามมากนัก *แอ๊ด* เสียงบานพับประตูดังขึ้นก่อนที่ชายร่างสูงใหญ่ในเสื้อผ้าอย่างง่ายจะเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ ทว่ากลับต้องตกใจเมื่อเห็นว่าโฉมงามที่นอนซมข้ามวันข้ามคืนมีแรงพอจะลุกขึ้นมานั่งขอบเตียงได้แล้ว&nbs
บนหน้าหนังสือพิมพ์หน้าแรกเมื่อหลายปีก่อนประกาศข่าวการจับกุมของเสือหินผู้เป็นดังจุดด่างพร้อยของวงการตำรวจ ไม่เคยมีใครสามารถควบคุมบุรุษผู้นี้ได้ทว่าท้ายที่สุดผู้ที่สามารถสวมกุญแจมือมันได้กลับเป็นลูกในไส้ของมันเอง ข่าวนี้แพร่สะพัดไปพร้อมกับความดีใจของปุถุชนคนทั่วไปโดยเฉพาะเศรษฐีผู้มากมีที่ต่างพากันโล่งใจ กกกอดทรัพย์สมบัติของตนซึ่งล้วนได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของผู้อื่น เพชรนิลจินดากองพะเนินในตู้นิรภัยมีที่มาจากเงินของชาวบ้านผู้หาเช้ากินค่ำ กว่าเขาจะได้พวกมันมากอดหอมมากมายจนล้นมือเช่นนี้มันผ่านการหลอกลวงมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ต้องหวาดกลัวเมื่อมีอ้ายอีหน้าไหนมันสะเหล่อตั้งตนเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เข่นฆ่าฉกชิงของในการดูแลไปเป็นสมบัติสาธารณะ แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะโจรผู้ร้ายได้ถูกจับ ไอ้พวกสิ้นไร้ไม้ตอกจะหาได้มีวีรบุรุษมาช่วยเหลืออีกต่อไป และของที่รักของเขาจะคงอยู่ตราบนาน
โฉมงามจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่อมีสุราอยู่ในร่างกาย นั่นคือสิ่งที่พิภพหาข้อสรุปได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมามากกว่าสิบครั้ง ที่ตาเทิดตาไฮ้เคยบอกว่าแม่นางรำขี้เมานั้นเป็นเรื่องจริงแบบที่ไม่ต้องหาหลักฐานอื่นใดมาพิสูจน์ เพราะเมื่อเขาลุกขึ้นมาจากพื้นกะจะไปล้างมือ แก้วจึงฉวยโอกาสคว้าขวดสุรากระดกประหนึ่งอดอยากปากแห้งมาจากไหน หันกลับมาอีกทีเจ้าตัวก็เมาแอ๋สิ้นสภาพปลดกระดุมปลดผ้าคลายร้อนนั่งกอดขวดแก้วยิ้มหวานเสียแล้ว เพราะเขากำชับว่าดื่มได้แต่ห้ามเมาเรื้อนอย่างคราวก่อนอีก ทว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ อีกฝ่ายพยายามหาลู่ทางจะกินให้ได้ท่าเดียว เขาล่ะเป็นห่วงเสียจริงหากเขาไม่อยู่ออกไปทำงานแล้วแม่นางรำจะเผลอไปสร้างเรื่องอะไรให้เขาต้องปวดหัวอีกบ้าง "งืม...อือ...พี่จ๋า น้องขออีกแก้วหนึ่งน้า" นั่น ขนาดหลับไปแล้วยังอุตส่าห์ขอมาได้อีก 
เข้าปีที่หกของการเป็นคุณครูในโรงเรียนรัฐบาล แม้จะมีเรื่องยุ่งวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน เพราะยิ่งสอนไปนานเข้า สนิทกับเด็ก ๆ บางวันที่ส่งการบ้านไม่ทันก็จะมีคนมาเคาะประตูบ้านส่งงาน เขาไม่ได้คิดมากหากเด็ก ๆ จะแสดงความรับผิดชอบแบบนี้ แต่ปัญหาจะเกิดก็ต่อเมื่อพี่ดินกลับมาบ้าน เข้าใจว่าพอเด็ก ๆ เปิดประตูมาเจออดีตนายทหารสูงใหญ่ขนาดนั้นจะกลัวก็ไม่แปลก ทั้งยังโดนดุอีกว่าทำไมให้เด็กนักเรียนรู้ที่อยู่ สุดท้ายจึงต้องแก้ปัญหาด้วยการสั่งการบ้านเท่าที่จำเป็นและกำชับว่าให้ส่งตรงเวลาแม้จะมีบางคนที่ต้องเคี่ยวเข็ญกันบ้างก็ตาม "เฮ้อ..." ตรีศูลทอดถอนลมหายใจออกมาตั้งแต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกจากประตูรั้ว ไม่รู้ว่าต้องทำงานหนักแบบนี้ไปอีกเมื่อไหร่ เขาสนุกที่จะได้ตื่นเช้ามาเจอเด็ก ๆ แต่มันยังมีภาระงานอื่นเข้ามาด้วยจนต้องปันเวลาตรวจงานไปให้กิจกรรมโรงเรียน มิน่
เพราะอยู่บ้านกันเพียงสองคน งานบ้านจึงต้องแบ่งกันทำ ทว่าพี่ดินก็มีบ่อยครั้งที่ต้องเดินทางไปกลับพระนครชุมพร เขาที่ทำงานตามเวลาราชการในช่วงที่เจ้าตัวรับงานจึงต้องทดแทนหน้าที่ในส่วนนี้ กระนั้นเจ้าพี่ก็ยังใจดี บอกไม่ต้องถูบ้าน เช็ดทำความสะอาดเครื่องเรือนบ่อยนัก ทำเพียงซักผ้ารีดผ้าให้อีกฝ่ายเท่าที่จำเป็นก็พอ แต่ปัญหาที่ยังแก้ไม่หายตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่วิทยาลัยคือคราวที่จะต้องยกตะกร้าผ้าลงมาจากชั้นสอง เพราะตะกร้าของพ่อนักแสดงแม้จะมีประมาณผ้าผ่อนจำนวนพอกันกับเขาแต่พี่ดินตัวใหญ่อย่างกับยักษ์สวมเสื้อตัวเบ้อเร่อ ยิ่งเปียกน้ำยิ่งหนัก ไม่ต้องพูดถึงในตอนที่พี่ดินยังรับราชการทหาร แค่เอาชุดสีเขียวตัวเดียวจุ่มน้ำมาถือเขายังเมื่อยแขนเลย มายังปัจจุบันค่อยดีหน่อยที่มีแต่ผ้าเนื้อเบา แต่เมื่อตอนนี้นักแสดงดาวรุ่งกำลังทำงานอยู่ที่ไหนสักที่ในเมืองหลวง เขาที่อยู่ชุมพรเพียงลำพังจึงต้องใช้สำนวนตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเค้นพลังจากกล้ามเนื้อที่มีอยู่น้อยนิดแบกเจ้าตะกร้าจักสานลงมาจา
"ทำไมเราถึงหยุดล่ะฮึ?" พิภพถามในเมื่อแม่นางรำก่อนมื้ออาหารยังชักชวนไยเมื่อถึงคราวจึงปัดป้อง "ตอนนี้ทำไปเดี๋ยวก็มีคนมาขัดจังหวะอีก ไว้เดี๋ยวคืนนี้เรา...ค่อยมาทำกันนะครับ" ตรีศูลแน่นอนว่ายังคงไม่วางใจในเรื่องนี้ ช่วงกลางวันแม่บ้านพ่อบ้านเดินกันไปมาตลอด จนเขาใจหวิวกลัวใครจะมาเห็นเข้า หากเป็นตอนกลางคืนค่อยดีขึ้นมาหน่อยเพราะต่างคนต่างเข้านอนกันหมดแล้ว พิภพเมื่อได้ยินดังนั้นจึงยอมโอนอ่อนตามที่แม่คนงามต้องการ เขาไม่ขัดอะไรอยู่แล้วหากจะเลื่อนมันออกไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทว่าก่อนจะแยกย้ายกันไปจัดการธุระของตัวเองเขาขอทิ้งทวนเอาไว้เสียหน่อย "พี่ดิน! ทำอะไรครั-*จุ๊บ*&nb