Share

บทที่ ๒ ครูแก้วกับการประชุมผู้ปกครอง (๕๐%)

"พี่ครับ"

เสียงของเด็กหนุ่มวัยย่างสิบแปดผมสั้นเกรียนพร่ำเรียกคนอายุมากกว่าที่ยังคงนอนสลบไสลไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ให้ทำอย่างไรเล่าก็เมื่อวานพี่ของเขากว่าจะขึ้นแสดงก็ปาไปหนึ่งทุ่มเศษทั้งหลังจากทักทายปวงประชาเสร็จก็ออกตามหา'ทหาร'ที่เจ้าตัวเห็นว่าเป็นคนเก็บปิ่นแสนแพงนั่นได้ก็กินเวลาไปจนงานเลิกสองทุ่มครึ่งนั่นแหละกว่าจะยอมกลับบ้านมาทั้งที่คว้าน้ำเหลวอยู่อย่างนั้น

"พี่ครับ วันนี้พี่ต้องไปประชุมผู้ปกครองให้ผมนะครับ"

"อือ... แป๊บหนึ่งศร พี่ขอสิบนาที"

เจ้าของชื่ออดิศรถอนหายใจเพราะพี่เจ้าพูดคำว่าสิบนาทีมาสองรอบเห็นจะได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีเด็ดขาด

เนื่องด้วยเรือนหลังนี้เป็นพื้นที่สำหรับคณะนางรำเช้าตรู่จึงมีศิษย์ร่วมสำนักมาทำความสะอาดและฝึกซ้อมรอเจ้าของคณะตื่นตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันเพื่อตระเตรียมของ ขายาวเดินปรี่ไปที่พี่ผู้ชายตัวเล็กอีกคนหนึ่งที่นุ่งโจงกระเบนจับผ้าขี้ริ้วเช็ดราวบันไดอยู่

"พี่นพครับ ผมรบกวนอะไรหน่อยได้ไหมครับ"

ศรจับดึงลากคนอายุมากกว่าตนสองปีมายืนดูอาจารย์ของตนที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงอย่างหมดสภาพคนงามประจำตำบล ก่อนที่ศรจะต่อ

"ช่วยปลุกพี่ตรีให้ทีครับ"

จากนั้นเมื่อศรเดินออกมาข้างนอกได้ไม่นานก็มีเสียงโครมครามดังขึ้นภายในห้องนอนของเจ้าของสำนักนางรำ และพี่ชายที่ส่วนสูงต่ำกว่าเด็กสิบแปดก็เดินออกมาพร้อมบอกว่า'ทุกอย่างเรียบร้อยดี ให้รอประมาณยี่สิบนาทีอาจารย์ได้ออกจากบ้านแน่'

น้องชายอย่างศรขนลุกซู่ไม่อาจรู้ได้ว่านางรำศิษย์เอกอาจารย์คนนี้ได้ทำอะไรกับพี่ชายของเขาจึงมีท่าทีมั่นอกมั่นใจได้ขนาดนั้น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

ร่างโปร่งหัวกระเซิงในชุดเสื้อกล้ามตัวบางกางเกงขายาวผ้าปาเต๊ะลุกขึ้นจากเตียงด้วยความงัวเงียขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก เพราะเจ้านพที่เล่นเปิดผ้าม่านสาดให้มาเข้าตาเขาเต็ม ๆ ทำเอาตาเขาพร่าไปชั่วขณะ ทั้งยังขู่ว่าจะขโมยแมวใต้ถุนบ้านไปปล่อยวัด เด็กคนนี้รู้ดีเกินไปจริง ๆ

ร่างผอมบางคิดพลางหยิบหวีมาสางเส้นผมที่ยาวถึงกลางหลังด้วยความชำนาญ จัดแจงรวบช่อขึ้นเป็นหางม้าคลายอย่างง่ายให้สบายหัว หยิบแว่นประจำตัวขึ้นสวมแล้วจึงลุกยืนเดินออกไปเข้าห้องน้ำ ด้วยกระจกบานเล็กที่ถูกติดไว้จึงสะท้อนให้เห็นเรือนร่างอย่างบุรุษเพศทว่ากลับมีผิวกายขาวเนียนละเอียดเยี่ยงอิสตรี มัดกล้ามที่ควรจะอยู่บนแขนกลับกลายเป็นเนื้อนิ่มเสียอย่างนั้น

ชายร่างโปร่งสูงยืนมองใบหน้าตัวเองในกระจก 'ผ่านมาคืนเดียวตอหนวดขึ้นซะแล้วเหรอ' เขาคิดแต่ก็ไม่ตัดสินใจที่จะโกนมันแม้รู้ว่าตนจะต้องไปสถานที่ราชการ

เขาพยายามรื้อตู้เสื้อผ้าก็มีแต่เสื้อแขนกุดทั้งสิ้น ไม่มีเสื้อทางการอย่างเสื้อเชิ้ตหรือชุดสุภาพ แต่เมื่อคิดว่าผู้คนแถบนี้ล้วนเป็นกันเองจึงบอกตัวเองว่าช่างมันและใส่ในแบบที่อยากใส่แทน ท้ายที่สุดชุดที่ออกมาจึงเป็นเสื้อสีขาวแขนกุดพร้อมกางเกงม่อฮ่อมอีกตัว และเพิ่มความสุภาพด้วยการโพกผ้าขาวม้าปิดหัวไหล่เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการไปพบคุณครู

เมื่อหันมาดูหน้าปัดนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเก้านาฬิกาสิบห้านาที จากที่ศรบอกเขาเวลาในการลงทะเบียนคือเก้าโมงถึงเก้าโมงครึ่ง ใบหน้ากลมกลึงซีดเผือด รีบคว้ากระเป๋าผ้าใส่รองเท้าแตะรัดข้อวิ่งออกจากบ้านไปอย่างทันท่วงที

"เห็นไหมฉันบอกแล้ว"

นพกอดอกยืนมองครูตัวเองวิ่งแจ้นออกไปจากกระไดเรือนด้วยความชินชา

"ครับ"

ศรได้แต่รับคำ พร้อมทำหน้าเหมือนปลงในชีวิต

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

เนื่องด้วยเขาไม่มีจักรยาน คราวจะรอรถเจ๊กก็คงนานจึงต้องวิ่งมาด้วยระยะเกือบครึ่งกิโลเมตร สำหรับบางคนอาจจะไม่สะทกสะท้านทว่ากับเขาที่วัน ๆ ก็นั่งดัดนิ้วซ้อมรำ หรือเล่นขิมยามว่างนี่มันเหมือนกับการฆ่าตัวตายชัด ๆ ว่าแล้วแดดประเทศไทยก็สาดมาที่เขาประหนึ่งแสงบนเวทีของเมื่อสองวันก่อนที่ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นท่ามกลางผู้คน ช่างเป็นชะตาชีวิตที่ดีเสียจริง

ยืนพักเหนื่อยไม่ทันไรด้วยเวลาที่กระชั้นชิด นางรำหนุ่มรีบเดินไปยังโต๊ะลงทะเบียนแล้วกล่าวชื่อเด็กในปกครอง

"ผู้ปกครองของนายอดิศร วิศิษฐ์สกุลครับ"

คุณครูผู้ดูแลโต๊ะแทบไม่ต้องชี้ช่องเพราะเขาคือผู้ปกครองคนสุดท้ายที่มาร่วมประชุมในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ มือเรียวบางจึงจับปากกาเซ็นชื่อ 'ตรีศูล วิศิษฐ์สกุล' ลงไป

จากนั้นคุณครูสาวจึงอาสาพาเขาเดินนำไปยังห้องที่มีการประชุมอยู่ เจ้าหล่อนอธิบายคร่าว ๆ ให้ว่าภาคเรียนนี้ทางภาครัฐได้ส่งทหารเข้ามาทำการอบรมพิเศษดังนั้นการประชุมจึงจะมีสองช่วงด้วยกัน ทว่าบางทีการที่เขามาสายแบบนี้อาจจะพลาดส่วนแรกไป ดังนั้นหากขาดเหลืออย่างไรสามารถมาติดต่อยังห้องพักครูได้เป็นการส่วนตัว

ด้วยว่า ณ ละแวกนี้ผู้คนต่างรู้จักกันดีรวมถึงเขาด้วยดังนั้นเขาซึ่งเป็นนางรำชายจึงถูกปฏิบัติเป็นอย่างดีด้วยความเข้าใจในสายอาชีพ

ทว่าเมื่อเขาเดินเข้ามานั่งยังเก้าอี้บริเวณหลังห้องก็เหมือนจะถูกจับตามองอย่างไรอย่างนั้น ตรีศูลพยายามหันซ้ายหันขวามองหาต้นตอของความรู้สึกผวานี้จนหันเงยหน้าไปเจอชายร่างกำยำในชุดทหารเต็มยศที่จ้องเขาเขม็งปานจะสูบเลือดสูบเนื้อให้ได้

ปากสีเข้มนั้นกล่าวพูดไป สายตาคมประดุจมีดพร้านั้นก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า น้ำเสียงที่พูดออกมารู้เลยว่ามีกัดฟันอยู่เล็ก ๆ เขารู้ว่าชุดเสื้อผ้าเขามันก็ไม่ได้เหมาะกับสถานที่แต่ช่วยเมิน ๆ มันไปหน่อยได้ไหม เห็นแก่ผ้าขาวม้าที่อุตส่าห์เอามาคลุมด้วยเถอะ คนเขาอึดอัดจะตายอยู่แล้ว

กระนั้นเมื่อชำเลืองมองเหล่าแม่ ๆ ที่มาร่วมการประชุมในครั้งนี้เขาจึงรู้ทันทีว่าเขาคือแกะดำ ต่างคนต่างสวมเสื้อลูกไม้ใส่ต่างหูจัดเต็มกันมาจับจองพื้นที่ด้านหน้าห้องเรียนเพื่อยลโฉมพ่อทหารรูปหล่อ และเขาคือผู้ชายคนเดียวในที่แห่งนี้ นั่นทำเอาวิญญาณแทบจะลอยหลุดออกจากร่างไม่ใช่ว่าคุณครูที่พาเขามาส่งจะแอบหัวเราะเรื่องชุดของเขาในใจไปแล้วหรอกนะ

ด้วยว่าผู้ปกครองด้านหลังห้องอย่างเขาไม่ได้มีสมาธิจดจ่อกับนายทหารตรงหน้าเลยจึงจับคำที่อีกฝ่ายพูดไม่ได้สักเท่าไรนัก นอกเสียจากภายในสัปดาห์นี้นายทหารตัวแทนทั้งสองคนจะประกาศรับยุวชนทหารตามความสมัครใจ ดังนั้นแล้วโปรดให้ผู้ปกครองเคารพการตัดสินของนักเรียนด้วย

เขาที่ใช้ชีวิตมาจนขึ้นเลขสามแล้ว สงสัยเสียจริงว่าทำไมคนเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่งต้องมาเข่นฆ่ากันเพียงเพราะเหตุผลอย่างอุดมการณ์ไม่ตรงกันด้วย การเจรจาหากไม่มีจุดหมายร่วมกันทำไมถึงไม่ประนีประนอมและต่างคนต่างอยู่ ทำไมถึงต้องมีคนเสียสละออกไปจับปืน เขาทราบดีว่าความคิดเขาเป็นอะไรที่ตื้นเขินเกินกว่าจะนำมาใช้ในชีวิตจริง เพราะแค่เขาชอบผ้าคนละสีกับเจ้านพยังทะเลาะกันได้ จะมาอะไรกับอุดมการณ์การเมืองการทหาร ทว่าเขาก็คาดหวังว่าสักวันหนึ่งความเพ้อฝันของเขาจะเป็นจริงไม่มากก็น้อย

ตรีศูลคิดพลางเล่นปลายผมตัวเองขณะที่เดินกลับบ้านในเวลาบ่ายแก่ ๆ และคิดว่าน้องชายของเขาอย่างอดิศรที่เป็นเด็กดีอยู่ในร่องในรอยคงจะไม่สนใจความรุนแรงพวกนั้น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

"พี่บอกว่าไม่ก็ไม่ เดี๋ยวพี่ไปคุยกับครูให้เอง"

ทว่าเหมือนเบื้องบนจะไม่ฟังความปรารถนาของเขาเลย จู่ ๆ เย็นวันจันทร์ถัดจากประชุมผู้ปกครองไปหนึ่งสัปดาห์

เจ้าศรน้องชายต่างสายเลือดสุดรักสุดหวงของเขาบอกว่าจะไปเป็นยุวชนทหารจับมีดจับปืนคลุกขี้โคลน พร้อมพูดจานำเสนอด้วยตาที่เป็นประกายหนึ่งเป็นความต้องการที่ออกมาจากใจ

"แต่ผมอยากเป็นจริง ๆ นะครับ"

พูดแบบนั้นไม่รู้เลยเหรอว่าพี่ห่วงเรามากขนาดไหน ตรีศูลได้แต่กุมขมับและพูดถึงสิ่งแลกเปลี่ยนที่เด็กวัยสิบแปดจะต้องเจอหากต้องการเข้าไปร่วมในวงโคจรของทหาร

"ถ้าอย่างนั้นก็ตอบคำถามพี่มา"

คู่สนทนาพยักหน้าด้วยความมาดมั่น คนพี่จึงสูดลมหายใจเข้าและเปล่งเสียงออกมา

"ถ้าต้องโดนดุด่า โดนฝึกจนเหนื่อยสายตัวแทบขาดนายทนได้ไหม"

คนเด็กกว่าพยักหน้าตอบรับฉะฉานว่า'ครับ'

"ถ้าต้องโดนลงโทษพร้อมกับเพื่อนทั้ง ๆ ที่นายไม่ได้เป็นคนผิดนายทนได้ไหม"

คำตอบจากเด็กวัยรุ่นตรงหน้าล้วนเป็นเช่นเดิม จนพี่ชายจำต้องยกเอาความจริงขึ้นมาขู่

"ถ้าต้องฆ่าคนนายทำได้ไหม"

ศรไม่ตอบเพียงแต่มีแววตาหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด และตรีศูลก็ไม่ปล่อยช่องว่างให้ต้องรอนาน

"ถ้าต้องเห็นคนโดนยิงต่อหน้าต่อตานายอยู่ได้ไหม ถ้านายต้องเห็นเพื่อนตายไปนายรับได้ไหม ถ้านายต้องเดินผ่านกองซากศพนายทำได้ไหม หรือจะต้องพิการไปตลอดชีวิต นาย...ทนได้รึเปล่า"

อดิศรไม่ตอบเพราะหน้าชาไปหมด ไม่คิดว่าพี่ชายของเขาจะพูดแบบนี้ออกมา

"พี่ไม่ได้พูดให้เราล้มเลิก แต่ถ้าไม่ไหวก็ถอยออกมาเถอะ"

ตรีศูลหลุบตาลงลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมาแตะไหล่เด็กหนุ่มผู้ไม่รู้โลก ก่อนจะเดินออกมาจากห้องและปล่อยให้เจ้าตัวได้ตริตรองให้ถี่ถ้วน

การที่เขาพูดจารุนแรงใส่น้องชายไปแบบนั้นก็แค่อยากให้เจ้าตัวถอดใจไปซะ เพราะเขาไม่อยากเห็นศรต้องตกระกำลำบาก อยากให้ศึกษาเล่าเรียนจนจบด้วยดีแล้วกลับเมืองหลวงไปเข้ามหาลัย รับราชการเป็นหลักเป็นแหล่งอะไรก็ว่าไป ไม่เหมือนเขาที่หนีออกจากบ้านหลักจนต้องอาศัยวัดอยู่ ไป ๆ มา ๆ สุดท้ายได้มาทำอาชีพเต้นกินรำกินแบบนี้

"อาจารย์ ศรมันเป็นอะไรเหรอครับ"

ศิษย์เอกเท้าสะเอวถามเขาที่ยืนพิงกำแพงกอดอกหน้าดำคร่ำเครียดไม่ต่างกัน แล้วเหมือนผู้มาใหม่จะคิดตีความเป็นตุเป็นตะผ่านสีหน้าที่กำลังทำความเข้าใจ

"ไม่ได้ทะเลาะกันหรอก แค่ครูเผลอพูดจาแรงไปหน่อย"

นัยน์ตาสีถั่วหม่นลงพลางคิดตริตรองการกระทำของตัวเองที่ดูไม่เป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย

"จริง ๆ ศรมันก็เหมือนผมนะ ขนาดพ่อไม่อนุญาตให้ผมรำ แต่ผมก็ยังหาทางมารำจนได้" เด็กหนุ่มเว้นจังหวะการพูด "บางทีถึงอาจารย์ห้ามไป คนอย่างศรมันก็คงหาทางแอบทำจนได้อยู่ดีนะผมว่า"

"น้องฉันพึ่งมาไม่ถึงเดือน ไปสนิทกันตอนไหนล่ะเนี่ยฮึ"

อาจารย์หยอกศิษย์ เดินเข้าไปยีหัวเจ้าเด็กรู้ดีให้หายเก๊กเสียหน่อย สิ่งที่เด็กคนนี้กล่าวก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งมูลความจริง เขาคงต้องเก็บไปคิดไตร่ตรองให้ดี

เวลาผ่านไปจนพลบค่ำ พี่ชายอย่างตรีศูลก็ยังคงเห็นน้องชายทำหน้าเจื่อนไม่กล้าสบตากับเขาอยู่ บางจังหวะก็ทำทีจะพูดบางสิ่ง บ้างก็ป้องปากห้ามตัวเองไม่ให้พูด ทำเอาเขาล่ะเอ็นดูในเด็กคนนี้เสียจริง หากเป็นเขาในวัยเดียวกันคงดื้อแพ่งเถียงเอาชนะไปแล้ว

พี่ชายที่เตรียมจะเข้านอนท้ายที่สุดก็ตัดสินใจ เลือกที่จะลุกจากเตียงสวมแว่นเดินไปเคาะประตูเด็กคู่กรณี สิ่งที่ศิษย์เขาพูดเป็นความจริง หากเขาทำตามความประสงค์ของตัวเองอย่างการขีดเส้นห้ามแลกกับความเสี่ยงที่น้องชายจะเผลอแอบไปทำอะไรที่อันตรายกว่าเดิม สู้เขาปรับวิสัยทัศน์ คอยมองอยู่ข้าง ๆ ระวังภัยคงจะเป็นการดีกว่า

น้องชายตาตกเดินออกมาเปิดประตู เจ้าตัวดูมีสีหน้าตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่มาเคาะห้องเป็นพี่ชาย ก่อนจะหลบสายตา มุดเอาตัวหนีไปหลบอยู่หลังซอกประตู

"ยังอยากเป็นอยู่ใช่ไหม เอ่อ... อะไรนะ ยุวชนทหาร?"

"ครับ อยากเป็นครับ!"

น้องชายโผล่ออกมาจากประตู ตอบเสียงฉะฉาน ทำเอาคนเป็นพี่อดเห็นใจไม่ได้

"ได้ เป็นก็เป็น"

ว่าที่ทหารวัยเยาว์ดีใจตาเป็นประกาย มุมปากยกยิ้มจนแก้มปริกระโดดโหยงเหยง ตรีศูลมองภาพนั้นด้วยความจำนน น้องชายเขามีความสุขคงต้องปล่อยไป ไหน ๆ ก็โดนบังคับจากฝั่งที่บ้านหลักมาหลายสิบปีแล้ว ปล่อยอิสระสักเรื่องจะเป็นไรไป

"แต่..."

เด็กหนุ่มหูกระตุก หันมาฟังด้วยท่าทีกระวนกระวาย

"ห้ามทำตัวเองให้บาดเจ็บร้ายแรงนะเข้าใจไหม"

"ครับเข้าใจครับ!"

ศรดี๊ด๊าอีกครั้งประหนึ่งตัวเองถูกรางวัลใหญ่ เขาในฐานะพี่คนคงจะต้องยกระดับความใส่ใจขึ้นอีกสักหน่อยแล้ว

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status