Share

บทที่ 13

ขณะนี้ ทุกคนในราชสำนักต่างคนต่างใจ ต่างคนต่างความคิด

เวลานั้น มีขันทีไปเชิญลั่วจิ่วหลีกลับเข้ามา

“ลั่วจิ่วหลีรับราชโองการ”

ฮ่องเต้ตรัส

ลั่วจิ่วหลีคุกเข่า

“ลั่วจิ่วหลีกับอ๋องเจาหย่าขาด อ๋องเจาคืนสินเดิมทั้งหมดให้ลั่วจิ่วหลี และจ่ายชดเชยหนึ่งแสนตำลึงเงิน”

“สำหรับชายารองอ๋องเจา เยียนทิงเหลียน ติดค้างหลายชีวิต ให้ส่งตัวไปที่เรือนจำกรมอาญา หลังจากการพิจารณาคดีโดยสามศาลสูง[1]และยืนยันหลักฐาน รอประหารหลังฤดูใบไม้ร่วง”

“อ๋องเจาเซียวจูมั่ว รับโทษโบยห้าสิบไม้ ตัดเบี้ยหวัดสองปี กักบริเวณในจวนอ๋องเจา”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”

ลั่วจิ่วหลีแสดงความขอบคุณ

ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นยืนโดยไม่พูดอะไรอีก

“เลิกประชุม”

ขันทีประกาศเสียงสูง

ขุนนางทั้งหมดคุกเข่าลง ร้องตะโกนทรงพระเจริญ

ลั่วจิ่วหลีเงยหน้ามองไปที่เซียวหมิงเสวียน เห็นเขาเม้มปาก ใบหน้าสูงส่งหล่อเหลาปกคลุมด้วยชั้นน้ำค้างแข็งหนา ๆ ยืนขึ้นโดยไม่เอ่ยคำใด ทั่วร่างกายไม่มีร่องรอยของความผันผวนทางอารมณ์

หลังจากที่ฮ่องเต้เสด็จออกไป ขันทีก็เดินมาหาอ๋องเก้า

“ท่านอ๋องเก้า ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม”

อ๋องเก้ายืนเอามือไพล่หลัง ตอบรับอืมเบา ๆ แล้วเดินตามขันทีไปที่ห้องทรงพระอักษร

ในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ทรงถือระเบียนเล่มหนึ่งอยู่

เห็นอ๋องเก้าเดินเข้ามา จึงยื่นระเบียนให้เขา

อ๋องเก้าก้มหน้ามอง ด้านบนเขียนว่าบันทึกการตรวจร่างกายก่อนลั่วจิ่วหลีแต่งงานเข้าจวนอ๋องเจา

“ลั่วจิ่วหลีแต่งงานเข้าจวนอ๋องเจาด้วยร่างกายที่บริสุทธิ์”

“ดูเหมือนว่าเพียงเพื่อชายารองของเขาผู้นั้น อ๋องเจาไม่คำนึงถึงชื่อเสียงของตน แม้แต่เกียรติของราชวงศ์ก็ไม่สนใจแล้ว”

อ๋องเก้าค่อย ๆ วางระเบียนลง พลางเอ่ย

“ได้ยินว่าชายารองอ๋องเจาเคยช่วยชีวิตอ๋องเจาในสมรภูมิหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ฮ่องเต้พยักหน้า

“อืม เพราะนางเคยช่วยชีวิตอ๋องเจาเอาไว้ อ๋องเจาจึงให้นางรับผู้ดูแลหน่วยพิธีกรรมเป็นบิดาบุญธรรมเพื่อมอบตัวตนให้นาง แล้วรับนางเข้าจวนอ๋องพร้อมกันในวันอภิเษก”

“แล้วเสด็จพี่ทรงจำได้หรือไม่ ครานั้นอ๋องเจาเผชิญหน้ากับผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ?”

ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นทันใด ดูเหมือนได้กลิ่นอะไรขึ้นมา

“แคว้นซางหนาน”

“น้องเก้าหมายถึง?”

อ๋องเก้าพยักหน้า

“บุรุษแคว้นซางหนานส่วนใหญ่เรียนพิษกู่[2] สตรีส่วนใหญ่ฝึกฝนมนตร์เสน่ห์ จู่ ๆ อ๋องเจาก็คลุ้มคลั่ง ดูไม่ปกติเลยพ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าฮ่องเต้เย็นเยียบสุดขีด หว่างคิ้วมื้ดครึ้ม

“ตรวจสอบ ไปตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเจ้าเอง ถ้าเป็นตามที่พวกเราสงสัยจริง ๆ คงไม่มีแค่นางคนเดียวที่แฝงตัวเข้าเมืองหลวง”

“เสด็จพี่วางพระทัยได้ คนเหล่านี้ไม่สามารถหลบหนีได้แม้สักคนเดียว”

รังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาทั่วร่างอ๋องเก้า ราวกับยมทูตที่มาจากขุมนรก

......

เวลาเพียงหนึ่งวัน เรื่องที่ลั่วจิ่วหลีตีกลองร้องทุกข์และฟ้องร้องอ๋องเจากลางตำหนักไท่เหอถูกวิจารณ์กันเกรียวกราวทั่วเมือง

โดยเฉพาะเรื่องที่ฝ่าบาทมีพระราชโองการให้ลั่วจิ่วหลีกับอ๋องเจาหย่าขาด อ๋องเจาต้องคืนสินเดิมทั้งหมดให้ลั่วจิ่วหลีและจ่ายชดเชยให้ลั่วจิ่วหลีหนึ่งแสนตำลึงเงิน กลายเป็นหัวข้อสนทนายามว่างหลังมื้ออาหารของคนในเมืองหลวง

แน่นอนว่า ในบรรดาคนเหล่านี้มีบางคนรู้สึกสาแก่ใจ

คิดว่าพฤติกรรมแบบอ๋องเจาที่หลงใหลอนุจนละเลยภรรยาและสังหารลูกในไส้สมควรได้รับการลงโทษ

แต่บางคนก็มองเป็นเรื่องขำขัน มองเป็นเรื่องตลกของอ๋องเจา และมองเป็นเรื่องขำขันของลั่วจิ่วหลีด้วย...

ส่วนที่ว่าเหตุใดฮ่องเต้ไม่มอบเยียนทิงเหลียนชายารองอ๋องเจาให้ลั่วจิ่วหลีลงโทษเอง แต่กลับส่งตัวไปที่เรือนจำกรมอาญารอรับโทษประหารหลังจากคดีได้รับการตรวจสอบยืนยันโดยสามศาลสูงแล้ว

มีการคาดเดาในหมู่ราษฎร สิ่งที่พูดถึงมากที่สุดคือฮ่องเต้ต้องการใช้สถานการณ์นี้เป็นตัวอย่างแก่เหล่าขุนนาง

ขุนนางเหล่านี้ เรือนหลังของใครบ้างไม่มีสตรีหน้าตางดงามเป็นโขยง หากทุกคนเลียนแบบพฤติกรรมของอ๋องเจา หลงใหลอนุละเลยภรรยา ไม่แยกแยะเรื่องทายาทสายตรง

แบบนั้นแคว้นฉางหนิงคงจะตกอยู่ในความไร้ระเบียบแบบแผน กลองร้องทุกข์นอกประตูพระราชวังคงจะถูกตีทุกวันกระมัง

นี่จึงเป็นการส่งสารจากฮ่องเต้ถึงเหล่าขุนนางทางอ้อม เลือกภรรยาเลือกคุณธรรม รับอนุเพื่อกามตัณหา แต่อย่าหลงระเริงจนใจมืดบอดเด็ดขาด

ถึงตอนนั้น พวกเขาจะอับอายเสียเอง และพวกเขาจะถูกลงโทษอย่างหนักอีกด้วย

เหล่าขุนนางก็แอบจดจำดำริของฮ่องเต้ไว้ในใจเช่นกัน

ยังต้องขอบคุณที่ลั่วจิ่วหลีก่อปัญหาเช่นนี้ด้วย จึงทำให้สถานะและความสำคัญของเหล่าภรรยาเอกในเมืองหลวงพุ่งสูงขึ้น

ลั่วจิ่วหลีกลายเป็นบุคคลที่ภรรยาเอกเหล่านี้ขอบคุณเทิดทูนไปโดยไม่รู้ตัว

ในส่วนของลั่วจิ่วหลีนั้น บัดนี้กึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงในเรือนฝูชวีของจวนอี้กั๋วกง ระหว่างที่คนป้อนโจ๊กรังนกให้ก็ฟังสาวใช้บอกเล่าถึงเรื่องข้างนอกด้วย

นับตั้งแต่ตีกลองร้องทุกข์ เวลาล่วงเลยผ่านมาห้าวันแล้ว

ตั้งแต่ลั่วจิ่วหลีออกจากพระราชวังก็ไม่ได้กลับไปที่จวนอ๋องเจา แต่กลับมาที่จวนอี้กั๋วกงโดยตรง

เดิมเรือนฝูชวีก็เป็นที่พักอาศัยของเจ้าของร่างเดิมก่อนออกเรือน หลังแต่งงาน สถานที่แห่งนี้จึงถูกทิ้งว่างไว้

กั๋วกงฮูหยินมอบหมายให้คนมาทำความสะอาดทุกวัน ไม่ปล่อยให้ฝุ่นจับที่นี่แม้แต่น้อย

“ในวันนั้นอ๋องเจาถูกทหารรักษาพระราชวังล้อมปราบและส่งไปรับโทษที่สำนักกิจการราชวงศ์เลยหรือ?”

“เจ้าค่ะ”

สาวใช้ชื่อชุนหรง อายุเพียงสิบห้าปี นางคลอดในจวนอี้กั๋วกง มารดาของนางคือสวีหมัวมัวที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายอี้กั๋วกงฮูหยิน แม้ว่าชุนหรงมีอุปนิสัยซื่อ ๆ ไปหน่อย แต่ถ้าได้รับใช้ใครจะทุ่มเททั้งกายใจ ซื่อสัตย์ภักดี ไม่มีเจตนาชั่วร้าย นั่นเป็นเหตุผลที่นางถูกส่งมาอยู่ข้างกายลั่วจิ่วหลี

“เจ้าคนสมควรตายผู้นั้น โทษโบยห้าสิบไม้ยังเอาชีวิตเขาไม่ได้ น่าโมโหนักเจ้าค่ะ”

ลั่วจิ่วหลีกินโจ๊กรังนก ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าใด ๆ

“จะพูดอย่างไร เขาก็เป็นท่านอ๋อง เจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์ย่อมรู้ดีแก่ใจ พวกเขาไม่กล้าตีให้เขาตาย เขาก็ไม่ตายหรอก”

“แล้วเยียนทิงเหลียนคนนั้นเล่า?”

ชุนหรงตอบ

“ได้ยินว่าอยู่ที่เรือนจำกรมอาญาเจ้าค่ะ”

ลั่วจิ่วหลีพยักหน้า มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดมิด มืดจนมองไม่เห็นอะไรเลย

ถึงแม้ว่าตอนนี้นางปลอดภัยแล้ว หย่าขาดกับอ๋องเจาแล้วก็ตามที

--------------------------------------------

[1] สามศาลสูง ได้แก่ ศาลต้าหลี่ กรมอาญาและฝ่ายตรวจการ

[2] พิษกู่ คือ พิษซึ่งได้มาจากสัตว์พิษตามความเชื่อทางภาคใต้ของประเทศจีน

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status