Share

บทที่ ๑ เทศกาลพานพบ (๕๐%)

สงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้นแล้ว หากแต่สยามที่ได้เปลี่ยนนามเป็นไทยนั้นยังคงไว้ซึ่งความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งสิ้นกระนั้นก็เป็นรู้กันปากต่อปากว่าการเลือกเป็นกลางนั้นถือเป็นการเลือกฝักฝ่ายไปแล้วสิ้น ทว่าเรื่องเช่นนั้นไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยของชายแดนและเหล่าประชาชนที่อาจถูกรุกรานจากชาติญี่ปุ่นที่กดดันเข้ามาไม่ต่างจากนาฬิกาปลุกที่เมื่อยามใดเข็มทั้งสองมาบรรจบกันเวลาอันเหมาะ นกน้อยจะออกมาร่ำร้องเป็นทำนอง

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

ตำบลท่าตะเภา อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร

ขบวนรถไฟสีดำขลับแล่นผ่านหมู่แมกไม้รายทาง สายลมที่เกิดจากความเร็วของล้อที่เคลื่อนตัวด้วยแรงไอน้ำพัดพากลีบดอกสีขาวไม่ทราบนามสวนทางผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดรับลมธรรมชาติ

ทันทีที่ดอกน้อยร่วงหล่นแตะพื้นที่นั่งข้างชายร่างกำยำในชุดทหารภูมิฐาน มือหยาบกร้านจากการฝึกอาวุธมาตลอดร่วมสิบปีก็จับกลีบบางโปร่งแสงนั้นขึ้นมามองฆ่าเวลาก่อนจะโยนมันทิ้งไปประหนึ่งสิ่งของไร้ค่าชิ้นหนึ่ง ดวงตาเฉี่ยวคมพร้อมนัยนาหม่นไร้แสงมองออกยังทิวทัศน์ด้านนอกด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เขาปล่อยลอนผมที่จัดทรงเสยขึ้นปลิวไปตามลม

เมื่อสังเกตเห็นว่าสถานีปลายทางเข้าใกล้มาแล้วจึงเหยียดหางตาไปมองนายทหารรุ่นน้องที่นอนสัปหงกน้ำลายไหลยืดอยู่ 'ทำตัวไม่สมกับอาชีพเลยจริง ๆ ' เขาคิดในใจ ก่อนจะหยิบหมวกเหล็กขึ้นสวม กระชับสายเข็มขัดที่พาดผ่านลาดไหล่ลงมาถึงเอว แล้วจึงลุกขึ้นเมื่อขบวนรถไฟหยุดลง กระตุกร่างของรุ่นน้องให้ตื่นขึ้นจากฝันหวานและเดินตามกันไป

เสียงฝีเท้าหนักแน่นลงจากขบวนรถไฟเหยียบพื้นดิน ณ จังหวัดแดนใต้ เนื่องด้วยคำสั่งเบื้องบนได้มอบหมายให้เขา'ร้อยเอกพิภพ ธีระเสถียร' และ 'สิบเอกปลื้มปีติ วิภา' ลงมาเปิดรับสมัครเหล่ายุวชนทหารเพื่อไปเป็นกำลังรบเสริมในการป้องกันการบุกรุกเข้าประเทศจากทหารญี่ปุ่น

ทว่าแม้ในหัวของร้อยเอกคนนี้จะเคร่งเครียดปานใด รุ่นน้องที่ติดตามมาด้วยก็ยังคงง่วงเหงาหาวนอนไม่รู้เวลา ทั้งเมื่อตื่นเต็มตายังพาหน้าตี๋ ๆ ติดทะเล้นนั่นไปอ้อล้อแม่ค้าแม่ขายแถบชานชาลาจนได้ของให้เปล่ามาจำนวนหนึ่ง กระทั่งรุ่นพี่อย่างเขาเพ่งสายตามองกดดันก็ยังคงไม่สะทกสะท้านเปิดห่อใบตองกินข้าวเหนียวปิ้งไม่รู้ร้อนรู้หนาว

ทหารทั้งสองในเครื่องแบบสีเขียวแก่เดินไปตามทาง คนหนึ่งยิ้มร่าสดใสประหนึ่งดอกไม้ทักทายเหล่าสาวน้อยสาวใหญ่ที่เดินผ่าน ส่วนอีกคนกดคิ้วลงตามองตรงไปข้างหน้าพร้อมแผ่รังสีทะมึนออกมาห้อมล้อมตัว ทำให้ทั้งสองที่เดินคู่กันมาเป็นที่จับตามองยิ่งในหลาย ๆ ความหมาย

"ร้อยอย่าทำหน้าบอกบุญไม่รับแบบนั้นสิครับ สาว ๆ กลัวหมดกันแล้วนะ"

นายทหารยศสิบเอกพูดแซะแซวรุ่นพี่เป็นการใหญ่เมื่อเห็นว่าระหว่างทางนั้นไม่ว่าจะหญิงเล็กเด็กแดงต่างก็เดินหลีกทางหลบหัวหน้าเขา

ใบหน้าที่ดูไปดูมาก็หล่อเหลาเอาการ เป็นชายผิวสีเข้มสุขุมนุ่มลึกชวนให้สาวเล็กสาวใหญ่หลงใหลได้เป็นแถบ ๆ แบบที่สามารถผันตัวไปเป็นดาราบนจอแก้วหรือนักร้องลูกทุ่งกินเงินสบาย ๆ จากเหล่าแม่ยกได้เลย ทว่าชายวัยสามสิบกว่าคนนี้กลับเอาแต่ปั้นหน้าบอกบุญไม่รับ คิ้วขมวดอยู่ตลอดคล้ายจะเป็นเงื่อนตาย ปากเหยียดตรงไร้อารมณ์สิ้นดีจนบางครั้งรุ่นน้องคนนี้ก็ไม่รู้ว่าตนกำลังร่วมงานกับมนุษย์ หรือหุ่นขี้ผึ้งเดินได้กันแน่

"แล้วเอ็งจะให้ฉันทำหน้าชื่นตาบานหรือยังไง"

คนแก่กว่ามองมาทางเขาด้วยความกริ้วพร้อมเหน็บรุ่นน้องที่เคี้ยวข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือกอยู่เต็มปาก

ปลื้มปีติถึงกับเหนื่อยหน่ายใจ คราวจะทอดถอนลมออกจากปอดมาสักเฮือกก็กลัวจะโดนรุ่นพี่สับเละ เพราะเจ้าตัวในสายตารุ่นน้องอย่างเขานั้น ชายผู้นี้ควรจะได้รับสมญานามว่า 'พิโรธ' ที่แปลว่าโกรธไฟหัวลุก มากกว่า 'พิภพ' ที่แปลว่าผืนดินอันอบอุ่นเสียอีก

เขาล่ะเสียดายหน้าตาอันมีค่านั้นแทนเสียเหลือเกิน (ถึงจะหล่อสู้เขาไม่ได้ก็ตาม) ด้วยความหวังดีจากรุ่นน้องที่สนิทชิดเชื้อกันมานานเขาอยากจะบอกร้อยเหลือเกินครับว่า 'ประเดี๋ยวตีนกาจะประทับหน้าเอานะครับร้อย'

ทว่าหากพูดออกไปรุ่นน้องอารมณ์ดีคงอยู่ไม่ถึงแต่งเมียเพราะร้อยเขาก็มีปืนเหน็บไว้ที่เอวไม่ต่างจากเขา

"เรามาก่อนกำหนดตั้งวันหนึ่ง ไปเที่ยวเล่นคลายเครียดหน่อยจะเป็นไรไปล่ะครับ"

ไหน ๆ ช่วงนี้ก็เป็นสัปดาห์กาชาด ไม่แน่ว่าแถวนี้อาจจะมีงานรื่นเริงและน้ำเมาให้เขาได้ไปสะดิ้งแถวนั้น

"เอ็งจะไปก็เรื่องของเอ็ง ฉันจะไปคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียน"

รุ่นน้องหน้าตี๋บุ้ยปากเหมือนเด็กอดได้ของเล่น ไม่ว่าอย่างไรร้อยเอกผู้เคร่งครัดคนนี้คงไม่มีวันจะผ่อนปรนอะไรได้เลยจริง ๆ เขาคิดแล้วจึงถอนหายใจออกมาต่อด้วยหาอะไรพูดไปเรื่อยเปื่อย

"เฮ้อ ผมล่ะเชื่อแล้วครับว่าทำไมคุณถึงจับพ่อกับเมียตัวเองเข้าคุกได้ลงคอ-"

ไม่ทันที่จะพูดจบก็มีสายตาอาฆาตมุ่งมาที่เขา ทำให้สิบเอกปลื้มปีติจำต้องสงบปากสงบคำสงวนท่าที แล้วบอกตัวเองว่าจำใส่กะโหลกเอาไว้เสียนะปลื้มเอ๊ย ห้ามเอาเรื่องครอบครัวของพี่ชายคนนี้มาพูดเด็ดขาดไม่งั้นตัวเองได้ลงหลุมฝังศพก่อนพวกญี่ปุ่นแน่

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

โรงเรียนศรียาภัยคือโรงเรียนประจำจังหวัดมีนักเรียนเข้าศึกษาอยู่พอสมควรจึงเป็นที่หมายตาจากเบื้องบน อย่างไรเสียเขตนี้นับเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่พวกมันสามารถขึ้นบกมาได้โดยง่าย

โดยการมาพูดคุยในครั้งนี้ทางการได้ส่งเอกสารมาไว้ล่วงหน้าแล้วจึงเป็นการง่ายที่จะตระเตรียมวางแผนการเรียนการสอนฉบับทหาร และนำมาอภิปรายในการประชุมผู้ปกครองก่อนเปิดเทอมในวันจันทร์ที่ใกล้เข้ามานี้

เมื่อผู้อำนวยการรับทราบแล้วพลทหารทั้งสองจึงได้ออกมาจากโรงเรียน ตัวโรงเรียนเองไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่นักทว่าเพียงพอสำหรับจำนวนนักเรียน ไม้ที่นำมาสร้างมีบ้างที่ผุพังไปตามกาลเวลาหากไม่ได้ใหม่เอี่ยมแต่ก็แสดงถึงความขลังและประวัติอันยาวได้เป็นอย่างดี พื้นที่สนามกว้างขวางต่างจากเมืองกรุงที่คับแคบยิ่ง

ท่านผู้อำนวยการหญิงชราทำการต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดี พูดจาอย่างผู้มีมารยาททำให้เขารู้สึกสงบจิตสงบใจขึ้นมาได้บ้าง เพราะรุ่นน้องเขาที่โดนสั่งให้ยืนรอนอกห้องเอาแต่พูดคุยละเล่นกับนักเรียนนอกห้องจนส่งเสียงคิกคักเข้ามาถึงข้างใน เดี๋ยวนอกจากยุวชนทหารเขาคงต้องจับหมอนี่เข้ารับการฝึกด้วยเสียแล้ว

"แหม นึกว่าทหารจะเครียดกว่านี้เสียอีก เข้ากับเด็ก ๆ ได้ดีเลยนะคะ"

"ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณนาย"

เสียงทะเล้นตอบมาจากข้างนอก ก่อนที่สิบเอกจะขัดคำสั่งรุ่นพี่แล้วเดินเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วย

ดีที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น อย่างไรเสียไอ้หมอนี่ก็เป็นงานรู้หน้าที่ แต่เพียงไม่นานเมื่อคุณนายผอ.ได้แนะนำให้พวกเขาลองไปเดินชมงานกาชาดที่จัดขึ้นแถวสถานพยาบาลดูก่อนที่จะไปรับกุญแจเข้าบ้านพัก ทว่าไม่ทันไรเมื่อเท้าของเขาเหยียบลงนอกอาณาบริเวณโรงเรียน จู่ ๆ ก็โดนลากไปขึ้นรถแอลยูวีที่ทางกองบัญชาการเบิกเอาไว้ให้พร้อมขับมุ่งตรงไปยังจุดหมาย

เขาอยากกลับที่พักจะตายอยู่แล้ว พิภพยกมือขึ้นจับไปที่ท้ายทอยบีบนวดให้คลายเส้นช่วยลดอาการหงุดหงิด จนคอเสื้อหย่อนคล้อยเผยให้เห็นรอยสักอินทรีโอบพระจันทร์ และยันต์อักขระที่คาดว่าคงจะมีทั่วแผ่นหลัง

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status