Share

บทที่ ๑ เทศกาลพานพบ (๑๐๐%)

เมื่อมาถึงสิบเอกจอมเจ้าเล่ห์ก็ไม่พลาดโอกาสถลาลงจากเบาะคนขับลงไปสอดส่องภายในงานทันทีทั้งยังชักชวนเขาอีกนะว่า

'สาวแจ่ม ๆ ตรึมเลยนะคร้าบ ไม่ลงมาดูหน่อยเหรอครับร้อย เผื่อจะได้หาแม่ใหม่ให้น้องขวัญไง'

รุ่นน้องเขานี่ก็ขยันสะกิดปมเขาตลอดเลยสินะ

แต่ไม่ว่าเปล่าหลังจากเขาเห็นหลังของทหารยศสิบเอกหายไปแล้วเขาจึงลงมาจากรถ เดินเตร็ดเตร่ผ่อนคลายเสียหน่อย บางทีอาจจะได้ข้าวเย็นเก็บใส่ตู้กินไปได้หลายวัน จนเดินมาเห็นเจ้าปลื้มมันสนทนากับหญิงสาวอย่างออกรสออกชาติ นี่เขาชักสงสัยแล้วนะว่าไอ้คนนี้มันไปเอาแรงพูดมาจากไหนเยอะแยะ ไม่ว่าเมื่อไหร่รุ่นน้องเขาก็หาเรื่องอู้ได้ตลอดไม่ว่าจะเป็นเวลางานหรือไม่ ทั้งยังติดนิสัยอ้อล้อแม่ค้ารายทางเป็นว่าเล่นแล้วก็มาเป็นภาระหูของเขาที่ต้องฟังเจ้านี่บ่นว่าทำไมสาวไม่รักบ้างล่ะ ทำไมหาเมียไม่ได้บ้างล่ะ และส่วนใหญ่ที่ตอบกลับไปก็จะเป็นคำว่าสมน้ำหน้า

พิภพทอดถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ของวัน การที่เขาได้มาที่นี่มันไม่ได้มาจากสาเหตุที่น่าอภิรมย์อย่างการอาสามาเป็นครูอะไรเทือกนั้น แต่เป็นการกลั่นแกล้งกันในหมู่ทหารเสียมากกว่า เจ้าพวกข้างบนไม่มีใครหรอกที่จะอยากลงมาทำงานสอนเด็กไม่รู้ประสาพวกนี้และเพียงแค่เพราะเขาสร้างผลงานและไต่เต้าขึ้นมาไกลในอายุต่ำกว่าเกณฑ์ปกติก็โดนพวกที่ตำแหน่งสูงเพ่งเล็งเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่ผลงานของเขาหากมองโดยใช้สายตาของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ล้วนเป็นการดี ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตความหงุดหงิดก็วนกลับมาอีก จนมือเขาก็พลันเลื่อนขึ้นไปจับรอยสักบริเวณหลังคอเสียทุกที มันชักจะเป็นนิสัยที่ทำให้ทหารอย่างเขาเริ่มเสียบุคลิกแล้วสิ

นายทหารร่างหนาเลือกที่จะเมินเฉยและทิ้งความคิดนั้นไป แทนที่ด้วยการคิดเรื่องอื่น ๆ ที่น่าอภิรมย์กว่า เขามาถึงที่นี่ก็ปาไปเที่ยง กว่าจะพากันไปเดินเอกสารกับทางสถานศึกษาก็กินเวลาไปจนจะครบทุ่ม แสงสีแม้จะมีไม่เท่าในตัวเมืองที่เขาจากมาแต่ก็สวยงามในแบบของมัน ร้านทุกร้านเป็นอาหารที่เขาไม่เคยลิ้มรสมาก่อนในชีวิตแต่ดูจากสีของน้ำแกงคงจะเผ็ดไม่ใช่เบาดังนั้นเขาขอผ่าน เท่าที่เดินมาของติดไม้ติดมือก็มีแค่ไก่ย่างข้าวเหนียวมื้อดึกของเขาเท่านั้น

พิภพวางกระเป๋าและห่ออาหารลงพลางมองสอดส่องไปยังพื้นที่โดยรอบจนเห็นเวทีหนึ่งตั้งอยู่ พร้อมหูเขาที่กระตุกเมื่อได้ยินประโยคที่สอดคล้องกับนั่งร้านนั่น

'ดูสิ เขาว่างานวันนี้เจ้าของคณะมารำเองเลยนะเว้ย'

'ปีปีหนึ่งนอกจากงานไหว้ครูแล้ว อาจารย์แกก็ไม่ออกงานเลยสิน่า'

'ฉันล่ะอยากดู๊ อยากดู ว่าจะงามแค่ไหนเชียว'

'เหรอ ๆ งั้นแกก็กระเถิบไป ฉันจะดูให้เป็นบุญตา'

แถบนี้มีคนดังด้วยหรือ ไม่ค่อยต่างจากเมืองหลวงเท่าไรเลย เขาคิด จากนั้นจึงหันเหความสนใจไปทางอื่นเผื่อจะมีร้านไหนที่น่าสนใจ (และไม่เผ็ด) อีก จนเห็นร้านร้านหนึ่งขายอาหารสี่ภาค บางทีอาจจะมีแกงบางชนิดที่เขาทานได้ เมื่อคิดได้พิภพจึงรวบข้าวของกะจะเดินไปทางนั้น ทว่าไม่ทันได้ระวัง ทั้งผู้คนที่คับคั่งก็มีคนคนหนึ่งเดินมาชนไหล่ขวาของเขาเข้าอย่างจัง

"ขอโทษครับ ผมเดินไม่ระวัง"

คนผู้นั้นกล่าวขออภัยในความสะเพร่าของตัวเองอย่างเร่งรีบ

"ไม่เป็นไรครับ คุณเป็นอะไรไหมครับ"

นายทหารหันไปกล่าวด้วยความสุภาพจนได้เห็นว่าคนเดินสวนเขาเป็น'นางรำ'

"ผมไม่เป็นไร ขอโทษที่เดินไม่ดูทางนะครับ"

ผม? ผู้หญิงคนนี้คนนี้ใช้สรรพนามแปลกดีแท้ แต่ก่อนจะได้ถามไถ่หรือสังเกตอะไรเพิ่มเติมเจ้าตัวก็ดันเดินกระชับผ้าแพรคลุมไหล่เดินจากไปเสียแล้ว

*กริ๊ก*

"หือ..."

เขาเบนสายตาลงไปมองที่ใต้ฝ่าเท้าต้นกำเนิดเสียงด้วยความสงสัยแล้วจึงเห็น 'ปิ่น' เครื่องทองที่ประดับด้วยเครื่องแขวนบันไดแก้วดอกไม้สดขนาดย่อม มันคงจะตกในตอนที่พวกเราเดินชนกัน ซึ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองท่ามกลางฝูงชนนางรำผู้นั้นก็เหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าเครื่องประดับของตัวเองได้หายไป จึงหันหน้ากลับมามองยังต้นทาง

ในจังหวะนั้นเมื่อดวงตาสบกันหัวใจเขาเหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะ แม้ระยะทางจะไกลออกไปแต่เขาก็สรุปได้ว่าใบหน้านั้นงดงามขนาดไหน ผิวขาวเนียนละเอียดจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนแถบนี้ ทรงคิ้วบางกดลงและโค้งเป็นทรงตามดวงตากลมใสสะท้อนกับแสงไฟสีเหลืองทองคล้ายบุษราคัมแวววาวน่ามองรับกับใบหน้ากลมมนทั้งใบได้อย่างหมดจด

ทว่าไม่ทันที่เขาจะได้นำของในมือไปคืนเสียงของพิธีกรก็ดังขึ้น ทำให้นางรำผู้นั้นถูกดึงตัวไปรอที่หลังม่าน เขาจึงคิดจะรีบวิ่งไปทว่าผู้คนรอบข้างเขาชักจะหนาแน่นเข้าไปทุกที กว่าเขาจะดันตัวเองไปข้างหน้าก็ถือว่าลำบากพอสมควรแต่เมื่อไปถึงดนตรีก็เริ่มบรรเลงเสียแล้ว

เสียงปรบมือของเหล่าผู้ชมดังขึ้นก่อนจะมีคนผู้หนึ่งย่ำเท้าออกมาจากเวที ทันใดนั้นเหมือนประหนึ่งมีใครมารั้งขาเอาไว้ไม่ให้เดินหนีไปไหน ประหนึ่งมีคนมาจับหน้าเขาให้หันมองคนด้านบน

เขาถูกทำนองเพลงปี่โนราสะกดเอาไว้ ก่อนที่ท่วงท่าชดช้อยค่อย ๆ ถูกเผยออกมาให้ผู้ชมอย่างเขาได้พินิจดู นิ้วมือเรียวสวยยกประนมขึ้นหลังจากวางพานดอกไม้ลงอย่างแผ่วเบา ขาตวัดยกตั้งเขาวาดแขนสับเปลี่ยนจีบตั้งวงลื่นไหลเสมือนคลื่นน้ำที่ถูกสายลมพัดพา คำบรรยายของผู้ขับร้องเอื้อนเอ่ยสอดคล้องไปตามเสียงเพลงและนาฏยศัพท์ที่ยกมือประนมขึ้นสูงบูชาเทพยดาเบื้องหลังผืนฟ้าในฐานะศิษย์ของท่านก่อนจะเริ่มร่ายรำ

พานดอกไม้ถูกยกขึ้นมาอีกครั้ง นางบนเวทีนั่งทับส้นกดเอวเอี้ยวตัวชำเลืองใบหน้าเชื่องช้าสอดส่องสายตาพร้อมด้วยยิ้มมุมปากมาทางผู้ชม ในขณะนั้นเขาที่ได้สบตาเป็นแวบเดียวที่เขารู้สึกเหมือนหัวใจของเขาหยุดเต้นไปชั่วครู่อีกครั้ง

ดนตรีเริ่มเร่งจังหวะพร้อม ๆ กับคนด้านบนที่ยืนขึ้นเปลี่ยนตำแหน่งก่อนจะหยิบผ้าแพรโปร่งขึ้นมาละเล่นด้วยท่วงท่าตามฉบับมโนราห์เอกลักษณ์ของที่นี่เขาคิดเช่นนั้น เพียงแต่เสื้อผ้าที่เจ้าตัวใส่เรียบง่ายขัดกับภาพเครื่องทรงอันมากมายที่เขาเคยเห็นบนหน้าหนังสือ มีเพียงผ้าพันอกสีเข้มกางเกงพ่วงผ้าหลากสีที่ไม่ได้ฉูดฉาดสะดุดตาแต่กลับมีลวดลายที่เข้ากันกับผ้าส่วนบนอย่างน่าเหลือเชื่อ และเครื่องทองบริเวณต้นแขน ข้อมือข้อเท้าส่งเสียงคล้ายกระดิ่งออกมาเบา ๆ ยามอีกฝ่ายย่ำเท้าขยับตัวไปมาด้วยท่าทางเหล่านั้น ช่างไพเราะเหลือเกิน

การแสดงดำเนินไปเรื่อย ๆ เขาสังเกตได้ว่าคนบนเวทีมองมาทางเขาค่อนข้างบ่อย อาจเป็นเพราะในมือเขากำปิ่นเอาไว้ซึ่งคือหนึ่งในเครื่องประดับที่ควรไปอยู่บนมวยผมของเจ้าตัว ทำเอาเขารู้สึกผิดและเสียดายที่นำมาคืนไม่ทันการแสดงจะเริ่มเพราะมันคงสวยมากกว่านี้หลายเท่า

"ร้อยดูอะไรอยู่อะ...อ๋อ แบบนี้นี่เอง"

เสียงทะเล้นที่เข้ามากลายเป็นเสียงลากยาวเมื่อตาหยีเจ้าเล่ห์เชิดขึ้นไปมองนางรำผู้กำลังครองเวทีอยู่

โดยที่ไม่พูดอะไร ร้อยเอกยกนิ้วโป้งมาทำท่าจะเหมือนจะเชือดคอกันให้ตายไปข้างเพื่อให้หมอนี่หยุดรบกวน ดูจากดนตรีที่ดำเนินไปไม่นานคงใกล้จะจบแล้ว แต่เมื่ออีกฝ่ายเดินลงเวทีมาก็มีผู้เฒ่าผู้แก่แห่กันเอาข้าวเอาของเอาเงินไปให้ยกใหญ่ ดังนั้นที่คนพวกนั้นพูดนี่ดูจะมีมูลอยู่ แล้วเป็นคนเด่นคนดังแบบนี้เขาจะหาจังหวะไหนเอาสิ่งนี้เข้าไปคืนดีล่ะ

เขาคิดก่อนที่จะมีมือมาจับบนไหล่ของเขา ตามด้วยรุ่นน้องที่กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

"เดี๋ยวนะร้อย เราได้ไปเอากุญแจบ้านพักกันรึยัง..."

นายทหารนิ่งไปครู่หนึ่ง นึกเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดวันเพื่อตรวจสอบทวนความจำแต่จู่ ๆ ดวงตาคมเข้มก็เกิดว่างเปล่า แสดงว่า 'ยัง'

ไม่รอช้าสิบเอกรุ่นน้องที่ส่วนสูงพอกันจึงคว้าคอเสื้อเขาวิ่งปรู๊ดออกจากที่สถานที่จัดงานขับรถกลับไปที่โรงเรียนเพื่อขอกุญแจบ้านพักคุณครูที่ได้ตกลงกันไว้ทันที ยังดีที่ท่านผอ.คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นเอาไว้แล้ว จึงฝากกุญแจเอาไว้กับน้ายามภารโรง

จวบจนต่างคนต่างแยกย้ายเข้าบ้าน ในหัวร้อยเอกพิภพก็วนฉายแต่ภาพงานกาชาดซ้ำไปซ้ำมา แม้แต่เปิดกระเป๋า เก็บผ้าเข้าตู้ กินข้าว ล้างจาน อาบน้ำ หรือแม้จะนอน ชายผ้าเงางามของนางรำนางนั้นก็คงยังติดตาเขาอยู่ไม่หาย พิภพเบี่ยงเอนกายเอื้อมหยิบปิ่นจากหัวเตียงมาพลิกมองไปมา

หากสิ่งนี้ได้ประดับอยู่บนกลุ่มผมยาวนั้นแล้วคงจะงามไม่หยอก

หากแต่...เขาจะเอาสิ่งนี้ไปคืนเจ้าหล่อนอย่างไรดี

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status