"พี่ครับ"
เสียงของเด็กหนุ่มวัยย่างสิบแปดผมสั้นเกรียนพร่ำเรียกคนอายุมากกว่าที่ยังคงนอนสลบไสลไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ให้ทำอย่างไรเล่าก็เมื่อวานพี่ของเขากว่าจะขึ้นแสดงก็ปาไปหนึ่งทุ่มเศษทั้งหลังจากทักทายปวงประชาเสร็จก็ออกตามหา'ทหาร'ที่เจ้าตัวเห็นว่าเป็นคนเก็บปิ่นแสนแพงนั่นได้ก็กินเวลาไปจนงานเลิกสองทุ่มครึ่งนั่นแหละกว่าจะยอมกลับบ้านมาทั้งที่คว้าน้ำเหลวอยู่อย่างนั้น
"พี่ครับ วันนี้พี่ต้องไปประชุมผู้ปกครองให้ผมนะครับ"
"อือ... แป๊บหนึ่งศร พี่ขอสิบนาที"
เจ้าของชื่ออดิศรถอนหายใจเพราะพี่เจ้าพูดคำว่าสิบนาทีมาสองรอบเห็นจะได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีเด็ดขาด
เนื่องด้วยเรือนหลังนี้เป็นพื้นที่สำหรับคณะนางรำเช้าตรู่จึงมีศิษย์ร่วมสำนักมาทำความสะอาดและฝึกซ้อมรอเจ้าของคณะตื่นตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันเพื่อตระเตรียมของ ขายาวเดินปรี่ไปที่พี่ผู้ชายตัวเล็กอีกคนหนึ่งที่นุ่งโจงกระเบนจับผ้าขี้ริ้วเช็ดราวบันไดอยู่
"พี่นพครับ ผมรบกวนอะไรหน่อยได้ไหมครับ"
ศรจับดึงลากคนอายุมากกว่าตนสองปีมายืนดูอาจารย์ของตนที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงอย่างหมดสภาพคนงามประจำตำบล ก่อนที่ศรจะต่อ
"ช่วยปลุกพี่ตรีให้ทีครับ"
จากนั้นเมื่อศรเดินออกมาข้างนอกได้ไม่นานก็มีเสียงโครมครามดังขึ้นภายในห้องนอนของเจ้าของสำนักนางรำ และพี่ชายที่ส่วนสูงต่ำกว่าเด็กสิบแปดก็เดินออกมาพร้อมบอกว่า'ทุกอย่างเรียบร้อยดี ให้รอประมาณยี่สิบนาทีอาจารย์ได้ออกจากบ้านแน่'
น้องชายอย่างศรขนลุกซู่ไม่อาจรู้ได้ว่านางรำศิษย์เอกอาจารย์คนนี้ได้ทำอะไรกับพี่ชายของเขาจึงมีท่าทีมั่นอกมั่นใจได้ขนาดนั้น
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ร่างโปร่งหัวกระเซิงในชุดเสื้อกล้ามตัวบางกางเกงขายาวผ้าปาเต๊ะลุกขึ้นจากเตียงด้วยความงัวเงียขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก เพราะเจ้านพที่เล่นเปิดผ้าม่านสาดให้มาเข้าตาเขาเต็ม ๆ ทำเอาตาเขาพร่าไปชั่วขณะ ทั้งยังขู่ว่าจะขโมยแมวใต้ถุนบ้านไปปล่อยวัด เด็กคนนี้รู้ดีเกินไปจริง ๆ
ร่างผอมบางคิดพลางหยิบหวีมาสางเส้นผมที่ยาวถึงกลางหลังด้วยความชำนาญ จัดแจงรวบช่อขึ้นเป็นหางม้าคลายอย่างง่ายให้สบายหัว หยิบแว่นประจำตัวขึ้นสวมแล้วจึงลุกยืนเดินออกไปเข้าห้องน้ำ ด้วยกระจกบานเล็กที่ถูกติดไว้จึงสะท้อนให้เห็นเรือนร่างอย่างบุรุษเพศทว่ากลับมีผิวกายขาวเนียนละเอียดเยี่ยงอิสตรี มัดกล้ามที่ควรจะอยู่บนแขนกลับกลายเป็นเนื้อนิ่มเสียอย่างนั้น
ชายร่างโปร่งสูงยืนมองใบหน้าตัวเองในกระจก 'ผ่านมาคืนเดียวตอหนวดขึ้นซะแล้วเหรอ' เขาคิดแต่ก็ไม่ตัดสินใจที่จะโกนมันแม้รู้ว่าตนจะต้องไปสถานที่ราชการ
เขาพยายามรื้อตู้เสื้อผ้าก็มีแต่เสื้อแขนกุดทั้งสิ้น ไม่มีเสื้อทางการอย่างเสื้อเชิ้ตหรือชุดสุภาพ แต่เมื่อคิดว่าผู้คนแถบนี้ล้วนเป็นกันเองจึงบอกตัวเองว่าช่างมันและใส่ในแบบที่อยากใส่แทน ท้ายที่สุดชุดที่ออกมาจึงเป็นเสื้อสีขาวแขนกุดพร้อมกางเกงม่อฮ่อมอีกตัว และเพิ่มความสุภาพด้วยการโพกผ้าขาวม้าปิดหัวไหล่เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการไปพบคุณครู
เมื่อหันมาดูหน้าปัดนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเก้านาฬิกาสิบห้านาที จากที่ศรบอกเขาเวลาในการลงทะเบียนคือเก้าโมงถึงเก้าโมงครึ่ง ใบหน้ากลมกลึงซีดเผือด รีบคว้ากระเป๋าผ้าใส่รองเท้าแตะรัดข้อวิ่งออกจากบ้านไปอย่างทันท่วงที
"เห็นไหมฉันบอกแล้ว"
นพกอดอกยืนมองครูตัวเองวิ่งแจ้นออกไปจากกระไดเรือนด้วยความชินชา
"ครับ"
ศรได้แต่รับคำ พร้อมทำหน้าเหมือนปลงในชีวิต
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เนื่องด้วยเขาไม่มีจักรยาน คราวจะรอรถเจ๊กก็คงนานจึงต้องวิ่งมาด้วยระยะเกือบครึ่งกิโลเมตร สำหรับบางคนอาจจะไม่สะทกสะท้านทว่ากับเขาที่วัน ๆ ก็นั่งดัดนิ้วซ้อมรำ หรือเล่นขิมยามว่างนี่มันเหมือนกับการฆ่าตัวตายชัด ๆ ว่าแล้วแดดประเทศไทยก็สาดมาที่เขาประหนึ่งแสงบนเวทีของเมื่อสองวันก่อนที่ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นท่ามกลางผู้คน ช่างเป็นชะตาชีวิตที่ดีเสียจริง
ยืนพักเหนื่อยไม่ทันไรด้วยเวลาที่กระชั้นชิด นางรำหนุ่มรีบเดินไปยังโต๊ะลงทะเบียนแล้วกล่าวชื่อเด็กในปกครอง
"ผู้ปกครองของนายอดิศร วิศิษฐ์สกุลครับ"
คุณครูผู้ดูแลโต๊ะแทบไม่ต้องชี้ช่องเพราะเขาคือผู้ปกครองคนสุดท้ายที่มาร่วมประชุมในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ มือเรียวบางจึงจับปากกาเซ็นชื่อ 'ตรีศูล วิศิษฐ์สกุล' ลงไป
จากนั้นคุณครูสาวจึงอาสาพาเขาเดินนำไปยังห้องที่มีการประชุมอยู่ เจ้าหล่อนอธิบายคร่าว ๆ ให้ว่าภาคเรียนนี้ทางภาครัฐได้ส่งทหารเข้ามาทำการอบรมพิเศษดังนั้นการประชุมจึงจะมีสองช่วงด้วยกัน ทว่าบางทีการที่เขามาสายแบบนี้อาจจะพลาดส่วนแรกไป ดังนั้นหากขาดเหลืออย่างไรสามารถมาติดต่อยังห้องพักครูได้เป็นการส่วนตัว
ด้วยว่า ณ ละแวกนี้ผู้คนต่างรู้จักกันดีรวมถึงเขาด้วยดังนั้นเขาซึ่งเป็นนางรำชายจึงถูกปฏิบัติเป็นอย่างดีด้วยความเข้าใจในสายอาชีพ
ทว่าเมื่อเขาเดินเข้ามานั่งยังเก้าอี้บริเวณหลังห้องก็เหมือนจะถูกจับตามองอย่างไรอย่างนั้น ตรีศูลพยายามหันซ้ายหันขวามองหาต้นตอของความรู้สึกผวานี้จนหันเงยหน้าไปเจอชายร่างกำยำในชุดทหารเต็มยศที่จ้องเขาเขม็งปานจะสูบเลือดสูบเนื้อให้ได้
ปากสีเข้มนั้นกล่าวพูดไป สายตาคมประดุจมีดพร้านั้นก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า น้ำเสียงที่พูดออกมารู้เลยว่ามีกัดฟันอยู่เล็ก ๆ เขารู้ว่าชุดเสื้อผ้าเขามันก็ไม่ได้เหมาะกับสถานที่แต่ช่วยเมิน ๆ มันไปหน่อยได้ไหม เห็นแก่ผ้าขาวม้าที่อุตส่าห์เอามาคลุมด้วยเถอะ คนเขาอึดอัดจะตายอยู่แล้ว
กระนั้นเมื่อชำเลืองมองเหล่าแม่ ๆ ที่มาร่วมการประชุมในครั้งนี้เขาจึงรู้ทันทีว่าเขาคือแกะดำ ต่างคนต่างสวมเสื้อลูกไม้ใส่ต่างหูจัดเต็มกันมาจับจองพื้นที่ด้านหน้าห้องเรียนเพื่อยลโฉมพ่อทหารรูปหล่อ และเขาคือผู้ชายคนเดียวในที่แห่งนี้ นั่นทำเอาวิญญาณแทบจะลอยหลุดออกจากร่างไม่ใช่ว่าคุณครูที่พาเขามาส่งจะแอบหัวเราะเรื่องชุดของเขาในใจไปแล้วหรอกนะ
ด้วยว่าผู้ปกครองด้านหลังห้องอย่างเขาไม่ได้มีสมาธิจดจ่อกับนายทหารตรงหน้าเลยจึงจับคำที่อีกฝ่ายพูดไม่ได้สักเท่าไรนัก นอกเสียจากภายในสัปดาห์นี้นายทหารตัวแทนทั้งสองคนจะประกาศรับยุวชนทหารตามความสมัครใจ ดังนั้นแล้วโปรดให้ผู้ปกครองเคารพการตัดสินของนักเรียนด้วย
เขาที่ใช้ชีวิตมาจนขึ้นเลขสามแล้ว สงสัยเสียจริงว่าทำไมคนเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่งต้องมาเข่นฆ่ากันเพียงเพราะเหตุผลอย่างอุดมการณ์ไม่ตรงกันด้วย การเจรจาหากไม่มีจุดหมายร่วมกันทำไมถึงไม่ประนีประนอมและต่างคนต่างอยู่ ทำไมถึงต้องมีคนเสียสละออกไปจับปืน เขาทราบดีว่าความคิดเขาเป็นอะไรที่ตื้นเขินเกินกว่าจะนำมาใช้ในชีวิตจริง เพราะแค่เขาชอบผ้าคนละสีกับเจ้านพยังทะเลาะกันได้ จะมาอะไรกับอุดมการณ์การเมืองการทหาร ทว่าเขาก็คาดหวังว่าสักวันหนึ่งความเพ้อฝันของเขาจะเป็นจริงไม่มากก็น้อย
ตรีศูลคิดพลางเล่นปลายผมตัวเองขณะที่เดินกลับบ้านในเวลาบ่ายแก่ ๆ และคิดว่าน้องชายของเขาอย่างอดิศรที่เป็นเด็กดีอยู่ในร่องในรอยคงจะไม่สนใจความรุนแรงพวกนั้น
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
"พี่บอกว่าไม่ก็ไม่ เดี๋ยวพี่ไปคุยกับครูให้เอง"
ทว่าเหมือนเบื้องบนจะไม่ฟังความปรารถนาของเขาเลย จู่ ๆ เย็นวันจันทร์ถัดจากประชุมผู้ปกครองไปหนึ่งสัปดาห์
เจ้าศรน้องชายต่างสายเลือดสุดรักสุดหวงของเขาบอกว่าจะไปเป็นยุวชนทหารจับมีดจับปืนคลุกขี้โคลน พร้อมพูดจานำเสนอด้วยตาที่เป็นประกายหนึ่งเป็นความต้องการที่ออกมาจากใจ
"แต่ผมอยากเป็นจริง ๆ นะครับ"
พูดแบบนั้นไม่รู้เลยเหรอว่าพี่ห่วงเรามากขนาดไหน ตรีศูลได้แต่กุมขมับและพูดถึงสิ่งแลกเปลี่ยนที่เด็กวัยสิบแปดจะต้องเจอหากต้องการเข้าไปร่วมในวงโคจรของทหาร
"ถ้าอย่างนั้นก็ตอบคำถามพี่มา"
คู่สนทนาพยักหน้าด้วยความมาดมั่น คนพี่จึงสูดลมหายใจเข้าและเปล่งเสียงออกมา
"ถ้าต้องโดนดุด่า โดนฝึกจนเหนื่อยสายตัวแทบขาดนายทนได้ไหม"
คนเด็กกว่าพยักหน้าตอบรับฉะฉานว่า'ครับ'
"ถ้าต้องโดนลงโทษพร้อมกับเพื่อนทั้ง ๆ ที่นายไม่ได้เป็นคนผิดนายทนได้ไหม"
คำตอบจากเด็กวัยรุ่นตรงหน้าล้วนเป็นเช่นเดิม จนพี่ชายจำต้องยกเอาความจริงขึ้นมาขู่
"ถ้าต้องฆ่าคนนายทำได้ไหม"
ศรไม่ตอบเพียงแต่มีแววตาหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด และตรีศูลก็ไม่ปล่อยช่องว่างให้ต้องรอนาน
"ถ้าต้องเห็นคนโดนยิงต่อหน้าต่อตานายอยู่ได้ไหม ถ้านายต้องเห็นเพื่อนตายไปนายรับได้ไหม ถ้านายต้องเดินผ่านกองซากศพนายทำได้ไหม หรือจะต้องพิการไปตลอดชีวิต นาย...ทนได้รึเปล่า"
อดิศรไม่ตอบเพราะหน้าชาไปหมด ไม่คิดว่าพี่ชายของเขาจะพูดแบบนี้ออกมา
"พี่ไม่ได้พูดให้เราล้มเลิก แต่ถ้าไม่ไหวก็ถอยออกมาเถอะ"
ตรีศูลหลุบตาลงลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมาแตะไหล่เด็กหนุ่มผู้ไม่รู้โลก ก่อนจะเดินออกมาจากห้องและปล่อยให้เจ้าตัวได้ตริตรองให้ถี่ถ้วน
การที่เขาพูดจารุนแรงใส่น้องชายไปแบบนั้นก็แค่อยากให้เจ้าตัวถอดใจไปซะ เพราะเขาไม่อยากเห็นศรต้องตกระกำลำบาก อยากให้ศึกษาเล่าเรียนจนจบด้วยดีแล้วกลับเมืองหลวงไปเข้ามหาลัย รับราชการเป็นหลักเป็นแหล่งอะไรก็ว่าไป ไม่เหมือนเขาที่หนีออกจากบ้านหลักจนต้องอาศัยวัดอยู่ ไป ๆ มา ๆ สุดท้ายได้มาทำอาชีพเต้นกินรำกินแบบนี้
"อาจารย์ ศรมันเป็นอะไรเหรอครับ"
ศิษย์เอกเท้าสะเอวถามเขาที่ยืนพิงกำแพงกอดอกหน้าดำคร่ำเครียดไม่ต่างกัน แล้วเหมือนผู้มาใหม่จะคิดตีความเป็นตุเป็นตะผ่านสีหน้าที่กำลังทำความเข้าใจ
"ไม่ได้ทะเลาะกันหรอก แค่ครูเผลอพูดจาแรงไปหน่อย"
นัยน์ตาสีถั่วหม่นลงพลางคิดตริตรองการกระทำของตัวเองที่ดูไม่เป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย
"จริง ๆ ศรมันก็เหมือนผมนะ ขนาดพ่อไม่อนุญาตให้ผมรำ แต่ผมก็ยังหาทางมารำจนได้" เด็กหนุ่มเว้นจังหวะการพูด "บางทีถึงอาจารย์ห้ามไป คนอย่างศรมันก็คงหาทางแอบทำจนได้อยู่ดีนะผมว่า"
"น้องฉันพึ่งมาไม่ถึงเดือน ไปสนิทกันตอนไหนล่ะเนี่ยฮึ"
อาจารย์หยอกศิษย์ เดินเข้าไปยีหัวเจ้าเด็กรู้ดีให้หายเก๊กเสียหน่อย สิ่งที่เด็กคนนี้กล่าวก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งมูลความจริง เขาคงต้องเก็บไปคิดไตร่ตรองให้ดี
เวลาผ่านไปจนพลบค่ำ พี่ชายอย่างตรีศูลก็ยังคงเห็นน้องชายทำหน้าเจื่อนไม่กล้าสบตากับเขาอยู่ บางจังหวะก็ทำทีจะพูดบางสิ่ง บ้างก็ป้องปากห้ามตัวเองไม่ให้พูด ทำเอาเขาล่ะเอ็นดูในเด็กคนนี้เสียจริง หากเป็นเขาในวัยเดียวกันคงดื้อแพ่งเถียงเอาชนะไปแล้ว
พี่ชายที่เตรียมจะเข้านอนท้ายที่สุดก็ตัดสินใจ เลือกที่จะลุกจากเตียงสวมแว่นเดินไปเคาะประตูเด็กคู่กรณี สิ่งที่ศิษย์เขาพูดเป็นความจริง หากเขาทำตามความประสงค์ของตัวเองอย่างการขีดเส้นห้ามแลกกับความเสี่ยงที่น้องชายจะเผลอแอบไปทำอะไรที่อันตรายกว่าเดิม สู้เขาปรับวิสัยทัศน์ คอยมองอยู่ข้าง ๆ ระวังภัยคงจะเป็นการดีกว่า
น้องชายตาตกเดินออกมาเปิดประตู เจ้าตัวดูมีสีหน้าตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่มาเคาะห้องเป็นพี่ชาย ก่อนจะหลบสายตา มุดเอาตัวหนีไปหลบอยู่หลังซอกประตู
"ยังอยากเป็นอยู่ใช่ไหม เอ่อ... อะไรนะ ยุวชนทหาร?"
"ครับ อยากเป็นครับ!"
น้องชายโผล่ออกมาจากประตู ตอบเสียงฉะฉาน ทำเอาคนเป็นพี่อดเห็นใจไม่ได้
"ได้ เป็นก็เป็น"
ว่าที่ทหารวัยเยาว์ดีใจตาเป็นประกาย มุมปากยกยิ้มจนแก้มปริกระโดดโหยงเหยง ตรีศูลมองภาพนั้นด้วยความจำนน น้องชายเขามีความสุขคงต้องปล่อยไป ไหน ๆ ก็โดนบังคับจากฝั่งที่บ้านหลักมาหลายสิบปีแล้ว ปล่อยอิสระสักเรื่องจะเป็นไรไป
"แต่..."
เด็กหนุ่มหูกระตุก หันมาฟังด้วยท่าทีกระวนกระวาย
"ห้ามทำตัวเองให้บาดเจ็บร้ายแรงนะเข้าใจไหม"
"ครับเข้าใจครับ!"
ศรดี๊ด๊าอีกครั้งประหนึ่งตัวเองถูกรางวัลใหญ่ เขาในฐานะพี่คนคงจะต้องยกระดับความใส่ใจขึ้นอีกสักหน่อยแล้ว
"อุแหม วันนี้ผมขอบคุณครูแก้วอีกครั้งนะครับ พิธีมีสีสันขึ้นเยอะ"ชายร่างท้วมดูอารีกล่าวยินดีแก่แม่นางรำด้วยความจริงใจ เพราะการจะจองตัวแม่นางรำคนนี้มาแต่ละครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เดือนหนึ่งครูแกรับแค่งานเดียว หรือสองเดือนครั้งเท่านั้น ยากนักที่จะได้ตัวมาร่วมงาน"ผมยินดีครับ แล้วจะยินดีมากเลยหากวันข้างหน้าเด็ก ๆ ในคณะจะได้มารำด้วย"ตรีศูลอมยิ้มพร้อมกล่าวตอบผู้ว่าจ้างประนมมือขอบคุณ ชายสูงอายุหัวเราะร่าพูดคุยโต้ตอบกับนางรำที่ตนว่าจ้างมารำถวายศาลทุกครั้งที่มีโอกาส จนผู้คนที่นั่งโต๊ะจีนอยู่โดยรอบอยากจะเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยไม่ว่าใครก็ต่างรู้ดีว่า'ครูแก้ว'แห่งคณะนางรำประจำชุมพรนี้มีความสามารถมากมายนัก ทั้งใบหน้ายังสะสวยเกินกว่าจะเรียกได้ว่าบุรุษ เพียงแต้มชาด ปัดแก้มเพียงนิดก็งามหยาดเยิ้มจนใครที่เดินผ่านต่างก็ไถ่ถามว่าสตรีนางนี้คือใครตรีศูลในชุดเครื่องทรงกินรีรีบเปิดกล่องแว่นหยิบเลนส์ขึ้นมาสวม บรรจงถอดเล็บปลอมสีทองนำมาวางเก็บไว้ในกล่องน้อยพกพา ก่อนจะค่อย ๆ จับตะเกียบประคองชิ้นเนื้อเข้าปากอย่างสุภาพเป็นภาพที่น่ามองแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ร่วมโต๊ะย
นายสิบปลื้มปีติรู้สึกว่าตัวเองทำงานคุ้มเงินเดือนก็วันนี้แล เพียงแค่นั่งอยู่เฉย ๆ โดยมีสายตาอาฆาตของผู้ปกครองจ้องมองมาก็รู้สึกพลังชีวิตจากหนึ่งร้อยลงมาติดลบจนอยากออกไปแรดฟื้นฟูสัพพะกำลังแล้วความสามารถพูดคล่องน้ำไหลไฟดับของพ่อหนุ่มทะเล้นได้หมดลงไปเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ก็ได้แต่หวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้ร้อยตื่นขึ้นมาจากภวังค์แล้วเดินมานั่งรับกรรมเป็นเพื่อนรุ่นน้องคนนี้สักทีเถอะครับ!ตรีศูลนั่งจิบน้ำไปกัดฟันกรอด ๆ ไป ใครมันบางอาจมาทำร้ายน้องชายเพียงคนเดียวของเขาหากเป็นนักเรียนเขาจะตามไปชำระถึงหน้าประตูบ้าน หรือหากเป็นเจ้าทหารสองคนนี้ก็อย่าหวังเลยว่าพรุ่งนี้จะได้มีชีวิตอยู่อย่างครบสามสิบสอง"ขออภัยที่ชักช้านะครับ"นางรำหนุ่มวางแก้วน้ำลงบนตัก ตวัดหางตามองนายทหารร่างกำยำที่กำลังเดินหอบเอกสารรายชื่อบางอย่างมาวางไว้บนโต๊ะรับแขก"ไม่ทราบว่า คุณเป็นผู้ปกครองของยุวชนทหารคนไหนเหรอครับ?""นายอดิศร วิศิษฐ์สกุล ม.๕ ครับ"แม้จะพูดสุภาพแต่คนงามก็คล้ายจะกัดฟันพูด ทำเอาพ่อปลื้มอกสั่นขวัญแขวนไม่เคยเจอคนงามสายโหดมาก่อน เขานั่งเกร็งสั่นสู้ประหนึ่งเ
"เลิกแถว!!"เสียงเข้มดังกู่ก้องมาจากครูฝึกผิวสีน้ำผึ้งใจกลางสนาม ปลดปล่อยเหล่าทหารน้อยให้เป็นอิสระเมื่อเข็มสั้นชี้ตรงไปที่เลขสี่ เหล่านักเรียนชั้นมัธยมปลายในชุดสีเขียวเปื้อนดินพากันจับกลุ่มเดินกลับบ้านด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนจากการฝึกอันเข้มงวดรวมไปถึงอดิศรที่โดนเพื่อนคล้องคอกะจะพากันไปนั่งเล่นใต้ต้นไทรที่อยู่ไม่ห่าง"นายอดิศร"เสียงทุ้มคุ้นหูแว่วดังมาจากข้างหลังชวนให้เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีเป็นไก่ต้ม หันไปตอบรับแต่เพียงผู้เดียวเพราะเหล่าผองเพื่อนวิ่งหนีเตลิดไปไกลกันแล้ว"ครับร้อย" ศรยกมือทำความเคารพ พร้อมส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ครูฝึกสุดโหด"แผลเป็นยังไงบ้าง""ดีขึ้นเยอะแล้วครับ""ถ้าไม่ไหวให้มาบอกฉัน เข้าใจไหม ฝากไปบอกเพื่อน ๆ ด้วย""ครับ"แม้เด็กหนุ่มจะตอบรับทราบมาสักพักแต่พิภพก็ยังไม่หยุดจ้องมองมาที่เขา จู่ ๆ คิ้วหนาก็กดลงเหมือนเคร่งเครียดกับอะไรบางอย่าง ทำเอาศรตัวสั่นงั่กเป็นลูกหมาตกน้ำ"พี่นายเป็นนางรำใช่ไหม?""ครับ! ใช่ครับ!"ศรสะดุ้งตอบเสียงดังฟังชัด"เป็นนางรำที่ขึ้นแสดงเมื่องานกา
เรือนนางรำ๗ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณคนดีที่เก็บปิ่นปักผมมาคืนสวัสดีครับ ผมเป็นนางรำเจ้าของปิ่นที่คุณเก็บได้ ก่อนอื่นเลยคงต้องกล่าวขอบคุณเป็นอย่างสูงที่อุตส่าห์ฝากน้องชายผมมาคืนครับ ผมจึงอยากจะมอบของตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คุณ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกมาเจอกันไหมครับขอให้เป็นวันที่ดีนะครับจาก ตรีศูล (แก้ว) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .ร้อยเอกพิภพคิดดีแล้วที่ตัดสินใจอดทนรอไม่เปิดจดหมายอ่านต่อหน้าสาธารณชนไม่อย่างนั้นชาวบ้านชาวช่องคงต้องเห็นเขาทรุดลงกลางถนนเป็นอันแน่แท้พิภพได้อ่านจดหมายฉบับนี้หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จโดยที่ยังไม่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ดีดังนั้นบนตัวจึงยังมีแค่ผ้าขาวม้าผืนเดียวเปิดแผ่นอกและลอนหน้าท้องส่วนบนที่ยังคงชุ่มน้ำอยู่ ทว่าดูเหมือนไอร้อนที่แผ่ออกมาบนหน้าเขามันจะมากเกินสงสัยคงจะต้องไปตักน้ำสักขันมาราดให้หัวเย็นลงเสียหน่อยแล้วด้วยความเค
ตกเย็นหลังการเรียนการสอนเมื่อพิภพได้รับจดหมายมาจากยุวชนทหารในการดูแลอย่างอดิศร ร้อยเอกจึงเก็บมันเข้ากระเป๋าสะพายประจำกายเตรียมจะเอาไปเปิดอ่านที่บ้านพัก ซึ่งเขามักจะเปิดอ่านมันก่อนจะออกไปวิ่งทว่าเมื่อเปิดผนึกขึ้นมาร้อยเอกผู้เข้มแข็งถึงกับต้องลุกออกจากเก้าอี้มาทำใจ'ทำไมครั้งนี้มันถึงมีกลิ่นหอมติดมาด้วย!'อยากอ่านก็อยากอ่านแต่ก็กลัวว่าตัวเองจะเผลอยกมันขึ้นมาดม ถึงในบ้านหลังนี้จะมีเพียงเขาอาศัยแต่เพียงลำพังแต่เขาก็อายฟ้าอายดินเป็น ท้ายที่สุดร่างกำยำก็ตัดสินใจหย่อนตัวลงเก้าอี้หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านอย่างใจเย็นและอดทน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .๙ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณดินผมตอบรับข้อเสนอของคุณครับ ดังนั้นแล้วต่อจากนี้เราคือเพื่อนทางจดหมายกันแล้วใช่ไหมครับแต่ผมไม่ทราบว่าเวลาคนเขาเขียนจดหมายกันแบบนี้แล้วเขาคุยกันเรื่องอะไรกันบ้าง พอดีผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องนี้เท่าไร รบกวนคุณดินลองยกตัวอย่างมาให้ผมสั
"ร้อย ทำไมเครียด ๆ อะช่วงนี้"นายสิบปลื้มปีติถามรุ่นพี่ด้วยความเป็นห่วง หากขาดพี่ใหญ่คนนี้ไปใครจะมาเป็นคนทำเอกสารอันแสนวุ่นวายให้เขาเล่า ทว่าเหตุผลนั่นก็ส่วนหนึ่งทว่ายิ่งไปกว่านั้น คิ้วหนาของเจ้าตัวจากปกติที่กดลงอย่างยมบาลตอนนี้กลับกดลงยิ่งกว่าเก่าจนแทบจะบังดวงตานายทหารรุ่นน้องจึงอาสาชงกาแฟดำมาวางบริการถึงตรงบนโต๊ะร้อยเอก แล้วจึงสบโอกาสนั่งคุย (อู้งาน) มันเสียตรงนี้เลย"เครียดเรื่องงานเหรอครับ?"เขาถามด้วยความสงสัย ถ้าเป็นเรื่องงานเจ้าตัวคงไม่น่าจะมาเครียดแบบนี้ แก้เอกสารก็แค่ทำจากผิดเป็นถูกแต่มันอาจจะเยอะเกินไปสำหรับอีกฝ่ายกระมัง"เหอะ ฉันเปล่าเครียดเรื่องนั้น""แล้วบอกได้รึเปล่าว่าเครียดเรื่องอะไรเผื่อผมช่วยได้"ทันใดนั้นสายตาอาฆาตก็ช้อนมาที่เขา ก่อนที่เจ้าตัวหันหน้าไปครุ่นคิดบางอย่าง ปลื้มจึงลากเก้าอี้มานั่งฟังใกล้ ๆ พลางจิบชาของตัวเองไปด้วย"นางรำคนนั้น..."พิภพถามยกมือกุมที่หว่างคิ้วพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ด้วยท่าทีนั้นจึงทำให้ปลื้มนึกสาเหตุออกในทันที"อ๋อ ทำไมเหรอครับ ผมว่าเขาก็สวยดี""เอ
เรือนนางรำ๑๘ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณดินขอบคุณสำหรับคำอวยพรแก่เหล่ากองเสื้อผ้าของผมกับเด็ก ๆ นะครับ เรื่องจะมาผมยินดีต้อนรับเสมอครับ หวังว่าถ้าได้มาเราจะได้มานั่งคุยกันตัวต่อตัวบนเรือนผมนะครับสุดท้ายนี่เหมือนเทพนิยายเลยนะครับ มีน้อยคนมากนะครับที่จะมีรักแรกพบแล้วสมหวัง แต่คุณไม่ต้องนะครับผมสนับสนุนคุณเต็มที่เลย สาบานด้วยเกียรติของครูนาฏศิลป์เลยครับ แล้วถ้าเป็นผม ผมคงอยากให้คุณเข้าไปคุยกับคุณคนนั้นตรง ๆ จะมีวิธีสื่อสารไหนดีเท่ากับการพูดด้วยความจริงใจล่ะครับ ผมคงให้คำแนะนำได้เท่านี้ ขอให้โชคดีนะครับแล้วก็เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนคุณดินจะอวยพรให้ผมได้ไหมครับ พอดีไม่กี่วันนี้ผมมีงานต้องไปออกงานข้างนอก รบกวนด้วยนะครับพกร่มแล้วพกเสื้อกันฝนด้วยก็ดีนะครับจาก แก้ว . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .๑๙ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณแก้ว
"มาหาผมเรื่องอาจารย์ใช่ไหมครับ?"พิภพพยักหน้าตอบรับไปอย่างไม่อาย นายทหารร้อยเอกวัยสามสิบสี่ปีเคร่งเครียดหนัก เขายอมทิ้งวันหยุดอันมีค่าเพื่อพาตัวเองมาอยู่ตรงหน้าศิษย์เอกครูแก้วก็เพื่อปรึกษางานในอีกวันข้างหน้าหนุ่มนพนั่งจิบกาแฟหวานพลางมองตาลุงที่หลงครูตัวเองหัวปักหัวปำก็นึก'ถ้าอาจารย์โชคร้ายเผลอสะดุดล้มอะไรเข้า คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าโชคดีไปอยู่กับใคร'เล่นมีทหารรับราชการมาสนใจแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ใครเขาจะทำกันได้ง่าย ๆ"ประเด็นคือคุณลุงทหารต้องพูดตรง ๆ " นพปรับสีหน้าเชิดมองคู่สนทนา "อาจารย์น่ะ เกลียดคนโกหกที่สุดเลย"เกลียดคนโกหก...พิภพนั่งกุมมือตกผลึกกับตัวเอง แล้วไม่ใช่ว่าเขาตอนนี้กำลังโกหกอยู่หรืออย่างไรชายร่างใหญ่ในเชิ้ตขาวนั่งถอนหายใจกับผลลัพธ์ที่น่าจะเกิดขึ้นแน่ ๆ เราสนทนากันมากกว่านั้นทว่านั่นเป็นประโยคสำคัญที่ยังคงแล่นวนอยู่ในหัวจนกระทั่งเขาเตรียมจะออกไปวิ่ง'วันนี้เขาจะไปดีรึเปล่า'เพราะเขารู้ตัวเองดีว่าการออกกำลังกายนี้มันมีจุดประสงค์แอบแฝง เขารู้สึกผิดในทุก ๆ วันทว่าก็เลือกเมินเฉยต่อมันและ
"หลานไปก่อนนะจ๊ะตา"ตรีศูลเดินลงมาหาตาเทิดตาไฮ้ที่อาสารับหน้าที่ดูแลเรือนตลอดการไปศึกษาของเจ้าของคณะ"เอ้อ ๆ ไปดีมาดีล่ะ" ตาเทิดรับไหว้หลาน"อย่าไปนอกใจไอ้เสือมันล่ะ ฮ่า ๆ เดี๋ยวได้โดนมันจับขังอีกหรอก""ตาละก็!"ตาไฮ้แซะแซวหลานสุดที่รัก พวกเขาไปได้ยินเรื่องวีรกรรมของเจ้าหลานเขยคนนี้มาแล้วเป็นที่เรียบร้อยตรีศูลได้ยินก็ยิ่งอายเขาจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไรเล่า แม่นางรำโกรธพิดพัดกอดอกไม่พอใจเป็นที่ขบขันแก่สองตาช่างแกล้ง ส่วนอดิศรที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เป็นที่เอ็นดูไม่แพ้กัน เห็นสงบเสงี่ยมแบบนี้เจ้าศรเองก็สนิทกับสองตาพอสมควร"ไว้ผมจะกลับมาหานะครับ"เด็กชายกล่าว แม้เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในคณะเหมือนพี่ชาย แต่อย่างไรที่แห่งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในความทรงจำที่เขาจะไม่มีวันลืมพี่น้องทั้งสองเมื่อกล่าวลาผู้อาวุโสเสร็จจึงเดินไปยังประตูรั้วหน้าเรือนที่ถูกเปิดเตรียมเอาไว้ ตรีศูลเงยมองหน้าพ่อทหารที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว"รีบไปเถอะครับ ป่านนี้นพคงบ่นแล้ว"คุณครูนาฏศิลป์คำนึงถึงลูกศิษย์ตัวเองที่ขี้โวยวายเป็นที่หนึ่ง พร้อมก
วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีแน่นอนว่าหากเป็นวันในสัปดาห์เช่นนี้พิภพจำต้องออกไปทำงาน ทว่านั่นหาใช่ประเด็นไม่ เพราะเย็นวันนี้เป็นวันที่เขาจะต้องไปส่งคนรักขึ้นรถไฟพร้อมกับเด็ก ๆพิภพนั่งตวัดข้อมือร่างเอกสารไปอย่างเหม่อลอย เพียงคิดภาพที่ต้องไกลห่าง ความรู้สึกคิดถึงก็ผุดขึ้นมาเสียแล้ว ตลอดหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาตื่นเต้นในทุกเย็นหลังเวลาเลิกงานเมื่อรู้ว่าจะได้กลับไปสอนหนังสือแม่นางรำ ดังนั้นช่วงเวลางานในหัวเขากลับเอาแต่คิดแต่วิธีการสอน ไม่ก็มัวแต่จดจ่อกับการตระเตรียมเอกสารการเรียนให้แก้วจนบางครั้งเกือบไม่เป็นอันทำงานเพราะหากเจ้าตัวสอบติดวิทยาลัยพระนครหมายความว่าแก้วจะได้เป็นฝ่ายมาอยู่บ้านของเขา ซึ่งนับเป็นหนึ่งในเรื่องที่เขาอดใจรอแทบไม่ไหวเช่นกัน มันจะดีสักแค่ไหนกันเชียวหากได้เห็นโฉมงามเดินทำกิจภายในบ้านตนเอง"เหม่ออีกแล้วนะครับ"ปลื้มที่เดินเอารายงานมาให้ตรวจทักขึ้น ไม่รู้ทำไมช่วงนี้รุ่นพี่เขาถึงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ แต่คงจะเป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ตามเคย ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะสามารถเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้"มีเรื่อง
เดินเข้าไปใกล้ศาลาการเปรียญเรื่อย ๆ ผู้คนก็เริ่มชุกชุม เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กน้อยชวนให้ตรีศูลรู้สึกสบายใจขึ้นมาเป็นเท่าตัว มองเข้าไปก็เห็นคุณนายผอ.กำลังยืนพูดอยู่หน้าแถว ก่อนที่เจ้าตัวจะทำท่ากวักมือมาทางพวกเขา"พี่ต้องไปแล้ว ส่วนแก้วพี่ว่าเรานั่งพักสักหน่อยก็ดีนะครับ"พิภพที่ต้องไปทำหน้าที่ยังไม่วายเป็นห่วงโฉมงาม ตรีศูลเลือกหย่อนกายลงม้านั่งโบกมือเบา ๆ ส่งพ่อทหารแล้วจึงมองตามแผ่นหลังนั้นไปยังหน้าศาลาด้วยความขัด ๆ เขิน ๆ เล็กน้อยจากความไม่คุ้นชินในศัพท์คำพูดตอนนั้นจนถึงตอนนี้ตรีศูลไม่รู้จะขอบคุณพ่อทหารอย่างไรดี หากไม่มีเจ้าตัวเข้ามาเผลอ ๆ เขาอาจจะต้องระทมทุกข์ไปกับความทรงจำอันเลวร้ายนั่นตลอดทั้งชีวิตแม่นางรำนั่งเรียบร้อยใช้สายตาทอดมองไปยังหน้าเคหสถาน เห็นคนรักกำลังพูดชมเชยเหล่าสมาชิกยุวชนทหาร เสียงทุ้มเมื่ออยู่ในหน้าที่พูดจาฉะฉานตรงประเด็นสมกับสัมมาอาชีพ แม้ตนจะไม่ได้ไปยืนอยู่ ณ ตำแหน่งนั้นก็รู้สึกภูมิใจแทนเสียจนต้องอมยิ้มออกมา ผู้ชายอะไรครบเครื่องจริง ๆ ดังนั้นเขาจะต้องพัฒนาตัวเองไม่ให้น้อยหน้า ชักจะมีกำลังใจในการเรียนขึ้นมาแล้วสิ&
ตรีศูลในตอนนี้กำลังหาย่ามที่น่าจะมีขนาดใหญ่มากพอสำหรับการขนของ ไม่ใช่การจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางไปพระนครเพราะเขายังคงเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนในการเตรียมตัว แต่เขากำลังจะไปพูดคุยกับคุณนายผอ.เรื่องเรียนต่อเพิ่มอีกสักหน่อย ยิ่งเวลาที่เข้าใกล้มาเรื่อย ๆ ก็ชวนให้เขาตื่นเต้นไม่ใช่น้อย หลายวันมานี้เขาขอหนังสือเจ้าศรน้องน้อยมาอ่านระหว่างวัน เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็สุดแล้วแต่บุญแต่กรรมแม่นางรำถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขารู้ดีว่าที่ตนอ่านหนังสือไม่เข้าหัวไม่ใช่เพราะเนื้อหาแต่เป็นเพราะเขาหาเวลาอ่านไม่ได้ต่างหาก ยิ่งต้นปีหลายบ้านหลายนายจ้างล้วนมีกิจทั้งนั้น แต่ละคนก็เข้ามาจ้างงานจนตารางแทบชนกัน ขนาดมีนพเข้ามาช่วยอย่างเต็มตัวภาระก็ยังคงหนักอยู่ดี กลายเป็นว่าอ่าน ๆ อยู่แล้วก็โดนเคาะเรียกให้ออกไปเก็บท่าบ้าง เพิ่มท่าบ้าง แปรแถวบ้างจนตัวหนังสือที่อ่านมาไหลออกไปจากหัวจนหมด แล้วแบบนี้ยังจะมีหน้าไปเรียนพระนครอีกแต่วันนี้เขาตั้งใจว่าจะไปหาคุณนายผอ.ถามเรื่องหนังสือโดยละเอียดอีกครั้ง ต่อให้ต้องเข้าไปนั่งเรียนกับเด็กวัยกระเตาะเข้าเขาก็ยอม"แก้ว เราจะไหวแน่เหรอ?"ชายค
พิภพเอนหลังปล่อยกายพิงพนักให้สบาย หรี่ตามภาพแผ่นหลังของแม่นางรำโฉมงามที่เตรียมตัวจัดท่าจัดทางให้เข้าที่พร้อมขึ้นแสดง นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้มานั่งดูเจ้าตัวรำอย่างเป็นกิจจะลักษณะนอกจากจะเห็นฝึกซ้อมอยู่บนเรือน เท่าที่จำได้คงเป็นงานวันชาติกระมังที่เขาได้เห็นเจ้าตัวแต่งองค์ทรงเครื่อง แล้วก็คงมีอีกครั้งในตอนที่เขาตื่นมาจากการหลับใหลหลังผ่านสมรภูมิรบมาหากให้เทียบแล้วการได้มองคนงามซักซ้อมแม้จะใช้ท่วงท่าเดียวกันแต่มันคนละเรื่องกับการที่ได้มาเห็นเจ้าตัวครบองค์เช่นนี้เสียงบรรเลงระนาดเอกขึ้นพร้อมกับฝีเท้าบางซอยถี่วาดลวดลายเข้าไปยังใจกลางวงเสียงกระพรวนข้อเท้าแม้จะแผ่วเบาเมื่อเทียบกับปี่ที่เล่นอยู่ทว่าเมื่อผสานกันแล้วกลับเสนาะหูยิ่ง อุบะทัดหูเอนเอียงไปตามกรอบหน้างามเมื่อเจ้าของร่างบางกดเอวเบี่ยงกาย สายตาคู่สวยเชิดมองไปยังเหล่าคนดูที่แม้จะพร่ามัวแต่ก็จับได้ว่าพวกเขากำลังมองมาด้วยใบหน้าผ่องใสพิภพมองร่างผอมเพรียวอย่างเคลิบเคลิ้มสดับฟังท่อนร้องที่เอื้อนเอ่ยตามทำนองฉุยฉายเอยเจ้าช่างจำแลงแปลงกายงามคล้ายบุษบาหน้าเป็นใ
ตรีศูลที่กลับมาจากการอาบน้ำผลัดผ้าเข้าในห้องนอน ระหว่างรอตัวแห้งสนิทก็มาจัดแจงเครื่องแต่งกายประจำวันนี้เพราะในอีกไม่กี่ชั่วโมงเขาจะต้องไปออกงานรำขึ้นบ้านใหม่ของพ่อเศรษฐีนายจ้างเจ้าประจำโฉมงามหยิบต่างหูเคลือบแผ่นทองขึ้นมาส่องกับกระจกโต๊ะเครื่องแป้งเทียบเคียงความเหมาะสมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจเลือกต่างหูเต่าร้างที่เล็กกว่าแล้วจึงค่อยเก็บอีกคู่ลงกล่องไม้ไป ดวงตาคู่สวยผัดผินลงมามองเสื้อยืดสีขาวก่อนจะยกมือขึ้นมาปลดกระดุมทว่าเมื่อเหลือบสายตาไปมองยังขอบเตียงข้าง ๆ กลับต้องเอ่ยคำถามขึ้นมาแก่ชายที่ทำเป็นเนียนนั่งอ่านเอกสาร"คุณดินทำไมถึงยังนั่งอยู่ในนี้เหรอครับ?"ตรีศูลหันกลับไปถามพ่อทหาร ที่ตั้งแต่เช้าก็ดูจะปักหลักอยู่ในหอนอนแทนที่จะออกไปนั่งจิบกาแฟทำงานตากลมเย็นข้างนอกอย่างเคย"แล้วทำไมผมจะอยู่ไม่ได้ล่ะครับ?"นายทหารถามยอกย้อนคล้ายว่าการนั่งในห้องนี้แอบแฝงไปด้วยจุดประสงค์บางอย่าง"ผมจะแต่งตัว""เราก็แต่งไปสิ""ผมอาย""จะอายทำไม พี่เห็นเรามาทั้งตั-"ไม่ทันที่นายทหารจะได้กล่าวจบก็ถูกเจ้าของเรือนไล่ออก
พิภพวิ่งออกจากเรือนถือซองเอกสารที่ทำค้างไว้ด้วยความเร่งรีบ นาฬิกาข้อมือเขาก็ลืมสวมต้องคอยอาศัยมองนาฬิกาตามร้านค้ารายทางเอาเพื่อดูเวลา จนในที่สุดก็มาทันถึงก่อนเก้าโมงอย่างฉิวเฉียดนายทหารหอบแฮกอยู่หน้าสำนักงานแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากเรือนเพราะเห็นว่าครึ่งชั่วโมงเขาจะเข้างานสาย แล้วก็ด้วยนิสัยตั้งต้นของเขาจึงทำให้ร่างกายมันขยับอย่างเป็นไปเอง คนในชุดสีเขียวแก่นั่งยองพักเหนื่อยจนผมที่จัดมาอย่างดีทิ้งปอยลงมาปรกหน้าผาก ก่อนที่พิภพจะเงยหน้าขึ้นมาดูตึกอาคารที่เขาต้องมาใช้ชีวิตการทำงานหลังจากนี้ตึกไม้เก่ายกสูงชั้นเดียวสะอาดตาและป้ายแกะสลักข้อความ 'กรมทหารราบ' นั่นทำเอาพิภพคิด ถ้ากรมทหารมันจะใกล้โรงเรียนขนาดนี้ส่งคนมาช่วยเป็นครูฝึกมันยากมากนักรึไง ปล่อยพวกเขาทำงานง่ก ๆ กันอยู่สองคนเป็นปีพ่อทหารถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง เดินขึ้นบันไดไม้ใบพลางมองเครื่องเรือนอย่างง่ายที่อยู่นำออกมาตั้งประดับให้พอมีจุดเจริญสายตา เขาหวังว่าวันนี้จะไม่มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้น-*ซ่า* ไม่ทันที่นายทหารจะได้เดินเข้าไปเต็ม
เสียงจักจั่นแว่วผ่านช่องหน้าต่างเปิดกว้างเข้ามาพร้อมกับแสงอาทิตย์ในรุ่งอรุณของวันใหม่สาดส่องไปยังโฉมงามบนเตียง ร่างแน่งน้อยซุกกายอยู่ใต้ผืนผ้าห่มหนา เปลือกตาสีไข่และเรียวคิ้วขมวดเมื่อรู้สึกตัว ริมฝีปากบางกระตุกตามเจ้าของผู้ยังคงอยากจมอยู่ในห้วงฝัน ทว่าไอร้อนใต้ผืนผ้าค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นเสียจนคนสวยต้องฝืนลืมตาตื่น แขนเรียวยาวยกขึ้นบิดขี้เกียจพร้อมอ้าปากส่งเสียงง่วงเหงาหาวนอนตามความเคยชิน ก่อนที่จะส่งมือไปควานหาชายที่ควรจะนอนอยู่ข้าง ๆ ทว่ากลับพบแต่ความว่างเปล่า จึงพลิกกายมามองข้าง ๆ จนได้เห็นบุรุษคนรักยืนอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งของเจ้าของเรือนร่างกายกำยำยืนจัดแจงปกเสื้อเชิ้ตสีขาวให้เข้าที่ ลอนผมสั้นที่ถูกปล่อยลงอยู่เป็นนิจยามอยู่เรือนตอนนี้ได้ถูกหวีขึ้นเป็นทรงเรียบแปล้ดังเดิมเพื่อเสริมมาด จนเหมือนชายเจ้าจะได้ยินเสียงเสียดสีกันของผ้าจึงชำเลืองตามองก่อนจะหันมาอย่างเต็มตัวก็เจอแม่นางรำสวมแว่นแอบมองกันเสียแล้ว"อรุณสวัสดิ์ครับคุณแก้ว"พิภพเอ่ยทักทายก่อนจะละมือจากเครื่องแต่งกายเข้าไปนั่งยังหัวเตียง จรดริมฝีปากหอมแก้มทักทาย"อรุณ...สวัสดิ์...คร
"อย่าแกล้งกันอีกนะ"ตรีศูลกำชับพ่อทหารเจ้าเล่ห์ คิ้วเรียวบางกดลงก่อนจะยื่นคำขาด ไม่เข้าใจทำไมนายทหารถึงชอบกลั่นแกล้งเขาในตอนที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มนักฝ่ามือหนาเข้าลูบกลุ่มผมเงางาม พลางยื่นหน้าเข้าไปซุกไซ้ซอกคอขาวที่ตอนนี้มีรอยขบเม้มขึ้นบ้างประปรายจนความสากคันจากตอหนวดชวนให้แม่นางรำส่งเสียงหัวเราะใสด้วยความจั๊กจี้ออกมาจากลำคอ ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินขณะเดียวกันมือที่ว่างเว้นจากภารกิจก็ค่อย ๆ จับไปยังขอบกางเกงของคนเบื้องล่างก่อนดึงลงเปิดให้เห็นแก่นกายขนาดกะทัดรัดฉ่ำเยิ้มไปด้วยของเหลวข้นใสตรงส่วนปลาย ด้วยว่าพ่อทหารอยากบำเรอร่างกายเล็กนี้ให้ไปถึงฝั่งฝัน นิ้วทั้งสิบจึงเข้าสัมผัสส่วนอ่อนไหวของโฉมงาม รูดรั้งปรนเปรออย่างไม่กระดากอายจนนางรำหนุ่มร้องเสียงหลง ยิ่งขาอ่อนถูกแหวกออกไร้ซึ่งทางจะปิดกั้นร่างทั้งร่างจึงได้แต่บิดพลิ้วอ่อนระทวยรวยรื่นลากพาผ้าปูยับยู่ยี่ผ่านเล็บที่จิกลงไปตามแรงกำหนัด เขี้ยวแหลมของพ่อทหารจากที่เพียงครูดไปตามเนื้อขาอ่อนในทีแรกเริ่มฝังรากตีตราความเป็นเจ้าของจนแม่นางรำคนรักรู้สึกได้ถึงความเจ็บแสบที่แล่นขึ้นมาโดยพลัน ตรีศูลไม่คิดมาก่อนว่าก