“ท่านอ๋องเก้า หม่อมฉันอยากไปเรือนจำกลางกรมอาญาเพคะ”เรื่องนี้ นางต้องไปถามเยียนทิงเหลียนให้รู้เรื่องถึงแม้อ๋องเจาจะแต่งกับเจ้าของร่างเดิมเพราะจวนอี้กั๋วกงสามารถสนับสนุนเขาทางการเมืองได้ และต่อให้เขาไม่ชอบเจ้าของร่างเดิมขนาดไหนก็ไม่มีทางโง่จนไปหาคนมาทำให้นางแปดเปื้อน ให้ตัวเองได้ชื่อว่าถูกสวมเขาเช่นนี้เซียวหมิงเสวียนเม้มปาก สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา พูดกับคนนอกรถ“กรมอาญา”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นขานรับรถม้าเลี้ยวไปทางกรมอาญาเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา เสียงฉินอิ่นก็ดังมาจากนอกรถม้าอีกครั้ง“นายท่าน ถึงกรมอาญาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เซียวหมิงเสวียนยื่นมือออกไป ขณะกำลังจะออกจากรถม้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งร้อนสับสน และยังมีเสียงตะโกนแข็งกร้าวของผู้ชาย“เร็ว เร็วเข้า รีบไปหา ถ้ายังมีชีวิตต้องเห็นคน ตายแล้วต้องเห็นศพ”ลั่วจิ่วหลีที่นั่งอยู่ในรถม้าใจเต้นรัวขึ้นมาตาขวาก็กระตุกสองครั้ง“เจ้ารออยู่ในรถ”เซียวหมิงเสวียนสั่งทิ้งไว้แล้วก้าวออกไปจากรถม้าอย่างรวดเร็วลั่วจิ่วหลีกำหมัดแน่น ไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก แต่ทำไมนางรู้สึกใจไม่สงบเลยเล่า?นางแหวกม่านรถม้าออก เห็นว่าด้านนอกม
ผู้บังคับการร่างใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ สะดุ้งตกใจเพราะน้ำเสียงของลั่วจิ่วหลีไปถามดูทั้งเมืองหลวงดูก็ได้ว่ามีใครกล้าพูดแบบนี้กับท่านอ๋องเก้าผู้หญิงคนนี้ เห็นทีจะบ้าไปแล้วเซียวหมิงเสวียนทำหน้าเข้ม กล่าวอย่างเย็นชาว่า“ต้องการอะไรบ้าง?”เขาก็รู้ว่าพัศดีคนนี้เป็นพยานปากเอก ถ้ามีทางช่วยให้รอดได้ก็จะไม่มีทางปล่อยให้เขาตาย“ห้องส่วนตัว น้ำอุ่น ผ้าพันแผล ยาห้ามเลือด”“ไป เตรียมให้พร้อมเดี๋ยวนี้”เซียวหมิงเสวียนมองไปที่ผู้บังคับการคนนั้น“พ่ะย่ะค่ะ”ผู้บังคับการไม่กล้าเมินเฉยต่อท่านอ๋องเก้า แต่สายตาที่มองลั่วจิ่วหลีกลับเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงลั่วจิ่วหลีไม่มองเขา ลุกขึ้นยืนมีคนใช้เปลหามยกพัศดีคนนั้นไปที่ห้องเงียบ ๆ ที่อยู่ไกล ๆ ห้องหนึ่งหลังจากนั้น น้ำอุ่น ผ้าพันแผลและยาห้ามเลือดก็ถูกส่งเข้ามา“เอาละ พวกเจ้าออกไปให้หมดเถอะ”“ตอนที่ข้ารักษาอยู่ หวังว่าจะไม่มีใครเข้ามารบกวนในห้อง”ขณะที่พูด เสียงปิดประตูปังก็ดังขึ้นนอกประตูผู้บังคับการมองประตูที่ปิดสนิทแล้วก็มองสีหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์ใด ๆ ของเซียวหมิงเสวียน“ท่านอ๋อง นี่?”เซียวหมิงเสวียนไม่ขยับ มือไพล่หลัง ตาจ้องไปที่ประต
“ใช้เวลานานเท่าไรเขาถึงจะเข้าเมืองหลวง?”เซียวหมิงเสวียนส่ายหัว“ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ แล้วแต่อารมณ์เขา” คำพูดนี้ทำให้ฮ่องเต้ทรงพิโรธจนหัวเราะ“นิสัยประหลาดจริง ๆ ขนาดท่านอ๋องเทพสงครามแห่งราชวงศ์ฉางหนิงของเราเชิญยังต้องดูอารมณ์อีกด้วย”“ช่างเถอะ เราก็ใช้สถานะกดดันคนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฮัวหลานโจวนั่นก็อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง”“ช่างเถอะ ช่างเถอะ รอไปแล้วกัน”“ปล่อยให้อ๋องเจาทนลำบากไปอีกสักพัก ให้เขาหลาบจำเสียบ้างก็ดีเหมือนกัน”เซียวหมิงเสวียนทำมือเตรียมถวายคำนับ น้ำเสียงราบเรียบ“เสด็จพี่ยังทรงมีธุระอื่นอีกไหมพ่ะย่ะค่ะ? หากไม่มี กระหม่อมก็ขอทูลลาก่อน”“ไปเถอะ”ฮ่องเต้โบกมือเซียวหมิงเสวียนหันตัวกลับ เดินออกไปนอกประตูตำหนักเวลาเดียวกันนี้เอง ภายในห้องที่ค่อนข้างปลีกวิเวกห้องหนึ่งในกรมอาญาลั่วจิ่วหลีตัดเสื้อตรงอกของพัศดีคนนั้นออกแล้ว เผยให้เห็นกริชที่ปักอยู่บนตัวเขา หรี่ตาลงเล็กน้อยรอบข้างไม่มีใคร นางเรียกยาชา ผ้าพันแผล ยาห้ามเลือดและเข็มเย็บแผลออกมาจากแหวนโบราณ วางเรียงหน้ากระดานไว้ข้างตัวทันใดนั้นเอง มือลั่วจิ่วหลีก็กำด้ามกริชไว้ หายใจช้า ๆ อย่างระมัดระวัง“ฉับ!”เสียงดั
อวี๋ไห่เซิงตัวสั่นสะท้าน“พ่ะย่ะค่ะ”เขากล่าวจบก็ออกไปดำเนินการเซียวหมิงเสวียนมองที่ลั่วจิ่วหลี“พัศดีคนนั้น ตอนนี้สามารถเคลื่อนย้ายได้หรือยัง?”ลั่วจิ่วหลีหันกลับไปดูในห้อง“ตามหลักไม่เคลื่อนย้ายจะดีที่สุด แต่ถ้าที่นี่ไม่สะดวกก็ใช้เปลหามยกไปได้”เมื่อนางเอ่ยปาก เซียวหมิงเสวียนก็ไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว“ฉินอิ่น ยกคนขึ้นรถม้า ส่งกลับไปที่จวนข้า”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นรับคำสั่งแล้วก็ไปจัดการทันทีลั่วจิ่วหลีตะลึงงัน“จวนท่านอ๋อง? ท่านอ๋องจะนำเขาไปจวนท่านหรือ?”หมายความว่านางก็ต้องตามไปจวนอ๋องเก้าด้วยน่ะสิเซียวหมิงเสวียนปรายตามองนาง“เขาเป็นพยานคนเดียวที่ปล่อยเยียนทิงเหลียนไป”“ไปกันเถอะ คืนนี้เจ้าต้องอยู่ดูแลเขาที่จวนข้า”พูดแล้วก็หันกลับไปเตรียมจะไป“ช้าก่อน”ลั่วจิ่วหลียื่นมือออกไปคว้าแขนเสื้อเขาไว้อย่างไม่รู้ตัวเซียวหมิงเสวียนหันหลังขวับ แววตาเจิดจ้าดุจคบเพลิง ลั่วจิ่วหลีรีบปล่อยอย่างลนลานราวถูกไฟลวก“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ”“หม่อมฉันไปดูแลเขาได้ แต่หม่อมฉันต้องกลับเรือนไปบอกให้ท่านแม่เสียก่อน ไม่เช่นนั้น…”“ไม่ต้อง ข้าส่งคนไปแจ้งที่จวนอี้กั๋วกงแล้ว”
เซียวหมิงเสวียนเลิกคิ้ว ลูบแหวนน้าวบนนิ้วพลางกลับไปนั่งเก้าอี้ ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบผ้าเช็ดหน้าไหมหนา ๆ ผืนหนึ่งออกมาแล้วกางออก ด้านในมีมีดผ่าตัดขนาดเล็กเล่มหนึ่งเมื่อลั่วจิ่วหลีเห็นมีดผ่าตัดเล่มนั้น รูม่านตาก็หดอย่างรวดเร็วเซียวหมิงเสวียนหยิบด้ามจับมีดผ่าตัดขึ้นมา เอ่ยปากพูดอย่างเรียบเฉยว่า“มีดเล่มนี้ ฉินอิ่นยึดมาจากเจ้าคืนที่เจ้าวางเพลิงจวนอ๋องเจา”“อยู่ที่ท่านอ๋องได้อย่างไร?”ลั่วจิ่วหลีก้มหน้า มิได้เฉไฉ“มีดนี้คมไร้ที่เปรียบ ตัดได้กระทั่งเส้นผม แต่ไม่รู้ว่าคุณหนูรองตระกูลลั่วได้มาจากที่ใด? หรือจะบอกว่าให้สาวใช้ไปซื้อหามา? บอกข้าหน่อยสิ ข้าก็จะซื้อสักหลาย ๆ เล่ม”ลั่วจิ่วหลีมองมีดผ่าตัดในมือเขา มุมปากกระตุกทีหนึ่งนึกถึงว่านางพูดในรถม้าที่นอกจวนอ๋องเจาว่า นางรู้วิชาแพทย์ เข้าใจหลักการรักษาโรค ขอเพียงเขาต้องการก็ยินดีรับใช้เขาทุกเมื่อพอมานึกดูตอนนี้ก็รู้สึกว่าคืนนั้นสมองเบลอไปแล้วหรืออย่างไร? ยังเข้าใจสถานการณ์ไม่กระจ่าง ตนเองกล่าวคำพูดเหล่านั้นไปได้อย่างไรกัน“ท่านอ๋อง”ลั่วจิ่วหลีถูมือแล้วถูมืออีก ยิ้มแหยอย่างทำตัวไม่ถูกนินทาในใจว่า ชายคนนี้ก็คือปีศาจจิ้งจอกที
ลั่วจิ่วหลีได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ตอนแรกยังนึกยังดีใจ แต่พอได้ยินคำว่าเงื่อนไขก็มองเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง หัวเราะเย้ยหยันว่า“เงื่อนไขท่านอ๋องเยอะเสียจริงนะเพคะ?”ครั้งแรกที่เจรจาเงื่อนไขคือในรถม้าวันที่จวนอ๋องเจาเกิดเพลิงไหม้ครั้งที่สองที่เจรจาเงื่อนไขคือก่อนไปจวนอ๋องเจาครั้งที่สามที่เจรจาเงื่อนไขก็คือตอนนี้“ไม่ทราบว่าคราวนี้เงื่อนไขของท่านอ๋องคืออะไรหรือเพคะ?”เซียวหมิงเสวียนไม่ได้ดูสีหน้านาง และไม่สนใจที่นางหัวเราะเย้ยหยัน“ง่ายมาก เป็นแพทย์ประจำจวนของข้า?”ลั่วจิ่วหลีประหลาดใจไม่น้อย“แพทย์ประจำจวน?”“ใช่ ดูแลร่างกายข้า”ความนัยของเขาก็คือ เขาทรมานจากคำสาปในร่างกายตัวเองมาตั้งหลายปีแล้ว ได้เจอนางจึงเริ่มมีความหวังขึ้นมา แต่เขาก็รู้ว่าเขาจะรีบร้อนไม่ได้นี่ก็คือสาเหตุที่เขาคว้าเรื่องที่ตัวลั่วจิ่วหลีนั้นไม่รู้วิชาแพทย์ไว้ไม่ยอมปล่อย“แล้วแพทย์ประจำจวนต้องเข้าไปอยู่ในจวนของท่านไหมเพคะ?”“ตอนนี้ยังไม่ต้อง”คำตอบของเซียวหมิงเสวียนทำให้นางรู้สึกโล่งอก“ไม่ต้องอยู่จวนอ๋องเก้าก็พอแล้ว”ลั่วจิ่วหลีสบายใจแล้ว“งั้นก็เชิญท่านอ๋องบอกเถอะว่า จะช่วยหม่อมฉันอย่างไร?”เซียวหมิงเ
“เหมือนที่ผู้หญิงเย็บเสื้อผ้า” เซียวหมิงเสวียนก้มหน้าดูมีดผ่าตัดในมือแล้วก็เงยหน้ามองไปที่โคมไฟด้านนอกที่ค่อย ๆ สว่างไสวขึ้นมาในใจเต็มไปด้วยความสงสัยและยังบังเกิดความสนใจในตัวลั่วจิ่วหลีเป็นอย่างมากความสงสัยนี้ไม่ใช่แค่เพราะนางสามารถสะกดคำสาปในตัวเขาไว้ได้ชั่วคราวในคืนวันเพ็ญเท่านั้นแต่ยังเป็นเพราะวิชาแพทย์ของนาง ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยหากพัศดีคนนั้นฟื้นขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย ถึงจะเป็นคนในหุบเขาดาบตกผู้นั้น เกรงว่าก็คงจะหันมาให้ความสนใจนางเช่นกันท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดขึ้นเรื่อย ๆ ห้องรับรองที่ลั่วจิ่วหลีและชุนหรงเข้าพักอยู่ใกล้ห้องของพัศดีคนนั้นมากเซียวหมิงเสวียนยังส่งเด็กหนุ่มรับใช้สองคนมาผลัดเวรยามเฝ้าพัศดีคนนั้นเป็นพิเศษ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับพัศดีคนนั้น ก็สามารถเรียกลิ่วจิ่วหลีไปรักษาได้ทันทีบนเตียงในห้องนอนมีกล่องยาวางอยู่กล่องหนึ่ง กล่องยานี้ลั่วจิ่วหลีให้ชุนหรงไปซื้อมาให้เมื่อตอนกลางวันโดยเฉพาะ เพื่อความปลอดภัย เมื่อครู่นางได้เอายาที่จำเป็นและอุปกรณ์การรักษาที่ได้ใช้บ่อยจากแหวนโบราณไปใส่ในกล่องยาทั้งหมดเช่นนี้แล้วก็จะหลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากที่ไม่ควรจะเกิดไ
ฉินอิ่นยืนอยู่หน้าห้อง“คุณหนูรองตระกูลลั่ว เกิดเรื่องแล้ว พัศดีคนนั้นมีไข้ขึ้นสูง สลบไปไม่ได้สติขอรับ”ลั่วจิ่วหลีได้ยินแล้วก็สาวเท้าเดินออกจากห้องไปมาถึงห้องรับรองแขกก็เห็นว่าเซียวหมิงเสวียนอยู่ที่นั่นด้วย ขณะนี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ มือขวาวางอยู่บนหน้าผาก สองนิ้วแยกกันนวดขมับสองข้างเงาของฝ่ามือทอดลงมา ทำให้ทั้งใบหน้ามืดหม่นลั่วจิ่วหลีพลันเคร่งเครียดขึ้นมา เพราะอาการไข้สูงไม่ลด หมดสติไม่รู้สึกตัว มีความไม่แน่นอนมากมายที่สามารถเกิดตามมาได้“ท่านอ๋อง”ลั่วจิ่วหลีถวายคำนับ“รีบเข้าไปดู ต้องช่วยให้ฟื้นให้ได้”ลั่วจิ่วหลียังพูดไม่จบก็เดินเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็วแม้นางจะมียาในแหวนโบราณเป็นตัวช่วย แต่ว่าแผลติดเชื้อไม่ใช่เรื่องเล่น ๆอาการหนาวสั่นมีไข้นับเป็นเรื่องเล็ก หากรักษาไม่ทันท่วงที จะเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ผู้ป่วยจะช็อกจากการติดเชื้อ หากรุนแรงจะทำให้เกิดฝีในตับ ตับล้มเหลวและการหายใจล้มเหลวได้เพราะฉะนั้น แผลติดเชื้อสามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ นางก็ไม่กล้าชะล่าใจยิ่งไปกว่านั้น แผลของพัศดีคนนั้นยังอยู่ที่อกอีกด้วยในห้อง พัศดีค