"มาหาผมเรื่องอาจารย์ใช่ไหมครับ?"
พิภพพยักหน้าตอบรับไปอย่างไม่อาย นายทหารร้อยเอกวัยสามสิบสี่ปีเคร่งเครียดหนัก เขายอมทิ้งวันหยุดอันมีค่าเพื่อพาตัวเองมาอยู่ตรงหน้าศิษย์เอกครูแก้วก็เพื่อปรึกษางานในอีกวันข้างหน้า
หนุ่มนพนั่งจิบกาแฟหวานพลางมองตาลุงที่หลงครูตัวเองหัวปักหัวปำก็นึก
'ถ้าอาจารย์โชคร้ายเผลอสะดุดล้มอะไรเข้า คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าโชคดีไปอยู่กับใคร'
เล่นมีทหารรับราชการมาสนใจแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ใครเขาจะทำกันได้ง่าย ๆ
"ประเด็นคือคุณลุงทหารต้องพูดตรง ๆ " นพปรับสีหน้าเชิดมองคู่สนทนา "อาจารย์น่ะ เกลียดคนโกหกที่สุดเลย"
เกลียดคนโกหก...พิภพนั่งกุมมือตกผลึกกับตัวเอง แล้วไม่ใช่ว่าเขาตอนนี้กำลังโกหกอยู่หรืออย่างไร
ชายร่างใหญ่ในเชิ้ตขาวนั่งถอนหายใจกับผลลัพธ์ที่น่าจะเกิดขึ้นแน่ ๆ เราสนทนากันมากกว่านั้นทว่านั่นเป็นประโยคสำคัญที่ยังคงแล่นวนอยู่ในหัวจนกระทั่งเขาเตรียมจะออกไปวิ่ง
'วันนี้เขาจะไปดีรึเปล่า'
เพราะเขารู้ตัวเองดีว่าการออกกำลังกายนี้มันมีจุดประสงค์แอบแฝง เขารู้สึกผิดในทุก ๆ วันทว่าก็เลือกเมินเฉยต่อมันและ
พิภพสาวเท้าด้วยความเร็วกว่าปกติแม้ยังเหลือเวลาอีกเกือบตั้งหนึ่งชั่วโมง เดินไปกะจะหาที่นั่งรอเวลาทว่าก็ดันมีสองตาจากที่ไหนไม่รู้กำลังแบกไม้กระดานมาด้วยความทุลักทุเล พิภพจึงไม่มีทางเลือกนอกจากอาสาเข้าไปช่วย จนได้มารู้ว่าสองตาคนนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มประกอบเวทีสำหรับเปิดงาน"เอ้อ ๆ ใจหลายนะพ่อหนุ่ม""ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี""เอ้า หนุ่มเป็นคนกรุงรึนี่ ฮ่าฮ่า ๆ " ชายแก่กล่าวเสียงเหน่อใต้กลั้วหัวร่อเสียงดัง"ดูก็รู้แล้ว ชุดแบบนี้คนแถบนี้หาใส่ยาก ฮ่า ๆ "พิภพหัวเราะแห้ง ๆ ตามประสาพลางจัดแขนเสื้อที่ถกขึ้นมาตอนช่วยขนท่อนเหล็กมาต่อกัน คนแถบนี้อารมณ์ดีจริง ๆ เขาคิดไปเรื่อย"ตาเทิด ตาไฮ้ นั่นใครเหรอจ๊ะ"เสียงทุ้มหวานแว่วมาแต่ไกล ชวนให้คนในชุดทหารหันไปมอง ทันใดนั้นพิภพจึงรู้สึกเหมือนเวลาหยุดลงชั่วขณะ ปอยผมที่พลิ้วตามแรงลม ผ้าลูกไม้เงาผูกพาดตั้งแต่หัวไล่ลงมาเป็นโบใหญ่ใจกลางอก ผ้าปาเต๊ะลายพร้อยเน้นผิวเนียนกริบให้สว่างเตะตา"อ้าว เจ้าแก้ว มาไวแท้ ฮ่า ๆ แล้วทำไมเอ็งไม่สวมแว่นเล่า จะมองเห็นไหมล่ะนั่น ฮ่า ๆ""พอดี
ยามนี้เป็นเวลาย่ำค่ำเหล่าลูกศิษย์ลูกหาต่างพากันกลับไปหมดแล้ว การสอนสำหรับออกงานเป็นไปได้ด้วยดี เขาดีใจที่มีคนว่าจ้างเด็ก ๆ ของเขา ช่วงนี้จึงง่วนอยู่กับการคิดการแสดงและส่งจดหมายคุยกับวงปี่พาทย์ทว่าเมื่อคิดถึงดนตรีครูแก้วคนงามก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อก่อนเรือนนี้ไม่ได้มีแต่นางรำ ทว่ากลับมีพ่อครูผู้ชำนาญดนตรีคอยสั่งสอนและภรรยาของเจ้าตัวเป็นคนสอนท่าทว่าเมื่อทั้งสองเสียไปเขาจึงขึ้นมารับช่วงต่อแทนในฐานะของลูกบุญธรรม เพราะลูกชายแท้ ๆ ของทั้งสองขอตัวไปเรียนที่เมืองหลวง กว่าจะกลับมาสืบทอดเรือนคงร้างไปเสียก่อนหากได้เจ้าตัวมาอยู่คอยช่วยคุยคงจะดีไม่น้อย เพราะถึงเขาจะเป็นนางรำอยู่คู่กับนักดนตรีก็ใช่ว่าจะรู้ไปเสียทุกเรื่องตรีศูลถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สอง พลางยืดเส้นยืดสายเตรียมจะซ้อมท่าของตัวเองสำหรับงานส่วนตัวที่ได้รับมา ครั้งนี้เป็นการรำบูชาพญานาคซึ่งผู้ว่าจ้างเขาย้ายถิ่นฐานจากอีสานมาตั้งรกรากที่ชุมพรและพกเอาความเชื่อนี้มาด้วย นับเป็นอีกงานที่ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง เพราะไม่ได้ใช้ท่าของภูมิภาคอื่นมาพักใหญ่แล้วนี่เองคงจะเป็นเสน
"นี่ เล่ามาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น"ตรีศูลนั่งกอดอกมองสามแสบ นพ สิงห์ ศร ที่กำลังนั่งคุกเข่าเตรียมรอรับความผิดอยู่ด้วยสายตาที่เลิ่กลั่กไม่ต่างกันเท่าไรนักจนเหตุการณ์ทั้งหมดขมวดปมได้ว่าเจ้าสิงห์มันเห็นว่าคุณดินมองตัวเขาบ่อยเลยอยากแกล้งเล่น จึงลองใจโดยการเข้าทำเป็นสนิทชิดเชื้อกับเขาตลอดทั้งงานส่วนเจ้าศรไม่รู้เป็นไงมาไงเด็กดีคนนี้ถึงโกรธเกลียดเจ้าสิงห์มันนัก อยู่ ๆ ก็มองเขม่นใส่ พูดจาไม่ไพเราะอย่างเคยหนักสุดเห็นจะเป็นเจ้านพศิษย์เอกที่สารภาพออกมาหมดทุกอย่างว่าตัวเองคอยเป็นเบื้องหลังสนับสนุนคุณดินหรือ'ลุงทหาร'อย่างที่เจ้าตัวเรียก เพื่อจะผลักดันให้คุณมาเป็น'องครักษ์พิทักษ์ครูแก้วจากตาแก่พรเทพ' เป็นชื่อที่ได้ยินก็แสลงหูแล้ว ถึงจะรู้ว่าไม่ชอบหน้าอย่างไรแต่เขาก็คือคนที่ให้เงินเรามานะ!"เฮ้อ ศรครั้งนี้พี่ให้อภัย ส่วนอีกสองคน..."นพกับสิงห์ขนลุกซู่เมื่อดวงตาเรียวยาวตวัดมองมาทางพวกเขา"ให้เลือกระหว่างไม้เรียวอันนี้กับทำความสะอาดเรือนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เลือกมา"ลูกศิษย์สองสะดุ้งเฮือก พวกเขารู้ซึ้งดีถึงอานุภาพของไม้ก้านบาง ๆ
"เชิญคร้าบ เชิญนั่งเลยนะคร้าบ"ปลื้มปีติยิ้มต้อนรับแขกคนพิเศษหน้าบาน วาดมือนำโฉมงามมานั่งลงที่โต๊ะรับแขก จัดเตรียมขนมเพียบพร้อมกับชาร้อน ๆ สำหรับหน้าฝนที่อุณหภูมิลดลงต่ำ"กระผมดีใจจริง ๆ ที่จะมีนางฟ้ามาช่วยงาน"นายสิบกุมมือทั้งสองข้างของนางรำหนุ่มยกขึ้นลงเป็นการขอบคุณอย่างสุดซึ้งเพราะเขาเองก็แก้เอกสารมาไม่ต่ำกว่าสิบรอบได้แล้ว แต่เบื้องบนก็ยังไม่อนุมัติงบให้เสียทีจนต้องมาพึ่งวิธีเรี่ยไรเงินแบบนี้นี่แล"ขออภัยที่แนะนำตัวช้าครับคุณแก้ว ผมสิบเอกปลื้มปีติ วิภา เรียกปลื้มก็ได้ครับ เป็นรุ่นน้องของร้อยครับ"นายทหารร่างสันทัดกล่าวเสียงเจื้อยแจ้ว แล้วจึงรินน้ำใส่แก้วให้แขกคนสำคัญดื่ม"ครั้งก่อนผมมารบกวนไว้เยอะเลย ต้องขอโทษด้วยนะครับ"ตรีศูลกระชับเสื้อแขนยาวกันหนาวโน้มตัวกล่าวด้วยความจริงใจ ในวันนั้นเขามาด้วยอารมณ์เลยอาจพลั้งพลาดเสียมารยาทไป"แหม ๆ ไม่เป็นไรเลยครับ พวกผมเข้าใจถึงความเป็นห่วงในฐานะผู้ปกครองดี""แล้วเรื่องที่เรียกผมมาวันนี้...""ยุทธกีฬาครับ"ร้อยที่ยืนจัดเรียงเอกสารอยู่หน้าโต๊ะกล
ตกเย็นมาร้อยเอกที่จัดการเอกสารทุกอย่างครบแล้วก็ได้เวลาออกจากสถานที่ทำงาน พิภพตอนนี้แม้ภายนอกจะดูเป็นคนมาดดุแต่ก็เป็นที่นับหน้าถือตาของคนภายในโรงเรียน มีคนทักทายบ้างประปรายจนทำให้เขานึกถึงนางรำหนุ่มที่มีคนรู้จักแทบจะทั้งชุมชนก็อดอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้เมื่อนั้นพิภพก้มหน้าเอามือป้องปากเพื่อไม่ให้ใครเห็นว่าเขาเป็นบ้าเพราะยิ้มอยู่คนเดียวไปเสียก่อน ทันทีเมื่อหางตาชำเลืองไปเห็นว่าปลายทางเป็นเรือนไทยดังจุดหมายจึงสาวเท้าให้ไวกว่าเดิมจนในที่สุดก็มาถึงเสียทีเสียงระนาดดังมาจากบนเรือนผสานกับเสียงนับจังหวะของคนที่คุ้นเคย รองเท้าหนังสีดำขลับจากที่เดินลงน้ำหนักมาตลอดกลับค่อย ๆ ก้าวขึ้นเรือนมาอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงจนเมื่อหัวโผล่พ้นบานกั้นพิภพจึงตาเบิกโพลง เมื่อมองไปยังนางรำหนุ่มที่กำลังนำนักเรียนอยู่ ท่วงท่ายังคงลื่นไหลและสวยงามอย่างเคยจนคนมองได้แต่เคลิบเคลิ้มมองเสียจนนักดนตรีที่เดี่ยวระนาดอยู่สังเกตเห็นสิงห์ที่นั่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากหน้าบันไดมากได้เห็นผู้มาใหม่ก็ยกยิ้ม นพบอกเขามาหมดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่สิงห์ตัดสินใจทำคือการหยุดเพลงระนาดไปเสียดื้อ ๆ ทำเอ
ตรีศูลในวันนี้ตั้งใจตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำอาหารเองกับมือสำหรับให้เจ้าศรน้องน้อยได้ทานหลังจากแสดงมาเหนื่อย ๆ ตอนพักกลางวัน ผมเผ้าจากที่รวบแบบหยาบ ๆ เช้านี้เป็นมวยกลมรวบผมขึ้นไปจนหมด มือคู่สวยจัดการตั้งไฟกระทะราดน้ำมันด้วยแววตาอันมุ่งมั่น ทว่าท้ายที่สุดผลลัพธ์ของการตื่นตีสี่มาทำอาหารเองก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จากวัตถุดิบอันเลอค่ากลายเป็นตอตะโกดำมิดหมีนางรำหนุ่มกุมขมับและตระหนักได้ว่าตนเองเป็นนางรำมีหน้าที่รำ ดังนั้นอาหารจึงเป็นหน้าที่ของพ่อครัว คิดแล้วก็ตัดสินใจหยิบกระเป๋าเงินวิ่งไปตลาดซื้ออาหารสำเร็จตามแผงมาอุ่นไว้แทน"พี่ตรี ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจัง?"อดิศรที่พึ่งออกมาจากห้องน้ำยกผ้าขนหนูซับหัว
'ถ้าสารอาหารคุณไปหากินที่อื่นก็ได้นะครับ ไม่ต้องมาตรงนี้''ผมนั่งตรงนี้แล้ว จะลุกไปเฉย ๆ คงจะเสียมารยาทกับครูแก้วเปล่า ๆ ครับ''เก้าอี้คุณก็มีให้นั่ง ทำไมไม่นั่งล่ะครับ''ลูกศิษย์คุณเสื่ออื่นก็มีตั้งเยอะแยะ ทำไมมานั่งเสื่อนี้ล่ะครับ'ในขณะที่สองหนุ่มจ้องไฟแทบลุก เมื่อพิภพเผลอก็เป็นฝ่ายของพรเทพที่ได้จานตรงกลางไปครอบครอง เศรษฐีหนุ่มหันมายิ้มเยาะกับนายทหารยศร้อยเอกไปหนึ่งทีก่อนจะก้มลงไปละเมียดตักแบ่งข้าวและกับขึ้นมาชิมอย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่พิภพต้องตกอย
ตรีศูลขอตัวออกมาชำระล้างร่างกายที่เปียกปอนไปทั้งตัว แม้มือจะสามารถขยับได้ปกติดีแล้วแต่อาการวิตกในใจก็ยังไม่จางหายไป มือปรางค์เท้าร่างเปลือยเปล่ากับขอบโอ่งยันตัวเองเอาไว้ไม่ให้เป็นลมไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นส่องกระจกแขวนแล้วจึงเห็นสภาพขอบตาตัวเองแดงรื้น'อายุปูนนี้แล้วยังร้องไห้กับเรื่องเก่า ๆ อยู่อีกนะเรา'ร่างโปร่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนรีบจัดการตักขันน้ำรดตัวสระผมล้างร่างกายให้สะอาดนุ่งผ้าขาวม้า ก่อนจะมารู้ตัวว่าเขาลืมหยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนติดมือด้วยมา ตรีศูลเลิ่กลั่กเสื้อตัวเก่าก็อยู่ที่ตะกร้าด้านนอกทั้งยังปนกับผ้าเหม็นไปแล้ว แถมคุณดินยังอยู่ในห้องเขาจะเข้าไปเปลี่ยนตามปกติแม้พวกเราจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่เขาก็อายอยู่ดี *แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก* ตรีศูลที่ตีกับตัวเองอยู่หน้าห้องน้ำหูกระตุก เร่งไฟตะเกียงเดินออกมายังใจกลางเรือนก่อนจะพบว่าที่หน้าห้องนอนตัวเองได้มีแม่แมวกับลูก ๆ ของมันราวกว่าสิบตัวตะกุยประตูอยู่*ม้าว* เสียงใสของเหล่าลูกแมวร้องประสาน ตรีศูลที่เห็นภาพนี้จนชินตาจึงวางทุกอย่างเดินไปหน้าห้องเก็บลูกแมวข
เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง เป็นป้าทูลที่มาเคาะปลุกพร้อมนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ แม้หญิงเจ้าจะบอกว่าเป็นเสื้อที่กะวัดด้วยสายตาแต่มันกลับพอดีตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาชักจะแปลกใจขึ้นทุกทีเมื่อได้เห็นบริการอันเกินจินตนาการของคนงานบ้านนี้ตรีศูลวันนี้นัดเพื่อนเก่าเอาไว้ที่สถานี ทีแรกเขากะจะไปเองเพราะเมื่อวานก็พอจำทางได้แล้วแต่คุณลุงคนขับที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินออกจากเขตบ้านก็ส่งสายตาวิบวับเป็นประกาย"ให้ผมไปส่งคุณหนูนะครับ""ไม่เป็น-"รับทราบครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปเตรียมรถรบกวนรอสักครู่นะครับ"ไม่ทันที่ตรีศูลจะได้ปราม คุณลุงก็วิ่งแจ้นออกไปยังลานจอดโดยทิ้งเขาไว้แต่เพียงผู้เดียว บรรยากาศแบบนี้ชวนให้นึกไปถึงมื้อเช้าที่หากคนใช้ทั้งหลายป้อนได้คงจับช้อนป้อนแล้ว'คุณหนูทานนี่สิคะ ป้าทำเองกับมือ''คุณหนูรับขนมเพิ่มไหมคะ กว่าจะไปถึงสถานีคงหิวแย่''คุณหนูจะไปเจอเพื่อนเก่าเหรอคะ มานี่มาเดี๋ยวยายทำผมให้'โดยเหตุการณ์ข้างต้นเจ้าศรก็โดนไม่ต่างกัน ด้วยนิสัยอันสงบเสงี่ยมน่ารักน่าเอ็นดูมาแต่เด็กแม้จะไม่ใช่ทายาทต
ร่างสูงสันทัดก้าวเดินด้วยความมั่นคงไปตามพื้นกระเบื้องเงา เสียงรองเท้าหนังเคาะเป็นจังหวะกระชับตามวิถีก้าวอันรวดเร็ว แม้จะเป็นเวลาเช้ามืดนอกจากผู้มารอรถแล้ว จำนวนพนักงานยังคงบางตา คนในชุดกากีพร้อมหมวกหม้อน้ำตาลหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้กลมแววตาคมคร้ามจ้องมองไปยังทางรถไฟอย่างเหม่อลอย เขามักจะมาก่อนใครและกลับเป็นคนสุดท้ายเสมอ"ไอ้ด้วง มาเช้าอีกแล้วนะเอ็ง พักบ้างก็ได้ ฮ่า ๆ "เพื่อนคนสนิทเดินเข้ามาคล้องคอชิดเชื้อถูไถหน้าไปมา"เอ็งอย่ามาจับน่า รำคาญ""กะจะเก็บไว้ให้เมียจับอย่างเดียวเลยสิ!""เมียอะไรไอ้แผน กูไม่คิดจะมี"เจ้าของชื่อทำหน้ามุ่ย นั่งยองลงกับพื้นเงยหน้าสบตาพ่อหนุ่มหน้ายักษ์ นับตั้งแต่รู้จักการตอนเป็นพนักงานฝ่ายปฏิบัติก็ไม่เห็นเจ้าตัวจะใฝ่รักหญิงสักคน ทั้ง ๆ ที่มันเองก็ใช่ว่าจะไม่มีสาวมาวอแว"แล้วคนที่เอ็งรอเขากลับมาอยู่เนี่ย ไม่ได้กะจะเอามาทำเมียรึ?""เงียบได้แล้ว คนอื่นเขามอง""แหม เนียนเลยนะ"แผนลากเสียงยาวยกมือป้องปากแซะแซวเพื่อนขี้เก๊กด้วงบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ เบนหน้าเมินสายตาของเพื่อนร่วมงานท
"หลานไปก่อนนะจ๊ะตา"ตรีศูลเดินลงมาหาตาเทิดตาไฮ้ที่อาสารับหน้าที่ดูแลเรือนตลอดการไปศึกษาของเจ้าของคณะ"เอ้อ ๆ ไปดีมาดีล่ะ" ตาเทิดรับไหว้หลาน"อย่าไปนอกใจไอ้เสือมันล่ะ ฮ่า ๆ เดี๋ยวได้โดนมันจับขังอีกหรอก""ตาละก็!"ตาไฮ้แซะแซวหลานสุดที่รัก พวกเขาไปได้ยินเรื่องวีรกรรมของเจ้าหลานเขยคนนี้มาแล้วเป็นที่เรียบร้อยตรีศูลได้ยินก็ยิ่งอายเขาจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไรเล่า แม่นางรำโกรธพิดพัดกอดอกไม่พอใจเป็นที่ขบขันแก่สองตาช่างแกล้ง ส่วนอดิศรที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เป็นที่เอ็นดูไม่แพ้กัน เห็นสงบเสงี่ยมแบบนี้เจ้าศรเองก็สนิทกับสองตาพอสมควร"ไว้ผมจะกลับมาหานะครับ"เด็กชายกล่าว แม้เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในคณะเหมือนพี่ชาย แต่อย่างไรที่แห่งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในความทรงจำที่เขาจะไม่มีวันลืมพี่น้องทั้งสองเมื่อกล่าวลาผู้อาวุโสเสร็จจึงเดินไปยังประตูรั้วหน้าเรือนที่ถูกเปิดเตรียมเอาไว้ ตรีศูลเงยมองหน้าพ่อทหารที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว"รีบไปเถอะครับ ป่านนี้นพคงบ่นแล้ว"คุณครูนาฏศิลป์คำนึงถึงลูกศิษย์ตัวเองที่ขี้โวยวายเป็นที่หนึ่ง พร้อมก
วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีแน่นอนว่าหากเป็นวันในสัปดาห์เช่นนี้พิภพจำต้องออกไปทำงาน ทว่านั่นหาใช่ประเด็นไม่ เพราะเย็นวันนี้เป็นวันที่เขาจะต้องไปส่งคนรักขึ้นรถไฟพร้อมกับเด็ก ๆพิภพนั่งตวัดข้อมือร่างเอกสารไปอย่างเหม่อลอย เพียงคิดภาพที่ต้องไกลห่าง ความรู้สึกคิดถึงก็ผุดขึ้นมาเสียแล้ว ตลอดหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาตื่นเต้นในทุกเย็นหลังเวลาเลิกงานเมื่อรู้ว่าจะได้กลับไปสอนหนังสือแม่นางรำ ดังนั้นช่วงเวลางานในหัวเขากลับเอาแต่คิดแต่วิธีการสอน ไม่ก็มัวแต่จดจ่อกับการตระเตรียมเอกสารการเรียนให้แก้วจนบางครั้งเกือบไม่เป็นอันทำงานเพราะหากเจ้าตัวสอบติดวิทยาลัยพระนครหมายความว่าแก้วจะได้เป็นฝ่ายมาอยู่บ้านของเขา ซึ่งนับเป็นหนึ่งในเรื่องที่เขาอดใจรอแทบไม่ไหวเช่นกัน มันจะดีสักแค่ไหนกันเชียวหากได้เห็นโฉมงามเดินทำกิจภายในบ้านตนเอง"เหม่ออีกแล้วนะครับ"ปลื้มที่เดินเอารายงานมาให้ตรวจทักขึ้น ไม่รู้ทำไมช่วงนี้รุ่นพี่เขาถึงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ แต่คงจะเป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ตามเคย ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะสามารถเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้"มีเรื่อง
เดินเข้าไปใกล้ศาลาการเปรียญเรื่อย ๆ ผู้คนก็เริ่มชุกชุม เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กน้อยชวนให้ตรีศูลรู้สึกสบายใจขึ้นมาเป็นเท่าตัว มองเข้าไปก็เห็นคุณนายผอ.กำลังยืนพูดอยู่หน้าแถว ก่อนที่เจ้าตัวจะทำท่ากวักมือมาทางพวกเขา"พี่ต้องไปแล้ว ส่วนแก้วพี่ว่าเรานั่งพักสักหน่อยก็ดีนะครับ"พิภพที่ต้องไปทำหน้าที่ยังไม่วายเป็นห่วงโฉมงาม ตรีศูลเลือกหย่อนกายลงม้านั่งโบกมือเบา ๆ ส่งพ่อทหารแล้วจึงมองตามแผ่นหลังนั้นไปยังหน้าศาลาด้วยความขัด ๆ เขิน ๆ เล็กน้อยจากความไม่คุ้นชินในศัพท์คำพูดตอนนั้นจนถึงตอนนี้ตรีศูลไม่รู้จะขอบคุณพ่อทหารอย่างไรดี หากไม่มีเจ้าตัวเข้ามาเผลอ ๆ เขาอาจจะต้องระทมทุกข์ไปกับความทรงจำอันเลวร้ายนั่นตลอดทั้งชีวิตแม่นางรำนั่งเรียบร้อยใช้สายตาทอดมองไปยังหน้าเคหสถาน เห็นคนรักกำลังพูดชมเชยเหล่าสมาชิกยุวชนทหาร เสียงทุ้มเมื่ออยู่ในหน้าที่พูดจาฉะฉานตรงประเด็นสมกับสัมมาอาชีพ แม้ตนจะไม่ได้ไปยืนอยู่ ณ ตำแหน่งนั้นก็รู้สึกภูมิใจแทนเสียจนต้องอมยิ้มออกมา ผู้ชายอะไรครบเครื่องจริง ๆ ดังนั้นเขาจะต้องพัฒนาตัวเองไม่ให้น้อยหน้า ชักจะมีกำลังใจในการเรียนขึ้นมาแล้วสิ&
ตรีศูลในตอนนี้กำลังหาย่ามที่น่าจะมีขนาดใหญ่มากพอสำหรับการขนของ ไม่ใช่การจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางไปพระนครเพราะเขายังคงเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนในการเตรียมตัว แต่เขากำลังจะไปพูดคุยกับคุณนายผอ.เรื่องเรียนต่อเพิ่มอีกสักหน่อย ยิ่งเวลาที่เข้าใกล้มาเรื่อย ๆ ก็ชวนให้เขาตื่นเต้นไม่ใช่น้อย หลายวันมานี้เขาขอหนังสือเจ้าศรน้องน้อยมาอ่านระหว่างวัน เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็สุดแล้วแต่บุญแต่กรรมแม่นางรำถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขารู้ดีว่าที่ตนอ่านหนังสือไม่เข้าหัวไม่ใช่เพราะเนื้อหาแต่เป็นเพราะเขาหาเวลาอ่านไม่ได้ต่างหาก ยิ่งต้นปีหลายบ้านหลายนายจ้างล้วนมีกิจทั้งนั้น แต่ละคนก็เข้ามาจ้างงานจนตารางแทบชนกัน ขนาดมีนพเข้ามาช่วยอย่างเต็มตัวภาระก็ยังคงหนักอยู่ดี กลายเป็นว่าอ่าน ๆ อยู่แล้วก็โดนเคาะเรียกให้ออกไปเก็บท่าบ้าง เพิ่มท่าบ้าง แปรแถวบ้างจนตัวหนังสือที่อ่านมาไหลออกไปจากหัวจนหมด แล้วแบบนี้ยังจะมีหน้าไปเรียนพระนครอีกแต่วันนี้เขาตั้งใจว่าจะไปหาคุณนายผอ.ถามเรื่องหนังสือโดยละเอียดอีกครั้ง ต่อให้ต้องเข้าไปนั่งเรียนกับเด็กวัยกระเตาะเข้าเขาก็ยอม"แก้ว เราจะไหวแน่เหรอ?"ชายค
พิภพเอนหลังปล่อยกายพิงพนักให้สบาย หรี่ตามภาพแผ่นหลังของแม่นางรำโฉมงามที่เตรียมตัวจัดท่าจัดทางให้เข้าที่พร้อมขึ้นแสดง นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้มานั่งดูเจ้าตัวรำอย่างเป็นกิจจะลักษณะนอกจากจะเห็นฝึกซ้อมอยู่บนเรือน เท่าที่จำได้คงเป็นงานวันชาติกระมังที่เขาได้เห็นเจ้าตัวแต่งองค์ทรงเครื่อง แล้วก็คงมีอีกครั้งในตอนที่เขาตื่นมาจากการหลับใหลหลังผ่านสมรภูมิรบมาหากให้เทียบแล้วการได้มองคนงามซักซ้อมแม้จะใช้ท่วงท่าเดียวกันแต่มันคนละเรื่องกับการที่ได้มาเห็นเจ้าตัวครบองค์เช่นนี้เสียงบรรเลงระนาดเอกขึ้นพร้อมกับฝีเท้าบางซอยถี่วาดลวดลายเข้าไปยังใจกลางวงเสียงกระพรวนข้อเท้าแม้จะแผ่วเบาเมื่อเทียบกับปี่ที่เล่นอยู่ทว่าเมื่อผสานกันแล้วกลับเสนาะหูยิ่ง อุบะทัดหูเอนเอียงไปตามกรอบหน้างามเมื่อเจ้าของร่างบางกดเอวเบี่ยงกาย สายตาคู่สวยเชิดมองไปยังเหล่าคนดูที่แม้จะพร่ามัวแต่ก็จับได้ว่าพวกเขากำลังมองมาด้วยใบหน้าผ่องใสพิภพมองร่างผอมเพรียวอย่างเคลิบเคลิ้มสดับฟังท่อนร้องที่เอื้อนเอ่ยตามทำนองฉุยฉายเอยเจ้าช่างจำแลงแปลงกายงามคล้ายบุษบาหน้าเป็นใ
ตรีศูลที่กลับมาจากการอาบน้ำผลัดผ้าเข้าในห้องนอน ระหว่างรอตัวแห้งสนิทก็มาจัดแจงเครื่องแต่งกายประจำวันนี้เพราะในอีกไม่กี่ชั่วโมงเขาจะต้องไปออกงานรำขึ้นบ้านใหม่ของพ่อเศรษฐีนายจ้างเจ้าประจำโฉมงามหยิบต่างหูเคลือบแผ่นทองขึ้นมาส่องกับกระจกโต๊ะเครื่องแป้งเทียบเคียงความเหมาะสมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจเลือกต่างหูเต่าร้างที่เล็กกว่าแล้วจึงค่อยเก็บอีกคู่ลงกล่องไม้ไป ดวงตาคู่สวยผัดผินลงมามองเสื้อยืดสีขาวก่อนจะยกมือขึ้นมาปลดกระดุมทว่าเมื่อเหลือบสายตาไปมองยังขอบเตียงข้าง ๆ กลับต้องเอ่ยคำถามขึ้นมาแก่ชายที่ทำเป็นเนียนนั่งอ่านเอกสาร"คุณดินทำไมถึงยังนั่งอยู่ในนี้เหรอครับ?"ตรีศูลหันกลับไปถามพ่อทหาร ที่ตั้งแต่เช้าก็ดูจะปักหลักอยู่ในหอนอนแทนที่จะออกไปนั่งจิบกาแฟทำงานตากลมเย็นข้างนอกอย่างเคย"แล้วทำไมผมจะอยู่ไม่ได้ล่ะครับ?"นายทหารถามยอกย้อนคล้ายว่าการนั่งในห้องนี้แอบแฝงไปด้วยจุดประสงค์บางอย่าง"ผมจะแต่งตัว""เราก็แต่งไปสิ""ผมอาย""จะอายทำไม พี่เห็นเรามาทั้งตั-"ไม่ทันที่นายทหารจะได้กล่าวจบก็ถูกเจ้าของเรือนไล่ออก
พิภพวิ่งออกจากเรือนถือซองเอกสารที่ทำค้างไว้ด้วยความเร่งรีบ นาฬิกาข้อมือเขาก็ลืมสวมต้องคอยอาศัยมองนาฬิกาตามร้านค้ารายทางเอาเพื่อดูเวลา จนในที่สุดก็มาทันถึงก่อนเก้าโมงอย่างฉิวเฉียดนายทหารหอบแฮกอยู่หน้าสำนักงานแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากเรือนเพราะเห็นว่าครึ่งชั่วโมงเขาจะเข้างานสาย แล้วก็ด้วยนิสัยตั้งต้นของเขาจึงทำให้ร่างกายมันขยับอย่างเป็นไปเอง คนในชุดสีเขียวแก่นั่งยองพักเหนื่อยจนผมที่จัดมาอย่างดีทิ้งปอยลงมาปรกหน้าผาก ก่อนที่พิภพจะเงยหน้าขึ้นมาดูตึกอาคารที่เขาต้องมาใช้ชีวิตการทำงานหลังจากนี้ตึกไม้เก่ายกสูงชั้นเดียวสะอาดตาและป้ายแกะสลักข้อความ 'กรมทหารราบ' นั่นทำเอาพิภพคิด ถ้ากรมทหารมันจะใกล้โรงเรียนขนาดนี้ส่งคนมาช่วยเป็นครูฝึกมันยากมากนักรึไง ปล่อยพวกเขาทำงานง่ก ๆ กันอยู่สองคนเป็นปีพ่อทหารถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง เดินขึ้นบันไดไม้ใบพลางมองเครื่องเรือนอย่างง่ายที่อยู่นำออกมาตั้งประดับให้พอมีจุดเจริญสายตา เขาหวังว่าวันนี้จะไม่มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้น-*ซ่า* ไม่ทันที่นายทหารจะได้เดินเข้าไปเต็ม