ฉินอิ่นยืนอยู่หน้าห้อง“คุณหนูรองตระกูลลั่ว เกิดเรื่องแล้ว พัศดีคนนั้นมีไข้ขึ้นสูง สลบไปไม่ได้สติขอรับ”ลั่วจิ่วหลีได้ยินแล้วก็สาวเท้าเดินออกจากห้องไปมาถึงห้องรับรองแขกก็เห็นว่าเซียวหมิงเสวียนอยู่ที่นั่นด้วย ขณะนี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ มือขวาวางอยู่บนหน้าผาก สองนิ้วแยกกันนวดขมับสองข้างเงาของฝ่ามือทอดลงมา ทำให้ทั้งใบหน้ามืดหม่นลั่วจิ่วหลีพลันเคร่งเครียดขึ้นมา เพราะอาการไข้สูงไม่ลด หมดสติไม่รู้สึกตัว มีความไม่แน่นอนมากมายที่สามารถเกิดตามมาได้“ท่านอ๋อง”ลั่วจิ่วหลีถวายคำนับ“รีบเข้าไปดู ต้องช่วยให้ฟื้นให้ได้”ลั่วจิ่วหลียังพูดไม่จบก็เดินเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็วแม้นางจะมียาในแหวนโบราณเป็นตัวช่วย แต่ว่าแผลติดเชื้อไม่ใช่เรื่องเล่น ๆอาการหนาวสั่นมีไข้นับเป็นเรื่องเล็ก หากรักษาไม่ทันท่วงที จะเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ผู้ป่วยจะช็อกจากการติดเชื้อ หากรุนแรงจะทำให้เกิดฝีในตับ ตับล้มเหลวและการหายใจล้มเหลวได้เพราะฉะนั้น แผลติดเชื้อสามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ นางก็ไม่กล้าชะล่าใจยิ่งไปกว่านั้น แผลของพัศดีคนนั้นยังอยู่ที่อกอีกด้วยในห้อง พัศดีค
ฉินอิ่นแอบคิดในใจว่า คุณหนูรองตระกูลลั่วคนนี้ไม่เหมือนใครอย่างที่คิดไว้จริง ๆไม่พูดถึงวิชาแพทย์ ลำพังนิสัยสงบเยือกเย็นหนักแน่นก็ยังและความเปิดเผยตรงไปตรงมาก็ชนะบรรดาหญิงชนชั้นสูงเหล่านั้นในเมืองหลวงได้แล้วหากให้สตรีเหล่านั้นมาอยู่ร่วมห้องกับท่านอ๋องของเขา คาดว่าแววตาหลงใหลคลั่งไคล้อย่างเปิดเผยของพวกนางคงทำให้ท่านอ๋องต้องฆ่าใครสักคนถึงจะดับไฟโทสะลงได้เลยทีเดียวคุณหนูรองตระกูลลั่วผู้นี้กลับดีนัก เพียงแต่หลับตาพักผ่อน แม้แต่ตาท่านอ๋องนางยังไม่มองเซียวหมิงเสวียนหันหน้าไปมองลั่วจิ่วหลีที่นั่งหลับตาพิงพนักเก้าอี้ ขนตานางไหวระริกจึงรู้ว่านางเพียงแค่พักสายตา แล้วก็มองไปที่กล่องยากล่องนั้นที่อยู่ข้าง ๆ นางเขารู้ว่ากล่องยานั่น ลั่วจิ่วหลีให้บ่าวเอามาจากนอกจวนแต่ว่ายากับอุปกรณ์ในกล่อง เขากลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตอันที่จริงเขาอยากถามอะไรบางอย่าง แต่ก็รู้ดีว่าด้วยนิสัยลั่วจิ่วหลี นางไม่มีทางบอกเขาแน่เขาเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ เอ่ยปากถามช้า ๆ ว่า“พัศดีผู้นั้นจะฟื้นตอนไหน?”ลั่วจิ่วหลีลืมตา ยืดร่างท่อนบนและขยับตัวประชิดเก้าอี้ ใต้แสงไฟสีเหลืองสลัว ๆ เส้นผมบางส่วนบนศีรษ
เซียวหมิงเสวียนนึกว่านางจะเอ่ยวาจากำเริบเสิบสานอะไรออกมาอีก คิดไม่ถึงเลยว่านางจะพูดประโยคนี้ออกมาแม้แต่ฉินอิ่นที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปสองนายบ่าวยังไม่ทันตั้งตัว ลั่วจิ่วหลีก็ก้มหน้าเก็บของในกล่องยา พลางเอ่ยขึ้นต่อ“เป็นจริงดั่งว่า บนโลกนี้ ผู้ใดที่มีรูปลักษณ์งดงามก็มักจะอาศัยความงามนั้นใช้ชีวิตตามใจปรารถนา!”“แต่หากเป็นดั่งเช่นท่านอ๋องผู้นี้ ทั้งรูปโฉมที่งดงาม สติปัญญาที่เปี่ยมล้น มีความสามารถรอบด้าน วิทยายุทธเป็นเลิศ อีกทั้งมีฐานะสูงศักดิ์ เป็นถึงท่านท่านอ๋องเทพสงครามแห่งราชสำนักฉางหนิง ชีวิตที่เลิศเลอเช่นนี้นับว่าสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง ถึงจะเย็นชาไปบ้างก็สมควรแล้ว สมควรจริงๆ”เซียวหมิงเสวียนฟังคำเยินยออันยาวเหยียดของนาง สีหน้าของเขาก็แข็งทื่อไปเล็กน้อย ดวงตาเย็นชาคู่นั้นโค้งขึ้นตามวงโค้งของมุมปากหน้าประตู ฉินอิ่นเห็นเจ้านายของตนยิ้มทั้งริมฝีปากและดวงตาก็ตะลึงจนตัวแข็งเป็นรูปปั้นใช่ว่าเจ้านายของเขาไม่เคยยิ้มมาก่อน แต่ยามใดที่ได้ยิ้มมักเป็นยิ้มเยาะ เย้ยหยัน ประชดประชันหรือเหยียดหยาม หากผู้เป็นนายยิ้มแบบนั้นออกมามักมีคนตายทว่ารอยยิ้มของเจ้านายในคืนนี้เป็นยิ้ม
“ท่านอ๋อง ข้าผ่านหรือยัง?”ความจริงนางมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือคนเจ็บ แต่กลับต้องทำงานล่วงเวลา อีกทั้งยังต้องหาคำพูดหวานหูมาเยินยอเขาอีกเป็นดั่งที่ว่าจริง ๆ! ไม่ว่ายุคสมัยใด ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนแต่ชอบคำชมหวาน ๆ กันทั้งนั้นเซียวหมิงเสวียนเม้มปาก ใบหน้าหล่อเหลาเกร็งนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนคลายลง แววตาเย็นชาคู่นั้นเผยความอ่อนโยนที่หาได้ยากออกมา“โครกคราก~”ท้องของลั่วจิ่วหลีส่งเสียงดังอย่างไม่ถูกเวลา นางกุมท้องตัวเองเอาไว้และมองไปที่เซียวหมิงเสวียนอย่างเขินอาย“หิวแล้ว”เซียวหมิงเสวียนนิ่งไป เขามองไปที่ท้องของนางด้วยสายตาแปลกใจ“ฉินอิ่น”“นายท่าน”ฉินอิ่นรีบขานรับทันที“ไปดูที่ครัวว่ามีอะไรให้กินบ้าง เอามาให้คุณหนูรองตระกูลลั่วที”“ครับ”ฉินอิ่นหันหลังวิ่งออกจากห้องไปลั่วจิ่วหลีรู้สึกกลุ้มใจจริง ๆ ตอนค่ำนางกินอาหารไปไม่น้อย แต่ร่างกายของนางในตอนนี้มีอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น นางอยู่ในช่วงวัยกำลังโตพอดีจึงย่อยอาหารอย่างรวดเร็ว นางเองก็ทำอะไรไม่ได้ไม่นาน ฉินอิ่นก็ถือจานไก่ย่างที่หั่นเอาไว้แล้วกลับมา“ท่านอ๋อง ที่ครัวมีเพียงไก่ย่างจานเดียวเท่านั้น ที่เหลือมีแต่อาหา
“ว้าว! ท่านอ๋อง ความสามารถในการทำความเข้าใจ ปรีชาญาณและความสามารถในการเปิดรับสิ่งใหม่ของท่านช่างยอดเยี่ยมโดยแท้”ลั่วจิ่วหลีชูนิ้วโป้งขึ้นพร้อมพยักหน้าให้เขาเซียวหมิงเสวียนพลันรู้สึกขึ้นมาว่าเด็กสาวผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำหรือนิสัยใจคอ ช่างเข้ากับเขายิ่งนักที่หน้าประตู ฉินอิ่นถือชาร้อนเดินเข้ามา“คุณหนูรองตระกูลลั่ว”เขาวางชาร้อนไว้ตรงหน้าลั่วจิ่วหลี จากนั้นก็หันมองไปที่ท่านอ๋องผู้เป็นเจ้านาย“นายท่าน อีกสองช่วงชั่วโมงก็จะเป็นยามสามแล้ว ใกล้จะถึงเวลาประชุมเช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“อืม ข้ารู้แล้ว”เซียวหมิงเสวียนพยักหน้าลั่วจิ่วหลีจิบชา“ท่านอ๋อง ข้าว่าจะใช้เวลาในยามที่ฟ้ายังไม่สว่างนี้กลับไปที่จวนก่อน ท่านช่วยดูแลพัศดีผู้นั้นด้วยนะเพคะ”เซียวหมิงเสวียนขมวดคิ้วเมื่อเฉินอิ่นห็นเจ้านายของตัวเองขมวดคิ้วก็รีบถามออกไปทันที“คุณหนูรองตระกูลลั่ว หากท่านกลับไปแล้วพัศดีผู้นั้นมีไข้ขึ้นสูงจะทำอย่างไร?”ลั่วจิ่วหลีโบกไม้โบกมือ“ไม่หรอก ข้าทำความสะอาดแผลให้เขาไปแล้วรอบหนึ่ง อีกทั้งให้ยาปฏิชีวนะเขาไปแล้วด้วย ไข้จะไม่กลับมาขึ้นสูงอีกแล้วล่ะ หากมีอาการผิดปกติอ
“หรือว่านางจะไปหาอ๋องเจา?”ลั่วจิ่วหลีส่ายหน้า“จวนอ๋องเจา? มีความเป็นไปได้น้อยมาก นับตั้งแต่ที่นางหนีออกจากเรือนจำ ข้าเดาว่าที่จวนอ๋องเจาคงจะถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหลือแค่รอให้นางตกหลุมพรางเท่านั้น”“ตอนนี้ข้ากลัวว่านางจะมาสร้างปัญหาให้พวกเรามากกว่า”“อย่างไรเสีย ถ้าไม่ใช่เพราะข้าจุดไฟเผาจวนอ๋องเจา เอาเรื่องไปฟ้องร้องที่ตำหนักไท่เหอและทูลขอพระราชโองการหย่าร้างจากฮ่องเต้ จนเป็นเหตุให้อ๋องเจาคลุ้มคลั่งเสียสติ เยียนทิงเหลียนคงจะยังเป็นชายารองแห่งจวนอ๋องเจาผู้สูงศักดิ์ หรือถึงขั้นได้เป็นชายาเอกก็เป็นได้”“อนาคตอันรุ่งโรจน์ของนางถูกข้าทำลายย่อยยับ เกรงว่านางยังจะมีความแค้นต่อข้าอยู่”เมื่อลั่วจิ่วหลีเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทำให้อี้กั๋วกงฮูหยินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ นางผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความร้อนใจ“ไม่ได้! แม่จะไม่ยอมให้เจ้าถูกนางทำร้ายอีกต่อไป”“ท่านแม่อย่าได้หวั่นใจไป”ลั่วจิ่วหลี่รีบลุกขึ้นมาประคองนางเอาไว้“ยามกลางวันแสก ๆ ใต้ฟ้าสว่างไสว นางคงไม่กล้าลงมือทำร้ายข้าต่อหน้าธารกำนัลหรอกเจ้าค่ะ”“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้ผ่านเรื่องครั้งนี้มาแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ใช่ลั่วจิ่วหลีผู้ที่
ระหว่างที่พูด ลั่วจิ่วหลีก็บีบมือมารดาเบา ๆ ก่อนจะเดินตามขันทีเฒ่าออกจากเรือนไปอี้กั๋วกงฮูหยินแสดงสีหน้าฉงนเล็กน้อย และหันไปมองสวีหมัวมัว สวีหมัวมัวรับใช้ฮูหยินมาครึ่งชีวิตย่อมเข้าใจนางเป็นอย่างดี จึงรีบเข้ามาประคองมือฮูหยิน จากนั้นสองนายบ่าวก็รีบพากันเดินไปยังเรือนฝูชวีบนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วัง ลั่วจิ่วหลีหลับตาพักผ่อน แต่ความจริงกำลังคิดถึงเรื่องของคนในวังหลวงเหล่านั้นตอนนี้ฮ่องเต้มีพระชนมายุสี่สิบสามปี มีโอรสทั้งหมดห้าพระองค์องค์ชายใหญ่ เซียวจูอวี้ ราชทินนามอ๋องเซวียน ทรงมีพระชนมายุยี่สิบสองพรรษา เป็นโอรสของเส้ากุ้ยเฟย หนึ่งในสี่สนมเอกของฮ่องเต้องค์ชายรอง เซียวจูมั่ว ราชทินนามอ๋องเจา ทรงพระชนมายุยี่สิบพรรษา เป็นโอรสของหูกุ้ยเฟยหนึ่งในสี่สนมเอก ไทเฮาองค์ปัจจุบันมีศักดิ์เป็นยายของพระองค์องค์ชายสาม เซียวจูหาน ราชทินนามอ๋องเสียน ทรงพระชนมายุสิบแปดพรรษา เป็นโอรสที่เกิดจากฮองเฮาองค์ชายสี่ เซียวจูผิง ราชทินนามอ๋องผิง ทรงพระชนมายุสิบหกพรรษา เป็นโอรสของซูเฟย หนึ่งในสี่สนมเอกองค์ชายห้า เซียวจูเฉิน ทรงพระชนมายุสิบสามพรรษา พักอยู่ในหวังหลวง ยังไม่ได้รับราชทินนาม เป็นโอ
“ฮูหยิน”สวีหมัวมัวประคองมือของอี้กั๋วกงฮูหยิน“เรื่องที่คุณหนูรองรู้วิชาแพทย์...?”อี้กั๋วกงฮูหยินโบกมือ“รอให้นางกลับมาอย่างปลอดภัยก่อนค่อยถามอย่างละเอียด”อุปนิสัยของบุตรสาวนางโอนอ่อนผ่อนตาม จิตใจดีงาม อย่าว่าแต่ไม่มีความรู้เรื่องหลักการรักษาโรคเลย กระทั่งตอนที่เห็นคนอื่นฆ่าไก่ นางยังไม่กล้าแม้แต่จะมอง แล้วจะกล้าไปรักษาพัศดีที่ใช้กริชแทงอกเพื่อจบชีวิตตัวเองได้อย่างไร?ในเวลานี้ ห้องหนังสือของจวนอ๋องเก้าถูกใครบางคนผลักออกอย่างรีบร้อน“นายท่าน แย่แล้ว”น้ำเสียงของฉินอิ่นแฝงไว้ด้วยความร้อนใจเซียวหมิงเสวียนเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเย็นชาจากด้านหลังโต๊ะหนังสือ“เรื่องอันใด?”เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจต่อพฤติกรรมอันหยาบคายของฉินอิ่นเป็นอย่างมากในหัวของฉินอิ่นมีเสียงดังวิ้ง ตกใจจนรีบก้มหน้าลงพร้อมกล่าว“ชุนหรงสาวใช้คนสนิทของคุณหนูรองตระกูลลั่วมาแจ้งว่าหูกุ้ยเฟยเพิ่งจะเชิญตัวคุณหนูรองตระกูลลั่วเข้าวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ”เซียวหมิงเสวียนได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เข้มงวดขึ้นมาทันที“หูกุ้ยเฟย? มารดาอ๋องเจา?”“พ่ะย่ะค่ะ”“ได้ยินว่าอี้กั๋วกงฮูหยินอยากจะตามเข้าวังหลวงด้วย แต่ถูกขวางเอาไว้”“เจ้