เมื่อมาถึงสิบเอกจอมเจ้าเล่ห์ก็ไม่พลาดโอกาสถลาลงจากเบาะคนขับลงไปสอดส่องภายในงานทันทีทั้งยังชักชวนเขาอีกนะว่า
'สาวแจ่ม ๆ ตรึมเลยนะคร้าบ ไม่ลงมาดูหน่อยเหรอครับร้อย เผื่อจะได้หาแม่ใหม่ให้น้องขวัญไง'
รุ่นน้องเขานี่ก็ขยันสะกิดปมเขาตลอดเลยสินะ
แต่ไม่ว่าเปล่าหลังจากเขาเห็นหลังของทหารยศสิบเอกหายไปแล้วเขาจึงลงมาจากรถ เดินเตร็ดเตร่ผ่อนคลายเสียหน่อย บางทีอาจจะได้ข้าวเย็นเก็บใส่ตู้กินไปได้หลายวัน จนเดินมาเห็นเจ้าปลื้มมันสนทนากับหญิงสาวอย่างออกรสออกชาติ นี่เขาชักสงสัยแล้วนะว่าไอ้คนนี้มันไปเอาแรงพูดมาจากไหนเยอะแยะ ไม่ว่าเมื่อไหร่รุ่นน้องเขาก็หาเรื่องอู้ได้ตลอดไม่ว่าจะเป็นเวลางานหรือไม่ ทั้งยังติดนิสัยอ้อล้อแม่ค้ารายทางเป็นว่าเล่นแล้วก็มาเป็นภาระหูของเขาที่ต้องฟังเจ้านี่บ่นว่าทำไมสาวไม่รักบ้างล่ะ ทำไมหาเมียไม่ได้บ้างล่ะ และส่วนใหญ่ที่ตอบกลับไปก็จะเป็นคำว่าสมน้ำหน้า
พิภพทอดถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ของวัน การที่เขาได้มาที่นี่มันไม่ได้มาจากสาเหตุที่น่าอภิรมย์อย่างการอาสามาเป็นครูอะไรเทือกนั้น แต่เป็นการกลั่นแกล้งกันในหมู่ทหารเสียมากกว่า เจ้าพวกข้างบนไม่มีใครหรอกที่จะอยากลงมาทำงานสอนเด็กไม่รู้ประสาพวกนี้และเพียงแค่เพราะเขาสร้างผลงานและไต่เต้าขึ้นมาไกลในอายุต่ำกว่าเกณฑ์ปกติก็โดนพวกที่ตำแหน่งสูงเพ่งเล็งเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่ผลงานของเขาหากมองโดยใช้สายตาของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ล้วนเป็นการดี ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตความหงุดหงิดก็วนกลับมาอีก จนมือเขาก็พลันเลื่อนขึ้นไปจับรอยสักบริเวณหลังคอเสียทุกที มันชักจะเป็นนิสัยที่ทำให้ทหารอย่างเขาเริ่มเสียบุคลิกแล้วสิ
นายทหารร่างหนาเลือกที่จะเมินเฉยและทิ้งความคิดนั้นไป แทนที่ด้วยการคิดเรื่องอื่น ๆ ที่น่าอภิรมย์กว่า เขามาถึงที่นี่ก็ปาไปเที่ยง กว่าจะพากันไปเดินเอกสารกับทางสถานศึกษาก็กินเวลาไปจนจะครบทุ่ม แสงสีแม้จะมีไม่เท่าในตัวเมืองที่เขาจากมาแต่ก็สวยงามในแบบของมัน ร้านทุกร้านเป็นอาหารที่เขาไม่เคยลิ้มรสมาก่อนในชีวิตแต่ดูจากสีของน้ำแกงคงจะเผ็ดไม่ใช่เบาดังนั้นเขาขอผ่าน เท่าที่เดินมาของติดไม้ติดมือก็มีแค่ไก่ย่างข้าวเหนียวมื้อดึกของเขาเท่านั้น
พิภพวางกระเป๋าและห่ออาหารลงพลางมองสอดส่องไปยังพื้นที่โดยรอบจนเห็นเวทีหนึ่งตั้งอยู่ พร้อมหูเขาที่กระตุกเมื่อได้ยินประโยคที่สอดคล้องกับนั่งร้านนั่น
'ดูสิ เขาว่างานวันนี้เจ้าของคณะมารำเองเลยนะเว้ย'
'ปีปีหนึ่งนอกจากงานไหว้ครูแล้ว อาจารย์แกก็ไม่ออกงานเลยสิน่า'
'ฉันล่ะอยากดู๊ อยากดู ว่าจะงามแค่ไหนเชียว'
'เหรอ ๆ งั้นแกก็กระเถิบไป ฉันจะดูให้เป็นบุญตา'
แถบนี้มีคนดังด้วยหรือ ไม่ค่อยต่างจากเมืองหลวงเท่าไรเลย เขาคิด จากนั้นจึงหันเหความสนใจไปทางอื่นเผื่อจะมีร้านไหนที่น่าสนใจ (และไม่เผ็ด) อีก จนเห็นร้านร้านหนึ่งขายอาหารสี่ภาค บางทีอาจจะมีแกงบางชนิดที่เขาทานได้ เมื่อคิดได้พิภพจึงรวบข้าวของกะจะเดินไปทางนั้น ทว่าไม่ทันได้ระวัง ทั้งผู้คนที่คับคั่งก็มีคนคนหนึ่งเดินมาชนไหล่ขวาของเขาเข้าอย่างจัง
"ขอโทษครับ ผมเดินไม่ระวัง"
คนผู้นั้นกล่าวขออภัยในความสะเพร่าของตัวเองอย่างเร่งรีบ
"ไม่เป็นไรครับ คุณเป็นอะไรไหมครับ"
นายทหารหันไปกล่าวด้วยความสุภาพจนได้เห็นว่าคนเดินสวนเขาเป็น'นางรำ'
"ผมไม่เป็นไร ขอโทษที่เดินไม่ดูทางนะครับ"
ผม? ผู้หญิงคนนี้คนนี้ใช้สรรพนามแปลกดีแท้ แต่ก่อนจะได้ถามไถ่หรือสังเกตอะไรเพิ่มเติมเจ้าตัวก็ดันเดินกระชับผ้าแพรคลุมไหล่เดินจากไปเสียแล้ว
*กริ๊ก*
"หือ..."
เขาเบนสายตาลงไปมองที่ใต้ฝ่าเท้าต้นกำเนิดเสียงด้วยความสงสัยแล้วจึงเห็น 'ปิ่น' เครื่องทองที่ประดับด้วยเครื่องแขวนบันไดแก้วดอกไม้สดขนาดย่อม มันคงจะตกในตอนที่พวกเราเดินชนกัน ซึ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองท่ามกลางฝูงชนนางรำผู้นั้นก็เหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าเครื่องประดับของตัวเองได้หายไป จึงหันหน้ากลับมามองยังต้นทาง
ในจังหวะนั้นเมื่อดวงตาสบกันหัวใจเขาเหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะ แม้ระยะทางจะไกลออกไปแต่เขาก็สรุปได้ว่าใบหน้านั้นงดงามขนาดไหน ผิวขาวเนียนละเอียดจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนแถบนี้ ทรงคิ้วบางกดลงและโค้งเป็นทรงตามดวงตากลมใสสะท้อนกับแสงไฟสีเหลืองทองคล้ายบุษราคัมแวววาวน่ามองรับกับใบหน้ากลมมนทั้งใบได้อย่างหมดจด
ทว่าไม่ทันที่เขาจะได้นำของในมือไปคืนเสียงของพิธีกรก็ดังขึ้น ทำให้นางรำผู้นั้นถูกดึงตัวไปรอที่หลังม่าน เขาจึงคิดจะรีบวิ่งไปทว่าผู้คนรอบข้างเขาชักจะหนาแน่นเข้าไปทุกที กว่าเขาจะดันตัวเองไปข้างหน้าก็ถือว่าลำบากพอสมควรแต่เมื่อไปถึงดนตรีก็เริ่มบรรเลงเสียแล้ว
เสียงปรบมือของเหล่าผู้ชมดังขึ้นก่อนจะมีคนผู้หนึ่งย่ำเท้าออกมาจากเวที ทันใดนั้นเหมือนประหนึ่งมีใครมารั้งขาเอาไว้ไม่ให้เดินหนีไปไหน ประหนึ่งมีคนมาจับหน้าเขาให้หันมองคนด้านบน
เขาถูกทำนองเพลงปี่โนราสะกดเอาไว้ ก่อนที่ท่วงท่าชดช้อยค่อย ๆ ถูกเผยออกมาให้ผู้ชมอย่างเขาได้พินิจดู นิ้วมือเรียวสวยยกประนมขึ้นหลังจากวางพานดอกไม้ลงอย่างแผ่วเบา ขาตวัดยกตั้งเขาวาดแขนสับเปลี่ยนจีบตั้งวงลื่นไหลเสมือนคลื่นน้ำที่ถูกสายลมพัดพา คำบรรยายของผู้ขับร้องเอื้อนเอ่ยสอดคล้องไปตามเสียงเพลงและนาฏยศัพท์ที่ยกมือประนมขึ้นสูงบูชาเทพยดาเบื้องหลังผืนฟ้าในฐานะศิษย์ของท่านก่อนจะเริ่มร่ายรำ
พานดอกไม้ถูกยกขึ้นมาอีกครั้ง นางบนเวทีนั่งทับส้นกดเอวเอี้ยวตัวชำเลืองใบหน้าเชื่องช้าสอดส่องสายตาพร้อมด้วยยิ้มมุมปากมาทางผู้ชม ในขณะนั้นเขาที่ได้สบตาเป็นแวบเดียวที่เขารู้สึกเหมือนหัวใจของเขาหยุดเต้นไปชั่วครู่อีกครั้ง
ดนตรีเริ่มเร่งจังหวะพร้อม ๆ กับคนด้านบนที่ยืนขึ้นเปลี่ยนตำแหน่งก่อนจะหยิบผ้าแพรโปร่งขึ้นมาละเล่นด้วยท่วงท่าตามฉบับมโนราห์เอกลักษณ์ของที่นี่เขาคิดเช่นนั้น เพียงแต่เสื้อผ้าที่เจ้าตัวใส่เรียบง่ายขัดกับภาพเครื่องทรงอันมากมายที่เขาเคยเห็นบนหน้าหนังสือ มีเพียงผ้าพันอกสีเข้มกางเกงพ่วงผ้าหลากสีที่ไม่ได้ฉูดฉาดสะดุดตาแต่กลับมีลวดลายที่เข้ากันกับผ้าส่วนบนอย่างน่าเหลือเชื่อ และเครื่องทองบริเวณต้นแขน ข้อมือข้อเท้าส่งเสียงคล้ายกระดิ่งออกมาเบา ๆ ยามอีกฝ่ายย่ำเท้าขยับตัวไปมาด้วยท่าทางเหล่านั้น ช่างไพเราะเหลือเกิน
การแสดงดำเนินไปเรื่อย ๆ เขาสังเกตได้ว่าคนบนเวทีมองมาทางเขาค่อนข้างบ่อย อาจเป็นเพราะในมือเขากำปิ่นเอาไว้ซึ่งคือหนึ่งในเครื่องประดับที่ควรไปอยู่บนมวยผมของเจ้าตัว ทำเอาเขารู้สึกผิดและเสียดายที่นำมาคืนไม่ทันการแสดงจะเริ่มเพราะมันคงสวยมากกว่านี้หลายเท่า
"ร้อยดูอะไรอยู่อะ...อ๋อ แบบนี้นี่เอง"
เสียงทะเล้นที่เข้ามากลายเป็นเสียงลากยาวเมื่อตาหยีเจ้าเล่ห์เชิดขึ้นไปมองนางรำผู้กำลังครองเวทีอยู่
โดยที่ไม่พูดอะไร ร้อยเอกยกนิ้วโป้งมาทำท่าจะเหมือนจะเชือดคอกันให้ตายไปข้างเพื่อให้หมอนี่หยุดรบกวน ดูจากดนตรีที่ดำเนินไปไม่นานคงใกล้จะจบแล้ว แต่เมื่ออีกฝ่ายเดินลงเวทีมาก็มีผู้เฒ่าผู้แก่แห่กันเอาข้าวเอาของเอาเงินไปให้ยกใหญ่ ดังนั้นที่คนพวกนั้นพูดนี่ดูจะมีมูลอยู่ แล้วเป็นคนเด่นคนดังแบบนี้เขาจะหาจังหวะไหนเอาสิ่งนี้เข้าไปคืนดีล่ะ
เขาคิดก่อนที่จะมีมือมาจับบนไหล่ของเขา ตามด้วยรุ่นน้องที่กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
"เดี๋ยวนะร้อย เราได้ไปเอากุญแจบ้านพักกันรึยัง..."
นายทหารนิ่งไปครู่หนึ่ง นึกเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดวันเพื่อตรวจสอบทวนความจำแต่จู่ ๆ ดวงตาคมเข้มก็เกิดว่างเปล่า แสดงว่า 'ยัง'
ไม่รอช้าสิบเอกรุ่นน้องที่ส่วนสูงพอกันจึงคว้าคอเสื้อเขาวิ่งปรู๊ดออกจากที่สถานที่จัดงานขับรถกลับไปที่โรงเรียนเพื่อขอกุญแจบ้านพักคุณครูที่ได้ตกลงกันไว้ทันที ยังดีที่ท่านผอ.คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นเอาไว้แล้ว จึงฝากกุญแจเอาไว้กับน้ายามภารโรง
จวบจนต่างคนต่างแยกย้ายเข้าบ้าน ในหัวร้อยเอกพิภพก็วนฉายแต่ภาพงานกาชาดซ้ำไปซ้ำมา แม้แต่เปิดกระเป๋า เก็บผ้าเข้าตู้ กินข้าว ล้างจาน อาบน้ำ หรือแม้จะนอน ชายผ้าเงางามของนางรำนางนั้นก็คงยังติดตาเขาอยู่ไม่หาย พิภพเบี่ยงเอนกายเอื้อมหยิบปิ่นจากหัวเตียงมาพลิกมองไปมา
หากสิ่งนี้ได้ประดับอยู่บนกลุ่มผมยาวนั้นแล้วคงจะงามไม่หยอก
หากแต่...เขาจะเอาสิ่งนี้ไปคืนเจ้าหล่อนอย่างไรดี
"พี่ครับ"เสียงของเด็กหนุ่มวัยย่างสิบแปดผมสั้นเกรียนพร่ำเรียกคนอายุมากกว่าที่ยังคงนอนสลบไสลไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ให้ทำอย่างไรเล่าก็เมื่อวานพี่ของเขากว่าจะขึ้นแสดงก็ปาไปหนึ่งทุ่มเศษทั้งหลังจากทักทายปวงประชาเสร็จก็ออกตามหา'ทหาร'ที่เจ้าตัวเห็นว่าเป็นคนเก็บปิ่นแสนแพงนั่นได้ก็กินเวลาไปจนงานเลิกสองทุ่มครึ่งนั่นแหละกว่าจะยอมกลับบ้านมาทั้งที่คว้าน้ำเหลวอยู่อย่างนั้น"พี่ครับ วันนี้พี่ต้องไปประชุมผู้ปกครองให้ผมนะครับ""อือ... แป๊บหนึ่งศร พี่ขอสิบนาที"เจ้าของชื่ออดิศรถอนหายใจเพราะพี่เจ้าพูดคำว่าสิบนาทีมาสองรอบเห็นจะได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีเด็ดขาดเนื่องด้วยเรือนหลังนี้เป็นพื้นที่สำหรับคณะนางรำเช้าตรู่จึงมีศิษย์ร่วมสำนักมาทำความสะอาดและฝึกซ้อมรอเจ้าของคณะตื่นตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันเพื่อตระเตรียมของ ขายาวเดินปรี่ไปที่พี่ผู้ชายตัวเล็กอีกคนหนึ่งที่นุ่งโจงกระเบนจับผ้าขี้ริ้วเช็ดราวบันไดอยู่"พี่นพครับ ผมรบกวนอะไรหน่อยได้ไหมครับ"ศรจับดึงลากคนอายุมากกว่าตนสองปีมายืนดูอาจารย์ของตนที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียง
"อุแหม วันนี้ผมขอบคุณครูแก้วอีกครั้งนะครับ พิธีมีสีสันขึ้นเยอะ"ชายร่างท้วมดูอารีกล่าวยินดีแก่แม่นางรำด้วยความจริงใจ เพราะการจะจองตัวแม่นางรำคนนี้มาแต่ละครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เดือนหนึ่งครูแกรับแค่งานเดียว หรือสองเดือนครั้งเท่านั้น ยากนักที่จะได้ตัวมาร่วมงาน"ผมยินดีครับ แล้วจะยินดีมากเลยหากวันข้างหน้าเด็ก ๆ ในคณะจะได้มารำด้วย"ตรีศูลอมยิ้มพร้อมกล่าวตอบผู้ว่าจ้างประนมมือขอบคุณ ชายสูงอายุหัวเราะร่าพูดคุยโต้ตอบกับนางรำที่ตนว่าจ้างมารำถวายศาลทุกครั้งที่มีโอกาส จนผู้คนที่นั่งโต๊ะจีนอยู่โดยรอบอยากจะเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยไม่ว่าใครก็ต่างรู้ดีว่า'ครูแก้ว'แห่งคณะนางรำประจำชุมพรนี้มีความสามารถมากมายนัก ทั้งใบหน้ายังสะสวยเกินกว่าจะเรียกได้ว่าบุรุษ เพียงแต้มชาด ปัดแก้มเพียงนิดก็งามหยาดเยิ้มจนใครที่เดินผ่านต่างก็ไถ่ถามว่าสตรีนางนี้คือใครตรีศูลในชุดเครื่องทรงกินรีรีบเปิดกล่องแว่นหยิบเลนส์ขึ้นมาสวม บรรจงถอดเล็บปลอมสีทองนำมาวางเก็บไว้ในกล่องน้อยพกพา ก่อนจะค่อย ๆ จับตะเกียบประคองชิ้นเนื้อเข้าปากอย่างสุภาพเป็นภาพที่น่ามองแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ร่วมโต๊ะย
นายสิบปลื้มปีติรู้สึกว่าตัวเองทำงานคุ้มเงินเดือนก็วันนี้แล เพียงแค่นั่งอยู่เฉย ๆ โดยมีสายตาอาฆาตของผู้ปกครองจ้องมองมาก็รู้สึกพลังชีวิตจากหนึ่งร้อยลงมาติดลบจนอยากออกไปแรดฟื้นฟูสัพพะกำลังแล้วความสามารถพูดคล่องน้ำไหลไฟดับของพ่อหนุ่มทะเล้นได้หมดลงไปเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ก็ได้แต่หวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้ร้อยตื่นขึ้นมาจากภวังค์แล้วเดินมานั่งรับกรรมเป็นเพื่อนรุ่นน้องคนนี้สักทีเถอะครับ!ตรีศูลนั่งจิบน้ำไปกัดฟันกรอด ๆ ไป ใครมันบางอาจมาทำร้ายน้องชายเพียงคนเดียวของเขาหากเป็นนักเรียนเขาจะตามไปชำระถึงหน้าประตูบ้าน หรือหากเป็นเจ้าทหารสองคนนี้ก็อย่าหวังเลยว่าพรุ่งนี้จะได้มีชีวิตอยู่อย่างครบสามสิบสอง"ขออภัยที่ชักช้านะครับ"นางรำหนุ่มวางแก้วน้ำลงบนตัก ตวัดหางตามองนายทหารร่างกำยำที่กำลังเดินหอบเอกสารรายชื่อบางอย่างมาวางไว้บนโต๊ะรับแขก"ไม่ทราบว่า คุณเป็นผู้ปกครองของยุวชนทหารคนไหนเหรอครับ?""นายอดิศร วิศิษฐ์สกุล ม.๕ ครับ"แม้จะพูดสุภาพแต่คนงามก็คล้ายจะกัดฟันพูด ทำเอาพ่อปลื้มอกสั่นขวัญแขวนไม่เคยเจอคนงามสายโหดมาก่อน เขานั่งเกร็งสั่นสู้ประหนึ่งเ
"เลิกแถว!!"เสียงเข้มดังกู่ก้องมาจากครูฝึกผิวสีน้ำผึ้งใจกลางสนาม ปลดปล่อยเหล่าทหารน้อยให้เป็นอิสระเมื่อเข็มสั้นชี้ตรงไปที่เลขสี่ เหล่านักเรียนชั้นมัธยมปลายในชุดสีเขียวเปื้อนดินพากันจับกลุ่มเดินกลับบ้านด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนจากการฝึกอันเข้มงวดรวมไปถึงอดิศรที่โดนเพื่อนคล้องคอกะจะพากันไปนั่งเล่นใต้ต้นไทรที่อยู่ไม่ห่าง"นายอดิศร"เสียงทุ้มคุ้นหูแว่วดังมาจากข้างหลังชวนให้เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีเป็นไก่ต้ม หันไปตอบรับแต่เพียงผู้เดียวเพราะเหล่าผองเพื่อนวิ่งหนีเตลิดไปไกลกันแล้ว"ครับร้อย" ศรยกมือทำความเคารพ พร้อมส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ครูฝึกสุดโหด"แผลเป็นยังไงบ้าง""ดีขึ้นเยอะแล้วครับ""ถ้าไม่ไหวให้มาบอกฉัน เข้าใจไหม ฝากไปบอกเพื่อน ๆ ด้วย""ครับ"แม้เด็กหนุ่มจะตอบรับทราบมาสักพักแต่พิภพก็ยังไม่หยุดจ้องมองมาที่เขา จู่ ๆ คิ้วหนาก็กดลงเหมือนเคร่งเครียดกับอะไรบางอย่าง ทำเอาศรตัวสั่นงั่กเป็นลูกหมาตกน้ำ"พี่นายเป็นนางรำใช่ไหม?""ครับ! ใช่ครับ!"ศรสะดุ้งตอบเสียงดังฟังชัด"เป็นนางรำที่ขึ้นแสดงเมื่องานกา
เรือนนางรำ๗ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณคนดีที่เก็บปิ่นปักผมมาคืนสวัสดีครับ ผมเป็นนางรำเจ้าของปิ่นที่คุณเก็บได้ ก่อนอื่นเลยคงต้องกล่าวขอบคุณเป็นอย่างสูงที่อุตส่าห์ฝากน้องชายผมมาคืนครับ ผมจึงอยากจะมอบของตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คุณ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกมาเจอกันไหมครับขอให้เป็นวันที่ดีนะครับจาก ตรีศูล (แก้ว) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .ร้อยเอกพิภพคิดดีแล้วที่ตัดสินใจอดทนรอไม่เปิดจดหมายอ่านต่อหน้าสาธารณชนไม่อย่างนั้นชาวบ้านชาวช่องคงต้องเห็นเขาทรุดลงกลางถนนเป็นอันแน่แท้พิภพได้อ่านจดหมายฉบับนี้หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จโดยที่ยังไม่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ดีดังนั้นบนตัวจึงยังมีแค่ผ้าขาวม้าผืนเดียวเปิดแผ่นอกและลอนหน้าท้องส่วนบนที่ยังคงชุ่มน้ำอยู่ ทว่าดูเหมือนไอร้อนที่แผ่ออกมาบนหน้าเขามันจะมากเกินสงสัยคงจะต้องไปตักน้ำสักขันมาราดให้หัวเย็นลงเสียหน่อยแล้วด้วยความเค
ตกเย็นหลังการเรียนการสอนเมื่อพิภพได้รับจดหมายมาจากยุวชนทหารในการดูแลอย่างอดิศร ร้อยเอกจึงเก็บมันเข้ากระเป๋าสะพายประจำกายเตรียมจะเอาไปเปิดอ่านที่บ้านพัก ซึ่งเขามักจะเปิดอ่านมันก่อนจะออกไปวิ่งทว่าเมื่อเปิดผนึกขึ้นมาร้อยเอกผู้เข้มแข็งถึงกับต้องลุกออกจากเก้าอี้มาทำใจ'ทำไมครั้งนี้มันถึงมีกลิ่นหอมติดมาด้วย!'อยากอ่านก็อยากอ่านแต่ก็กลัวว่าตัวเองจะเผลอยกมันขึ้นมาดม ถึงในบ้านหลังนี้จะมีเพียงเขาอาศัยแต่เพียงลำพังแต่เขาก็อายฟ้าอายดินเป็น ท้ายที่สุดร่างกำยำก็ตัดสินใจหย่อนตัวลงเก้าอี้หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านอย่างใจเย็นและอดทน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .๙ มิถุนายน ๒๔๘๔ถึง คุณดินผมตอบรับข้อเสนอของคุณครับ ดังนั้นแล้วต่อจากนี้เราคือเพื่อนทางจดหมายกันแล้วใช่ไหมครับแต่ผมไม่ทราบว่าเวลาคนเขาเขียนจดหมายกันแบบนี้แล้วเขาคุยกันเรื่องอะไรกันบ้าง พอดีผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องนี้เท่าไร รบกวนคุณดินลองยกตัวอย่างมาให้ผมสั
1. นิยายเรื่องนี้อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงในช่วงปีพ.ศ.2484(ค.ศ.1941) และภาพยนตร์เรื่อง'ยุวชนทหาร เปิดเทอมไปรบ' ซึ่งอาจมีเนื้อหาคล้ายคลึง แต่อยากให้ทราบเอาไว้ว่า ทุกตัวละคร และบางสถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจ คู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน) และ เคะหนวด4. บางส่วนในนิยายอาจมีเนื้อหาที่เป็นข้อถกเถียงระหว่างสองความคิดในแง่การเมือง/สถาบันศาสนา5. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึงองค์กรทางศาสนา, ความรุนแรง, สภาวะทางจิต, สารเสพติด, การล่วงละเมิดทางเพศในรูปแบบต่าง ๆโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .จำนวนตอน
สงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้นแล้ว หากแต่สยามที่ได้เปลี่ยนนามเป็นไทยนั้นยังคงไว้ซึ่งความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งสิ้นกระนั้นก็เป็นรู้กันปากต่อปากว่าการเลือกเป็นกลางนั้นถือเป็นการเลือกฝักฝ่ายไปแล้วสิ้น ทว่าเรื่องเช่นนั้นไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยของชายแดนและเหล่าประชาชนที่อาจถูกรุกรานจากชาติญี่ปุ่นที่กดดันเข้ามาไม่ต่างจากนาฬิกาปลุกที่เมื่อยามใดเข็มทั้งสองมาบรรจบกันเวลาอันเหมาะ นกน้อยจะออกมาร่ำร้องเป็นทำนอง. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .ตำบลท่าตะเภา อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพรขบวนรถไฟสีดำขลับแล่นผ่านหมู่แมกไม้รายทาง สายลมที่เกิดจากความเร็วของล้อที่เคลื่อนตัวด้วยแรงไอน้ำพัดพากลีบดอกสีขาวไม่ทราบนามสวนทางผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดรับลมธรรมชาติทันทีที่ดอกน้อยร่วงหล่นแตะพื้นที่นั่งข้างชายร่างกำยำในชุดทหารภูมิฐาน มือหยาบกร้านจากการฝึกอาวุธมาตลอดร่วมสิบปีก็จับกลีบบางโปร่งแสงนั้นขึ้นมามองฆ่าเวลาก่อนจะโยนมันทิ้งไปประหนึ่งสิ่งของไร้ค่าชิ้นหนึ่ง