'เกวลิน' หญิงสาววัย22ปี สาวหน้าหวานผิวขาวสมกับชื่อเล่น 'กะทิ' เพิ่งเรียนจบและยังไม่มีงานทำจึงช่วยงานพี่ชาย ‘ตะโก้’หรือ การันต์ ที่ดูแลกิจการร้านอาหารต่อจากแม่ที่เสียชีวิตไปห้าปีแล้ว ส่วนพ่อนั้นทอดทิ้งทั้งสามคนไปตั้งแต่การันต์อายุได้เพียง 10 ขวบ ‘หมออิฐ’ หรือ ‘นายแพทย์อิทธิพล’ หมอหนุ่มวัย 34 ปี หน้าตาก็ไม่ได้แย่ ฐานะการเงินและการงานก็ดีเลิศ แต่กลับอกหักซ้ำซากจจน่าสงสาร (กระซิกๆ) เกวลินเคยพบหมออิฐตั้งแต่เธออยู่ ม.5 ในตอนนั้นหมออิฐมาที่โรงเรียนในฐานะศิษย์เก่า เขามาพูดแนะแนวเรื่องการสอบเข้าคณะแพทย์ เกวลินชอบเขามาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ก็รู้ดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะสอบคณะแพทย์ เธอเรียนคณะบริหาร ช่วยงานที่บ้านซึ่งเป็นร้านอาหาร ซึ่งอยู่ใกล้โรงพยาบาลที่หมออิฐทำงานอยู่ เขาไม่รู้จักเธอ แต่เธอรู้จักเขาและมีความสุขดีกับการแอบรักข้างเดียว หญิงสาวขับมอเตอร์ไซค์ส่งอาหารให้หมอ-พยาบาลที่โทรสั่งเป็นประจำ และแล้วกามเทพก็ทำงานให้เธอต้องมาใกล้ชิดกับคนที่แอบรักเข้าจนได้!
View More“ได้ยินว่าหมออิฐอกหักอีกแล้ว”
“พูดเป็นเล่น เห็นหวานออกสื่อขนาดนั้น”
“ก็ไม่รู้สินะ แต่ที่แน่ๆ หมออิฐอัพเดทสถานะโสดแล้วจ้า”
“แต่เหมือนได้ยินว่าหมออิฐก็เพิ่งอกหักไม่ใช่เหรอ”
“สี่ปีอกหักสามหนเลยนะ ธรรมดาที่ไหน”
“หมออิฐก็เป็นคนดีอยู่นะ ทำไมอกหักบ่อยจัง”
“อยากรู้ก็ไปดามอกให้หมออิฐดูสิ”
บทสนาของบรรดาพยาบาลสาวดึงดูดความสนใจของเกวลิน เธอไม่ได้ชอบสนใจเรื่องของคนอื่น แต่ที่สนใจก็เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ‘หมออิฐ’ หรือ ‘นายแพทย์อิทธิพล’ ผู้ชายที่เธอแอบรักข้างเดียวมานาน
“อ้าว น้องกะทิมาส่งข้าวเองเลยเหรอ” พยาบาลสาวคนหนึ่งเอ่ยทักเมื่อเห็นแม่ค้าหน้าหวานเข้ามาพร้อมถุงใส่กล่องอาหารนับสิบกล่อง
“ค่ะ วันนี้พี่ตะโก้ต้องเอารถไปซ่อมค่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้าง แม้มีหน้ากากอนามัยปิดครึ่งใบหน้าก็ตาม “มีน้ำใบเตยด้วยค่ะ อันนี้แถมฟรี”
“น่ารักจังเลย ขอให้ขายดีนะจ๊ะ” พยาบาลสาวรับถุงอาหารมาแล้วหยิบมือถือมาโอนค่าอาหารที่สั่งไว้
“เอ่อ... หมออิฐกลับมาจากโรงพยาบาลสนามแล้วเหรอค่ะ”
“อ้อ! ใช่จ๊ะ โรงพยาบาลสนามปิดแล้ว หมออิฐกลับมาประจำแผนกอายุรกรรม ลำบากกะทิแล้วนะ คนนี้กินยาก ถ้าวันไหนหมออิฐสั่งข้าวกล่อง พี่จะเขียนโน้ตไว้ให้เป็นพิเศษ”
“ไม่ลำบากเลยค่ะ พี่ ๆ สั่งมาได้เลยค่ะ”
หญิงสาวพยายามเก็บอาการตื่นเต้นดีใจไว้ใต้หน้ากากอนามัย แต่กระนั้น ดวงตากลมโตเป็นประกายรื่นเริง ‘หมออิฐกลับมาแล้ว’ เธอลอบมองไปด้านในของอาคารอีกครั้ง แม้ไม่เห็นอะไรเลย แต่หัวใจก็เต้นรัวด้วยความดีใจ
เกวลินหมุนตัวเดินกลับมาที่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจซึ่งเวลานี้ด้านหลังดันแปลงให้วางลังพลาสติกใบใหญ่ใส่อาหารได้ เธอหยิบหมวกกันน็อคที่ห้อยอยู่มาสวมศีรษะแล้วขับรถออมาช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง เพราะต้องช่วย ‘การันต์หรือตะโก้’พี่ชายคนเดียวของเธอส่งอาหารตามในละแวกใกล้เคียง ถึงจะต้องฝ่าอากาศร้อน แต่หญิงสาวก็ไม่เคยบ่นเพราะเป็นกิจการของครอบครัว
“ปั่นจักรยานได้ ขับรถยนต์เป็น มอเตอร์ไซค์ก็ไม่ยากหรอก”
หญิงสาวนึกถึงตอนที่พี่ชายสอนเธอขับมอเตอร์ไซค์ จะว่าไปการันต์ไม่อยากให้เธอขับมอเตอร์ไซค์นักหรอก แต่เพราะความจำเป็น หลังจากแม่ตายจาก ก็เหลือกันเพียงสองคนพี่น้อง พี่ชายรับหน้าที่เป็นพ่อครัว ส่วนเธอประจำตำแหน่งแคชเชียร์ พี่ชายลองปรับปรุงร้านเป็น ร้านอาหารกึ่งผับ เพิ่มรายได้ด้วยการขายเครื่องดื่มยามค่ำคืน ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับดีที่เดียว ทุกอย่างมันเหมือนจะไปได้ดีแล้วแท้ๆ แต่สถานการณ์โควิด-19ทำให้ผับของการันต์ต้องปิดร้านอย่างไม่มีกำหนด มาตราการของรัฐไม่ได้ช่วยอะไรคนทำงานกลางคืนนัก ไม่ว่าจะนักร้องนักดนตรี พนักงานในร้าน การันต์พยายามเต็มที่แล้ว แต่ไม่อาจช่วยทุกคนหรือแม้แต่ตัวเองได้ เงินเก็บร่อยหรอลงไปที่ละน้อย เพราะต้องลดต้นทุนลง ทำให้เหลือแค่พนักงานในร้านอีกสองคน และเธอเองก็มาช่วยงานในร้านด้วยเช่นกัน
“ขอโทษนะ พี่ทำให้เราลำบากแล้ว”
“ลำบากอะไรคะ เราพี่น้องกันนะ ถ้ากะทิไม่มีพี่ตะโก้ดูแล กะทิจะเป็นยังไง”
เกวลินจำได้ว่าตัวเองหัวเราะเสียงใส เธอรู้ดีว่าสถานการณ์อย่างนี้สิ่งที่การันต์ตัดสินใจนั้นดีที่สุดแล้ว เธอเองเพิ่งเรียนจบยังไม่มีงานประจำทำ ตอนนี้ทำได้แค่ช่วยงานพี่ชายไปก่อน พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจำหน้าพ่อไม่ได้ด้วยซ้ำและแม่ก็ไม่เก็บรูปพ่อไว้ให้ดู แต่เท่าที่พี่ชายเล่าให้ฟัง พ่อเป็นผู้ชายที่ไม่มีความเป็นพ่อเอาเสียเลย คงเพราะแบบนี้ การันต์จึงดูแลเธอราวกับเป็นพ่อคนที่สอง ส่วนแม่ก็หาเลี้ยงลูกสองคนด้วยการทำข้าวราดแกงขาย แม่เป็นคนขยันอดออมจนเก็บเงินซื้อบ้านและตึกแถวทำร้านอาหารได้ ในวันที่แม่ไม่อยู่จึงเป็นสมบัติอันมีค่าที่แม่ทิ้งไว้ให้ลูกทั้งสองคนได้ตั้งตัวได้
เกวลินขับมอเตอร์ไซค์กลับมาที่ร้านอาหารที่เคยเป็นผับของนักท่องราตรีมาก่อน หญิงสาวจอดรถเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาในร้าน ด้านหน้ามีลูกค้ามารอซื้ออาหารกลับบ้านอยู่สามสี่คน เธอล้างมือแล้วยื่นหน้าไปในครัว
“มีอะไรให้กะทิช่วยไหมคะ”
“มาพอดีเลย เอาใส่กล่องให้ลูกค้าหน่อย”
“ได้ค่ะ”
เกวลินช่วยจัดอาหารใส่กล่องลงถุงแล้วหิ้วไปหน้าร้าน
“กะเพรากุ้งกับข้าวผัดปูค่ะ” เธอร้องบอกรายการอาหาร ลูกค้าที่สั่งไว้ยื่นมือมารับแล้วแสกนคิวอาร์โค้ดจ่ายเงินให้
เดิมทีการันต์ก็ชอบทำอาหารอยู่แล้ว แต่เพราะต้องดูแลกิจการจึงไม่ได้เข้าครัวเอง แต่เขาอดสงสารน้องสาวไม่ได้ เธอควรใช้ชีวิตวัยรุ่นสนุกสนานกลับมาต้องช่วยงานในร้าน เขาอยากให้น้องเรียนต่อระดับปริญญาโท แต่การเงินที่ติดขัดแบบนี้ เขาไม่กล้ารับปากน้อง งานในร้านเบาบางลงแล้ว การันต์เช็ดมือแล้วเดินมารินน้ำดื่ม เกวลินกำลังทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายประจำวัน เขาเลิกคิ้วประหลาดใจที่ได้ยินเสียงน้องสาวกำลังร้องเพลงเบาๆ
“อารมณ์ดีจัง”
“อารมณ์ดีไม่ได้เหรอคะ”
“ใครทำน้องสาวพี่อารมณ์ดีหนอ” เขาหยอกล้อแล้วลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ “มีหนุ่มมาจีบเหรอ”
“กะทิอายุยี่สิบสองแล้วก็ให้มีคนมาจีบหน่อยเถอะค่ะ” เธอหัวเราะไม่ได้จริงจังนัก “ชอบเวลานับเงินจังเลย”
“ไม่เหนื่อยเหรอ ตากแดดตัวดำแล้ว”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยค่ะ” เกวลินรู้ว่าพี่ชายเป็นห่วง “ขับรถไปใกล้ๆนี่เอง แล้วทุกคนในร้านก็ยุ่งด้วย เราจะจ่ายเงินจ้างไรเดอร์ทุกครั้งก็ไม่ไหวนะคะ ให้กะทิช่วยเถอะค่ะ อีกอย่างแค่โรงพยาบาลใกล้ๆ นี่เอง”
“อ้อ...ที่อารมณ์ดีเพราะได้เจอหมออิฐละสิ”
“พี่ตะโก้” เกวลินแสร้งแยกเขี้ยวใส่กลบเกลือนอาการเขินอายของตนเอง
“ยังแอบชอบหมออิฐอยู่อีกเหรอเนี้ย”
“แอบรักค่ะไม่ใช่แอบชอบ”
เกวลินทำเป็นไม่สนใจ พี่ชายแค่ยื่นขยี้ผมน้องสาวเล่น แล้วลุกขึ้นไปทำงานอื่น หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ก็แค่ ‘แอบรัก’ ก็เท่านั้น เธอรู้จัก ‘หมออิฐ’ เพราะเขาเคยมาโรงเรียนในฐานะศิษย์เก่า มาพูดแนะนำเรื่องการสอบเข้าคณะแพทย์ สำหรับเกวลินที่ตอนนั้นเรียนอยู่แค่ ม.5รู้สึกประทับใจมาก จนแอบจดชื่อนามสกุลแล้วส่องตามโลกโซเซียล เธอไม่กล้าแสดงตัว ได้แต่แอบติดตามข่าวคราวของเขาเงียบๆ เธอไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่ก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้ เลือกเรียนคณะบริหารเพราะคิดว่าจบมาจะหางานทำได้ง่าย แต่ก็ดันมาเจอช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่เอาอย่างนี้
ไม่รู้ทำไม จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เธอที่เฝ้ามองเขาอยู่ไกลๆ ค่อยติดตามข่าวของเขาเสมอ แม้มีโอกาสได้ใกล้ชิดก็ไม่เคยแสดงความรู้สึกข้างในออกไป จนวันนี้...เขาอยู่ตรงหน้าและบอกรักเธอ “คนดี ร้องไห้ทำไมครับ” เขายิ้มแล้วจูบซับหยดน้ำตาให้ “ไม่รู้ค่ะ สงสัยไม่สบายแน่เลย” คราวนี้เกวลินหัวเราะทั้งน้ำตา จริงสินะ เวลาแบบนี้ต้องยิ้มดีใจต่างหากล่ะ “อื้ม...ไม่สบายเหรอ งั้นหมอตรวจให้นะครับ” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม มือไม้เริ่มลูบไล้ไปตามเรือนร่างที่โหยหาย “พี่อิฐ! คนกำลังซึ้ง” เธอตีมือเขาแต่กลับหัวเราะร่วนจนกระทั่งเขาอุ้มเธอมาที่เตียงเล็กของเธอเอง “ก็กะทิไม่สบาย พี่จะทำให้สบายตัวไงครับ” ปลายลิ้นร้อนตวัดเลียติ่งหูทำให้หญิงสาวหลุดเสียงครางออกมา มือเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาแล้วกระซิบเสียงหวาน “กะทิรักพี่อิฐค่ะ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยภาษากาย เขาขยับเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวลจนคนใต้ร่างได้แต่ครวญครางเรียกร้องให้เขาเติมเต็มความปรารถนาที่เอ่อล้น สองร่างแนบชิดกลายเป็นหนึ่งผสานเสียงลมหายใจและหัวใจสองดวงเต้นไปพร
“อยู่บ้านคนเดียวล็อกบ้านดีๆ ล่ะ” การันต์ย้ำกับน้องสาว “ทำเหมือนจะไปหลายวัน” เกวลินแลบลิ้นใส่ “ไปเถอะค่ะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอไม่ดีนะคะ” การันต์พยักหน้าแล้วเดินไปที่รถพร้อมวายุ เกวลินรอจนรถออกไปแล้วจึงเดินเข้ามาในบ้าน เกวลินเดินไปหยิบน้ำผลไม้ในตู้เย็นรินใส่แก้ว ยังไม่ทันยกขึ้นดื่มก็ได้ยินเสียงกดออดที่หน้าบ้าน เธอวางแก้วลงแล้วเดินมาที่ประตู “ลืมอะไรหรือคะพี่ตะโก้” เธอถามทันทีที่เปิดประตูออก ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่ใช่พี่ชายที่เธอเข้าใจผิดคิดว่าคงลืมของจึงกลับมา “ทำไมไม่ดูให้ดีก่อนเปิดประตู ถ้าเป็นโจรขึ้นมาจะทำยังไง” คนตัวสูงดุแล้วเดินเข้าไปราวกับเป็นบ้านของตัวเองเสียงล็อกประตูทำให้เกวลินได้สติ เธอไม่คิดว่าเขาจะมายืนตรงหน้าอย่างนี้ “พี่...พี่อิฐ” “ก็พี่ไง หรือรอใครอยู่” อิทธิพลขมวดคิ้วแล้วกวาดตามอง “ตะโก้กับวายุไม่อยู่เหรอ” “ค่ะ...ออกไปข้างนอก...” “ดี...พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” “เดี๋ยวนะคะ ขอกะทิทำใจก่อน” “ทำใจอะไร” อิทธิพลขมวดคิ้ว “พี่อิฐมาบอกเลิกกะท
เกวลินโผล่หน้ามาดู แค่พี่ชายพยักหน้าให้เธอก็ผลุบกลับเข้าไปในครัว รินน้ำดื่มสองแก้วแล้วเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง แต่เธอคิดว่าคงไม่เหมาะจะนั่งฟังด้วยจึงหลบไปด้านหลัง ได้แต่ส่งยิ้มให้กำลังวายุที่ยืนหน้าซีดอยู่ และเป็นการันต์ที่กระตุกมือให้วายุนั่งลงข้างเขา “ลูก...ดูสบายดีนะ” คนเป็นแม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผมสบายดี” วายุตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่สองมือบีบกันแน่น การได้พบแม่ไม่ได้ทำให้เขากังวลได้เท่ากับเห็นพ่อมาอยู่ตรงหน้าด้วย เขากลัวว่าพ่อจะทำร้ายคนที่บ้านนี้ ซึ่งเขาไม่ยอมให้มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นเด็ดขาด “พ่อรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่” “วันนี้พ่อเห็นแกไปออกบูธก็เลยให้คนตามดู” คนเป็นพ่อเอ่ยเสียงอ่อนล้า “ทำไมครับ อยากเห็นว่าผมจะใช้ชีวิตเหลวแหลกอย่างที่พ่อประณามไว้หรือเปล่านะเหรอ” น้ำเสียงวายุก็ปวดร้าวไม่แพ้กัน “เปล่าๆ....พ่อ...พ่ออยากให้แกกลับบ้าน” ถ้อยคำที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของคนตรงหน้าทำให้วายุนิ่งงันไป เขาย้ายสายตาไปมองมารดาที่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา “กลับบ้านเ
‘ใครเป็นฝ่ายทักกันก่อนเล่า’ เกวลินขมวดคิ้วแล้วฉีกยิ้มทักทาย “ว่าไง”“ว่าไง?” เอมอรแอบเบ้ปากในใจ “ก็ไม่มีอะไร แค่จำได้ว่าเธอออกจากโรงเรียนกลางเทอมนี่ ได้ยินว่าท้องเลยหนีตามผู้ชายไป แล้วเป็นไงบ้างล่ะ ป่านนี้ลูกคนโตแล้วสินะ มีอะไรให้เพื่อนอย่างฉันช่วยก็บอกมาได้เลยนะ”แม้เอมอรไม่ได้ใช้น้ำเสียงดังอะไรนัก แต่ถ้อยคำของเธอทำให้คนที่ได้ยินถึงกับนิ่งไป นั้นหมายถึงคุณเกริกและคุณลาวัลย์ที่อดปรายตามองทางเกวลินไม่ได้ หญิงสาวสูดลมหายใจลึกอ้าปากจะโต้เถียงแต่กลับเป็นการันต์ที่ทนไม่ไหวชิงพูดออกไปก่อน“ท้องอะไร หนีตามผู้ชายอะไร” การันต์พูดเสียงดังอย่าไม่อายใครและไม่มีอะไรให้อายด้วย “ยัยกะทิออกจากโรงเรียนตอนม.5ก็จริง แต่เพราะมาดูแลแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แต่ก็ไปสอบกศน.จนได้วุฒิม.ปลายไง รู้จักไหม การศึกษานอกโรงเรียนนะ แล้วถ้ายัยกะทิเรียนไม่จบม.ปลายมันจะเอาวุฒิที่ไหนไปเรียนมหาวิทยาลัยจนได้เกียรตินิยมอันดับสองเล่า! คิดจะปั้นเรื่องใส่ความคนอื่นก็ช่วยให้มันใกล้เคียงกับความจริงหน่อยเซ่!”“ตะโก้!ใจเย็นๆ” วายุรั้งแขนการันต์ไว้เพราะกลัวว่าคนรักจะเข้าไปตบตีอีกฝ่าย ถึงยังไงคู่กรณีก็เป็นผู้หญิง ทำอะไรไปก็
การันต์สบตากับวายุแล้วปลดหน้ากากอนามัยออก ทั้งที่เขาบอกกับวายุไม่ต้องมาช่วยก็ได้ แต่อีกฝ่ายก็เป็นห่วงน้องสาวของเขาที่ยังเจ็บขาอยู่จึงมาช่วยงาน ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองคิดไม่ผิดที่พาวายุเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว วายุดึงปลดหน้ากากอนามัยออกแล้วเอียงตัวไปทางการันต์เล็กน้อย มองผิวเผินเหมือนเพื่อนถ่ายรูปคู่กัน มีเพียงแววตาที่มองกันนั้นแตกต่างจากคำว่า ‘เพื่อน’โอ๊ย! พี่ชายเธอตัวใหญ่ยักษ์แต่พี่วายุก็ไม่ได้ตัวเล็กแต่เพราะสูงโปร่งเลยดูบอบบางไปเลย เกวลินกดบันทึกภาพรัวๆ นานๆ จะมีรูปถ่ายคู่กันนอกบ้านที แอบดีใจที่พี่ชายได้เจอคนรู้ใจที่เข้าอกเข้าใจกันดี ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้ หญิงสาวแอบถอนหายใจ บางทีเธอก็คิดว่าตัวเองฝันไปที่ได้คบกับอิทธิพล เขาดูสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง จนบางทีเธอก็คิดว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะยืนเคียงข้าง แต่เพราะเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขายามที่อยู่ด้วยกัน ทำให้เธอคิดได้ว่า...ขอแค่ทำให้เขามีความสุขแค่นี้ก็พอแล้ว“หนูกะทิอยู่นี่เอง”เสียงทักจากด้านหลังทำให้เกวลินหันไปส่งยิ้มพร้อมยกมือไหว้ทันที “สวัสดีค่ะคุณลาวัลย์ คุณเกริก”“เรียกเสียห่างเหินเชียว” คุณเกริกหัวเร
“จะดีเหรอคะ นานๆ เลี้ยงทีก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเลี้ยงบ่อยนักหรอก เดี๋ยวกะทินิสัยเสียเอาแต่ใจตัวเองขึ้นมา พี่อิฐจะลำบากเอานะ” ตั้งแต่เคยมีแฟนมาก็มีคนนี้ที่บ่นว่าเขาเลี้ยงเธอบ่อยเกินไป อิทธิพลไม่รู้จะทำยังไงดี บางทีทำตัวก็เป็นเด็ก แต่บางครั้งก็เป็นคนมีเหตุผล “ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ พี่ชายกะทิบอกให้พี่ไปกินข้าวเย็นที่ร้านได้ กะทิจะได้ไม่ต้องออกมาส่งข้าวให้พี่กิน นี่พี่ก็ประหยัดมื้อเย็นไปอีกหนึ่งมื้อเชียวนะ” เกวลินคิดตามแล้วก็พยักหน้ารับ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่รู้ผิดว่าตัวเองเอาเปรียบเขามากไป “พี่ถามอะไรหน่อยสิ” “ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับพลางยกน้ำขึ้นดื่ม “พี่เห็นที่บ้านมีผู้ชายอีกคน ...คนนั้นใครเหรอ” “อ้อ!พี่วายุค่ะ” “แล้ว?” “เอ่อ...” เกวลินชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ใจหนึ่งก็กลัวว่าเขาจะรังเกียจที่พี่ชายเธอเป็นเกย์ แต่อีกใจก็ไม่รู้ว่าจะปิดบังทำไม พูดไปตรงๆ ดีกว่า “พี่วายุ...เป็นแฟนของพี่ตะโก้ค่ะ” “แฟน?” “อื้ม... ก็แฟนแบบเราสองคนนี้ไง”
“ก็คนเพิ่งคบกันก็อยากให้มั่นใจก่อนไง ที่พี่ตะโก้กับพี่วายุก็ยังคบหาดูใจกันก่อนที่พี่ตะโก้จะพาพี่วายุมาเจอกะทิเลย” “ก็ตะโก้หวงกะทิไง” “กะทิก็หวงพี่ตะโก้นะ แต่เพราะกะทิรักพี่ตะโก้ไง ถ้าพี่รักใครกะทิก็รักด้วย แล้วกะทิก็รู้ว่าพี่วายุเป็นคนดีก็เลยไม่เคยห้ามไง มันไม่ได้เข้าใจอะไรยากเลย” “ก็...” “จะยืนคุยให้แผลอักเสบหรือไง มานั่งนี่” การันต์หันมาตวาด วายุประคองเกวลินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ เพียงหย่อนก้นลงนั่ง พี่ใหญ่ของบ้านก็ยกชามโจ๊กข้าวกล้องหอมกรุ่นมาวางบนโต๊ะ “แค่เป็นแผลถลอกต้องกินโจ๊กเลยเหรอคะ” น้องสาวเริ่มเล่นบทอ้อนแต่พี่ยังนั่งหน้าตึงใส่ เธอจึงยกช้อนคนชามโจ๊กของตนเอง “หมอให้งดแค่ของหมักดองกับพวกเหล้าเบียร์นี่ค่ะ” “จะกินมั้ย” “กินค่ะ” เกวลินช้อนตาขึ้นมองพี่ชายนั่งกอดอกจ้องหน้าเธอนิ่ง เธอหลุบตามองโจ๊กในชามแล้วก็เผลอยิ้มออก “โจ๊กไก่ฉีกของโปรดใครน๊า แม่บอกว่าอยากกินอะไรก็ใส่ลงไป กะทิชอบกินกากหมูกรอบๆ พี่ตะโก้ก็ทำใส่ให้ ใส่ขิงซอยหน่อย โรยใบขึ้นฉ่ายนิดหนึ่ง ตอนเด็กๆ กะทิแยกใบขึ้นฉ่าย (คื่นไฉ่)ก็ใบผ
“ขอบคุณมากครับ” อิทธิก้มศีรษะให้เล็กน้อย เขาถอยออกมาให้พยาบาลทำแผลเกวลินจนเสร็จ เวรเปลเข็นรถมารอรับคนเจ็บไปเอ็กซ์เรย์และสแกนสมอง อิทธิพลเดินเข้าไปสอบถามคุณหมอท่านเดิมอีกครั้งก่อนเดินตามเกวลินไปเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร หญิงสาวได้แต่รู้สึกอึดอัดทำอะไรไม่ถูก เขาไม่พูด ไม่ยิ้ม ไม่ถาม ยิ่งกดดันจนเธอไม่รู้ว่าต้องทำยังไง จนเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจร่างกายและหมอสรุปว่าเธอบาดเจ็บแค่ภายนอก และให้ฉีดวัคซีนป้องกันการเป็นบาดทะยัก“นั่งรออยู่นี่ เดี๋ยวผมไปรับยาให้เอง” เขาพูดแล้วรับใบรับยาของเกวลินมา เขาไม่ได้มองหน้าเธอด้วยซ้ำแต่เดินหายไปทิ้งเธอนั่งบีบมือตัวเองไปมาบนรถเข็น เขาหายไปราวสิบนาทีแล้วเดินกลับมาพร้อมถุงยา อาจเพราะเป็นหมอไปรับยาเองเลยได้เร็วกว่า เขาคงรีบร้อนมาดูเธอ เสื้อกาวน์ก็ไม่ได้ถอด ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว เขายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยสินะ หญิงสาวรู้สึกผิดหนักขึ้นไปอีกจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาอิทธิพลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่ได้ถามเธอด้วยซ้ำว่าไปทำยังไงถึงประสบอุบัติแบบนี้ เขาปรับอารมณ์ตัวเองแล้วเอ่ยขึ้น“โทรบอกพี่ชายให้มารับสิ”“คะ?” เกวลินเงยหน้าขึ้น ทวนสิ่งที่ได้ยินแล้วส่ายหน้าไปมา“แผลนิด
‘ไม่ว่ายังไง วายุก็เป็นลูกของแม่ ลูกไปเถอะ ไปใช้ชีวิตที่ลูกต้องการ’ ‘แต่ผมเป็นห่วงแม่’ ‘มันคงเป็นเวรกรรมของแม่เอง ลูกไปเถิดนะ แม่อยากเห็นลูกมีความสุข’ วันที่ออกจากบ้านมีเงินติดตัวมาไม่กี่พันบาท เสื้อผ้าไม่กี่ชุดและสะพายกีต้าร์ออกมา พ่ออายัติเงินในบัญชีและบัตรเครดิต เขาจำต้องหาห้องเช่าราคาถูก ทำงานร้องเพลงตามผับบาร์ ต้องวิ่งรอกหลายที่ต่อคืนเพื่อจะได้มีเงินพอใช้จ่าย ชีวิตมันไม่ได้สวยงามสะดวกสบายแต่ก็แลกมากับความสุขใจ จนกระทั่งได้เจอกับการันต์ที่มากินเหล้าที่ในคืนที่เขาร้องเพลงอยู่ ความสัมพันธ์ค่อยๆ พัฒนาขึ้น การันต์ช่วยดูแลเขาจนได้ได้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านเดียวกันแบบนี้ เขาหัวเราะขื่นๆ นึกถึงวันที่ได้พบคุณเกริกกับคุณลาวัลย์ ทั้งสองเป็นเพื่อนของบิดาของเขา แต่คงจำเขาไม่ได้เพราะไม่ได้พบหน้ากันหลายปี พ่ออับอายถึงขนาดปล่อยข่าวว่าลูกไปอยู่เมืองนอกเชียวหรือ? ยังดีที่เขาโทรหาแม่อยู่บ่อยๆ พอรู้ว่าแม่ยังสบายดีอยู่จึงไม่ค่อยกังวลนัก เพล้ง! เสียงของตกแตกทำให้วายุตื่นจากภวังค์แล้วหันไปมองที่ต้นเสียง การันต์ยืนนิ่งงันมองแ
Comments