พูดแทงใจนัก! ท่านอ๋องผู้สง่างามถูกเรียกเป็น ‘สวะ’ หยามกันเช่นนี้ไหนเลยจะทนได้ไหวภายในรถม้า บุรุษผู้มีสีหน้าเย่อหยิ่งได้ยินคำพูดของลั่วจิ่วหลีแล้ว มุมปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อยอย่างแทบสังเกตไม่เห็นลั่วจิ่วหลีรู้สึกว่าคำพูดยังไม่แรงพอ นางต้องการยั่วยุให้เซียวจูมั่วขาดสติอย่างสมบูรณ์และลงมือทำร้ายนาง “เซียวจูมั่ว ท่านจำไว้เลย ฆาตกรก็เป็นฆาตกรอยู่วันยังค่ำ”“ท่านฆ่าลั่วจิ่วหลีคนเก่าและยังฆ่าลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองเพื่อเยียนทิงเหลียน เอาลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองไปทำเป็นยาให้อนุชั้นต่ำของท่าน” “เหนือศีรษะสามฉื่อ[1]มีเทพเทวาคอยสอดส่องตรวจตรา ผลกรรมจะตามสนอง” “ท่านน่ะกิเลสหนา สวรรค์จะลงทัณฑ์หญิงร้ายชายเลวอย่างพวกท่าน บาปกรรมนี้จะตกใส่หัวพวกท่าน...”“นางชั้นต่ำ เจ้ารนหาที่ตาย! ทันใดนั้นเซียวจูมั่วที่บันดาลโทสะปราดมาถึงตรงหน้าประหนึ่งพายุ บีบคอลั่วจิ่วหลีไว้แน่น นัยน์ตาสีดำนั้นประหนึ่งมีหมอกปกคลุม เพลิงพิโรธพวยพุ่ง แทบจะกลืนกินลั่วจิ่วหลีทั้งเป็น “เจ้ามันขี้อิจฉา คิดว่าข้ายอมแต่งงานกับเจ้าเพราะอะไร? หากมิใช่เพราะอำนาจในราชสำนักของจวนอี้กั๋วกง คิดว่าเจ้าคู่ควรได้รับจริงหรือ? กล้าส
เวลานั้น ทุกคนเคร่งเครียดจนเส้นประสาทตึงเปรี๊ยะทั่วร่างประหนึ่งเชือกที่ถูกยืดจนตึง เสื้อผ้าตรงแผ่นหลังเปียกชุ่มด้วยเหงื่อเย็น เซียวจูมั่วก็มีสภาพไม่ต่างกัน แม้ว่าเขาก็เป็นองค์ชาย เป็นท่านอ๋อง แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่ได้แต่งตั้งรัชทายาท องค์ชายอย่างพวกเขาทุกคนล้วนพยายามอย่างหนักเพื่อแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท ด้วยเหตุนี้ เขาจึงแต่งงานกับลั่วจิ่วหลีเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากจวนอี้กั๋วกง แต่เขาตระหนักดีว่าไม่ว่าเขาจะได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนางมากแค่ไหนก็ยังมิอาจเทียบวาจาประโยคเดียวของเสด็จอาเก้า ขอเพียงเสด็จอาเก้าช่วยพูดคำดี ๆ ต่อหน้าฮ่องเต้ เขาก็จะเข้าใกล้การเป็นรัชทายาทเข้าไปอีกก้าว ทว่าคืนนี้เสด็จอาเก้าลงเขา เขากลับไม่ได้รับแจ้งข่าวใด ๆ ก่อนเลย “เสด็จอาเก้า โปรดอภัยที่หลานชายหยาบคายด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เซียวจูมั่วทรุดลงบนพื้น สภาพชวนสมเพชเวทนา ทว่าสายตาที่มองลั่วจิ่วหลีกลับคมกริบราวมีดดาบ หากสายตาสามารถสังหารคนได้ คาดว่าลั่วจิ่วหลีคงถูกเซียวจูมั่วสังหารตั้งนานแล้ว เซียวหมิงเสวียนปรายตามองเซียวจูมั่วที่อยู่บนพื้น ดึงสายตากลับมาอย่างเฉยชา นัยน์ตามืดครึ้ม
น่าสนใจ น่าสนใจมากลั่วจิ่วหลีเพิกเฉยต่อเซียวจูมั่วที่ตกตะลึงเหมือนคนโง่ ก้มลงดึงหยกห้อยเอวชิ้นหนึ่งของเขาออกมา เป็นหยกห้อยเอวคุณภาพไม่เลวจริง ๆ นางถือหยกห้อยเอวไว้ในมือ หันกลับมามองมั่วหานด้วยสีหน้าคาดเดาไม่ถูก “คุณชายท่านนี้ ในเมืองนี้จะซื้อโลงได้ที่ไหน” มั่วหานชะงัก ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าจะใช้หยกห้อยเอวของอ๋องเจาเพื่อซื้อโลง แค่ไม่รู้ว่าโลงศพนี้สำหรับอ๋องเจา หรือ... “เมืองชั้นนอก ตรอกเฉาฉ่าง เต็มไปด้วยร้านขายโลง” “ขอบคุณมาก” ลั่วจิ่วหลีกำหมัดคารวะแล้วพลิกตัวขึ้นหลังม้า ในฐานะแพทย์ทหาร การขี่ม้าเป็นหลักสูตรภาคบังคับจึงไม่ใช่เรื่องยากเลย มั่วหาน : นั่นเหมือนว่าจะเป็นม้าของข้า แต่จะทำอย่างไรได้? ตอนนี้เขาไม่กล้าหาเรื่องนางจริง ๆ เพราะจากนี้ นางยังต้องช่วยคลายคำสาปให้นายท่าน สี่ขาวิ่งเร็วกว่าสองขา ในเวลาเพียงครึ่งเค่อ[1] ลั่วจิ่วหลีก็ไปถึงร้านขายโลงร้านหนึ่งที่เมืองชั้นนอก นางแลกหยกห้อยเอวกับโลกศพขนาดเล็กหนึ่งโลง จากนั้นห้อตะบึงม้าไม่หยุดจนถึงนอกประตูวัง เวลานั้นแสงอรุณปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแล้ว...... ห้องเก้าเสนาบดี เป็นสถานที่ให้เหล่าขุนนางพักผ่อ
หากผู้ตีกลองมีข้อกล่าวหาเท็จหรือมีหลักฐานไม่เพียงพอ จะต้องโทษถูกโบยด้วยไม้นับร้อยที ผู้ที่อ่อนแออาจทนรับไม่ไหวขาดใจตายทันที นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นฉางหนิงเป็นต้นมา ยังไม่เคยมีผู้ใดกล้าตีกลองร้องทุกข์ในช่วงประชุมเช้า วันนี้ผู้ใดช่างกล้านัก? ต้องมีความคับแค้นใจขนาดไหนถึงอยากให้ฮ่องเต้ได้สดับ? ขณะที่เหล่าขุนนางกำลังถกเถียงกัน ทันใดนั้นมีเสียงชาววังคุกเข่าอยู่ด้านนอกห้องโถง “ถวายบังคมอ๋องเก้า ทรงพระเจริญพันปีพันพันปี” “น้องเก้า” “อ๋องเก้า?” “เสด็จอาเก้า?” ภายในตำหนัก ตั้งแต่ฮ่องเต้ องค์ชายไปถึงเหล่าขุนนาง ทุกคนล้วนตกตะลึงพรึงเพริด แม้ว่าเหล่าเจ้านายและขุนนางทุกระดับจะรู้แล้วว่าอ๋องเก้ากลับเมืองหลวงเมื่อคืน ทว่าเมื่อสองปีก่อนชายแดนมีความมั่นคง อ๋องเก้าจึงส่งคืนตราพยัคฆ์และออกจากเมืองหลวงสองปีมานี้ไม่เคยก้าวเข้ามาในราชสำนัก เหตุใดวันนี้จึงมาได้เล่า เมื่อร่างสูงสง่าตั้งตรงของอ๋องเก้าปรากฏขึ้นในห้องโถง ความตกตะลึงของทุกคนไม่จบเพียงแค่นั้น มองเห็นด้านหลังอ๋องเก้า สตรีผู้หนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำหมึกขาดรุ่งริ่งและแบกโลงใบเล็กด้วยสองมือ ค่อย ๆ เดินตามมาจนถึงภ
ถึงตอนนี้ ทุกคนได้เห็นชัดเจนว่าลั่วจิ่วหลีรูปร่างหน้าตาซีดเซียว แก้มและมุมปากยังไม่หายบวมแดง รอยช้ำจากการบีบรัดที่ลำคอมองเห็นชัดเจน ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแดงก่ำ “เฮือก!” “สวรรค์! แม่นางคนนี้กลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร” แม้แต่เผยทิงซ่งพอเห็นลั่วจิ่วหลีมีสภาพเช่นนี้ก็ยังพลอยปวดใจไปด้วย ในอดีต นางเป็นสาวน้อยที่ร่าเริงสดใสขนาดนั้น มักจะวิ่งตามหลังเขาและเรียกเขาว่าพี่เขยอยู่เสมอ แต่ตอนนี้... อ๋องเจา เจ้าสมควรตายจริง ๆ แม่นางที่ดีคนหนึ่งถูกเจ้าทำลายจนมีสภาพเช่นนี้ ลั่วจิ่วหลีเดินมาถึงกลางท้องพระโรง คุกเข่าลงโขกศีรษะ “หม่อมฉัน บุตรีคนรองสายตรงจวนอี้กั๋วกง ลั่วจิ่วหลี ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปีเพคะ” นางไม่แทนตัวเองว่าพระชายาอ๋องเจาอีกแล้ว ฮ่องเต้บนบัลลังก์มังกรก็ตกพระทัยกับรูปลักษณ์ปัจจุบันของลั่วจิ่วหลีเช่นกัน ฮ่องเต้รู้ว่าอ๋องเจารักถนอมชายารองผู้นั้น แต่ไม่รู้เลยว่า เขาทำใจเหยียบย่ำข่มเหงแม่นางดี ๆ คนหนึ่งจนมีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร หากปล่อยให้อี้กั๋งกงซึ่งกำลังฝึกทหารไกลถึงลี่หยางได้เห็นภาพนี้จะเป็นอย่างไร ครั้นนึกถึงนิสัยท
ในเวลานี้ หูกุ้ยเฟยซึ่งอยู่ในวังหลังก็ได้ทราบถึงเหตุการณ์ที่พระราชวังส่วนหน้าแล้ว สุดท้ายกระดาษก็ห่อไฟไว้ไม่ได้ เหล่านางสนมอื่น ๆ ก็ทราบเรื่องแล้วเช่นกัน เรื่องที่พระชายาอ๋องเจาหรือลั่วจิ่วหลีบุตรีคนรองสายตรงจวนอี้กั๋วกงมาตีกลองร้องทุกข์ฟ้องร้องอ๋องเจา โทษฐานหลงใหลอนุละเลยภรรยา สังหารลูกในไส้และทุบตีภรรยาเอกก็ได้แพร่กระจายไปทั่ววังหลัง ทางด้านนี้มีขันทีเข้าไปรายงานในตำหนักไม่ขาดสาย “ทูลฝ่าบาท อี้กั๋วกงฮูหยินคุกเข่าอยู่ด้านนอกประตูพระราชวังขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” “ทูลฝ่าบาท อ๋องเจาคุกเข่าอยู่นอกตำหนักขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ข่มโทสะโบกพระหัตถ์ให้ขันที หลังจากนั้นไม่นาน คนสองคนเดินเข้ามาในตำหนักตามลำดับ นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วจิ่วหลีได้พบกับมารดาเจ้าของร่างเดิมซึ่งก็คืออี้กั๋วกงฮูหยิน เห็นนางสวมชุดฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง มวยผมยกสูงบนศีรษะ ประดับปิ่นปักผมที่เรียบง่ายหนึ่งอัน ขณะก้าวเข้ามาในตำหนักก็เห็นสภาพที่น่าสังเวชของบุตรสาวอย่างชัดเจน ปวดใจจนน้ำตาคลอหน่วย หยิกฝ่ามือตัวเองแรง ๆ แล้วคุกเข่าลงบนพื้น “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื
“ฝ่าบาท ตอนนั้นหม่อมฉันรักอ๋องเจาสุดหัวใจ แม้กระทั่งวันอภิเษก อ๋องเจาหันหลังใส่หม่อมฉันรับชายารองเข้าจวน ทำให้หม่อมฉันอับอายขายหน้า แต่เพราะหม่อมฉันรักเขาจึงพยักหน้ายินยอม แล้วหม่อมฉันจะทรยศเขาได้อย่างไรเพคะ”“ฝ่าบาทโปรดมอบความเป็นธรรมให้หม่อมฉันด้วยเพคะ” ฮ่องเต้กำพระหัตถ์แน่น กริ้วโกรธขั้นสุด แต่แล้วก็ค่อย ๆ สงบลง ในฐานะบุรุษ เป็นไปไม่ได้ที่อ๋องเจาจะสร้างความอัปยศให้ตัวเองเช่นนี้ แต่สีหน้าของลั่วจิ่วหลีก็ไม่เหมือนคนโกหกเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น ความรักที่นางมีต่ออ๋องเจาเป็นที่รู้กันทั่วเมือง หากตอนนั้นนางไม่ใช้ความตายข่มขู่ อี้กั๋วกงก็ไม่มีวันเห็นด้วยกับการแต่งงานนี้ ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของราชวงศ์ ไม่ว่าอย่างไรต้องสอบสวนให้กระจ่าง“ใครก็ได้ จงปิดตำหนักไท่เหอ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดออกไปจากที่นี่เด็ดขาด หากเรื่องในวันนี้แพร่กระจายออกไปแม้ประโยคเดียว ทุกคนในตำหนักไท่เหอมีโทษประหารชีวิต” คำว่าประหารคำเดียวทำให้ทั้งตำหนักไท่เหอตกอยู่ท่ามกลางเมฆดำปกคลุม ขุนนางทุกคนในท้องพระโรงย่อมเข้าใจว่า คำว่าทุกคนนั้นรวมถึงพวกตนด้วยเช่นกัน “อ๋องเก้า เจ้าไปเอาระเบียนจากสำนัก
ขณะนี้ ทุกคนในราชสำนักต่างคนต่างใจ ต่างคนต่างความคิด เวลานั้น มีขันทีไปเชิญลั่วจิ่วหลีกลับเข้ามา “ลั่วจิ่วหลีรับราชโองการ” ฮ่องเต้ตรัส ลั่วจิ่วหลีคุกเข่า “ลั่วจิ่วหลีกับอ๋องเจาหย่าขาด อ๋องเจาคืนสินเดิมทั้งหมดให้ลั่วจิ่วหลี และจ่ายชดเชยหนึ่งแสนตำลึงเงิน” “สำหรับชายารองอ๋องเจา เยียนทิงเหลียน ติดค้างหลายชีวิต ให้ส่งตัวไปที่เรือนจำกรมอาญา หลังจากการพิจารณาคดีโดยสามศาลสูง[1]และยืนยันหลักฐาน รอประหารหลังฤดูใบไม้ร่วง” “อ๋องเจาเซียวจูมั่ว รับโทษโบยห้าสิบไม้ ตัดเบี้ยหวัดสองปี กักบริเวณในจวนอ๋องเจา” “ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี” ลั่วจิ่วหลีแสดงความขอบคุณ ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นยืนโดยไม่พูดอะไรอีก “เลิกประชุม” ขันทีประกาศเสียงสูง ขุนนางทั้งหมดคุกเข่าลง ร้องตะโกนทรงพระเจริญ ลั่วจิ่วหลีเงยหน้ามองไปที่เซียวหมิงเสวียน เห็นเขาเม้มปาก ใบหน้าสูงส่งหล่อเหลาปกคลุมด้วยชั้นน้ำค้างแข็งหนา ๆ ยืนขึ้นโดยไม่เอ่ยคำใด ทั่วร่างกายไม่มีร่องรอยของความผันผวนทางอารมณ์ หลังจากที่ฮ่องเต้เสด็จออกไป ขันทีก็เดินมาหาอ๋องเก้า “ท่านอ๋องเก้า ฝ่าบาทมีรับ