“ท่านอ๋อง ข้าผ่านหรือยัง?”ความจริงนางมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือคนเจ็บ แต่กลับต้องทำงานล่วงเวลา อีกทั้งยังต้องหาคำพูดหวานหูมาเยินยอเขาอีกเป็นดั่งที่ว่าจริง ๆ! ไม่ว่ายุคสมัยใด ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนแต่ชอบคำชมหวาน ๆ กันทั้งนั้นเซียวหมิงเสวียนเม้มปาก ใบหน้าหล่อเหลาเกร็งนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนคลายลง แววตาเย็นชาคู่นั้นเผยความอ่อนโยนที่หาได้ยากออกมา“โครกคราก~”ท้องของลั่วจิ่วหลีส่งเสียงดังอย่างไม่ถูกเวลา นางกุมท้องตัวเองเอาไว้และมองไปที่เซียวหมิงเสวียนอย่างเขินอาย“หิวแล้ว”เซียวหมิงเสวียนนิ่งไป เขามองไปที่ท้องของนางด้วยสายตาแปลกใจ“ฉินอิ่น”“นายท่าน”ฉินอิ่นรีบขานรับทันที“ไปดูที่ครัวว่ามีอะไรให้กินบ้าง เอามาให้คุณหนูรองตระกูลลั่วที”“ครับ”ฉินอิ่นหันหลังวิ่งออกจากห้องไปลั่วจิ่วหลีรู้สึกกลุ้มใจจริง ๆ ตอนค่ำนางกินอาหารไปไม่น้อย แต่ร่างกายของนางในตอนนี้มีอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น นางอยู่ในช่วงวัยกำลังโตพอดีจึงย่อยอาหารอย่างรวดเร็ว นางเองก็ทำอะไรไม่ได้ไม่นาน ฉินอิ่นก็ถือจานไก่ย่างที่หั่นเอาไว้แล้วกลับมา“ท่านอ๋อง ที่ครัวมีเพียงไก่ย่างจานเดียวเท่านั้น ที่เหลือมีแต่อาหา
“ว้าว! ท่านอ๋อง ความสามารถในการทำความเข้าใจ ปรีชาญาณและความสามารถในการเปิดรับสิ่งใหม่ของท่านช่างยอดเยี่ยมโดยแท้”ลั่วจิ่วหลีชูนิ้วโป้งขึ้นพร้อมพยักหน้าให้เขาเซียวหมิงเสวียนพลันรู้สึกขึ้นมาว่าเด็กสาวผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำหรือนิสัยใจคอ ช่างเข้ากับเขายิ่งนักที่หน้าประตู ฉินอิ่นถือชาร้อนเดินเข้ามา“คุณหนูรองตระกูลลั่ว”เขาวางชาร้อนไว้ตรงหน้าลั่วจิ่วหลี จากนั้นก็หันมองไปที่ท่านอ๋องผู้เป็นเจ้านาย“นายท่าน อีกสองช่วงชั่วโมงก็จะเป็นยามสามแล้ว ใกล้จะถึงเวลาประชุมเช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“อืม ข้ารู้แล้ว”เซียวหมิงเสวียนพยักหน้าลั่วจิ่วหลีจิบชา“ท่านอ๋อง ข้าว่าจะใช้เวลาในยามที่ฟ้ายังไม่สว่างนี้กลับไปที่จวนก่อน ท่านช่วยดูแลพัศดีผู้นั้นด้วยนะเพคะ”เซียวหมิงเสวียนขมวดคิ้วเมื่อเฉินอิ่นห็นเจ้านายของตัวเองขมวดคิ้วก็รีบถามออกไปทันที“คุณหนูรองตระกูลลั่ว หากท่านกลับไปแล้วพัศดีผู้นั้นมีไข้ขึ้นสูงจะทำอย่างไร?”ลั่วจิ่วหลีโบกไม้โบกมือ“ไม่หรอก ข้าทำความสะอาดแผลให้เขาไปแล้วรอบหนึ่ง อีกทั้งให้ยาปฏิชีวนะเขาไปแล้วด้วย ไข้จะไม่กลับมาขึ้นสูงอีกแล้วล่ะ หากมีอาการผิดปกติอ
“หรือว่านางจะไปหาอ๋องเจา?”ลั่วจิ่วหลีส่ายหน้า“จวนอ๋องเจา? มีความเป็นไปได้น้อยมาก นับตั้งแต่ที่นางหนีออกจากเรือนจำ ข้าเดาว่าที่จวนอ๋องเจาคงจะถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหลือแค่รอให้นางตกหลุมพรางเท่านั้น”“ตอนนี้ข้ากลัวว่านางจะมาสร้างปัญหาให้พวกเรามากกว่า”“อย่างไรเสีย ถ้าไม่ใช่เพราะข้าจุดไฟเผาจวนอ๋องเจา เอาเรื่องไปฟ้องร้องที่ตำหนักไท่เหอและทูลขอพระราชโองการหย่าร้างจากฮ่องเต้ จนเป็นเหตุให้อ๋องเจาคลุ้มคลั่งเสียสติ เยียนทิงเหลียนคงจะยังเป็นชายารองแห่งจวนอ๋องเจาผู้สูงศักดิ์ หรือถึงขั้นได้เป็นชายาเอกก็เป็นได้”“อนาคตอันรุ่งโรจน์ของนางถูกข้าทำลายย่อยยับ เกรงว่านางยังจะมีความแค้นต่อข้าอยู่”เมื่อลั่วจิ่วหลีเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทำให้อี้กั๋วกงฮูหยินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ นางผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความร้อนใจ“ไม่ได้! แม่จะไม่ยอมให้เจ้าถูกนางทำร้ายอีกต่อไป”“ท่านแม่อย่าได้หวั่นใจไป”ลั่วจิ่วหลี่รีบลุกขึ้นมาประคองนางเอาไว้“ยามกลางวันแสก ๆ ใต้ฟ้าสว่างไสว นางคงไม่กล้าลงมือทำร้ายข้าต่อหน้าธารกำนัลหรอกเจ้าค่ะ”“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้ผ่านเรื่องครั้งนี้มาแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ใช่ลั่วจิ่วหลีผู้ที่
ระหว่างที่พูด ลั่วจิ่วหลีก็บีบมือมารดาเบา ๆ ก่อนจะเดินตามขันทีเฒ่าออกจากเรือนไปอี้กั๋วกงฮูหยินแสดงสีหน้าฉงนเล็กน้อย และหันไปมองสวีหมัวมัว สวีหมัวมัวรับใช้ฮูหยินมาครึ่งชีวิตย่อมเข้าใจนางเป็นอย่างดี จึงรีบเข้ามาประคองมือฮูหยิน จากนั้นสองนายบ่าวก็รีบพากันเดินไปยังเรือนฝูชวีบนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วัง ลั่วจิ่วหลีหลับตาพักผ่อน แต่ความจริงกำลังคิดถึงเรื่องของคนในวังหลวงเหล่านั้นตอนนี้ฮ่องเต้มีพระชนมายุสี่สิบสามปี มีโอรสทั้งหมดห้าพระองค์องค์ชายใหญ่ เซียวจูอวี้ ราชทินนามอ๋องเซวียน ทรงมีพระชนมายุยี่สิบสองพรรษา เป็นโอรสของเส้ากุ้ยเฟย หนึ่งในสี่สนมเอกของฮ่องเต้องค์ชายรอง เซียวจูมั่ว ราชทินนามอ๋องเจา ทรงพระชนมายุยี่สิบพรรษา เป็นโอรสของหูกุ้ยเฟยหนึ่งในสี่สนมเอก ไทเฮาองค์ปัจจุบันมีศักดิ์เป็นยายของพระองค์องค์ชายสาม เซียวจูหาน ราชทินนามอ๋องเสียน ทรงพระชนมายุสิบแปดพรรษา เป็นโอรสที่เกิดจากฮองเฮาองค์ชายสี่ เซียวจูผิง ราชทินนามอ๋องผิง ทรงพระชนมายุสิบหกพรรษา เป็นโอรสของซูเฟย หนึ่งในสี่สนมเอกองค์ชายห้า เซียวจูเฉิน ทรงพระชนมายุสิบสามพรรษา พักอยู่ในหวังหลวง ยังไม่ได้รับราชทินนาม เป็นโอ
“ฮูหยิน”สวีหมัวมัวประคองมือของอี้กั๋วกงฮูหยิน“เรื่องที่คุณหนูรองรู้วิชาแพทย์...?”อี้กั๋วกงฮูหยินโบกมือ“รอให้นางกลับมาอย่างปลอดภัยก่อนค่อยถามอย่างละเอียด”อุปนิสัยของบุตรสาวนางโอนอ่อนผ่อนตาม จิตใจดีงาม อย่าว่าแต่ไม่มีความรู้เรื่องหลักการรักษาโรคเลย กระทั่งตอนที่เห็นคนอื่นฆ่าไก่ นางยังไม่กล้าแม้แต่จะมอง แล้วจะกล้าไปรักษาพัศดีที่ใช้กริชแทงอกเพื่อจบชีวิตตัวเองได้อย่างไร?ในเวลานี้ ห้องหนังสือของจวนอ๋องเก้าถูกใครบางคนผลักออกอย่างรีบร้อน“นายท่าน แย่แล้ว”น้ำเสียงของฉินอิ่นแฝงไว้ด้วยความร้อนใจเซียวหมิงเสวียนเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเย็นชาจากด้านหลังโต๊ะหนังสือ“เรื่องอันใด?”เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจต่อพฤติกรรมอันหยาบคายของฉินอิ่นเป็นอย่างมากในหัวของฉินอิ่นมีเสียงดังวิ้ง ตกใจจนรีบก้มหน้าลงพร้อมกล่าว“ชุนหรงสาวใช้คนสนิทของคุณหนูรองตระกูลลั่วมาแจ้งว่าหูกุ้ยเฟยเพิ่งจะเชิญตัวคุณหนูรองตระกูลลั่วเข้าวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ”เซียวหมิงเสวียนได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เข้มงวดขึ้นมาทันที“หูกุ้ยเฟย? มารดาอ๋องเจา?”“พ่ะย่ะค่ะ”“ได้ยินว่าอี้กั๋วกงฮูหยินอยากจะตามเข้าวังหลวงด้วย แต่ถูกขวางเอาไว้”“เจ้
หูหานอวี้ อายุสิบห้าปี หลานสาวแท้ ๆ ของหูกุ้ยเฟย อย่ามองว่านางมีอายุเพียงแค่สิบห้าปี แต่อุปนิสัยอวดดีซึ่งต่างจากอาหญิงมากโข เป็นผู้มีนิสัยเผด็จการอันดับหนึ่งในแวดวงสตรีชั้นสูงแห่งเมืองหลวงนางยังมีพี่สาวอีกคนนามว่า หูปิงอวี้ อายุสิบเก้าปี ยังไม่แต่งงานแล้วก็ไม่ได้ดูตัวเช่นกัน ได้ยินคนนอกพูดว่าเป็นเพราะกำลังรอท่านอ๋องเก้า ในความทรงจำของลั่วจิ่วหลีไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับหูปิงอวี้มากนักทันทีที่หูหานอวี้ได้ยินก็หันไปพ่นลมหายใจอย่างเยาะหยันใส่ลั่วจิ่วหลี“ก็แค่คนที่ถูกญาติผู้พี่ของข้าเบื่อหน่าย อาศัยอำนาจของจวนอี้กั๋วกง คิดว่าตัวเองมีอำนาจมากนักงั้นรึ?”ลั่วจิ่วหลีเหลือบมองนางแวบหนึ่ง“เจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่า พวกเราต่างเบื่อหน่ายซึ่งกันและกัน”“อีกอย่าง การมีอำนาจไม่ดีหรือ? เจ้าก็อาศัยอำนาจของกุ้ยเฟยผู้เป็นอาหญิงมาวางอำนาจบาตรใหญ่เหมือนกันไม่ใช่รึ?”“เจ้า...“ดวงตาเมล็ดซิ่งของหูหานอวี้เบิกกว้าง อ้าปากกำลังจะด่าก็ได้ยินเสียงอาหญิงของตนเองดังมาจากทางด้านหลัง“การมีอำนาจไม่มีอะไรไม่ดี แต่การอวดดีเกินไป ไม่เห็นใครอยู่ในสายตานั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไร”ท่ามกลางดงดอกพุดตาน สตรีท่าทางสง่าง
“หานอวี้ พูดจาเหลวไหลอะไร”หูปิงอวี้ค่อย ๆ สาวเท้าเดินเข้ามา กล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าเคยพูดกี่ครั้งแล้ว ข่าวลือที่แพร่อยู่ข้างนอกไม่เป็นความจริง ทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อฟังอยู่เรื่อย! ยิ่งไปกว่านั้น เมืองหลวงกว้างใหญ่ขนาดนี้ ทุกคนเจอกันบ่อย ๆ อย่าทำให้เกิดความแค้นเพราะเรื่องที่ไม่มีหลักฐานเลย”“คุณหนูรองตระกูลลั่ว น้องสาวของข้าอายุยังน้อย ไม่รู้ความ คุณหนูรองตระกูลลั่วได้โปรดอย่าถือสาหาความนางเลย”ลั่วจิ่วหลีหันหน้าไปทางนาง หูปิงอวี้หลุบตาที่สดใสเปล่งประกายลง ประกายในดวงตานั้น นางมองปราดเดียวก็สัมผัสได้ถึงความเสแสร้งมารยาเสแสร้ง มารยาสาไถย ธาตุแท้ส่งกลิ่นออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งนอกจากนี้ ความคิดล้ำลึก ดูเหมือนว่ากำลังกล่าวขอโทษ แต่อันที่จริงไม่เปิดโอกาสให้ลั่วจิ่วหลีพูด หันหลังกลับไปประคองหูกุ้ยเฟยกล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน“อาหญิงเหนื่อยแล้วกระมัง ในศาลามีชาดอกพุดตานที่ชงเสร็จแล้วอยู่พอดี อาหญิงพักผ่อนเสียหน่อย จิบชาให้ชุ่มคอ”หูกุ้ยเฟยยิ้มบาง ๆ เหลือบตามองลั่วจิ่วหลีอย่างไม่อบอุ่นและไม่เย็นชา“คุณหนูรองตระกูลลั่ว วันนี้เข้าวังหลวงมาอย่างหาได้ยาก มาลองชิมชาดอกพุดตานที่ข้
หูหานอวี้ยิ้มอย่างดูถูก“ก็เจ้าไงละ ข้าพูดว่าเจ้าไร้ยางอาย เพิ่งจะถูกญาติผู้พี่ปลดก็เข้าออกจวนอ๋องเก้าทันที”“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? ก็เป็นแค่ภรรยาที่ถูกญาติผู้พี่ของข้าทอดทิ้ง เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเกาะท่านอ๋องเก้าผู้มีอำนาจสูงส่งได้แล้วก็จะสามารถทำตัวไม่เห็นหัวผู้อื่นแบบนี้ได้”ลั่วจิ่วหลีเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงว่าหูหานอวี้จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นท่านอ๋องเก้า จึงแอบประหลาดใจเล็กน้อยนางหันไปมองหูปิงอวี้อย่างไม่ตั้งใจ เห็นหูปิงอวี้นั่นก้มหน้าด้วยสีหน้าสงบเสงี่ยม นิ้วมือเรียวยาวทั้งสองข้างเล่นถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือ มุมปากอมยิ้มส่วนหูกุ้ยเฟย สงบนิ่งเยือกเย็น ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ราวกับว่านางก็คือนายหญิงผู้อยู่เบื้องหลังคอยชักใยบังคับทิศทางผู้นั้น“เฮอะ!”ลั่วจิ่วหลีแสยะยิ้มในใจ ดูท่า นี่ถึงจะเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่หูกุ้ยเฟยเรียกนางเข้าวังหลวงคำดูถูกเหยียดหยามและความทุกข์ยากลำบากที่เจ้าของร่างเดิมเคยได้รับตอนอยู่ที่จวนอ๋องเจา ถูกอ๋องเจากับเยียนทิงเหลียนทอดทิ้งให้เผชิญยถากรรมด้วยตนเองในเรือน ถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณจนตายทั้งกลม เรื่องทั้งหมด หูกุ้ยเฟยล้วนไม่เห็นแต่เรื่องเหลวไหลที