“ดูเข้าสิ เสด็จแม่เพิ่งมา ตอนนี้เจ้าเจ็ดก็มาร่วมสร้างบรรยากาศอีกคน”ฝ่าบาทหันหน้าไปหัวเราะกับทางไทเฮาครู่หนึ่งไทเฮายิ้มออกมาเล็กน้อย: “เย่หลันไม่เหมือนข้าที่ชอบพูดจาส่งเดชเป็นยายแก่แบบนี้ เขาเป็นคนที่ไม่มีเรื่องไม่มาอยู่แล้ว ฝ่าบาทสู้เรียกตัวเขาเข้ามาจะดีกว่า”“เสด็จแม่พูดถูก”ฝ่าบาทยกมือขึ้นมาจากนั้นเซียวเย่หลันก็เดินมาที่หน้าตำหนักก้าวใหญ่ๆ ขณะที่คารวะนั้นแผ่นหลังก็ยังคงตั้งตรงอยู่ บุคลิกภาพก็เบียดซืออวี้สวี่ตกขอบไปในทันใด“เซียวเย่หลัน เจ้ามาทำอะไร?” เซี่ยเชียนฮวันเม้มปากถามนางไม่ได้หวังว่าในเวลาแบบนี้เขายังจะมาก่อความวุ่นวายอีกเซียวเย่หลันเหลือบมองไปที่นางครู่หนึ่ง “ท้องใหญ่ขนาดนั้นแล้ว อย่าได้เก็บกักอารมณ์โมโหเอาไว้ทั้งวันเลย”“ข้ามีที่ไหน......”เซี่ยเชียนฮวันไร้ความพูดใดตอนนี้ท้องของนางก็ไม่ได้ใหญ่มากเข้าใจไหมอีกอย่าง เห็นได้ชัดว่านางโต้แย้งกับซืออวี้สวี่อย่างเป็นเหตุเป็นผล ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นโมโหจนไม่มีที่ระบายไปได้?ด้านหลังของเซียวเย่หลันยังพาคนมาด้วย 1 คนเมื่อซืออวี้สวี่เห็นใบหน้าของคนผู้นี้ชัดเจน ก็เปลี่ยนสีหน้าขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว“บอกเรื่องที่เจ้าท
“ไม่ๆ ความหมายของข้าคือ......”ซืออวี้สวี่ลุกลี้ลุกลนเกินไป ไม่คิดเลยว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรก็สารภาพออกมาเองแล้ว!เขาไม่ได้มีท่าทีการโต้วาทีอย่างเข้มข้นราวกับจูกัดเหลียงเมื่อครู่เลย เขากล่าวอธิบายออกมาอย่างอึกๆอักๆ “ตามที่ทุกคนทราบกันดีว่าพระชายาจ้านอ๋องถูกลอบทำร้ายที่สวนบ๊วย ข้าเพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เลยเอ่ยปากพูดไปเรื่อยเท่านั้นเอง”คำพูดเพิ่งจะกล่าวจบ เซียวเย่หลันก็กล่าวออกมาว่า “แต่คืนวันนั้นคนที่ถูกลอบทำร้ายก็ไม่ได้มีเพียงเซี่ยเชียนฮวันคนเดียว ยังมีข้าด้วย”“นี่ นี่...จ้านอ๋องห้าวหาญไร้ศัตรู ใครจะกล้าส่งนักฆ่าไปสังหารท่านได้เล่า”“ผิดแล้ว ชนเผ่าต่างแดนเห็นข้าเป็นปัญหาใหญ่ที่อยู่ในใจ มักจะส่งคนมาลอบสังหารบ่อยครั้ง”“ยังไงข้าก็ไม่เคยทำ ล้วนเป็นคนอื่นที่ใส่ร้ายปรักปรำข้าทั้งนั้น! องค์หญิง องค์หญิงท่านรีบช่วยข้าพูดหน่อย!”ซืออวี้สวี่มือไม้ปั่นป่วนไปหมดแล้ว ไม่คาดว่าจะคุกเข่าลงแล้วคลานมาทางเซียวหมิงเซียน ดึงชายกระโปรงของนางเอาไว้ แล้ววิงวอนอย่างยากเย็นแต่ตอนนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่มีตา ก็สามารถมองออกว่าเขาไม่อาจหลุดพ้นจากเรื่องที่เซี่ยเชียนฮวันถูกลอบทำร้ายที่สวนบ๊วยไปได้
“เป็นไปไม่ได้ การแต่งกายของคนผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นแค่คนรถธรรมดาคนหนึ่ง...”ภายใต้การตื่นตะหนกของซืออวี้สวี่ ก็เลยหลุดปากพูดออกมาอีกครั้ง ยอมรับว่าเป็นความผิดของตนเองไปแล้วเซียวหมิงเซียนรีบดึงเขาเอาไว้ทันที กล่าวเสียงเบาๆ ออกมาว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่า ในจวนจ้านอ๋องคนรับใช้มากมายต่างก็เป็นทหารชายแดน พวกเขาได้รับบาดเจ็บจนไม่อาจไปสู้รบได้อีก พี่เจ็ดก็เลยให้พวกเขาทำงานอยู่ในจวน แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าร่วมรบอีก แต่ก็ยังมีศักดิ์เป็นทหารอยู่ดี”“นี่ โอ้ย ใยเจ้าไม่บอกข้าให้ไวกว่านี้!”ซืออวี้สวี่เริ่มโทษเซียวหมิงเซียนขึ้นมาในตอนนี้เอง ฝ่าบาทซึ่งมีสีหน้าที่ตึงเครียดแต่เดิมอยู่แล้ว ก็เปลี่ยนเป็นเครียดมากขึ้นไปอีกหลายเท่า กล่าวออกมาอย่างเย็นเยือกว่า “ซืออวี้สวี่ ตำแหน่งราชบุตรเขยนี้ของเจ้ายังนั่งไม่ทันร้อนเลย ก็กล้ามาต้องโทษทางคดีมากเช่นนี้แล้ว หากข้าปล่อยปะเจ้าต่อไป ต่อไปเจ้าก็คงจะทำให้เกิดคดีความใหญ่โตขึ้นมา”“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ!”ซืออวี้สวี่ตกใจจนโขลกศีรษะไม่หยุด!เซียวเย่หลันก็เลยถือโอกาสใส่ไฟ เอามือประสานแล้วกล่าวออกมาว่า “เสด็จพ่อ ลูกอยากจะประหารคนผู้นี้ด้วยมือตัวเอง เพื่อเป็นก
สุรเสียงของฮ่องเต้เบามาก และมีเพียงไทเฮากับฮูหยินอันติ้งโหวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เท่านั้นที่ได้ยินฮูหยินอันติ้งโหวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยนางเดาเจตนาของฮ่องเต้ไม่ออกแต่ไทเฮากลับยิ้มแย้มตามปกติ “ฝ่าบาททรงเจริญพระชันษามานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีหญิงชราผู้นี้คอยปกป้องพระองค์จากลมฝนอีกต่อไป”“พระเจ้าของเสด็จแม่ ข้าจดจำไว้ในใจตลอดชีวิต”น้ำเสียงของฮ่องเต้ แฝงไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนไทเฮาพยักหน้า แล้วหันไปกวักมือเรียกเซี่ยเชียนฮวัน “ฮวันฮวัน เจ้าตามข้าไปที่วังหย่งโซ่วสิ”“เพคะ”เซี่ยเชียนฮวันจึงทูลลาฮ่องเต้ตอนที่เดินออกมานั้น ฉวยโอกาสที่เซี่ยเชียนฮวันยังตามมาไม่ทัน ฮูหยินอันติ้งโหวกระซิบถามเบาๆ ว่า “แปลกนัก เหตุใดฝ่าบาทถึงพูดถึงช่วงเวลาที่ท่านรับผิดชอบเรื่องการเมืองหลังม่านขึ้นมา?”“ฉีอู่มีนิสัยพยาบาท” ไทเฮากล่าวสั้นๆ “ในตอนนั้นข้าลังเลที่จะมอบอำนาจให้เขา เขาก็จำฝังใจมาตลอด”เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยของฮ่องเต้ นางจึงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองมาหลายปีแล้วเรื่องของซืออวี้สวี่อาจมองว่าเป็นเรื่องภายในของราชวงศ์ แต่มีผู้คนเข้ามาเกี่ยวข้องมากเกินไป ไม่ว่าจะได้รับการจัดการเช่นไร มันก
“แต่ข้าก็ช่วยนางเปาและลูกชายไว้ได้ มันคงไม่ยุติธรรมที่พี่หญิงสี่จะไม่พูดเรื่องกับข้า...”ไม่รอให้เซี่ยเชียนฮวันพูดจบ เซียวหมิงหลานก็ร้องหึเบาๆ แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไปเซี่ยเชียนฮวันยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ไม่มีทางเลย หลี่จิ้งหย่าพูดเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับนางมากเกินไปต่อหน้าเซียวหมิงหลาน ซึ่งทำให้เซียวหมิงหลานรู้สึกไม่ประทับใจในตัวนางความรู้สึกเช่นนี้ไม่สามารเปลี่ยนได้ในช่วงเวลาสั้นๆนางไม่สามารถบังคับคนอื่นให้มาชอบนางได้ นางทำได้เพียงยอมรับความจริงที่ว่านางมีศัตรูเพิ่มอีกคนก็เท่านั้นเซียวเย่หลันยังคงปรึกษาหารือกับฮ่องเต้ในวังหลวง เซี่ยเชียนฮวันจึงไม่ได้รอเขา และกลับไปที่บ้านแม่พร้อมแม่ของนาง พักอยู่ในจวนอันติ้งโหวสักสองสามวัน เพื่ออยู่ห่างจากซูอวี้เออร์ผู้ซึ่งเย่อหยิ่งมากขึ้นหลังจากตั้งครรภ์ นางจะได้ฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองในช่วงเวลานี้ นางไม่ได้พบกับเซียวเย่หลันอีกเลยเพียงแค่ส่งไปแจ้งให้เขาทราบว่า นางจะพักอยู่ที่บ้านแม่อย่างไรก็ตาม เซียวเย่หลันไม่ได้ตอบกลับบางทีคนส่งสารอาจถูกสกัดกั้นโดยซูอวี้เออร์ หรือบางทีเขาอาจไม่ได้สนใจว่านางอาศัยอยู่ที่ไหนเซี่ยเชียนฮวันรู้
“ใช่แล้ว จ้านอ๋องเป็นคนอุ้มท่านออกไปด้วยมือของเขาเอง”เปาอิ๋งหันพยักหน้าเซี่ยเชียนฮวันจำความรู้สึกได้ว่า มีใครบางคนอุ้มนางขึ้นมาอย่างเลือนลางมือของเขาอบอุ่นมาก แตกต่างจากฝ่ามืออันเย็นเยียบของเซียวเย่หลันอย่างสิ้นเชิง เขาอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน ราวกับประคองแก้วมณีที่แตกหักง่ายในตอนแรกเซี่ยเชียนฮวันคิดว่าคนคนนั้นคงเป็นเซี่ยเหยียน หรือเจ้าหน้าที่ศาลจิตใจดีสรุปคือไม่มีวันเป็นเซียวเย่หลันแต่ตอนนี้ เปาอิ๋งหันกลับบอกนางว่า เป็นเซียวเย่หลันที่ช่วยนางออกมาจากสุสาน...ในใจของเซี่ยเชียนฮวันเกิดอารมณ์มากมายขึ้นมา ใบหน้าที่เย็นชาของชายผู้นั้นก็ปราฏขึ้นมาในหัวของนาง และสีหน้าอันดุร้ายของเขา ในขณะที่ฆ่าซืออวี้สวี่สุดท้าย นางก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “บางทีสติสัมปชัญญะของเจ้าอาจจะไม่ได้ชัดเจนนักจึงมองผิดไป ถึงแม้ว่าเซียวเย่หลันจะช่วยข้า แต่เขาจะไม่มีวันแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาโดยเด็ดขาด”“เฮ้อ ถ้าพระชายาไม่เชื่อ ข้าน้อยก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ข้าน้อยไม่คิดว่าจ้านอ๋องจะเป็นคนใจร้ายเช่นซือเสียง” เปาอิ๋งหันพูดนอกจากการแสดงออกทางสีหน้าแล้ว อารมณ์ของตัวบุคคลนั้น ยังสามารถเห็นได้จากพฤติกรรมขอ
“เจ้าเป็นใคร?”เซี่ยเชียนฮวันหันหน้ามาสังเกตคนที่เรียกนางเอาไว้สาวใช้ที่แปลกหน้าคนหนึ่งสวมใส่แต่งตัวได้วิจิตรตระการตามาก ไม่ค่อยเหมือนว่าเป็นคนใช้ของตระกูลขุนนางเลย แต่ก็ไม่เหมือนว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาเช่นกันด้วยสาวใช้คนนั้นเดินมาที่ด้านหน้าของเซี่ยเชียนฮวัน คารวะอย่างอ่อนช้อยแล้วกล่าวว่า: “คารวะพระชายา บ่าวมีนามว่าซิ่วเซียง เป็นคนที่ปรนนิบัติข้างกายของคุณชายซังฉู่ซวินเซี่ยเชียนฮวันตะลึงงันที่แท้เป็นคนของอุทยานหลีนางไม่ได้คิดอะไรไปมาก ก็เลยปฏิเสธคำเชื้อเชิญออกมาตรงๆ “ข้าไม่ได้มีความสนิทสนมกับคุณชายซังเป็นการส่วนตัว พบกันโดยไม่มีเหตุผลใดๆก็เหมือนว่าจะไม่สมเหตุสมผล หากแพร่งพรายออกไปเกรงว่าจะไม่น่าฟังต่อชื่อเสียงของพวกเราได้ ชั่งมันจะดีกว่าเถอะ”สาวใช้ชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าคิดไม่ถึงว่าเซี่ยเชียนฮวันจะปฏิเสธออกมาอย่างสิ้นเชิงนั่นเป็นถึงซังฉู่ซวินเชียวนะ......บุคคลที่โดดเด่นอันดับหนึ่งแห่งเจียงเป่ย มีคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์มากแค่ไหนที่ร้องขอก็ยังไม่ได้มาด้วยตาปริบๆเลยนะเซี่ยเชียนฮวันปฏิเสธเสร็จก็จากไปเลยนางจำได้ว่าองค์ชายห้าเซียวจ้านเคยเตือนนางที่สวนบ๊วยมาก่อน ซังฉู่ซว
“เจ้ามีเรื่องขอร้องข้า?”เซี่ยเชียนฮวันเลิกคิ้วซังฉู่ซวินพักหน้าไปมา “หากพระชายายินดีที่จะช่วย ปลอกมีดพวกนี้ก็จะเป็นสิ่งตอบแทน พระชายาคิดเห็นอย่างไร”“งั้นเจ้าต้องบอกเรื่องที่ต้องการจะไหว้วานให้ชัดเจนก่อน ข้าจึงจะทราบว่าจะช่วยได้หรือไม่”แน่นอนว่าเซี่ยเชียนฮวันก็คงจะไม่รับปากอย่างโง่เขลาหรอกซังฉู่ซวินหัวเราะขึ้นมาครู่หนึ่ง “อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พระชายาก็ทราบดีว่าข้าเป็นเพียงแค่คนแสดงละครคนหนึ่ง พวกคนสูงศักดิ์ชอบฟัง ข้าก็เลยมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดปรานจากฝ่าบาท อีกสองสามวันก็ยังต้องเข้าวังไปแสดงลูกคอให้ฝ่าบาทรับฟังอีก”คำพูดนี้ฟังไปแล้วไม่ว่ามากหรือน้อยก็ค่อนข้างอวดอยู่บ้างแต่ซังฉู่ซวินพูดได้ธรรมดามาก ราวกับว่าก็ไม่ได้เห็นแก่ชื่อเสียงเลยหัวคิ้วของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งยังเผยให้เห็นความกลัดกลุ้มจางๆออกมาด้วย “ประมาณว่าหลายวันนี้ร้องมากติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ข้ารู้สึกว่าสภาวะของเสียงนับวันจะยิ่งแย่ หากถึงตอนนั้นเอ่ยปากไม่ออกต่อหน้าฝ่าบาท ก็ไม่เท่ากับว่าจะยั่วความซวยเข้าตัวหรอกหรือ?”“ได้ยินว่าพระชายาวิชาแพทย์เกินคน วันนี้ข้าก็บากหน้ามา