Share

บทที่ 8

น่าสนใจ น่าสนใจมาก

ลั่วจิ่วหลีเพิกเฉยต่อเซียวจูมั่วที่ตกตะลึงเหมือนคนโง่ ก้มลงดึงหยกห้อยเอวชิ้นหนึ่งของเขาออกมา เป็นหยกห้อยเอวคุณภาพไม่เลวจริง ๆ นางถือหยกห้อยเอวไว้ในมือ หันกลับมามองมั่วหานด้วยสีหน้าคาดเดาไม่ถูก

“คุณชายท่านนี้ ในเมืองนี้จะซื้อโลงได้ที่ไหน”

มั่วหานชะงัก

ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าจะใช้หยกห้อยเอวของอ๋องเจาเพื่อซื้อโลง แค่ไม่รู้ว่าโลงศพนี้สำหรับอ๋องเจา หรือ...

“เมืองชั้นนอก ตรอกเฉาฉ่าง เต็มไปด้วยร้านขายโลง”

“ขอบคุณมาก”

ลั่วจิ่วหลีกำหมัดคารวะแล้วพลิกตัวขึ้นหลังม้า

ในฐานะแพทย์ทหาร การขี่ม้าเป็นหลักสูตรภาคบังคับจึงไม่ใช่เรื่องยากเลย

มั่วหาน : นั่นเหมือนว่าจะเป็นม้าของข้า

แต่จะทำอย่างไรได้? ตอนนี้เขาไม่กล้าหาเรื่องนางจริง ๆ เพราะจากนี้ นางยังต้องช่วยคลายคำสาปให้นายท่าน

สี่ขาวิ่งเร็วกว่าสองขา ในเวลาเพียงครึ่งเค่อ[1] ลั่วจิ่วหลีก็ไปถึงร้านขายโลงร้านหนึ่งที่เมืองชั้นนอก นางแลกหยกห้อยเอวกับโลกศพขนาดเล็กหนึ่งโลง

จากนั้นห้อตะบึงม้าไม่หยุดจนถึงนอกประตูวัง

เวลานั้นแสงอรุณปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแล้ว

......

ห้องเก้าเสนาบดี เป็นสถานที่ให้เหล่าขุนนางพักผ่อนรอการประชุมเช้า

ยังมีเวลาอีกสักพักก่อนเริ่มประชุม ขุนนางระดับสูงทุกท่าน ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ ฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ ในห้องเก้าเสนาบดี

ในกลุ่มขุนนางไม่มีใครพูดถึงเรื่องสำคัญของบ้านเมือง ทั้งหมดกำลังพูดถึงเหตุการณ์ในจวนอ๋องเจาเมื่อคืนนี้

“ได้ยินว่าพระชายาอ๋องเจาหมดสตินานเจ็ดวันเจ็ดคืน กลับยังไม่ตาย ช่างดวงแข็งจริง ๆ!”

“ไฟไหม้เมื่อคืนนี้โหมแรงจนผู้คนตื่นตระหนก เป็นที่โจษจันของผู้คนทั่วเมืองหลวงตั้งแต่เช้า”

“ข้ายังได้ยินว่า อ๋องเจาเพื่อชายารองแล้ว ถึงกับใช้ศพของลูกชายแท้ ๆ เป็นยา จุ๊ ๆ”

“เป็นแค่อนุคนหนึ่ง พูดให้ฟังดูดีหน่อยก็เป็นอนุที่มาจากตระกูลใหญ่ จะเทียบกับชายาเอกได้อย่างไร หรือว่าอ๋องเจาถูกมนตร์เสน่ห์?”

“เจ้าคิดว่าตอนนี้อี้กั๋วกงฝึกทหารอยู่ที่ลี่หยาง หากเขารู้ว่าบุตรสาวเกือบตายด้วยน้ำมือของอ๋องเจา ไม่รู้ว่าเขาจะสร้างความวุ่นวายให้ราชสำนักเพียงใด”

ในเวลาเดียวกัน บริเวณนอกประตูวัง ลั่วจิ่วหลีสวมเสื้อคลุมสีน้ำหมึกกะรุ่งกะริ่ง ใบหน้าแดงบวม มุมปากช้ำเลือด รอยฟกช้ำที่คอมองเห็นได้ชัดเจน

สองมือแบกโลงศพใบเล็ก ยืนอยู่ห่างจากกลองร้องทุกข์เพียงหนึ่งก้าว

“ผู้ใดอยู่ใต้กลอง”

ผู้ที่อารักขากลองร้องทุกข์คือทหารรักษาพระราชวัง

ลั่วจิ่วหลีเสียงแหบแห้ง

“ลั่วจิ่วหลีบุตรีคนรองสายตรงของจวนอี้กั๋วกงมาตีกลองร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม ฟ้องร้องอ๋องเจาที่หลงใหลอนุละเลยภรรยา สังหารบุตรชายโดยสายเลือด ทุบตีภรรยาเอก”

ราชองครักษ์ทั้งสองหันมองหน้ากัน ในแววตามีเพียงความตื่นตระหนก

ฟ้องร้องอ๋องเจา แต่อ๋องเจาเป็นโอรสของหูกุ้ยเฟย ส่วนหูกุ้ยเฟยเป็นหลานสาวแท้ ๆ ของไทเฮา พระชายาอ๋องเจาผู้นี้ใจกล้าบ้าบิ่นเกินไปแล้วถึงได้กล้ามาตีกลองร้องทุกข์

มิหนำซ้ำ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของหูกุ้ยเฟย พวกเขาคงไม่ต้องการชีวิตหากปล่อยพระชายาอ๋องเจาเข้าไป

“พระชายาไม่รู้หรือว่าตีกลองร้องทุกข์แล้วจะต้องกลิ้งบนเตียงตะปูนะ?”

ลั่วจิ่วหลีมองราชองครักษ์สองนายนั้น พวกเขามองนางด้วยสายตาเอือมระอาและดูแคลน

นางวางโลงใบเล็กลงอย่างใจเย็น หยักมุมปากแค่นหัวเราะ ในเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องก็ต้องบุกเข้าไปแล้ว

มีดผ่าตัดในเสื้อคลุมเลื่อนลงบนฝ่ามือ ร่างกายเคลื่อนไหวเล็กน้อย เตรียมพร้อมจะบุกเข้าไป

ขณะนี้ เสียงเกือกม้าดังมาจากด้านหลัง

“รถม้าของอ๋องเก้า”

ราชองครักษ์ทั้งสองรีบคุกเข่าลงด้วยความตื่นตะลึง

ลั่วจิ่วหลีหันกลับไป เห็นเซียวหมิงเสวียนก้าวออกมายืนบนคานรถม้าท่ามกลางแสงอรุณ

บัดนี้เขาสวมฉลองพระองค์ชินอ๋อง[2] สวมเข็มขัดสีทองประดับหยก นัยน์ตาสีดำลึกล้ำดุจนิลมณี โดยเฉพาะใบหน้าของเขางามสมบูรณ์เหนือสามัญท่ามกลางเงาแสงที่อาบไล้

ลั่วจิ่วหลีอึ้งไป เวลาแค่สองวันแต่ได้พบกันถึงสามครั้งแล้ว

ทุกครั้งนางล้วนอยู่ในสภาพน่าอับอาย นี่มัน ‘วาสนาบัดซบ’ ชัด ๆ

เซียวหมิงเสวียนยืนเอามือไพล่หลัง ไม่เอื้อนเอ่ย ไม่ไหวติง แต่ในเวลาเดียวกันกลับทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันอย่างมาก

แต่ทุกคนที่ว่าไม่รวมลั่วจิ่วหลี

มองไปที่เหล่าราชองครักษ์ทั้งบนและล่างบันได ไม่มีใครกล้าหายใจแรงเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่ตีกลองตอนนี้แล้วจะให้ตีตอนไหน

ลั่วจิ่วหลีก้าวไปข้างหน้า พกพาความเหนื่อยล้าและความตั้งใจเด็ดเดี่ยว หยิบไม้ตีกลองที่หนักอึ้งขึ้นมา

“ตึง! ตึง! ตึง!”

เสียงกลองทุ้มต่ำแต่ทรงพลังดังเข้าไปในพระราชวังอย่างต่อเนื่อง แพร่กระจายสู่ทุกซอกทุกมุมของเมืองหลวง ท่ามกลางแสงสลัวแห่งรุ่งอรุณ

ผู้คนจำนวนมากค่อย ๆ มารวมตัวกันรอบกลองร้องทุกข์

เสียงพูดคุยเอ็ดอึงก็ค่อย ๆ ดังขึ้นด้วยเช่นกัน

การประชุมเช้าในตำหนักไท่เหอภายในพระราชวัง ณ เวลานั้น

ฮ่องเต้ในฉลองพระองค์มังกรสีเหลืองสดประทับอยู่บนบัลลังก์ ทอดสายตาลงมองสรรพชีวิตประหนึ่งดูแคลนใต้หล้า

แม้มีพระชันษาครบสี่สิบแล้ว นอกเสียจากริ้วรอยบนพระพักตร์ พระวรกายได้รับการดูแลอย่างดี กิริยาสง่างาม คาดว่าสมัยยังหนุ่มคงเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง

หากยามนี้ ฮ่องเต้เม้มโอษฐ์ พระขนงขมวดมุ่น

โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงกลองจากนอกพระราชวังดังเข้ามาในตำหนักครั้งแล้วครั้งเล่า สถานการณ์ในท้องพระโรงบังเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยากจะจับสังเกตได้

ขุนนางทั้งบุ๋นบู๊มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ส่งเสียงกระซิบกระซาบจ้อกแจ้กจอแจ

ดูเหมือนว่าทุกคนล้วนตกอยู่ในความตึงเครียด ต่างคนต่างความคิด

กลองร้องทุกข์นี้ถูกตั้งไว้ด้านนอกประตูพระราชวัง ผู้ใดก็ตีกลองนี้ไม่ได้ เว้นแต่ว่าจะมีสงครามเร่งด่วนหรือเหตุอยุติธรรมสุดแสน

---------------------------------------------

[1] 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที

[2] ชินอ๋อง เป็นบรรดาศักดิ์ที่แต่งตั้งให้กับพระโอรส พระเชษฐาหรือพระอนุชาในองค์ฮ่องเต้

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status