แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน
อารามไท่ผิงกวน
“ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก”
“ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !”
ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม
หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน
“คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้
“หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่”
เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ”
“กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้
ภายในอารามไท่ผิงกวน
“อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น
“นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา
“ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้
“อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา
“เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป
เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง
หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี !
แครก ๆ ๆ ๆ
เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น”
“ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น
“ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ”
สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ
“ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ
“ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว”
“สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน”
เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง คล้ายไม่เห็นว่าหลินซือเยว่เป็นนายของตน
“เจ้าเอ่ยเช่นนี้กับคุณหนูผู้เป็นนายได้อย่างไร” เผิงฉือชี้นิ้วใส่ด้วยความไม่พอใจ
“เฮอะ ใครเป็นนายใครก็ยังไม่รู้เลย เอาเถอะ ๆ อยากแวะก็แวะแต่ให้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามพอ หากกลับถึงเมืองหลวงช้าเกินกำหนด พวกเจ้านั่นแหละที่จะเดือดร้อน”
“เรียกใครว่าพวกเจ้า !”
“ป้าเผิง” เสียงเรียกราบเรียบดั่งน้ำนิ่งไหลลึกเช่นนี้ เผิงฉือเข้าใจในทันทีว่าคือคำเตือนในนางสงบนิ่ง
“เจ้าค่ะคุณหนู” เผิงฉือกลับมานั่งที่เดิม
“ต้องได้เปลี่ยนรถม้าคันใหม่อยู่ดี”
“จริงหรือเจ้าคะคุณหนู”
หลินซือเยว่นับนิ้วพร้อมหลับตาลง “พรุ่งนี้อากาศจะเย็นลงอย่างฉับพลัน รถม้าคันนี้ไปไม่ถึงกลางทางแน่ คงต้องแวะทวงหนี้กันสักหน่อย” มุมปากนางกระตุกยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มสยองแบบบางเบา
หลินอ้ายส่ายหน้าบ่นเบา ๆ กับตัวเอง “รถม้าข้ายังดี ๆ ช่างกล้าบอกว่าไปไม่ถึงกลางทาง เฮอะ !”
สองเค่อต่อมารถม้าได้วิ่งเข้ามาในอำเภอฝู และล้อหักเพลาพังอยู่หน้าร้านขายยาพอดิบพอดี หลินอ้ายถึงกับด่ากราดไปทั่ว ไม่รู้จะทำอย่างไรในสถานการณ์ตอนนี้ เดินทำหน้าสิ้นหวังมาหาหลินซือเยว่
“รถม้าพังแล้วไปต่อไม่ได้”
เพราะเจ้านั่นแหละมาแช่งรถม้าของข้า !
“เจ้าเป็นคนขับรถม้า เจ้าก็หาทางเอารถม้าไปซ่อมสิ” เผิงฉือไม่เข้าใจเหตุใดเขาถึงต้องทำตัวงุนงงเช่นนี้ด้วย
คนขับรถม้ามีท่าทีกระอักกระอ่วนใจ ก่อนเอ่ยเสียงค่อยออกมา “ข้าได้เงินแค่ค่าอาหารกับที่พัก ไหนเลยจะมีเงินมาซ่อมรถม้า”
“ตระกูลหลินยากจนเพียงนั้นรึ ถึงไม่ยอมให้เจ้าพกเงินมาเผื่อ” เผิงฉือใช้สายตาเชือดเฉือนหลินอ้าย “แล้วค่าใช้จ่ายของคุณหนูข้าล่ะ” นางอดขึ้นเสียงใส่ไม่ได้จริง ๆ
หลินอ้ายทำท่าตกใจสุดขีด เขาส่ายหน้าไปมาอย่างคาดไม่ถึง กลายเป็นคนโง่ที่ลืมนึกถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร มารับคนกลับบ้าน ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
เผิงฉือหันไปฟ้องผู้เป็นนายในทันที “คุณหนูเจ้าคะ ! คนตระกูลหลินไม่มีความจริงใจเลย พวกเรากลับไปที่อารามเถอะ ข้าไม่อยากให้คุณหนูไปแล้ว”
หลินอ้ายรีบเอ่ย “ทำเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าได้รับคำสั่งมารับคุณหนูรอง หากไม่ได้คนกลับไปพ่อบ้านบอกว่าจะไล่ข้าออก”
“มันใช่เรื่องของคุณหนูข้าไหม !”
หลินซือเยว่ที่ยืนมองทั้งคู่โต้เถียงกัน อดที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้ นางหันหน้าไปทางหลินอ้าย “เจ้ารออยู่ตรงนี้สักประเดี๋ยว ข้าจะไปหยิบยืมเงินจากคนรู้จัก จากนั้นเราจะได้หารถม้าคันใหม่กัน”
“หยิบยืม ?” หลินอ้ายทำหน้าไม่ถูก แต่เขาเป็นบ่าวคงได้แค่รอตามคำสั่ง ก่อนหน้าเขาไม่ไว้หน้าคุณหนูรองผู้นี้ แต่ยามนี้เขาไม่มีทางเลือกจริง ๆ หากคุณหนูรองไม่หยิบยืมเงินผู้อื่น เขาจะพานางกลับตระกูลหลินไปได้อย่างไร
2 : ทวงหนี้ โรงหมออานฉวน “คุณหนูหลิน” ผู้ดูแลลู่รีบเข้ามาทักทายหลินซือเยว่ด้วยสีหน้าเป็นมิตร “ข้ามาทวงหนี้” นางไม่อ้อมค้อมสักคำ ทำเอาผู้ดูแลลู่ถึงกับผงะถอยหลังไปเล็กน้อย ท่าทางเย็นชาทว่าสูงส่งของหลินซือเยว่ ไม่เหมือนคนกำลังเอ่ยวาจาทวงหนี้แม้แต่น้อย “คุณหนูหลินเหตุใดถึงรีบร้อนมาทวงเงินแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่าตกลงกันไว้ว่าอีกสองเดือนหรืออย่างไร” เห็นผู้ดูแลลู่มีท่าทีสงสัย เผิงฉือจึงเอ่ยแทนผู้เป็นนาย “ผู้ดูแลลู่ความจริงแล้วคุณหนูมีเหตุจำเป็น ต้องได้ใช้เงินอย่างเร่งด่วน ท่านพ่อของคุณหนูส่งคนมารับกลับตระกูลหลินที่อยู่ในเมืองหลวง แต่รถม้าที่มารับกลับล้อหักเสียหาย คนขับรถม้านั้นไม่มีเงินติดตัวมาด้วย เกรงว่าทางโน้นจะลืมคิดเรื่องพวกนี้ไป คุณหนูเลยจำใจมาทวงเงินค่าสมุนไพร ที่โรงหมอของท่านติดค้างเอาไว้ หวังว่าผู้ดูแลลู่จะเห็นใจสตรีสองคนนายบ่าว ที่ต้องเดินทางไกลไปถึงเมืองหลวงโน่น” ผู้ดูแลลู่ได้ยินแล้วถึงกับชะงักงันไปอึดใจหนึ่ง “เช่นนี้หรอกรึ” “สรุปแล้วเจ้ามีเงินคืนข้าหรือไม่” หลินซือเยว่รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย “มีขอรับค
3 : เกิดเรื่องที่ศาลาพักม้า หลินซือเยว่ในอดีตกาลนั้น มุ่งมั่นช่วยเหลือผู้คน เปิดดวงเนตรทิพย์สื่อสารกับเหล่าดวงวิญญาณ ตรงกันข้ามกับนางในตอนนี้ ใช้ชีวิตด้วยความระแวดระวัง ไม่ยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นเกินความจำเป็น นั่นเพราะนางมาอยู่ในร่างนี้ในวัยเด็ก ที่มีอายุเพียงห้าปีเท่านั้น แต่ละวันจึงผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไร้คนมีฝีมือข้างกายทรัพย์สินเงินทองนั้นยิ่งไม่มี กว่านางจะรอให้ตัวเองเติบโต มีกำลังพอจะลงจากเขาไปรักษาผู้คนได้ ก็ยามเมื่ออายุสิบปีเสียก่อน ยามนี้นางอายุสิบหกปี เคยไปไกลสุดแค่อำเภอฝู การเดินทางกลับตระกูลหลินคราวนี้ นับว่าเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของนางในโลกนี้ก็ว่าได้ จะว่าไปแล้วพ่อแม่พี่ชายหรือคนตระกูลหลินหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น นางนึกไม่ออกเลยจริง ๆ การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อใดที่หลินซือเยว่บอกให้หยุด เส้นทางข้างหน้ามักจะมีปัญหาอยู่เสมอ ในคราแรกหลินอ้ายก็โต้แย้งอยู่บ้าง ต่อมาถึงรู้สิ่งใดที่คุณหนูรองผู้นี้เอ่ยออกมา มักกลายเป็นเรื่องจริงในภายหลัง โดยเฉพาะหลังออกจากอำเภอฝูได้วันเดียว ลมหนาวมาเยือนอย่างกะทันหัน ตกดึกหิมะตกหนักในทันที เรียกได้ว่าปีนี้อ
4 : ช่วยต่งฮูหยินทำคลอด เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ ดังแข่งกับเสียงอาวุธกระทบกันในความมืด สร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้คน ที่อยู่บริเวณรอบข้างเป็นอย่างยิ่ง ทว่าพวกเขากลับไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ ท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปราย หนทางยามค่ำคืนนั้น ไม่เหลือทางรอดให้พวกเขา ภายในกระโจมหลินซือเยว่ตรวจดูต่งฮูหยินแล้วชะงักไป นางหันไปทางแม่นมฉี “ฮูหยินของเจ้าตั้งท้องได้กี่เดือนแล้ว” แม่นมฉีลอบกลืนน้ำลายเบา ๆ “เจ็ดเดือนเจ้าค่ะ” “เจ็ดเดือน ! คุณหนูเจ้าคะ นี่น้ำคร่ำแตกแล้ว” เผิงฉือเคยคลอดลูกมาก่อน ย่อมรู้ว่าน้ำคร่ำแตกนั้นหมายความว่าจำเป็นต้องคลอดทารกออกมา แต่ว่าอายุครรภ์เพียงเจ็ดเดือนนั้น ค่อนข้างอันตรายไม่น้อย รีบหันไปทางแม่นมฉี แล้วขึงสายตามองนางตรง ๆ “นี่เจ้าน่ะ หากคุณหนูของข้าช่วยทำคลอดให้ ไม่ว่าคนจะเป็นหรือตาย เจ้าห้ามโทษคุณหนูของข้าเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเจ้าก็พาฮูหยินของเจ้า ออกจากกระโจมของคุณหนูข้าไปเสีย” “แม่นาง ได้โปรด...ช่วยลูกข้าด้วย” ต่งฮูหยินฝืนความเจ็บเอ่ยออกมา สายตาจดจ้องไปยังหลินซือเยว่ เหมือนรู้ว่านางคือคนที่จะชี้ชะตาของตัวเองกับลูกได้
5 : เหตุใดไม่ให้คุณหนูของข้าเข้าจวน “คุณหนูเหตุใดไม่ยอมบอกชื่อแซ่แก่พวกเขาล่ะเจ้าคะ ข้าดูแล้วพวกเขาคงมีฐานะใหญ่โตอยู่ไม่น้อย วันข้างหน้าอาจได้พึ่งพากันก็เป็นได้” เผิงฉือรินน้ำชาใส่ถ้วยเลื่อนให้ผู้เป็นนาย “เหตุใดป้าเผิงถึงอยากพึ่งพาคนแปลกหน้าล่ะ” เผิงฉือพูดไม่ออก นั่นสินะ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด หลินซือเยว่กลับเอ่ยขึ้นเสียก่อน “หากมีวาสนาต่อกันจริง วันข้างหน้าก็ต้องได้เจอกันอีก แต่หากไร้วาสนารู้จักชื่อแซ่ไปก็เปล่าประโยชน์” “จริงของคุณหนูเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าคุณหนูไปถึงตระกูลหลินแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง” หลินซือเยว่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ นางไม่อาจล่วงรู้ชะตาของตนเองได้ นี่คือสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน ยามได้ล่วงรู้ความลับของสวรรค์ “ดีหรือไม่ดีแล้วอย่างไรเล่า” นางเอ่ยคล้ายไม่แยแสในชีวิตวันข้างหน้าของตนเอง เผิงฉือได้แต่ลอบพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ คุณหนูของนางช่างเย็นชาเสียจริง เมืองหลวง จวนตระกูลหลิน หิมะยังคงโปรยปรายลงมาดั่งสายฝน รถม้าของหลินอ้ายถูกขวางไว้ตรงหน้าประตูด้านข้าง เสียงคนคุยกันด้านนอกรถม้า ทำให้หลินซือเย
6 : ตระกูลหลิน ห้องโถงใหญ่จวนตระกูลหลิน หญิงชราในวัยเจ็ดสิบห้าปี มวยผมต่ำไว้ด้านหลัง ปักด้วยปิ่นทองรูปหงส์หนึ่งอัน นางคือฮูหยินเฒ่า เจียงลี่เฟย นางได้เรียกลูกชายทั้งสองกับเหล่าลูกสะใภ้เข้ามาหารือเรื่องสำคัญ นายท่านใหญ่หลินเฉินนั่งอยู่ฝั่งขวา พร้อมด้วยหวางฮูหยิน หวางหลี่จิ้ง ฝั่งซ้ายเป็นนายท่านรองหลินเต๋อและเถียนฮูหยิน เถียนจินเยว่ “ข้าให้นางไปอยู่เรือนเฟยเฟิ่ง พวกเจ้าเห็นชอบว่าอย่างไร” ฮูหยินเฒ่านั่งอยู่ตรงกลางห้องโถง หันไปมองหน้าลูกชายทั้งสองด้วยความลำบากใจ หลินเฉินผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ เขาหันไปมองน้องชายราวกับประเมินความรู้สึกของอีกฝ่ายไปด้วย “น้องรองเจ้าว่าอย่างไร” หลินเต๋อเป็นน้องชายที่เชื่อฟังพี่ชายมาโดยตลอด เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยแย้งอันใดออกมา เป็นเถียนฮูหยินที่เอ่ยขึ้น “ท่านพี่นางเป็นลูกสาวของเรานะ” เอ่ยแล้วกลั้นน้ำตาที่เอ่ยคลอเบ้าไม่อยู่ “นางมีดวงชะตาไม่ดี ทำให้ตระกูลหลินต้องตกต่ำ ไม่อาจให้นางเข้ามาอยู่ในจวนตระกูลหลินได้” ฮูหยินเฒ่าปรามลูกสะใภ้รองด้วยสายตาดุดัน “ท่านแม่ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจ แต่ที่ท่
7 : ข้าพิการนางปัญญาอ่อน ตระกูลโจว มีบุรุษรูปร่างผ่ายผอมทว่ายังมองเห็นเค้าโครงความหล่อเหลา กำลังนอนลืมตาอยู่บนเตียง ด้านข้างมีคนสนิทอย่างชุยเหลียง คอยรายงานข่าวคราวให้เขาฟัง “เจ้าบอกว่าตระกูลหลินไม่ยอมรับนางเข้าจวนอย่างนั้นรึ” “ขอรับคุณชายใหญ่ พวกเขาอ้างว่าดวงชะตาของนางไม่เป็นมงคล มีผลให้ตระกูลหลินตกต่ำหรือล่มจมลงได้ จึงให้นางพักอาศัยอยู่นอกจวน ห่างจากจวนใหญ่ไปหลายตรอกอยู่เหมือนกัน” “นางคงเหมือนกับข้าสินะ เมื่อไร้ค่าก็หมดประโยชน์” “ตระกูลหลินทำไม่ถูก เหตุใดถึงได้มอบสตรีปัญญาอ่อนผู้นั้นมาแต่งงานแทน หากท่านไม่ให้ข้าไปตามสืบก็คงไม่รู้ ว่าตอนเด็กนางได้รับอุบัติเหตุจนมีอาการปัญญาอ่อนขึ้น” ชุยเหลียงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ นี่มันหยามหน้ากันเกินไปแล้ว “ข้าพิการนางปัญญาอ่อน เหตุใดจะไม่เหมาะสมกันเล่า” “คุณชายใหญ่ !” “งานแต่งจะยังเกิดขึ้นหรือไม่ก็ไม่มีผู้ใดบอกได้ ชุยเหลียงเจ้าอย่าได้กังวลไปนักเลย ไม่ใช่ว่าวันนี้ท่านหมอเจินต้องเข้ามาดูอาการของข้าหรือ” “ขอรับ สักพักคงมาถึงแล้ว คุณชายใหญ่ต้องการย้ายไป
8 : เนรเทศทั้งตระกูล หลายวันต่อมา เกิดเหตุร้ายขึ้นที่ประตูวังหลวง มีคนร้ายจำนวนหนึ่งบุกเข้าไปภายในวังหลัง ทำร้ายพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้จนเกือบสูญเสียเด็กในครรภ์ หลังจับกุมคนร้ายได้บางส่วน พวกมันต่างซัดทอดไปยังที่ปรึกษาเว่ยเว่ย เป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ หลินเฉินในยามนั้นปฏิเสธหัวเด็ดตีนขาด ว่าเขาไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ แต่จดหมายที่อยู่บนตัวของคนร้าย กลับเป็นลายมือของเขาอย่างชัดเจน ฮ่องเต้ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก สั่งปลดหลินเฉินออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาเว่ยเว่ย และลงโทษคนตระกูลหลินทั้งหมด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ขุนนางทั้งหลาย มีราชโองการให้ยึดทรัพย์สินของตระกูลหลินทั้งหมด และเนรเทศคนตระกูลหลินออกไปยังชายแดน ห้ามกลับเข้ามาเหยียบเมืองหลวงอีกตลอดชีวิต หลังรับราชโองการ คนตระกูลหลินถึงกับล้มทั้งยืน ไม่ทันได้เก็บข้าวของอันใด ทหารก็บุกเข้ามายึดทรัพย์สินและจับกุมทุกคนไปห้องขัง เสียงร้องไห้ของสตรีบาดลึกเข้าไปในความรู้สึกของบุรุษ พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คนทั้งตระกูลสามสิบกว่าชีวิต ถูกขังรวมไว้ด้วยกัน ไม่แบ่งแยกชายหญิงแต่อย่าง
9 : พบหน้าในคุก เมื่อควบม้ามาถึงเรือนเฟยเฟิ่ง หิมะที่หยุดตกไปก่อนหน้ากลับโปรยปรายลงมาอีกหน มีทหารมารออยู่ภายในห้องโถง เพื่อรอนางกลับมาจริง ๆ เผิงฉือถูกสั่งให้เตรียมห่อผ้าเอาไว้ล่วงหน้า หลินซือเยว่สั่งให้นางเย็บห่อผ้าแบบสมัยใหม่ เป็นเป้ผ้าขนาดใหญ่ใส่ของได้เยอะ แต่ที่นางคิดไม่ถึงคือเผิงฉือกลับเตรียมเป้ของตัวเองเอาไว้ด้วย “คุณหนูไปไหนข้าไปด้วยเจ้าคะ” “ป้าเผิง การถูกเนรเทศไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรข้าก็ไม่อาจรู้ได้” “ข้าไม่กลัว ข้าเสียครอบครัวไปหมดแล้ว ที่มีชีวิตอยู่มาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะคุณหนูนะเจ้าคะ หากไม่มีคุณหนูข้าเองก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม” เผิงฉือตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “ป้าเผิงท่านคิดดีแล้วหรือ” “ข้าคิดดีแล้วเจ้าค่ะ” หลินซือเยว่ไม่อาจฝืนใจผู้อื่นได้ นางหันไปมองรอบกาย “แล้วหลินอ้ายล่ะ” “หลินอ้ายมีสัญญาซื้อขายตัวกับตระกูลหลิน ยังไงก็ต้องถูกเนรเทศไปกับตระกูลหลินเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นก็ไปพร้อมกันนี่แหละ” เสื้อกันหนาวอย่างอุ่นถูกเตรียมพร้อมเอาไว้ ผ้าห่มอย่าหนากับของใช้บางอ
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ
4 : พระชายานางไม่คู่ควร ฮู่ตงหยางนำเรื่องสำคัญ มาขอคำชี้แนะจากพระชายา เดิมทีเผิงฉือไม่อยากให้เขาไปรบกวนหลินซือเยว่ แต่ทนเสียงอ้อนวอนไม่ไหว จึงได้เข้าไปรายงานพระชายาให้รับรู้ “หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มาหาข้า ป้าเผิงให้องครักษ์ฮู่เข้ามาเถอะ” หลินซือเยว่ยามนี้ใบหน้าอิ่มเอิบ เหมือนคนถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก “เพคะพระชายา” เผิงฉือยามได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุข ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของผู้เป็นนาย ราวกับก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกวางลง เหลียงอ๋องยามนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าได้มอบความรักให้พระชายาเพียงผู้เดียวจริง ๆ “พระชายา” ฮู่ตงหยางเข้าไปคำนับหลินซือเยว่ พร้อมกับเล่าความปรารถนาของตนเอง ให้พระนางฟังอย่างละเอียดทุกเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแม้แต่น้อย กลับเป็นเรื่องราวความรักของสวีวั่งซูแทน “องครักษ์ฮู่ท่านกล้าเอาเรื่องเหลวไหลมาเอ่ยกับพระชายาเชียวรึ” เผิงฉือขึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ท่านป้าเผิง ข้าแค่เป็นห่วงวั่งซูเกรงว่าเขาจะพบเจอคนไม่ดีเข้า” หลินซือเยว่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ออกไปเที่ยวชมเมืองเล่นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป “ร
3 : ข้าอยากได้ลูกชายตัวอ้วน ๆ ชีวิตของการเป็นพระชายาของเหลียงอ๋อง ไม่ได้ทำให้หลินซือเยว่ถูกขังอยู่แต่ในจวนได้ บางวันนางออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ทำให้นางได้รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองเหลียงมากขึ้น เซวียนหมิงยู่รู้ว่าห้ามนางไม่ได้ จึงยอมปลอมตัวออกไปเที่ยวข้างนอกกับนางด้วย “ท่านอ๋อง ท่านจะไปข้างนอกกับพระชายาข้าไม่ว่า แต่เหตุใดไม่ให้ข้ากับตงหยางไปด้วยเล่า” สวีวั่งซูเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นนาย “วั่งซูเจ้าคิดว่าในเมืองเหลียงแห่งนี้ มีใครทำอันตรายข้ากับพระชายาได้บ้าง ลำพังข้าไม่เป็นไรแต่พระชายานั้น อย่าได้ดูแคลนฝีมือนางเด็ดขาด” สวีวั่งซูหันไปมองสหายด้านข้าง ฮู่ตงหยางกระซิบเบา ๆ “ขนาดฟ้ายังเรียกมาผ่าจวนหยางอ๋องได้ ข้าว่าเจ้าวางใจเถอะ ให้ท่านอ๋องไปกับพระชายาสองต่อสองเถอะ” สวีวั่งซูคล้ายไม่ยินยอมแต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะพระชายาในชุดปลอมตัวเป็นบุรุษ ได้เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “พระชายาหน้าข้ามีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีวั่งซูแปลกใจเล็กน้อย พระชายาไม่เคยมองเขาแบบนี้มาก่อน นี่คล้ายกำลัง
2 : มอบจวนให้ท่านพ่อตา ตระกูลหลินสายรอง หลังจากหลินซือเยว่ได้แต่งงานเข้าจวนเหลียงอ๋องได้สองเดือน ครอบครัวของนางต้องหารือกันครั้งใหญ่ เพราะการกระทำของพวกเขาทุกคน จะส่งผลต่อฐานะพระชายาของหลินซือเยว่ไปด้วย หลินซูฮวารับบทหนักกว่าผู้อื่น มารดาของนางถึงกับจ้างคนมาสั่งสอน เรื่องที่บุตรีตระกูลมีชื่อเสียงต้องร่ำเรียนกัน “เจ้าต้องจำเอาไว้ซูฮวา เจ้าคือน้องสาวของพระชายาเหลียงอ๋อง จะทำสิ่งใดต้องมีผู้คนจับตามอง ข้าไม่อยากให้พวกเราทุกคน ทำร้ายพระชายาไปมากกว่านี้” เถียนฮูหยินสั่งสอนบุตรสาวคนเล็ก ในยามที่นางโอดครวญไม่อยากร่ำเรียน “ท่านแม่ข้าก็บ่นไปเช่นนั้นเอง ความจริงข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี” หลินซูฮวาเดินเข้าไปกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น “ท่านพ่อก็เหมือนกัน ท่านอย่าได้ไปคบหาพวกอันธพาลเข้าล่ะ ห้ามไปบ่อนเด็ดขาด” หลินซีฮันรู้สึกว่าหากปล่อยปละละเลย บิดาของเขาคงถูกคนล่อลวงไปได้ง่าย ๆ “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลินเต๋อหลบสายตาบุตรชาย ต่อไปนี้ต้องใจแข็งให้มากกว่านี้แล้วล่ะ “ท่านพี่ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปที่หอโอสถทุกวันแล้วล่ะ ข้าว่าให้ผู้ดูแลร้านเขา