"อุแหม วันนี้ผมขอบคุณครูแก้วอีกครั้งนะครับ พิธีมีสีสันขึ้นเยอะ"
ชายร่างท้วมดูอารีกล่าวยินดีแก่แม่นางรำด้วยความจริงใจ เพราะการจะจองตัวแม่นางรำคนนี้มาแต่ละครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เดือนหนึ่งครูแกรับแค่งานเดียว หรือสองเดือนครั้งเท่านั้น ยากนักที่จะได้ตัวมาร่วมงาน
"ผมยินดีครับ แล้วจะยินดีมากเลยหากวันข้างหน้าเด็ก ๆ ในคณะจะได้มารำด้วย"
ตรีศูลอมยิ้มพร้อมกล่าวตอบผู้ว่าจ้างประนมมือขอบคุณ ชายสูงอายุหัวเราะร่าพูดคุยโต้ตอบกับนางรำที่ตนว่าจ้างมารำถวายศาลทุกครั้งที่มีโอกาส จนผู้คนที่นั่งโต๊ะจีนอยู่โดยรอบอยากจะเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย
ไม่ว่าใครก็ต่างรู้ดีว่า'ครูแก้ว'แห่งคณะนางรำประจำชุมพรนี้มีความสามารถมากมายนัก ทั้งใบหน้ายังสะสวยเกินกว่าจะเรียกได้ว่าบุรุษ เพียงแต้มชาด ปัดแก้มเพียงนิดก็งามหยาดเยิ้มจนใครที่เดินผ่านต่างก็ไถ่ถามว่าสตรีนางนี้คือใคร
ตรีศูลในชุดเครื่องทรงกินรีรีบเปิดกล่องแว่นหยิบเลนส์ขึ้นมาสวม บรรจงถอดเล็บปลอมสีทองนำมาวางเก็บไว้ในกล่องน้อยพกพา ก่อนจะค่อย ๆ จับตะเกียบประคองชิ้นเนื้อเข้าปากอย่างสุภาพเป็นภาพที่น่ามองแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ร่วมโต๊ะยิ่ง
"ครูแก้ว เร็ว ๆ นี้ผมจะทำบุญบ้าน ไม่ทราบว่าช่วงนี้ครูว่างหรือเปล่าครับ?"
"ผมก็ว่าจะหาคณะนางรำไปรำถวายพระอยู่พอดี"
"บ้านของผมที่ปลูกอยู่ใกล้เสร็จแล้ว ว่าจะเชิญครูแก้วไปรำ สนใจไหมครับ"
คนงามประจำโต๊ะได้ฟังก็ชื่นใจที่คณะนางรำจะได้มีงาน แต่เฒ่าหัวงูพวกนี้ก็หวังแต่จะจ้างเขาคนเดียวไม่แลเด็ก ๆ ในคณะที่เขาตั้งใจสั่งสอนเลยสักนิด นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงจำกัดระยะเวลาการทำงานของตัวเองลง
"ต้องขอบคุณทุกท่านที่ให้ความกรุณา แต่ผมว่าจะวางมือกลางปีนี้แล้วล่ะครับ"
"เห!? ทำไมล่ะครับ บ้านหลังนี้ผมตั้งใจปลูกเพื่อให้คุณมารำเปิดบ้านเลยนะครับ"
ไอ้คนนี้ก็ใช้เงินไม่คิด บ้าไปแล้วเหรอใช้เงินเป็นพันเป็นหมื่นหาข้ออ้างให้เขาไปรำ
"ผมก็อุตส่าห์จัดงานทำบุญหวังจะเชิญครูแก้วไปรำถวายองค์พระท่านเลยนะครับ"
นี่ก็อีกคน ฉันรู้ว่าพวกนายรวยแต่เอามาใช้แบบนี้ไม่อายฟ้าอายดินบ้างรึไง
"ตัวผมปีนี้ก็สามสิบแล้ว ไม่เหมาะจะมาทำอะไรแบบนี้แล้วล่ะครับ"
มันก็เป็นความจริง ใบหน้าของเขาที่เจ้าพวกนี้บอกนักบอกหนาว่าสวยอย่างนู้นอย่างนี้จะไปสู้สาวเอ๊าะ ๆ ได้อย่างไรเล่า แถมเขายังเป็นผู้ชายอีกแปลกใจเหมือนกันที่มาเจอกลุ่มคนที่ไม่สนเพศในยุคสมัยแบบนี้ด้วย
"งั้นเอาแบบนี้ไหมครับ"
ชายในชุดสูททั้งสามหันหน้าขวับไปทางเจ้าของคณะนางรำ
"ถ้าจะจ้างทั้งที ไม่จ้างเด็ก ๆ ในคณะไปด้วยเลยล่ะครับ ผมตั้งใจฝึกมากับมือเลยนะครับ"
"แต่ใครจะเทียบชั้นครู อย่างครูแก้วได้ล่ะครับ"
เอ๊ะ ไอ้นี่
ตรีศูลสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบจิตสงบใจก่อนจะปรับอารมณ์ตัวเองเข้าสู่ช่วงการละคร
"คุณพรเทพครับ ผมน่ะนะ...ใช้เวลาสั่งสอนเด็ก ๆ มาก็หลายปี คุณจะไม่เห็นแก่ความพยายามของผมเลยหรือครับ"
คนงามกล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจทำตาละห้อยผินหน้าไปทางอื่น ทำเอาสามหนุ่มร่วมโต๊ะถึงกับลนลาน เจ้าของชื่อพรเทพจึงรีบเอี้ยวตัวมากุมมือเขาแนบแน่น
"โถ่ ครูแก้วครับ ผมจ้างคุณ เห็นผลงานคุณมาก็หลายครั้ง จะเปลี่ยนทีก็ต้องการคนที่ผมเชื่อมั่นสิครับ"
แล้วเด็ก ๆ ที่เขาเป็นคนจับดัดหลังดัดนิ้วเองกับมือมันไม่น่าเชื่อถือตรงไหนกันหือ!
นางรำหนุ่มได้แต่ยิ้มรับ ยกแก้วชาขึ้นจิบไปพลางตักอาหารเข้าปากไปพลางฟังเหล่าผู้ว่าจ้างคุยกันไม่นานก็ได้เวลาอันสมควร ตรีศูลกล่าวลาแขกที่เดินมาทักทาย หยิบกระเป๋าสัมภาระขึ้นสะพายก่อนจะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลังพร้อมกับเครื่องยนต์ที่จุดอยู่
"ครูแก้ว ให้ผมไปส่งที่เรือนไหมครับ"
เจ้าของชื่อพยักหน้าตอบรับ เพราะขามาก็เป็นเจ้าตัวที่อาสามารับ จะกลับทั้งทีก็ต้องใช้คนนี้แหละ วันนี้คุ้มเสียจริง ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งอิ่มท้อง แถมยังมีคนไปรับไปส่งอีก
เมื่อถึงหน้าบ้าน แขกคนสำคัญอาสาช่วยถือกระเป๋าและขนมที่ได้มาจากงานขึ้นเรือนมาด้วย ซึ่งเขาก็ยินดี
นางรำหนุ่มตักกระบวยขึ้นล้างเท้าให้สะอาดสะอ้านก่อนจะเปิดประตูกันเดินขึ้นบันไดเรือน พูดคุยโต้ตอบกับผู้ว่าจ้างที่พามาส่งเล็กน้อย ก่อนเมื่อเท้าเหยียบกระดานเรือนหางตาจะเหลือบไปเห็นน้องชายของเขาในสภาพงามหน้า
ศรในชุดอย่างทหารสีเขียวแก่กางเกงขาสั้นเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน แขนเสื้อทั้งสองข้างที่ถลกขึ้นเห็นแผลถลอกปอกเปิกเลือดซิบโดยมีเจ้านพลูกศิษย์เขาคอยเอาสำลีชุบยาแต้มไปตามจุด ยังไม่รวมกับหัวเข่าที่เลือดซิบไม่แพ้กัน และหน้าแก้มที่มีรอยช้ำม่วงเป็นวงคล้ายจะโดนต่อยมา
ความโกรธของตรีศูลพุ่งดังปรอทแตกก่อนจะชำเลืองไปมองที่นาฬิกา 'ยังไม่หมดเวลาราชการ' และหันไปสบตากับผู้ที่อาสาพามาส่ง
"คุณพรเทพครับ ผมรบกวนคุณอีกเรื่องหนึ่งได้ไหมครับ?"
ตรีศูลพูดพลางเดินเสียงเบาเข้าไปในห้องของตนซึ่งเป็นมุมอับจากระเบียง จัดการถอดเครื่องประดับอันหนักอึ้งออกบางส่วน สยายผมให้คลี่แล้วจึงใช้หนังยางรวบมัดเป็นหางม้าคลาย คว้าผ้าชีฟองผืนบางบนพนักเก้าอี้มาคลุมปิดไหล่
"ได้สิครับ แต่ครูแก้วต้องสัญญากับผมนะครับว่าจะมางานขึ้นบ้านใหม่"
"ครับผมสัญญา"
ตรีศูลกล่าวหนักแน่น ในตอนนี้ไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของน้องชายเขาอีกแล้ว
"ว่ามาเลยครับ" เศรษฐีหนุ่มยิ้มแก้มปริ
"ช่วยขับรถไปส่งผมที่โรงเรียนแถวนี้ได้ไหมครับ"
อุตส่าห์จะไปก๊งเหล้ากับสองตาสักหน่อย แต่คงต้องไปสายหน่อยเสียแล้ว
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
หูของทหารยศร้อยเอกได้ยินเสียงกระพรวนข้อเท้าดังกรุ๊งกริ๊งมาแต่ไกล ทว่ากลับไม่ได้สนใจอะไรและกลับมาจดจ่อกับเอกสารขอเบิกอุปกรณ์การรบสำหรับยุวชนทหารในการดูแลของเขา เสียงตึงตังประสมกับเสียงคล้ายกระดิ่งลมคืบคลานมาถึงอาคารชั้นสองที่เขานั่งทำงานอยู่ มือหยาบละเมียดจับกระดาษบางขึ้นมาพิจารณา พลางหยิบดินสอขึ้นมาตวัดเขียนเมื่อเห็นจุดผิดพลาด แม้จะมีเงาของผู้มาเยือนพาดผ่านโต๊ะไม้เนื้อดีก็ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นไปพาที
ตึง! เสียงฝ่ามือฟาดเข้าบนพื้นที่ทำงาน นายทหารมองว่าเป็นจังหวะเหมาะสมจึงได้เงยหน้าขึ้นมาทว่ายังไม่ได้ปรับระยะสายตาให้ดี
"คุณฝึกหนักเกินไปแล้วนะครับ ถึงพวกเขาจะเป็นยุวชนทหารแต่ยังไงก็ยังเป็นเด็กนะ!"
เขาชินชากับประโยคพวกนี้แล้วจึงฟังหูซ้ายทะลุหูขวา อย่างไรเสียก็คงจะเป็นผู้ปกครองที่ไม่เข้าใจบริบทของสังคมไทยตอนนี้ที่พวกญี่ปุ่นกดดันเราเข้ามาทุกที ทหารชั้นกลางหลับตาเอนกายกับพนักพิงก่อนจะหรี่ตามองแล้วเห็นว่าคู่สนทนาหาได้ใส่ชุดคลุมมิดชิดตามมารยาทแต่เป็นผ้าเกาะอกและผ้าถุงทว่าเผยเนื้อเอวบางส่วนแม้จะมีผ้าแพรคลุมสัดส่วนแต่ในมุมของกาลเทศะอย่างไรผิดก็คือผิด เขาจึงกล่าวตักเตือนไปอย่างไม่ยี่หระ
"ผู้ปกครองครับ ผมเข้าใจในสัมมาอาชีพของคุณ แต่ที่นี่เป็นโรงเรียน รบกวนให้เกียรติสถานที่ราชการโดยการไม่ใส่ชุดนางรำมาพบด้วยครั-
เสียงเข้มขาดห้วงเมื่อเขาเงยหน้ามามองเจ้าของเสียงเจี๊ยวจ๊าวนั่นชัด ๆ
'อะไรกัน นักเรียนเขามีผู้ปกครองเป็น นางฟ้า ด้วยเหรอ'
ใช่ คนตรงหน้าของเขาคือนางรำคนนั้น เจ้าของปิ่นปักผมที่เขาเก็บได้แต่ทำไมเสียงของเจ้าตัวถึงได้ทุ้มอย่างผู้ชาย
ความสับสนเข้าเล่นงานร้อยเอกอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว คิ้วเข้มหนากดลงอย่างคนกำลังสงสัย ดวงตาคมสั่นไหวด้วยความงงงวย ปากที่ยังคงกล่าวไม่จบประโยคดีอ้าค้างจนแมลงวันสามารถบินเข้าปากได้ แม้จะมีรุ่นน้องที่นั่งโต๊ะใกล้ ๆ สะกิดผ่านสายตานายทหารคนนี้ก็ยังคงนั่งแน่นิ่งเป็นรูปปั้น
"นี่! ได้ฟังผมอยู่ไหมครับ!" นางรำหนุ่มตะเบ็งเสียงดังเพื่อปลุกนายทหารให้ตื่น
"อะ...เอ่อ คุณผู้ปกครองครับ ไม่ทราบว่ายุวชนทหารที่คุณหมายถึงคือนายคนไหนเหรอครับ ถะ...ถ้าไม่รังเกียจ เชิญนั่งดื่มน้ำแล้วอธิบายให้ผมฟังได้ไหมครับ"
สิบเอกปลื้มปีติใช้ทักษะการพูดรวบตึงสถานการณ์เอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด จนผู้ปกครองคนสวยตอนนี้ยอมเดินมานั่งจิบน้ำที่เก้าอี้รับรองแล้ว
ทว่าความสามารถนี้ก็มีขีดจำกัด แน่นอนว่าคนติดเล่นอย่างนายสิบปลื้มคนนี้ไม่สามารถปรับพฤติกรรมตัวเองมาอยู่ในความจริงจังได้นานมากนักหรอก ทั้งนี้ยังเป็นการคุยกับผู้ปกครองครั้งแรก เอกสารอะไรในมือเขาก็ไม่มี ชื่อยุวชนทหารตอนนี้ยังจำได้ไม่หมดเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแล้ว ร้อยครับ! ช่วยหยุดเคลิ้มแล้วมาช่วยผมคุยกับพี่ชายคนสวยคนนี้ทีเถอะครับ!
นายสิบปลื้มปีติรู้สึกว่าตัวเองทำงานคุ้มเงินเดือนก็วันนี้แล เพียงแค่นั่งอยู่เฉย ๆ โดยมีสายตาอาฆาตของผู้ปกครองจ้องมองมาก็รู้สึกพลังชีวิตจากหนึ่งร้อยลงมาติดลบจนอยากออกไปแรดฟื้นฟูสัพพะกำลังแล้วความสามารถพูดคล่องน้ำไหลไฟดับของพ่อหนุ่มทะเล้นได้หมดลงไปเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ก็ได้แต่หวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้ร้อยตื่นขึ้นมาจากภวังค์แล้วเดินมานั่งรับกรรมเป็นเพื่อนรุ่นน้องคนนี้สักทีเถอะครับ!ตรีศูลนั่งจิบน้ำไปกัดฟันกรอด ๆ ไป ใครมันบางอาจมาทำร้ายน้องชายเพียงคนเดียวของเขาหากเป็นนักเรียนเขาจะตามไปชำระถึงหน้าประตูบ้าน หรือหากเป็นเจ้าทหารสองคนนี้ก็อย่าหวังเลยว่าพรุ่งนี้จะได้มีชีวิตอยู่อย่างครบสามสิบสอง"ขออภัยที่ชักช้านะครับ"นางรำหนุ่มวางแก้วน้ำลงบนตัก ตวัดหางตามองนายทหารร่างกำยำที่กำลังเดินหอบเอกสารรายชื่อบางอย่างมาวางไว้บนโต๊ะรับแขก"ไม่ทราบว่า คุณเป็นผู้ปกครองของยุวชนทหารคนไหนเหรอครับ?""นายอดิศร วิศิษฐ์สกุล ม.๕ ครับ"แม้จะพูดสุภาพแต่คนงามก็คล้ายจะกัดฟันพูด ทำเอาพ่อปลื้มอกสั่นขวัญแขวนไม่เคยเจอคนงามสายโหดมาก่อน เขานั่งเกร็งสั่นสู้ประหนึ่งเ
"เลิกแถว!!"เสียงเข้มดังกู่ก้องมาจากครูฝึกผิวสีน้ำผึ้งใจกลางสนาม ปลดปล่อยเหล่าทหารน้อยให้เป็นอิสระเมื่อเข็มสั้นชี้ตรงไปที่เลขสี่ เหล่านักเรียนชั้นมัธยมปลายในชุดสีเขียวเปื้อนดินพากันจับกลุ่มเดินกลับบ้านด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนจากการฝึกอันเข้มงวดรวมไปถึงอดิศรที่โดนเพื่อนคล้องคอกะจะพากันไปนั่งเล่นใต้ต้นไทรที่อยู่ไม่ห่าง"นายอดิศร"เสียงทุ้มคุ้นหูแว่วดังมาจากข้างหลังชวนให้เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีเป็นไก่ต้ม หันไปตอบรับแต่เพียงผู้เดียวเพราะเหล่าผองเพื่อนวิ่งหนีเตลิดไปไกลกันแล้ว"ครับร้อย" ศรยกมือทำความเคารพ พร้อมส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ครูฝึกสุดโหด"แผลเป็นยังไงบ้าง""ดีขึ้นเยอะแล้วครับ""ถ้าไม่ไหวให้มาบอกฉัน เข้าใจไหม ฝากไปบอกเพื่อน ๆ ด้วย""ครับ"แม้เด็กหนุ่มจะตอบรับทราบมาสักพักแต่พิภพก็ยังไม่หยุดจ้องมองมาที่เขา จู่ ๆ คิ้วหนาก็กดลงเหมือนเคร่งเครียดกับอะไรบางอย่าง ทำเอาศรตัวสั่นงั่กเป็นลูกหมาตกน้ำ"พี่นายเป็นนางรำใช่ไหม?""ครับ! ใช่ครับ!"ศรสะดุ้งตอบเสียงดังฟังชัด"เป็นนางรำที่ขึ้นแสดงเมื่องานกา
เรือนนางรำ๗ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณคนดีที่เก็บปิ่นปักผมมาคืนสวัสดีครับ ผมเป็นนางรำเจ้าของปิ่นที่คุณเก็บได้ ก่อนอื่นเลยคงต้องกล่าวขอบคุณเป็นอย่างสูงที่อุตส่าห์ฝากน้องชายผมมาคืนครับ ผมจึงอยากจะมอบของตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คุณ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกมาเจอกันไหมครับขอให้เป็นวันที่ดีนะครับจาก ตรีศูล (แก้ว) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .ร้อยเอกพิภพคิดดีแล้วที่ตัดสินใจอดทนรอไม่เปิดจดหมายอ่านต่อหน้าสาธารณชนไม่อย่างนั้นชาวบ้านชาวช่องคงต้องเห็นเขาทรุดลงกลางถนนเป็นอันแน่แท้พิภพได้อ่านจดหมายฉบับนี้หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จโดยที่ยังไม่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ดีดังนั้นบนตัวจึงยังมีแค่ผ้าขาวม้าผืนเดียวเปิดแผ่นอกและลอนหน้าท้องส่วนบนที่ยังคงชุ่มน้ำอยู่ ทว่าดูเหมือนไอร้อนที่แผ่ออกมาบนหน้าเขามันจะมากเกินสงสัยคงจะต้องไปตักน้ำสักขันมาราดให้หัวเย็นลงเสียหน่อยแล้วด้วยความเค
ตกเย็นหลังการเรียนการสอนเมื่อพิภพได้รับจดหมายมาจากยุวชนทหารในการดูแลอย่างอดิศร ร้อยเอกจึงเก็บมันเข้ากระเป๋าสะพายประจำกายเตรียมจะเอาไปเปิดอ่านที่บ้านพัก ซึ่งเขามักจะเปิดอ่านมันก่อนจะออกไปวิ่งทว่าเมื่อเปิดผนึกขึ้นมาร้อยเอกผู้เข้มแข็งถึงกับต้องลุกออกจากเก้าอี้มาทำใจ'ทำไมครั้งนี้มันถึงมีกลิ่นหอมติดมาด้วย!'อยากอ่านก็อยากอ่านแต่ก็กลัวว่าตัวเองจะเผลอยกมันขึ้นมาดม ถึงในบ้านหลังนี้จะมีเพียงเขาอาศัยแต่เพียงลำพังแต่เขาก็อายฟ้าอายดินเป็น ท้ายที่สุดร่างกำยำก็ตัดสินใจหย่อนตัวลงเก้าอี้หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านอย่างใจเย็นและอดทน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .๙ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณดินผมตอบรับข้อเสนอของคุณครับ ดังนั้นแล้วต่อจากนี้เราคือเพื่อนทางจดหมายกันแล้วใช่ไหมครับแต่ผมไม่ทราบว่าเวลาคนเขาเขียนจดหมายกันแบบนี้แล้วเขาคุยกันเรื่องอะไรกันบ้าง พอดีผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องนี้เท่าไร รบกวนคุณดินลองยกตัวอย่างมาให้ผมสั
"ร้อย ทำไมเครียด ๆ อะช่วงนี้"นายสิบปลื้มปีติถามรุ่นพี่ด้วยความเป็นห่วง หากขาดพี่ใหญ่คนนี้ไปใครจะมาเป็นคนทำเอกสารอันแสนวุ่นวายให้เขาเล่า ทว่าเหตุผลนั่นก็ส่วนหนึ่งทว่ายิ่งไปกว่านั้น คิ้วหนาของเจ้าตัวจากปกติที่กดลงอย่างยมบาลตอนนี้กลับกดลงยิ่งกว่าเก่าจนแทบจะบังดวงตานายทหารรุ่นน้องจึงอาสาชงกาแฟดำมาวางบริการถึงตรงบนโต๊ะร้อยเอก แล้วจึงสบโอกาสนั่งคุย (อู้งาน) มันเสียตรงนี้เลย"เครียดเรื่องงานเหรอครับ?"เขาถามด้วยความสงสัย ถ้าเป็นเรื่องงานเจ้าตัวคงไม่น่าจะมาเครียดแบบนี้ แก้เอกสารก็แค่ทำจากผิดเป็นถูกแต่มันอาจจะเยอะเกินไปสำหรับอีกฝ่ายกระมัง"เหอะ ฉันเปล่าเครียดเรื่องนั้น""แล้วบอกได้รึเปล่าว่าเครียดเรื่องอะไรเผื่อผมช่วยได้"ทันใดนั้นสายตาอาฆาตก็ช้อนมาที่เขา ก่อนที่เจ้าตัวหันหน้าไปครุ่นคิดบางอย่าง ปลื้มจึงลากเก้าอี้มานั่งฟังใกล้ ๆ พลางจิบชาของตัวเองไปด้วย"นางรำคนนั้น..."พิภพถามยกมือกุมที่หว่างคิ้วพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ด้วยท่าทีนั้นจึงทำให้ปลื้มนึกสาเหตุออกในทันที"อ๋อ ทำไมเหรอครับ ผมว่าเขาก็สวยดี""เอ
เรือนนางรำ๑๘ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณดินขอบคุณสำหรับคำอวยพรแก่เหล่ากองเสื้อผ้าของผมกับเด็ก ๆ นะครับ เรื่องจะมาผมยินดีต้อนรับเสมอครับ หวังว่าถ้าได้มาเราจะได้มานั่งคุยกันตัวต่อตัวบนเรือนผมนะครับสุดท้ายนี่เหมือนเทพนิยายเลยนะครับ มีน้อยคนมากนะครับที่จะมีรักแรกพบแล้วสมหวัง แต่คุณไม่ต้องนะครับผมสนับสนุนคุณเต็มที่เลย สาบานด้วยเกียรติของครูนาฏศิลป์เลยครับ แล้วถ้าเป็นผม ผมคงอยากให้คุณเข้าไปคุยกับคุณคนนั้นตรง ๆ จะมีวิธีสื่อสารไหนดีเท่ากับการพูดด้วยความจริงใจล่ะครับ ผมคงให้คำแนะนำได้เท่านี้ ขอให้โชคดีนะครับแล้วก็เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนคุณดินจะอวยพรให้ผมได้ไหมครับ พอดีไม่กี่วันนี้ผมมีงานต้องไปออกงานข้างนอก รบกวนด้วยนะครับพกร่มแล้วพกเสื้อกันฝนด้วยก็ดีนะครับจาก แก้ว . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .๑๙ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณแก้ว
"มาหาผมเรื่องอาจารย์ใช่ไหมครับ?"พิภพพยักหน้าตอบรับไปอย่างไม่อาย นายทหารร้อยเอกวัยสามสิบสี่ปีเคร่งเครียดหนัก เขายอมทิ้งวันหยุดอันมีค่าเพื่อพาตัวเองมาอยู่ตรงหน้าศิษย์เอกครูแก้วก็เพื่อปรึกษางานในอีกวันข้างหน้าหนุ่มนพนั่งจิบกาแฟหวานพลางมองตาลุงที่หลงครูตัวเองหัวปักหัวปำก็นึก'ถ้าอาจารย์โชคร้ายเผลอสะดุดล้มอะไรเข้า คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าโชคดีไปอยู่กับใคร'เล่นมีทหารรับราชการมาสนใจแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ใครเขาจะทำกันได้ง่าย ๆ"ประเด็นคือคุณลุงทหารต้องพูดตรง ๆ " นพปรับสีหน้าเชิดมองคู่สนทนา "อาจารย์น่ะ เกลียดคนโกหกที่สุดเลย"เกลียดคนโกหก...พิภพนั่งกุมมือตกผลึกกับตัวเอง แล้วไม่ใช่ว่าเขาตอนนี้กำลังโกหกอยู่หรืออย่างไรชายร่างใหญ่ในเชิ้ตขาวนั่งถอนหายใจกับผลลัพธ์ที่น่าจะเกิดขึ้นแน่ ๆ เราสนทนากันมากกว่านั้นทว่านั่นเป็นประโยคสำคัญที่ยังคงแล่นวนอยู่ในหัวจนกระทั่งเขาเตรียมจะออกไปวิ่ง'วันนี้เขาจะไปดีรึเปล่า'เพราะเขารู้ตัวเองดีว่าการออกกำลังกายนี้มันมีจุดประสงค์แอบแฝง เขารู้สึกผิดในทุก ๆ วันทว่าก็เลือกเมินเฉยต่อมันและ
พิภพสาวเท้าด้วยความเร็วกว่าปกติแม้ยังเหลือเวลาอีกเกือบตั้งหนึ่งชั่วโมง เดินไปกะจะหาที่นั่งรอเวลาทว่าก็ดันมีสองตาจากที่ไหนไม่รู้กำลังแบกไม้กระดานมาด้วยความทุลักทุเล พิภพจึงไม่มีทางเลือกนอกจากอาสาเข้าไปช่วย จนได้มารู้ว่าสองตาคนนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มประกอบเวทีสำหรับเปิดงาน"เอ้อ ๆ ใจหลายนะพ่อหนุ่ม""ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี""เอ้า หนุ่มเป็นคนกรุงรึนี่ ฮ่าฮ่า ๆ " ชายแก่กล่าวเสียงเหน่อใต้กลั้วหัวร่อเสียงดัง"ดูก็รู้แล้ว ชุดแบบนี้คนแถบนี้หาใส่ยาก ฮ่า ๆ "พิภพหัวเราะแห้ง ๆ ตามประสาพลางจัดแขนเสื้อที่ถกขึ้นมาตอนช่วยขนท่อนเหล็กมาต่อกัน คนแถบนี้อารมณ์ดีจริง ๆ เขาคิดไปเรื่อย"ตาเทิด ตาไฮ้ นั่นใครเหรอจ๊ะ"เสียงทุ้มหวานแว่วมาแต่ไกล ชวนให้คนในชุดทหารหันไปมอง ทันใดนั้นพิภพจึงรู้สึกเหมือนเวลาหยุดลงชั่วขณะ ปอยผมที่พลิ้วตามแรงลม ผ้าลูกไม้เงาผูกพาดตั้งแต่หัวไล่ลงมาเป็นโบใหญ่ใจกลางอก ผ้าปาเต๊ะลายพร้อยเน้นผิวเนียนกริบให้สว่างเตะตา"อ้าว เจ้าแก้ว มาไวแท้ ฮ่า ๆ แล้วทำไมเอ็งไม่สวมแว่นเล่า จะมองเห็นไหมล่ะนั่น ฮ่า ๆ""พอดี
เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง เป็นป้าทูลที่มาเคาะปลุกพร้อมนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ แม้หญิงเจ้าจะบอกว่าเป็นเสื้อที่กะวัดด้วยสายตาแต่มันกลับพอดีตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาชักจะแปลกใจขึ้นทุกทีเมื่อได้เห็นบริการอันเกินจินตนาการของคนงานบ้านนี้ตรีศูลวันนี้นัดเพื่อนเก่าเอาไว้ที่สถานี ทีแรกเขากะจะไปเองเพราะเมื่อวานก็พอจำทางได้แล้วแต่คุณลุงคนขับที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินออกจากเขตบ้านก็ส่งสายตาวิบวับเป็นประกาย"ให้ผมไปส่งคุณหนูนะครับ""ไม่เป็น-"รับทราบครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปเตรียมรถรบกวนรอสักครู่นะครับ"ไม่ทันที่ตรีศูลจะได้ปราม คุณลุงก็วิ่งแจ้นออกไปยังลานจอดโดยทิ้งเขาไว้แต่เพียงผู้เดียว บรรยากาศแบบนี้ชวนให้นึกไปถึงมื้อเช้าที่หากคนใช้ทั้งหลายป้อนได้คงจับช้อนป้อนแล้ว'คุณหนูทานนี่สิคะ ป้าทำเองกับมือ''คุณหนูรับขนมเพิ่มไหมคะ กว่าจะไปถึงสถานีคงหิวแย่''คุณหนูจะไปเจอเพื่อนเก่าเหรอคะ มานี่มาเดี๋ยวยายทำผมให้'โดยเหตุการณ์ข้างต้นเจ้าศรก็โดนไม่ต่างกัน ด้วยนิสัยอันสงบเสงี่ยมน่ารักน่าเอ็นดูมาแต่เด็กแม้จะไม่ใช่ทายาทต
ร่างสูงสันทัดก้าวเดินด้วยความมั่นคงไปตามพื้นกระเบื้องเงา เสียงรองเท้าหนังเคาะเป็นจังหวะกระชับตามวิถีก้าวอันรวดเร็ว แม้จะเป็นเวลาเช้ามืดนอกจากผู้มารอรถแล้ว จำนวนพนักงานยังคงบางตา คนในชุดกากีพร้อมหมวกหม้อน้ำตาลหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้กลมแววตาคมคร้ามจ้องมองไปยังทางรถไฟอย่างเหม่อลอย เขามักจะมาก่อนใครและกลับเป็นคนสุดท้ายเสมอ"ไอ้ด้วง มาเช้าอีกแล้วนะเอ็ง พักบ้างก็ได้ ฮ่า ๆ "เพื่อนคนสนิทเดินเข้ามาคล้องคอชิดเชื้อถูไถหน้าไปมา"เอ็งอย่ามาจับน่า รำคาญ""กะจะเก็บไว้ให้เมียจับอย่างเดียวเลยสิ!""เมียอะไรไอ้แผน กูไม่คิดจะมี"เจ้าของชื่อทำหน้ามุ่ย นั่งยองลงกับพื้นเงยหน้าสบตาพ่อหนุ่มหน้ายักษ์ นับตั้งแต่รู้จักการตอนเป็นพนักงานฝ่ายปฏิบัติก็ไม่เห็นเจ้าตัวจะใฝ่รักหญิงสักคน ทั้ง ๆ ที่มันเองก็ใช่ว่าจะไม่มีสาวมาวอแว"แล้วคนที่เอ็งรอเขากลับมาอยู่เนี่ย ไม่ได้กะจะเอามาทำเมียรึ?""เงียบได้แล้ว คนอื่นเขามอง""แหม เนียนเลยนะ"แผนลากเสียงยาวยกมือป้องปากแซะแซวเพื่อนขี้เก๊กด้วงบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ เบนหน้าเมินสายตาของเพื่อนร่วมงานท
"หลานไปก่อนนะจ๊ะตา"ตรีศูลเดินลงมาหาตาเทิดตาไฮ้ที่อาสารับหน้าที่ดูแลเรือนตลอดการไปศึกษาของเจ้าของคณะ"เอ้อ ๆ ไปดีมาดีล่ะ" ตาเทิดรับไหว้หลาน"อย่าไปนอกใจไอ้เสือมันล่ะ ฮ่า ๆ เดี๋ยวได้โดนมันจับขังอีกหรอก""ตาละก็!"ตาไฮ้แซะแซวหลานสุดที่รัก พวกเขาไปได้ยินเรื่องวีรกรรมของเจ้าหลานเขยคนนี้มาแล้วเป็นที่เรียบร้อยตรีศูลได้ยินก็ยิ่งอายเขาจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไรเล่า แม่นางรำโกรธพิดพัดกอดอกไม่พอใจเป็นที่ขบขันแก่สองตาช่างแกล้ง ส่วนอดิศรที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เป็นที่เอ็นดูไม่แพ้กัน เห็นสงบเสงี่ยมแบบนี้เจ้าศรเองก็สนิทกับสองตาพอสมควร"ไว้ผมจะกลับมาหานะครับ"เด็กชายกล่าว แม้เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในคณะเหมือนพี่ชาย แต่อย่างไรที่แห่งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในความทรงจำที่เขาจะไม่มีวันลืมพี่น้องทั้งสองเมื่อกล่าวลาผู้อาวุโสเสร็จจึงเดินไปยังประตูรั้วหน้าเรือนที่ถูกเปิดเตรียมเอาไว้ ตรีศูลเงยมองหน้าพ่อทหารที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว"รีบไปเถอะครับ ป่านนี้นพคงบ่นแล้ว"คุณครูนาฏศิลป์คำนึงถึงลูกศิษย์ตัวเองที่ขี้โวยวายเป็นที่หนึ่ง พร้อมก
วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีแน่นอนว่าหากเป็นวันในสัปดาห์เช่นนี้พิภพจำต้องออกไปทำงาน ทว่านั่นหาใช่ประเด็นไม่ เพราะเย็นวันนี้เป็นวันที่เขาจะต้องไปส่งคนรักขึ้นรถไฟพร้อมกับเด็ก ๆพิภพนั่งตวัดข้อมือร่างเอกสารไปอย่างเหม่อลอย เพียงคิดภาพที่ต้องไกลห่าง ความรู้สึกคิดถึงก็ผุดขึ้นมาเสียแล้ว ตลอดหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาตื่นเต้นในทุกเย็นหลังเวลาเลิกงานเมื่อรู้ว่าจะได้กลับไปสอนหนังสือแม่นางรำ ดังนั้นช่วงเวลางานในหัวเขากลับเอาแต่คิดแต่วิธีการสอน ไม่ก็มัวแต่จดจ่อกับการตระเตรียมเอกสารการเรียนให้แก้วจนบางครั้งเกือบไม่เป็นอันทำงานเพราะหากเจ้าตัวสอบติดวิทยาลัยพระนครหมายความว่าแก้วจะได้เป็นฝ่ายมาอยู่บ้านของเขา ซึ่งนับเป็นหนึ่งในเรื่องที่เขาอดใจรอแทบไม่ไหวเช่นกัน มันจะดีสักแค่ไหนกันเชียวหากได้เห็นโฉมงามเดินทำกิจภายในบ้านตนเอง"เหม่ออีกแล้วนะครับ"ปลื้มที่เดินเอารายงานมาให้ตรวจทักขึ้น ไม่รู้ทำไมช่วงนี้รุ่นพี่เขาถึงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ แต่คงจะเป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ตามเคย ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะสามารถเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้"มีเรื่อง
เดินเข้าไปใกล้ศาลาการเปรียญเรื่อย ๆ ผู้คนก็เริ่มชุกชุม เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กน้อยชวนให้ตรีศูลรู้สึกสบายใจขึ้นมาเป็นเท่าตัว มองเข้าไปก็เห็นคุณนายผอ.กำลังยืนพูดอยู่หน้าแถว ก่อนที่เจ้าตัวจะทำท่ากวักมือมาทางพวกเขา"พี่ต้องไปแล้ว ส่วนแก้วพี่ว่าเรานั่งพักสักหน่อยก็ดีนะครับ"พิภพที่ต้องไปทำหน้าที่ยังไม่วายเป็นห่วงโฉมงาม ตรีศูลเลือกหย่อนกายลงม้านั่งโบกมือเบา ๆ ส่งพ่อทหารแล้วจึงมองตามแผ่นหลังนั้นไปยังหน้าศาลาด้วยความขัด ๆ เขิน ๆ เล็กน้อยจากความไม่คุ้นชินในศัพท์คำพูดตอนนั้นจนถึงตอนนี้ตรีศูลไม่รู้จะขอบคุณพ่อทหารอย่างไรดี หากไม่มีเจ้าตัวเข้ามาเผลอ ๆ เขาอาจจะต้องระทมทุกข์ไปกับความทรงจำอันเลวร้ายนั่นตลอดทั้งชีวิตแม่นางรำนั่งเรียบร้อยใช้สายตาทอดมองไปยังหน้าเคหสถาน เห็นคนรักกำลังพูดชมเชยเหล่าสมาชิกยุวชนทหาร เสียงทุ้มเมื่ออยู่ในหน้าที่พูดจาฉะฉานตรงประเด็นสมกับสัมมาอาชีพ แม้ตนจะไม่ได้ไปยืนอยู่ ณ ตำแหน่งนั้นก็รู้สึกภูมิใจแทนเสียจนต้องอมยิ้มออกมา ผู้ชายอะไรครบเครื่องจริง ๆ ดังนั้นเขาจะต้องพัฒนาตัวเองไม่ให้น้อยหน้า ชักจะมีกำลังใจในการเรียนขึ้นมาแล้วสิ&
ตรีศูลในตอนนี้กำลังหาย่ามที่น่าจะมีขนาดใหญ่มากพอสำหรับการขนของ ไม่ใช่การจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางไปพระนครเพราะเขายังคงเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนในการเตรียมตัว แต่เขากำลังจะไปพูดคุยกับคุณนายผอ.เรื่องเรียนต่อเพิ่มอีกสักหน่อย ยิ่งเวลาที่เข้าใกล้มาเรื่อย ๆ ก็ชวนให้เขาตื่นเต้นไม่ใช่น้อย หลายวันมานี้เขาขอหนังสือเจ้าศรน้องน้อยมาอ่านระหว่างวัน เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็สุดแล้วแต่บุญแต่กรรมแม่นางรำถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขารู้ดีว่าที่ตนอ่านหนังสือไม่เข้าหัวไม่ใช่เพราะเนื้อหาแต่เป็นเพราะเขาหาเวลาอ่านไม่ได้ต่างหาก ยิ่งต้นปีหลายบ้านหลายนายจ้างล้วนมีกิจทั้งนั้น แต่ละคนก็เข้ามาจ้างงานจนตารางแทบชนกัน ขนาดมีนพเข้ามาช่วยอย่างเต็มตัวภาระก็ยังคงหนักอยู่ดี กลายเป็นว่าอ่าน ๆ อยู่แล้วก็โดนเคาะเรียกให้ออกไปเก็บท่าบ้าง เพิ่มท่าบ้าง แปรแถวบ้างจนตัวหนังสือที่อ่านมาไหลออกไปจากหัวจนหมด แล้วแบบนี้ยังจะมีหน้าไปเรียนพระนครอีกแต่วันนี้เขาตั้งใจว่าจะไปหาคุณนายผอ.ถามเรื่องหนังสือโดยละเอียดอีกครั้ง ต่อให้ต้องเข้าไปนั่งเรียนกับเด็กวัยกระเตาะเข้าเขาก็ยอม"แก้ว เราจะไหวแน่เหรอ?"ชายค
พิภพเอนหลังปล่อยกายพิงพนักให้สบาย หรี่ตามภาพแผ่นหลังของแม่นางรำโฉมงามที่เตรียมตัวจัดท่าจัดทางให้เข้าที่พร้อมขึ้นแสดง นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้มานั่งดูเจ้าตัวรำอย่างเป็นกิจจะลักษณะนอกจากจะเห็นฝึกซ้อมอยู่บนเรือน เท่าที่จำได้คงเป็นงานวันชาติกระมังที่เขาได้เห็นเจ้าตัวแต่งองค์ทรงเครื่อง แล้วก็คงมีอีกครั้งในตอนที่เขาตื่นมาจากการหลับใหลหลังผ่านสมรภูมิรบมาหากให้เทียบแล้วการได้มองคนงามซักซ้อมแม้จะใช้ท่วงท่าเดียวกันแต่มันคนละเรื่องกับการที่ได้มาเห็นเจ้าตัวครบองค์เช่นนี้เสียงบรรเลงระนาดเอกขึ้นพร้อมกับฝีเท้าบางซอยถี่วาดลวดลายเข้าไปยังใจกลางวงเสียงกระพรวนข้อเท้าแม้จะแผ่วเบาเมื่อเทียบกับปี่ที่เล่นอยู่ทว่าเมื่อผสานกันแล้วกลับเสนาะหูยิ่ง อุบะทัดหูเอนเอียงไปตามกรอบหน้างามเมื่อเจ้าของร่างบางกดเอวเบี่ยงกาย สายตาคู่สวยเชิดมองไปยังเหล่าคนดูที่แม้จะพร่ามัวแต่ก็จับได้ว่าพวกเขากำลังมองมาด้วยใบหน้าผ่องใสพิภพมองร่างผอมเพรียวอย่างเคลิบเคลิ้มสดับฟังท่อนร้องที่เอื้อนเอ่ยตามทำนองฉุยฉายเอยเจ้าช่างจำแลงแปลงกายงามคล้ายบุษบาหน้าเป็นใ
ตรีศูลที่กลับมาจากการอาบน้ำผลัดผ้าเข้าในห้องนอน ระหว่างรอตัวแห้งสนิทก็มาจัดแจงเครื่องแต่งกายประจำวันนี้เพราะในอีกไม่กี่ชั่วโมงเขาจะต้องไปออกงานรำขึ้นบ้านใหม่ของพ่อเศรษฐีนายจ้างเจ้าประจำโฉมงามหยิบต่างหูเคลือบแผ่นทองขึ้นมาส่องกับกระจกโต๊ะเครื่องแป้งเทียบเคียงความเหมาะสมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจเลือกต่างหูเต่าร้างที่เล็กกว่าแล้วจึงค่อยเก็บอีกคู่ลงกล่องไม้ไป ดวงตาคู่สวยผัดผินลงมามองเสื้อยืดสีขาวก่อนจะยกมือขึ้นมาปลดกระดุมทว่าเมื่อเหลือบสายตาไปมองยังขอบเตียงข้าง ๆ กลับต้องเอ่ยคำถามขึ้นมาแก่ชายที่ทำเป็นเนียนนั่งอ่านเอกสาร"คุณดินทำไมถึงยังนั่งอยู่ในนี้เหรอครับ?"ตรีศูลหันกลับไปถามพ่อทหาร ที่ตั้งแต่เช้าก็ดูจะปักหลักอยู่ในหอนอนแทนที่จะออกไปนั่งจิบกาแฟทำงานตากลมเย็นข้างนอกอย่างเคย"แล้วทำไมผมจะอยู่ไม่ได้ล่ะครับ?"นายทหารถามยอกย้อนคล้ายว่าการนั่งในห้องนี้แอบแฝงไปด้วยจุดประสงค์บางอย่าง"ผมจะแต่งตัว""เราก็แต่งไปสิ""ผมอาย""จะอายทำไม พี่เห็นเรามาทั้งตั-"ไม่ทันที่นายทหารจะได้กล่าวจบก็ถูกเจ้าของเรือนไล่ออก
พิภพวิ่งออกจากเรือนถือซองเอกสารที่ทำค้างไว้ด้วยความเร่งรีบ นาฬิกาข้อมือเขาก็ลืมสวมต้องคอยอาศัยมองนาฬิกาตามร้านค้ารายทางเอาเพื่อดูเวลา จนในที่สุดก็มาทันถึงก่อนเก้าโมงอย่างฉิวเฉียดนายทหารหอบแฮกอยู่หน้าสำนักงานแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากเรือนเพราะเห็นว่าครึ่งชั่วโมงเขาจะเข้างานสาย แล้วก็ด้วยนิสัยตั้งต้นของเขาจึงทำให้ร่างกายมันขยับอย่างเป็นไปเอง คนในชุดสีเขียวแก่นั่งยองพักเหนื่อยจนผมที่จัดมาอย่างดีทิ้งปอยลงมาปรกหน้าผาก ก่อนที่พิภพจะเงยหน้าขึ้นมาดูตึกอาคารที่เขาต้องมาใช้ชีวิตการทำงานหลังจากนี้ตึกไม้เก่ายกสูงชั้นเดียวสะอาดตาและป้ายแกะสลักข้อความ 'กรมทหารราบ' นั่นทำเอาพิภพคิด ถ้ากรมทหารมันจะใกล้โรงเรียนขนาดนี้ส่งคนมาช่วยเป็นครูฝึกมันยากมากนักรึไง ปล่อยพวกเขาทำงานง่ก ๆ กันอยู่สองคนเป็นปีพ่อทหารถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง เดินขึ้นบันไดไม้ใบพลางมองเครื่องเรือนอย่างง่ายที่อยู่นำออกมาตั้งประดับให้พอมีจุดเจริญสายตา เขาหวังว่าวันนี้จะไม่มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้น-*ซ่า* ไม่ทันที่นายทหารจะได้เดินเข้าไปเต็ม