ในเวลานี้ หูกุ้ยเฟยซึ่งอยู่ในวังหลังก็ได้ทราบถึงเหตุการณ์ที่พระราชวังส่วนหน้าแล้ว สุดท้ายกระดาษก็ห่อไฟไว้ไม่ได้ เหล่านางสนมอื่น ๆ ก็ทราบเรื่องแล้วเช่นกัน เรื่องที่พระชายาอ๋องเจาหรือลั่วจิ่วหลีบุตรีคนรองสายตรงจวนอี้กั๋วกงมาตีกลองร้องทุกข์ฟ้องร้องอ๋องเจา โทษฐานหลงใหลอนุละเลยภรรยา สังหารลูกในไส้และทุบตีภรรยาเอกก็ได้แพร่กระจายไปทั่ววังหลัง ทางด้านนี้มีขันทีเข้าไปรายงานในตำหนักไม่ขาดสาย “ทูลฝ่าบาท อี้กั๋วกงฮูหยินคุกเข่าอยู่ด้านนอกประตูพระราชวังขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” “ทูลฝ่าบาท อ๋องเจาคุกเข่าอยู่นอกตำหนักขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ข่มโทสะโบกพระหัตถ์ให้ขันที หลังจากนั้นไม่นาน คนสองคนเดินเข้ามาในตำหนักตามลำดับ นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วจิ่วหลีได้พบกับมารดาเจ้าของร่างเดิมซึ่งก็คืออี้กั๋วกงฮูหยิน เห็นนางสวมชุดฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง มวยผมยกสูงบนศีรษะ ประดับปิ่นปักผมที่เรียบง่ายหนึ่งอัน ขณะก้าวเข้ามาในตำหนักก็เห็นสภาพที่น่าสังเวชของบุตรสาวอย่างชัดเจน ปวดใจจนน้ำตาคลอหน่วย หยิกฝ่ามือตัวเองแรง ๆ แล้วคุกเข่าลงบนพื้น “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื
“ฝ่าบาท ตอนนั้นหม่อมฉันรักอ๋องเจาสุดหัวใจ แม้กระทั่งวันอภิเษก อ๋องเจาหันหลังใส่หม่อมฉันรับชายารองเข้าจวน ทำให้หม่อมฉันอับอายขายหน้า แต่เพราะหม่อมฉันรักเขาจึงพยักหน้ายินยอม แล้วหม่อมฉันจะทรยศเขาได้อย่างไรเพคะ”“ฝ่าบาทโปรดมอบความเป็นธรรมให้หม่อมฉันด้วยเพคะ” ฮ่องเต้กำพระหัตถ์แน่น กริ้วโกรธขั้นสุด แต่แล้วก็ค่อย ๆ สงบลง ในฐานะบุรุษ เป็นไปไม่ได้ที่อ๋องเจาจะสร้างความอัปยศให้ตัวเองเช่นนี้ แต่สีหน้าของลั่วจิ่วหลีก็ไม่เหมือนคนโกหกเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น ความรักที่นางมีต่ออ๋องเจาเป็นที่รู้กันทั่วเมือง หากตอนนั้นนางไม่ใช้ความตายข่มขู่ อี้กั๋วกงก็ไม่มีวันเห็นด้วยกับการแต่งงานนี้ ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของราชวงศ์ ไม่ว่าอย่างไรต้องสอบสวนให้กระจ่าง“ใครก็ได้ จงปิดตำหนักไท่เหอ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดออกไปจากที่นี่เด็ดขาด หากเรื่องในวันนี้แพร่กระจายออกไปแม้ประโยคเดียว ทุกคนในตำหนักไท่เหอมีโทษประหารชีวิต” คำว่าประหารคำเดียวทำให้ทั้งตำหนักไท่เหอตกอยู่ท่ามกลางเมฆดำปกคลุม ขุนนางทุกคนในท้องพระโรงย่อมเข้าใจว่า คำว่าทุกคนนั้นรวมถึงพวกตนด้วยเช่นกัน “อ๋องเก้า เจ้าไปเอาระเบียนจากสำนัก
ขณะนี้ ทุกคนในราชสำนักต่างคนต่างใจ ต่างคนต่างความคิด เวลานั้น มีขันทีไปเชิญลั่วจิ่วหลีกลับเข้ามา “ลั่วจิ่วหลีรับราชโองการ” ฮ่องเต้ตรัส ลั่วจิ่วหลีคุกเข่า “ลั่วจิ่วหลีกับอ๋องเจาหย่าขาด อ๋องเจาคืนสินเดิมทั้งหมดให้ลั่วจิ่วหลี และจ่ายชดเชยหนึ่งแสนตำลึงเงิน” “สำหรับชายารองอ๋องเจา เยียนทิงเหลียน ติดค้างหลายชีวิต ให้ส่งตัวไปที่เรือนจำกรมอาญา หลังจากการพิจารณาคดีโดยสามศาลสูง[1]และยืนยันหลักฐาน รอประหารหลังฤดูใบไม้ร่วง” “อ๋องเจาเซียวจูมั่ว รับโทษโบยห้าสิบไม้ ตัดเบี้ยหวัดสองปี กักบริเวณในจวนอ๋องเจา” “ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี” ลั่วจิ่วหลีแสดงความขอบคุณ ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นยืนโดยไม่พูดอะไรอีก “เลิกประชุม” ขันทีประกาศเสียงสูง ขุนนางทั้งหมดคุกเข่าลง ร้องตะโกนทรงพระเจริญ ลั่วจิ่วหลีเงยหน้ามองไปที่เซียวหมิงเสวียน เห็นเขาเม้มปาก ใบหน้าสูงส่งหล่อเหลาปกคลุมด้วยชั้นน้ำค้างแข็งหนา ๆ ยืนขึ้นโดยไม่เอ่ยคำใด ทั่วร่างกายไม่มีร่องรอยของความผันผวนทางอารมณ์ หลังจากที่ฮ่องเต้เสด็จออกไป ขันทีก็เดินมาหาอ๋องเก้า “ท่านอ๋องเก้า ฝ่าบาทมีรับ
แต่ยังมีอีกสองคำถามติดอยู่ในใจของนาง ตอนนั้นที่อยู่นอกจวนอ๋องเจา นางยัดเมทแอมเฟตามีนใส่ปากอ๋องเจาหนึ่งเม็ด แต่เมทแอมเฟตามีนไม่มีทางทำให้อ๋องเจาคลุ้มคลั่งแบบนั้นได้ ยังมีคำพูดของอ๋องเจาอีก เขาไม่เคยแตะต้องเจ้าของร่างเดิม และลูกเจ้าของร่างเดิมไม่ใช่ลูกของเขา? ทว่าตอนที่นางสืบทอดความทรงจำของร่างเดิมกลับไม่เห็นภาพอื่นเลย นางหลับตาลง นึกทวบทวนย้อนกลับถึงความทรงจำในสมองให้ถี่ถ้วน สาวใช้ชุนหรงเห็นคุณหนูหลับตาลงก็คิดว่านางง่วงนอนแล้ว ค่อย ๆ เดินเขย่งเท้าปิดประตูแล้วออกจากห้อง จนแล้วจนรอดลั่วจิ่วหลีก็ยังไม่พบผลลัพธ์ที่เฝ้าตามหาในความทรงจำ แต่สัญชาตญาณบอกนางว่า อ๋องเจาอาจพูดความจริง บางที เจ้าของร่างเดิมอาจลืมเรื่องบางอย่างไป ด้านนอกประตู ชุนหรงที่จากไปแล้วก็ย้อนกลับมาด้วยความเร่งรีบ เคาะประตูด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง “คุณหนูเจ้าคะ คนจากจวนอ๋องเจาส่งสินเดิมและเงินหนึ่งแสนตำลึงเงินพร้อมด้วยหนังสือหย่ามาแล้ว ฮูหยินจึงสั่งให้บ่าวมาถามคุณหนูว่า คุณหนูอยากจะดูด้วยตัวเองหรือไม่เจ้าคะ” เพียงได้ยินชื่อจวนอ๋องเจา ลั่วจิ่วหลีย่นคิ้วด้วยความรังเกียจ หันหลังกลับแล้วนอนลง
“ปีศาจ” ลั่วจิ่วหลีทำปากพึมพำไม่มีเสียงเรียกเขาเช่นนั้น ทันใดนั้น ดูเหมือนนางจะตาลายจึงเห็นว่าอ๋องเก้ายกริมฝีปากใส่นางแบบคาดไม่ถึง เป็นไปได้ไหมว่า เขาเห็นปากที่พึมพำของนาง “ฉินอิ่น คุณหนูรองตระกูลลั่วขัดขวางการเดินทางของข้า เชิญไปดื่มชาที่จวนอ๋องเก้าเสียเถอะ” เซียวหมิงเสวียนเปิดปากพูดช้า ๆ น้ำเสียงขรึมเย็นเล็กน้อย ผู้คนทั้งซ้ายขวาก็ตกใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นตัวสั่นสะท้าน ภายในรถม้า ลั่วจิ่วหลียกมือกอดอก ปราศจากอาการตกใจลนลาน นางคิดจะไปหาเขาอยู่แล้ว ไม่สำคัญว่าไปที่ไหน รถม้าทั้งสองคันวกกลับไปจอดหน้าประตูจวนอ๋องเก้าตามลำดับชุนหรงและสารถีกลัวมากจนไม่กล้าหายใจแรง ลั่วจิ่วหลีลงจากรถม้า เงยหน้าขึ้นมอง สิงโตหินแกะสลักสองตัว ประตูทาสีแดงชาด ตัวอักษร ‘จวนอ๋องเจา’ บนป้ายประหนึ่งหงส์เหินล้อลม ราวกับจะแสดงให้ทุกคนเห็นถึงสถานะอันสูงศักดิ์ บัดนี้เซียวหมิงเสวียนก็ลงจากรถม้า สายตาหยุดอยู่ที่ลั่วจิ่วหลี รูปลักษณ์งดงาม ดวงตาปราดเปรื่องคู่หนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อสายตาตกลงไปที่ไฝน้ำตาน่าเอ็นดูใต้หางตาของนาง คิ้วของเขาเลิกขึ้นโดยแทบมองไม่เห็น ทันทีที่องครักษ์เฝ้าประตูเห็นอ
ณ จวนอ๋องเจา นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วจิ่วหลีได้พบอ๋องเจาเซียวจูมั่วอีกครั้งหลังผ่านไปหนึ่งเดือนจวนอ๋องเจาในยามนี้ บริเวณที่ประทับชั้นในถูกไฟไหม้เสียหายหมดแล้วจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในคืนนั้น เคราะห์ดีที่ไฟหยุดแค่บริเวณรับรองแขก ไม่ได้ทำลายจวนอ๋องเจาจนพังพินาศไปทั้งหมด อ๋องเจาถูกกักบริเวณ ชายาเอกขอหย่า ชายารองเข้าคุก ข้ารับใช้ส่วนใหญ่ภายในจวนจึงถูกเลิกจ้าง เหลือคนเก่าคนแก่ไว้ดูแลอ๋องเจาไม่กี่คนเขาในเวลานี้สวมเสื้อคลุมยาวสีม่วงปักลายนกกระเรียนมงกุฎแดง มือซุกอยู่ในแขนเสื้อ ยืนอยู่ที่ตีนบันไดใบหน้าซูบผอมจนดูราวกับว่านกกระเรียนมงกุฎแดงขาเรียวบนทรวงอกเขาสามารถปลิวตามลมไปได้ทุกเมื่อลั่วจิ่วหลีเห็นสภาพเขาเช่นนี้ก็ยังตกใจจนสะดุ้ง“ท่านอ๋อง เขากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”เซียวหมิงเสวียนมองนางแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรเห็นว่านางก็ไม่ได้แสดงออกถึงความเสียใจหรือสงสารใด ๆ เซียวจูมั่วเห็นพวกเขาเดินเข้ามาก็ยิ้มเยาะตัวเองเขาถวายคำนับอ๋องเก้า“เสด็จอาเก้า”“อือ”เซียวหมิงเสวียนตอบรับด้วยเสียงอือเบา ๆแล้วเซียวจูมั่วก็มองไปที่ลั่วจิ่วหลี“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่มาเยี่ยมข้
“ท่านอ๋องเก้า หม่อมฉันอยากไปเรือนจำกลางกรมอาญาเพคะ”เรื่องนี้ นางต้องไปถามเยียนทิงเหลียนให้รู้เรื่องถึงแม้อ๋องเจาจะแต่งกับเจ้าของร่างเดิมเพราะจวนอี้กั๋วกงสามารถสนับสนุนเขาทางการเมืองได้ และต่อให้เขาไม่ชอบเจ้าของร่างเดิมขนาดไหนก็ไม่มีทางโง่จนไปหาคนมาทำให้นางแปดเปื้อน ให้ตัวเองได้ชื่อว่าถูกสวมเขาเช่นนี้เซียวหมิงเสวียนเม้มปาก สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา พูดกับคนนอกรถ“กรมอาญา”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นขานรับรถม้าเลี้ยวไปทางกรมอาญาเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา เสียงฉินอิ่นก็ดังมาจากนอกรถม้าอีกครั้ง“นายท่าน ถึงกรมอาญาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เซียวหมิงเสวียนยื่นมือออกไป ขณะกำลังจะออกจากรถม้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งร้อนสับสน และยังมีเสียงตะโกนแข็งกร้าวของผู้ชาย“เร็ว เร็วเข้า รีบไปหา ถ้ายังมีชีวิตต้องเห็นคน ตายแล้วต้องเห็นศพ”ลั่วจิ่วหลีที่นั่งอยู่ในรถม้าใจเต้นรัวขึ้นมาตาขวาก็กระตุกสองครั้ง“เจ้ารออยู่ในรถ”เซียวหมิงเสวียนสั่งทิ้งไว้แล้วก้าวออกไปจากรถม้าอย่างรวดเร็วลั่วจิ่วหลีกำหมัดแน่น ไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก แต่ทำไมนางรู้สึกใจไม่สงบเลยเล่า?นางแหวกม่านรถม้าออก เห็นว่าด้านนอกม
ผู้บังคับการร่างใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ สะดุ้งตกใจเพราะน้ำเสียงของลั่วจิ่วหลีไปถามดูทั้งเมืองหลวงดูก็ได้ว่ามีใครกล้าพูดแบบนี้กับท่านอ๋องเก้าผู้หญิงคนนี้ เห็นทีจะบ้าไปแล้วเซียวหมิงเสวียนทำหน้าเข้ม กล่าวอย่างเย็นชาว่า“ต้องการอะไรบ้าง?”เขาก็รู้ว่าพัศดีคนนี้เป็นพยานปากเอก ถ้ามีทางช่วยให้รอดได้ก็จะไม่มีทางปล่อยให้เขาตาย“ห้องส่วนตัว น้ำอุ่น ผ้าพันแผล ยาห้ามเลือด”“ไป เตรียมให้พร้อมเดี๋ยวนี้”เซียวหมิงเสวียนมองไปที่ผู้บังคับการคนนั้น“พ่ะย่ะค่ะ”ผู้บังคับการไม่กล้าเมินเฉยต่อท่านอ๋องเก้า แต่สายตาที่มองลั่วจิ่วหลีกลับเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงลั่วจิ่วหลีไม่มองเขา ลุกขึ้นยืนมีคนใช้เปลหามยกพัศดีคนนั้นไปที่ห้องเงียบ ๆ ที่อยู่ไกล ๆ ห้องหนึ่งหลังจากนั้น น้ำอุ่น ผ้าพันแผลและยาห้ามเลือดก็ถูกส่งเข้ามา“เอาละ พวกเจ้าออกไปให้หมดเถอะ”“ตอนที่ข้ารักษาอยู่ หวังว่าจะไม่มีใครเข้ามารบกวนในห้อง”ขณะที่พูด เสียงปิดประตูปังก็ดังขึ้นนอกประตูผู้บังคับการมองประตูที่ปิดสนิทแล้วก็มองสีหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์ใด ๆ ของเซียวหมิงเสวียน“ท่านอ๋อง นี่?”เซียวหมิงเสวียนไม่ขยับ มือไพล่หลัง ตาจ้องไปที่ประต
แค่เพราะว่านางเป็นบุตรสาวของอี้กั๋วกงเท่านั้นหรือ? หรือเพราะมีอ๋องเก้าคอยสนับสนุน?ส่วนเหตุผลอื่น ๆ ลั่วจิ่วหลีไม่ได้ถามอย่างละเอียด เซียวหมิงเสวียนเองก็ไม่ได้เล่าอย่างละเอียดเช่นกันเมื่อก้าวเข้าประตูตำหนักกานเฉวียนก็ได้ยินร้องไห้สะอึกสะอื้นแว่วดังมาจากในตำหนักลั่วจิ่วหลีจิตใจเขม็งเกลียว หันหน้ากลับไปมองเซียวหมิงเสวียนเซียวหมิงเสวียนสีหน้าเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ชายเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำขลับของเขาปลิวไสวลั่วจิ่วหลีนึกทึ่ง เป็นคนหน้าตาดุร้ายเย็นชาแบบนี้ หูปิงอวี้คิดไม่ตกขนาดไหนกันถึงได้ชอบเขา นี่จะต่างอะไรกับการใช้ชีวิตอยู่กับก้อนน้ำแข็งงั้นหรือ?“มองข้าทำไม? ยังไม่รีบเข้าไปอีก?”ลั่วจิ่วหลีร้องเชอะทีหนึ่ง“ท่านอ๋อง ข้ามามือเปล่า ไม่มีกล่องยา เข้าไปรอให้ถูกฝ่าบาทบั่นคอหรืออย่างไร?”เซียวหมิงเสวียนก้าวลงจากขั้นบันได“เข้าไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจ้าช่วยเหลือทุกวิถีทางเท่าที่สามารถทำได้”ลั่วจิ่วหลีเดินตามไปติด ๆ ใจอยากถามเขาเหลือเกินว่า เขาบอกฮ่องเต้เรื่องที่นางรู้วิชาแพทย์ใช่หรือไม่แต่ยังไม่ทันได้ถามออกไปก็เห็นบางสิ่งเล็ก ๆ สีขาวพุ่งออกมาจากประตูลั่วจิ่วหลียังไม่ทันมองอย่า
แม้แต่หูปิงอวี้ที่แสร้งทำตัวน่าสงสารมาตลอด ยังเดินตามออกมาโดยมีนางกำนัลประคองเอาไว้เช่นกันฮ่องเต้พยายามสงบสติอารมณ์ มองไปรอบ ๆ สายตาไปหยุดที่ลั่วจิ่วหลี“ลั่วจิ่วหลี เจ้าตามเราไปที่ตำหนักกานเฉวียน”ในระหว่างที่พูดก็สาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็วทุกคนตื่นตะลึง ฝ่าบาทให้ลั่วจิ่วหลีไปที่ตำหนักกานเฉวียนทำไม แต่ในเวลานี้ ใครเลยจะกล้าถาม สาวเท้าเดินตามฝ่าบาทไปโดยไม่รู้ตัวลั่วจิ่วหลียังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แขนก็ถูกคนจับเอาไว้“ท่านปล่อย...”เมื่อนางหันหน้ากลับไปมองก็เผชิญหน้ากับสีหน้าเย็นยะเยือกของเซียวหมิงเสวียนผู้ที่หันกลับมาในเวลาเดียวกันยังมีหูปิงอวี้ที่มีนางกำนัลประคองเอาไว้อีกคนเมื่อหูปิงอวี้เห็นเซียวหมิงเสวียนจับแขนของลั่วจิ่วหลี ร่างกายก็แข็งทื่อไปทันทีเขาแตะตัวนาง เขาไม่เคยแตะต้องสตรีใดมาก่อนเห็นอยู่ชัด ๆ ว่า เมื่อครู่นี้ตอนที่อยู่ในศาลา สายตาเขาที่มองลั่วจิ่วหลียังเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ เหตุใดเพียงชั่วพริบตา เขากลับจับแขนนางแพศยานั่นนี่เป็นไปได้อย่างไร?เป็นไปได้อย่างไร!เขาเป็นของนาง บนโลกใบนี้ผู้หญิงที่คู่ควรกับเขามีเพียงนางเท่านั้น!หูปิงอวี้โกรธจนกำมือทั้งส
ลั่วจิ่วหลีแค่นเสียงเฮอะ“แน่จริงก็เจ้าอย่าตัดบทข้าพูดความจริงสิ เป็นเพราะร้อนตัวใช่หรือไม่”ลั่วจิ่วหลีพูดจาตรงไปตรงมา ไม่ไว้หน้าเลยสักนิด ไม่เพียงไม่ไว้หน้า ยังตั้งใจจะตอบโต้คนเหล่านี้หนัก ๆ อีกด้วยเดิมทีฮ่องเต้อยากจะถามให้ชัดเจน ตอนนี้ ไม่ต้องถามเลยด้วยซ้ำ เขาก็เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว“อ๋องเก้า”“เสด็จพี่”เซียวหมิงเสวียนก้าวไปข้างหน้า ใบหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง“ส่งคุณหนูรองตระกูลลั่วออกนอกวังหลวง”“พ่ะย่ะค่ะ”เซียวหมิงเสวียนมองลั่วจิ่วหลีแวบหนึ่งด้วยความโมโหลั่วจิ่วหลีถือโอกาสหันหน้าไปมองหูปิงอวี้ ผู้หญิงคนนี้ช่างมารยาเสียจริง ๆ ผ่านมานานขนาดนี้แล้วยังขดตัวอยู่ในอ้อมแขนหูกุ้ยเฟย ริมฝีปากสั่นระริก กระอักกระไอพลางร้องไห้ ท่าทางน่าเวทนาจนถึงที่สุด“ฝ่าบาท หม่อมฉันยังพูดไม่จบเพคะ เป็นหูปิง...”“ลั่วจิ่วหลี เจ้าหุบปาก รีบตามข้าออกจากวังหลวงเดี๋ยวนี้”เซียวหมิงเสวียนพยายามควบคุมโทสะของตนเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถแล้วในวังหลวง อันตรายรอบด้าน อุปนิสัยตรงไปตรงมาของนางไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้เลย ยิ่งไม่สามารถสั่นคลอนหูกุ้ยเฟยได้เลยแม้แต่น้อย รังแต่จะทำให้หูกุ้ยเ
หูปิงอวี้เริ่มจากทำตัวสั่นระริกแล้วถลาเข้าไปในอ้อมแขนของหูกุ้ยเฟย จากนั้นก็หลั่งน้ำตาด้วยท่าทีน่าสงสาร สุดท้ายก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วเริ่มฟ้องร้อง“ใช่เพคะ เป็นเพราะคุณหนูรองตระกูลลั่วไม่รับคำขอโทษของหม่อมฉัน ไม่เพียงตบหน้าหม่อมฉัน ยังผลักหม่อมฉันลงไปในทะเลสาบอีกด้วยเพคะ”“อาหญิง ฝ่าบาท ฝ่าบาทได้โปรดมอบความเป็นธรรมให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”นางหลุบตาก้มหน้าเล็กน้อย ราวกับกวางน้อยตกใจ น้ำตารื้นเต็มเบ้าตา ดวงตาทั้งสองข้างมองอ๋องเก้าเซียวหมิงเสวียนแวบหนึ่งราวกับไม่ได้ตั้งใจเมื่อเห็นว่าเซียวหมิงเสวียนไม่ได้เป็นห่วงลั่วจิ่วหลีมากเท่าไหร่ จึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาเมื่อทุกคนได้ยินว่าลั่วจิ่วหลีทำร้ายหูปิงอวี้ก็มีสีหน้าประหลาดใจ ต่างพากันหันไปมองหน้าของหญิงสาวทั้งสองคนเป็นไปตามคาด ใบหน้าฝั่งนึ่งของหูปิงอวี้แม้จะเปียกน้ำ แต่ยังคงสามารถมองเห็นรอยฝ่ามือสีแดงนั่นได้“ฮัดชิ้ว ๆ”ลั่วจิ่วหลีกระชับเสื้อคลุม จามสองครั้งติดต่อกัน ขดตัว เสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย“ข้าว่านะหูปิงอวี้ ก่อนจะโกหกช่วยเขียนร่างสักหน่อยได้หรือไม่? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เก่งมาจากไหน ถึงคู่ควรให้ข้าผลักเจ้าตกน้ำ”“อีกอย่าง หยุดทำ
“ลั่วจิ่วหลี เจ้ามันนางแพศยา”ข้อมือหูปิงอวี้ตวัดวูบ ทันใดนั้นก็มีกริชเล่มหนึ่งสะท้อนแสงออกมา จู่โจมเข้าหาดวงตาของลั่วจิ่วหลีด้วยความรวดเร็วและรุนแรงลั่วจิ่วหลีดวงตาเบิกกว้าง คิดในใจว่าหูปิงอวี้รู้วรยุทธ์ด้วยหรือนี่ แต่ดูจากท่าทางของนางเหมือนกับว่าวรยุทธ์ไม่ได้สูงส่ง นางยังพอรับมือได้ถอยหลังกรูดไปหลายก้าว เอียงศีรษะหลบการลอบสังหารของนาง มืออีกข้างกางนิ้วทั้งห้าเป็นกรงเล็บหมาป่าขย้ำข้อมือของหูปิงอวี้เอาไว้แล้วออกแรงกริชในมือหูปิงอวี้ตกลงบนพื้นดังแกร๊งพร้อมกับอาการเจ็บจนชาหนึบ แล้วถูกลั่วจิ่วหลีเตะกระเด็นตกลงไปในทะเลสาบเห็นได้ชัดว่า หูปิงอวี้เองก็คิดไม่ถึงว่าลั่วจิ่วหลีจะเป็นวรยุทธ์เช่นเดียวกันนางอ่อนแอบอบบางขนาดนั้นแท้ ๆ ทั้งยังขี้ขลาดหัวอ่อน นางเป็นวรยุทธ์ด้วยหรือนี่ในเวลานี้ ทั้งสองคนได้ต่อสู้กันแล้ว คนนี้จับแขน คนนั้นขับข้อมือ คนนี้ขัดขาซ้าย คนนั้นขัดขาขวา“ไปตายเสียเถอะ”หูปิงอวี้เอ่ยเสียงกร้าวพร้อมกับลากลั่วจิ่วหลีลงไปในทะเลสาบตูม!ระลอกคลื่นสาดซัดบนผิวทะเลสาบ เสียงดังโครมครามนี้ทำให้ฝูงชนเดินเข้ามาด้วยความตื่นตกใจ“คุณหนูรองตระกูลลั่วตกน้ำแล้ว”“พี่สาวข้าก็อยู่
“ลั่วจิ่วหลี มีประโยคหนึ่งที่น้องสาวของข้ากล่าวได้ถูกต้อง เจ้าสูญเสียความบริสุทธิ์แล้ว ทั้งยังเป็นแม่ม่ายผัวร้างที่เคยแท้งลูก ไม่มีสิทธิ์ที่จะใกล้ชิดกับอ๋องเก้าขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำ”ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ ลั่วจิ่วหลีก็พลันเข้าใจแล้ว ตัวการที่แท้จริงในวันนี้คือนางชาเขียว[1]ที่เปลือกนอกดูบริสุทธิ์เรียบร้อยไร้พิษภัย แต่ความจริงทะเยอทะยานเกินใครผู้นี้เอง“ดูท่าข่าวลือที่แพร่สะพัดตามท้องตลาดจะเป็นความจริง คุณหนูใหญ่ตระกูลหูชอบพอท่านอ๋องเก้า”“แต่น่าเสียดายที่เป็นการรักเขาข้างเดียว คุณหนูใหญ่ตระกูลหูไม่กล้าไประบายความโกรธใส่เจ้าตัว จึงมารังแกคนที่อ่อนแอกว่า”ในระหว่างที่ลั่วจิ่วหลีกำลังพูดก็ขยับข้อมือเล็กน้อย“ก่อนที่คุณหนูใหญ่ตระกูลหูจะลงมือ คงจะต้องคิดให้ดีเสียก่อนว่า ถ้าแตะต้องข้า จวนอี้กั๋วกงจะยอมรามือหรือไม่?”หูปิงอวี้เลิกคิ้ว แสยะยิ้ม เดินเข้ามากล่าวเสียงเบา“แตะต้องเจ้าแล้วจะทำไม? โลกภายนอกก็คงจะมองว่าเป็นเด็กสาวสองคนริษยากันเท่านั้น หรือว่าท่านพ่อไร้การศึกษานั่นของเจ้าจะกล้าลงมือกับข้าอย่างนั้นหรือ”“หึ! ลั่วจิ่วหลี ข้ารู้มาตลอดว่าวิธีการของเจ้านั้นยอดเยี่ยม ตอนเทียวไล้เทียวข
หูหานอวี้ยิ้มอย่างดูถูก“ก็เจ้าไงละ ข้าพูดว่าเจ้าไร้ยางอาย เพิ่งจะถูกญาติผู้พี่ปลดก็เข้าออกจวนอ๋องเก้าทันที”“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? ก็เป็นแค่ภรรยาที่ถูกญาติผู้พี่ของข้าทอดทิ้ง เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเกาะท่านอ๋องเก้าผู้มีอำนาจสูงส่งได้แล้วก็จะสามารถทำตัวไม่เห็นหัวผู้อื่นแบบนี้ได้”ลั่วจิ่วหลีเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงว่าหูหานอวี้จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นท่านอ๋องเก้า จึงแอบประหลาดใจเล็กน้อยนางหันไปมองหูปิงอวี้อย่างไม่ตั้งใจ เห็นหูปิงอวี้นั่นก้มหน้าด้วยสีหน้าสงบเสงี่ยม นิ้วมือเรียวยาวทั้งสองข้างเล่นถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือ มุมปากอมยิ้มส่วนหูกุ้ยเฟย สงบนิ่งเยือกเย็น ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ราวกับว่านางก็คือนายหญิงผู้อยู่เบื้องหลังคอยชักใยบังคับทิศทางผู้นั้น“เฮอะ!”ลั่วจิ่วหลีแสยะยิ้มในใจ ดูท่า นี่ถึงจะเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่หูกุ้ยเฟยเรียกนางเข้าวังหลวงคำดูถูกเหยียดหยามและความทุกข์ยากลำบากที่เจ้าของร่างเดิมเคยได้รับตอนอยู่ที่จวนอ๋องเจา ถูกอ๋องเจากับเยียนทิงเหลียนทอดทิ้งให้เผชิญยถากรรมด้วยตนเองในเรือน ถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณจนตายทั้งกลม เรื่องทั้งหมด หูกุ้ยเฟยล้วนไม่เห็นแต่เรื่องเหลวไหลที
“หานอวี้ พูดจาเหลวไหลอะไร”หูปิงอวี้ค่อย ๆ สาวเท้าเดินเข้ามา กล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าเคยพูดกี่ครั้งแล้ว ข่าวลือที่แพร่อยู่ข้างนอกไม่เป็นความจริง ทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อฟังอยู่เรื่อย! ยิ่งไปกว่านั้น เมืองหลวงกว้างใหญ่ขนาดนี้ ทุกคนเจอกันบ่อย ๆ อย่าทำให้เกิดความแค้นเพราะเรื่องที่ไม่มีหลักฐานเลย”“คุณหนูรองตระกูลลั่ว น้องสาวของข้าอายุยังน้อย ไม่รู้ความ คุณหนูรองตระกูลลั่วได้โปรดอย่าถือสาหาความนางเลย”ลั่วจิ่วหลีหันหน้าไปทางนาง หูปิงอวี้หลุบตาที่สดใสเปล่งประกายลง ประกายในดวงตานั้น นางมองปราดเดียวก็สัมผัสได้ถึงความเสแสร้งมารยาเสแสร้ง มารยาสาไถย ธาตุแท้ส่งกลิ่นออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งนอกจากนี้ ความคิดล้ำลึก ดูเหมือนว่ากำลังกล่าวขอโทษ แต่อันที่จริงไม่เปิดโอกาสให้ลั่วจิ่วหลีพูด หันหลังกลับไปประคองหูกุ้ยเฟยกล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน“อาหญิงเหนื่อยแล้วกระมัง ในศาลามีชาดอกพุดตานที่ชงเสร็จแล้วอยู่พอดี อาหญิงพักผ่อนเสียหน่อย จิบชาให้ชุ่มคอ”หูกุ้ยเฟยยิ้มบาง ๆ เหลือบตามองลั่วจิ่วหลีอย่างไม่อบอุ่นและไม่เย็นชา“คุณหนูรองตระกูลลั่ว วันนี้เข้าวังหลวงมาอย่างหาได้ยาก มาลองชิมชาดอกพุดตานที่ข้
หูหานอวี้ อายุสิบห้าปี หลานสาวแท้ ๆ ของหูกุ้ยเฟย อย่ามองว่านางมีอายุเพียงแค่สิบห้าปี แต่อุปนิสัยอวดดีซึ่งต่างจากอาหญิงมากโข เป็นผู้มีนิสัยเผด็จการอันดับหนึ่งในแวดวงสตรีชั้นสูงแห่งเมืองหลวงนางยังมีพี่สาวอีกคนนามว่า หูปิงอวี้ อายุสิบเก้าปี ยังไม่แต่งงานแล้วก็ไม่ได้ดูตัวเช่นกัน ได้ยินคนนอกพูดว่าเป็นเพราะกำลังรอท่านอ๋องเก้า ในความทรงจำของลั่วจิ่วหลีไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับหูปิงอวี้มากนักทันทีที่หูหานอวี้ได้ยินก็หันไปพ่นลมหายใจอย่างเยาะหยันใส่ลั่วจิ่วหลี“ก็แค่คนที่ถูกญาติผู้พี่ของข้าเบื่อหน่าย อาศัยอำนาจของจวนอี้กั๋วกง คิดว่าตัวเองมีอำนาจมากนักงั้นรึ?”ลั่วจิ่วหลีเหลือบมองนางแวบหนึ่ง“เจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่า พวกเราต่างเบื่อหน่ายซึ่งกันและกัน”“อีกอย่าง การมีอำนาจไม่ดีหรือ? เจ้าก็อาศัยอำนาจของกุ้ยเฟยผู้เป็นอาหญิงมาวางอำนาจบาตรใหญ่เหมือนกันไม่ใช่รึ?”“เจ้า...“ดวงตาเมล็ดซิ่งของหูหานอวี้เบิกกว้าง อ้าปากกำลังจะด่าก็ได้ยินเสียงอาหญิงของตนเองดังมาจากทางด้านหลัง“การมีอำนาจไม่มีอะไรไม่ดี แต่การอวดดีเกินไป ไม่เห็นใครอยู่ในสายตานั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไร”ท่ามกลางดงดอกพุดตาน สตรีท่าทางสง่าง