เกวลินโผล่หน้ามาดู แค่พี่ชายพยักหน้าให้เธอก็ผลุบกลับเข้าไปในครัว รินน้ำดื่มสองแก้วแล้วเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง แต่เธอคิดว่าคงไม่เหมาะจะนั่งฟังด้วยจึงหลบไปด้านหลัง ได้แต่ส่งยิ้มให้กำลังวายุที่ยืนหน้าซีดอยู่ และเป็นการันต์ที่กระตุกมือให้วายุนั่งลงข้างเขา “ลูก...ดูสบายดีนะ” คนเป็นแม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผมสบายดี” วายุตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่สองมือบีบกันแน่น การได้พบแม่ไม่ได้ทำให้เขากังวลได้เท่ากับเห็นพ่อมาอยู่ตรงหน้าด้วย เขากลัวว่าพ่อจะทำร้ายคนที่บ้านนี้ ซึ่งเขาไม่ยอมให้มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นเด็ดขาด “พ่อรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่” “วันนี้พ่อเห็นแกไปออกบูธก็เลยให้คนตามดู” คนเป็นพ่อเอ่ยเสียงอ่อนล้า “ทำไมครับ อยากเห็นว่าผมจะใช้ชีวิตเหลวแหลกอย่างที่พ่อประณามไว้หรือเปล่านะเหรอ” น้ำเสียงวายุก็ปวดร้าวไม่แพ้กัน “เปล่าๆ....พ่อ...พ่ออยากให้แกกลับบ้าน” ถ้อยคำที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของคนตรงหน้าทำให้วายุนิ่งงันไป เขาย้ายสายตาไปมองมารดาที่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา “กลับบ้านเ
“อยู่บ้านคนเดียวล็อกบ้านดีๆ ล่ะ” การันต์ย้ำกับน้องสาว “ทำเหมือนจะไปหลายวัน” เกวลินแลบลิ้นใส่ “ไปเถอะค่ะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอไม่ดีนะคะ” การันต์พยักหน้าแล้วเดินไปที่รถพร้อมวายุ เกวลินรอจนรถออกไปแล้วจึงเดินเข้ามาในบ้าน เกวลินเดินไปหยิบน้ำผลไม้ในตู้เย็นรินใส่แก้ว ยังไม่ทันยกขึ้นดื่มก็ได้ยินเสียงกดออดที่หน้าบ้าน เธอวางแก้วลงแล้วเดินมาที่ประตู “ลืมอะไรหรือคะพี่ตะโก้” เธอถามทันทีที่เปิดประตูออก ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่ใช่พี่ชายที่เธอเข้าใจผิดคิดว่าคงลืมของจึงกลับมา “ทำไมไม่ดูให้ดีก่อนเปิดประตู ถ้าเป็นโจรขึ้นมาจะทำยังไง” คนตัวสูงดุแล้วเดินเข้าไปราวกับเป็นบ้านของตัวเองเสียงล็อกประตูทำให้เกวลินได้สติ เธอไม่คิดว่าเขาจะมายืนตรงหน้าอย่างนี้ “พี่...พี่อิฐ” “ก็พี่ไง หรือรอใครอยู่” อิทธิพลขมวดคิ้วแล้วกวาดตามอง “ตะโก้กับวายุไม่อยู่เหรอ” “ค่ะ...ออกไปข้างนอก...” “ดี...พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” “เดี๋ยวนะคะ ขอกะทิทำใจก่อน” “ทำใจอะไร” อิทธิพลขมวดคิ้ว “พี่อิฐมาบอกเลิกกะท
ไม่รู้ทำไม จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เธอที่เฝ้ามองเขาอยู่ไกลๆ ค่อยติดตามข่าวของเขาเสมอ แม้มีโอกาสได้ใกล้ชิดก็ไม่เคยแสดงความรู้สึกข้างในออกไป จนวันนี้...เขาอยู่ตรงหน้าและบอกรักเธอ “คนดี ร้องไห้ทำไมครับ” เขายิ้มแล้วจูบซับหยดน้ำตาให้ “ไม่รู้ค่ะ สงสัยไม่สบายแน่เลย” คราวนี้เกวลินหัวเราะทั้งน้ำตา จริงสินะ เวลาแบบนี้ต้องยิ้มดีใจต่างหากล่ะ “อื้ม...ไม่สบายเหรอ งั้นหมอตรวจให้นะครับ” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม มือไม้เริ่มลูบไล้ไปตามเรือนร่างที่โหยหาย “พี่อิฐ! คนกำลังซึ้ง” เธอตีมือเขาแต่กลับหัวเราะร่วนจนกระทั่งเขาอุ้มเธอมาที่เตียงเล็กของเธอเอง “ก็กะทิไม่สบาย พี่จะทำให้สบายตัวไงครับ” ปลายลิ้นร้อนตวัดเลียติ่งหูทำให้หญิงสาวหลุดเสียงครางออกมา มือเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาแล้วกระซิบเสียงหวาน “กะทิรักพี่อิฐค่ะ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยภาษากาย เขาขยับเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวลจนคนใต้ร่างได้แต่ครวญครางเรียกร้องให้เขาเติมเต็มความปรารถนาที่เอ่อล้น สองร่างแนบชิดกลายเป็นหนึ่งผสานเสียงลมหายใจและหัวใจสองดวงเต้นไปพร
“ได้ยินว่าหมออิฐอกหักอีกแล้ว” “พูดเป็นเล่น เห็นหวานออกสื่อขนาดนั้น” “ก็ไม่รู้สินะ แต่ที่แน่ๆ หมออิฐอัพเดทสถานะโสดแล้วจ้า” “แต่เหมือนได้ยินว่าหมออิฐก็เพิ่งอกหักไม่ใช่เหรอ” “สี่ปีอกหักสามหนเลยนะ ธรรมดาที่ไหน” “หมออิฐก็เป็นคนดีอยู่นะ ทำไมอกหักบ่อยจัง” “อยากรู้ก็ไปดามอกให้หมออิฐดูสิ” บทสนาของบรรดาพยาบาลสาวดึงดูดความสนใจของเกวลิน เธอไม่ได้ชอบสนใจเรื่องของคนอื่น แต่ที่สนใจก็เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ‘หมออิฐ’ หรือ ‘นายแพทย์อิทธิพล’ ผู้ชายที่เธอแอบรักข้างเดียวมานาน “อ้าว น้องกะทิมาส่งข้าวเองเลยเหรอ” พยาบาลสาวคนหนึ่งเอ่ยทักเมื่อเห็นแม่ค้าหน้าหวานเข้ามาพร้อมถุงใส่กล่องอาหารนับสิบกล่อง “ค่ะ วันนี้พี่ตะโก้ต้องเอารถไปซ่อมค่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้าง แม้มีหน้ากากอนามัยปิดครึ่งใบหน้าก็ตาม “มีน้ำใบเตยด้วยค่ะ อันนี้แถมฟรี” “น่ารักจังเลย ขอให้ขายดีนะจ๊ะ” พยาบาลสาวรับถุงอาหารมาแล้วหยิบมือถือมาโอนค่าอาหารที่สั่งไว้ “เอ่อ... หมออิฐกลับมาจากโรงพยาบาลสนามแล้วเหรอค
แต่หมออิฐคงจำเธอไม่ได้ เขาเคยเป็นลูกค้าประจำของร้าน มานั่งดื่มและฟังเพลงเดือนละครั้งสองครั้ง เขาก็เหมือนคนอื่น มาดื่ม มาฟังเพลง มาผ่อนคลาย เธอไม่เคยเข้าไปทักเขาสักที เพราะหลายครั้งที่เขามาก็มีหญิงสาวมาด้วยเสมอ แต่คืนนั้นเธอถูกลูกค้าเมาลวนลามและบังเอิญเขาเข้ามาช่วย การันต์รู้เข้าจึงเลี้ยงเครื่องดื่มแทนคำขอบคุณ ทำให้นับตั้งแต่นั้น เธออยากรู้จักนายแพทย์อิทธิพลหรือหมออิฐมากยิ่งขึ้น และรู้ว่าเขามีหญิงสาวคบอยู่ด้วย เธอจึงพอใจกับการเฝ้ามองและติดตามเขาอยู่ห่างๆ จนกระทั่งการันต์ต้องปิดผับมาเปิดร้านอาหารตามเดิม และมีบริการเดลิเวอรี่ มีลูกค้าที่ทำงานที่โรงพยาบาลให้เธอนำข้าวกล่องไปส่ง ทำให้เธอได้พบหมออิฐอีกครั้ง ซึ่งเธอก็ไม่เคยอยู่ในสายตาเขาอยู่ดี แต่ เธอใส่ใจรายการอาหารของหมออิฐเป็นพิเศษ ทำให้จำได้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร คนที่ดูเหมือนง่ายๆอะไรก็ได้จึงไม่ง่ายอย่างที่คิด “ตั้งแต่สั่งข้าวกล่องมา หมออิฐชอบกินข้าวกล่องร้านของหนูกะทิที่สุด แกเรื่องมากจริงๆ ผัดกระเพราต้องเป็นผัดกระเพรา ไม่ใส่ถั่วฝักยาวหรือแคร์รอต เมนูปลาต้องไม่คาว ถ้าวันไหนสั่งไข่ดาว ต้องให้ไข่ดาวเยิ้มๆ ไข่ข
“ผมสามสิบกว่าแล้วนะพ่อ เรียนจบมีงานทำแล้ว แค่ยังหาเมียไม่ได้แค่นั้นเอง แล้วเดี๋ยวนี้ใครเขามาคิดเรื่องพวกนี้กันเล่า”“เอาน่าๆ พ่อลูกคู่นี้ก็คุยกันดีๆ ไม่เป็นหรือไง” แม่ออกโรงห้ามทัพก่อนที่พ่อลูกจะปะทะฝีปากกันมากไปกว่านี้ “พ่อกับแม่ก็แค่เป็นห่วง แต่ถ้าแกอยากอยู่คนเดียวไปทั้งชีวิตก็เตรียมวางแผนซื้อประกันชีวิตหรือดูบ้านพักคนชราไว้ก็ดีนะลูกนะ”คราวนี้เขาถึงกับหน้าหน้ายู่ อายุแค่สามสิบสี่ให้วางแผนใช้ชีวิตที่บ้านพักคนชรา แต่พ่อกลับหัวเราะพรืดออกมาแล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับแม่ บ้านนี้มีลูกชายสามคน พี่ชายสองคนแต่งงานแยกกันไปสร้างครอบครัวของตัวเอง ส่วนเขาที่ยังโสดแต่ไม่อยากอยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ ย่องไปซื้อคอนโดไว้ซุกหัวนอน แต่ก็กลับบ้านทุกเดือน เช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสองที่แวะเวียนพาลูกมาเยี่ยมคุณปู่คุณย่าบ่อยๆ แต่พอกลับไปแล้วบ้านก็เงียบ ตอนนี้พ่อที่เกษียณตัวเองมาปลูกต้นไม้เล็กๆ น้อยๆ ขายเป็นงานอดิเรกจึงว่างมาเทศนาสั่งสอนเกมบังคับให้เขาแต่งงานเสียทีชายหนุ่มเผลอถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ไม่ได้อยากอยู่เป็นโสดนี่ คนล่าสุดที่เพิ่งเลิกลากันไปก็เพราะทัศคติไม่ตรงกัน คนเป็นหมอก็ไม่ใช่ว่าอยากเปิดคลินิก
“แวะเอาข้าวไปให้แมวจรค่ะ เลยมาช้าไปนิดหนึ่ง” เกวลินยิ้มทะเล้นแล้วหันไปทางวายุ “หิวจังเลยค่ะ มีอะไรกินบ้างคะ” “ตะโก้ทำไข่พะโล้ไว้ แล้วก็มีทอดมันปลากราย น้องกะทิจะกินเลยไหม พี่จะอุ่นกับข้าวให้กินร้อนๆ” “กินเลยดีกว่าค่ะ กินข้าวแล้วกะทิจะได้ไปอาบน้ำ” พูดจบก็เช็ดมือกับผ้าเช็ดมือที่แขวนอยู่ด้านข้างแล้วเดินไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าว พี่ชายส่ายหน้าไปมาแล้วหยิบจานตักข้าวให้น้องสาว เขาทำหน้าที่ทุกอย่างในบ้านเป็นแทนแม่ที่ตายจากไปได้ห้าปีแล้ว ส่วนพ่อแท้ๆ นั้นทออดทิ้งไปตั้งแต่เกวลินอายุได้สิบขวบ เดิมทีอยู่กันสองคนพี่น้อง แต่ตอนนี้ชีวิตเขามี ‘วายุ’ เพิ่มเข้ามาเป็นหนึ่งในครอบครัวของเขา แรกทีเดียวก็กลัวน้องสาวจะรับไม่ได้ แต่หลังจากคบหาดูใจในฐานะ ‘คนรัก’ มาสองปี และเมื่อลองถามเกวลินดู น้องสาวไม่ขัดข้องอะไร เขาจึงให้วายุย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน เกวลินเองไม่ติดขัดที่รู้ว่าพี่ชายมีคนรักเป็นผู้ชาย ยุคนี้แล้ว เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดา วายุเข้ามาอยู่ร่วมบ้านได้สองเดือนแล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไร แถมยังคอยดูแลเธออีกด้วย ก็ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่งเลยทีเดีย
“พี่ไม่เข้าใจจริงๆ หมออิฐอะไรนี่มีอะไรดี กะทิถึงได้หลงใหลคลั่งไคล้ขนาดนี้” “ก็ต้องมีดีสิ ไม่งั้นกะทิจะชอบเหรอ” “แต่ถ้าดีจริงทำไมอกหักบ่อยนักล่ะ” “นั้นแน่! ปากบอกไม่สนใจก็ยังรู้ว่าหมออิฐอกหักบ่อย แต่เรื่องแบบนี้มันก็พูดยากนะคะ สู้แอบรักอย่างกะทิไม่ได้ ไม่วันอกหักเพราะไม่เคยบอกรักเลยไง ฮะฮ่า” ‘แบบนี้ก็ได้เหรอ’ การันต์อ้าปากค้างแล้วหันไปสบตากับวายุ เสียงหัวเราะดังขึ้นในครัวขนาดเล็ก วายุดีใจที่ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ ด้วยความที่เขาชอบเพศเดียวกันทำให้คนในครอบครัวของตัวเองยอมรับไม่ได้ และเขาเป็นนักดนตรีกลางคืน แต่เมื่อได้มาเจอกับการันต์และเกวลิน เขารู้สึกสัมผัสถึงคำว่า ‘ครอบครัว’เป็นครั้งแรก และเขาจะรักษาสิ่งนี้ไว้ด้วยชีวิตของเขาเอง ………. “กว่าจะนัดเจอกันได้แต่ละที เริ่มยากเย็นเข้าไปทุกครั้งแล้วสินะ” อิทธิพลบ่นเพื่อนในกลุ่มสี่ห้าคนที่นานๆ จะมารวมกลุ่มกันสักที เป็นเพื่อนซี้รู้จักกันตั้งแต่มัธยมปลายจนถึงทุกวันนี้ “มึงก็พูดไป ลองมีลูกเหมือนพวกกูบ้างจะได
ไม่รู้ทำไม จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เธอที่เฝ้ามองเขาอยู่ไกลๆ ค่อยติดตามข่าวของเขาเสมอ แม้มีโอกาสได้ใกล้ชิดก็ไม่เคยแสดงความรู้สึกข้างในออกไป จนวันนี้...เขาอยู่ตรงหน้าและบอกรักเธอ “คนดี ร้องไห้ทำไมครับ” เขายิ้มแล้วจูบซับหยดน้ำตาให้ “ไม่รู้ค่ะ สงสัยไม่สบายแน่เลย” คราวนี้เกวลินหัวเราะทั้งน้ำตา จริงสินะ เวลาแบบนี้ต้องยิ้มดีใจต่างหากล่ะ “อื้ม...ไม่สบายเหรอ งั้นหมอตรวจให้นะครับ” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม มือไม้เริ่มลูบไล้ไปตามเรือนร่างที่โหยหาย “พี่อิฐ! คนกำลังซึ้ง” เธอตีมือเขาแต่กลับหัวเราะร่วนจนกระทั่งเขาอุ้มเธอมาที่เตียงเล็กของเธอเอง “ก็กะทิไม่สบาย พี่จะทำให้สบายตัวไงครับ” ปลายลิ้นร้อนตวัดเลียติ่งหูทำให้หญิงสาวหลุดเสียงครางออกมา มือเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาแล้วกระซิบเสียงหวาน “กะทิรักพี่อิฐค่ะ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยภาษากาย เขาขยับเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวลจนคนใต้ร่างได้แต่ครวญครางเรียกร้องให้เขาเติมเต็มความปรารถนาที่เอ่อล้น สองร่างแนบชิดกลายเป็นหนึ่งผสานเสียงลมหายใจและหัวใจสองดวงเต้นไปพร
“อยู่บ้านคนเดียวล็อกบ้านดีๆ ล่ะ” การันต์ย้ำกับน้องสาว “ทำเหมือนจะไปหลายวัน” เกวลินแลบลิ้นใส่ “ไปเถอะค่ะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอไม่ดีนะคะ” การันต์พยักหน้าแล้วเดินไปที่รถพร้อมวายุ เกวลินรอจนรถออกไปแล้วจึงเดินเข้ามาในบ้าน เกวลินเดินไปหยิบน้ำผลไม้ในตู้เย็นรินใส่แก้ว ยังไม่ทันยกขึ้นดื่มก็ได้ยินเสียงกดออดที่หน้าบ้าน เธอวางแก้วลงแล้วเดินมาที่ประตู “ลืมอะไรหรือคะพี่ตะโก้” เธอถามทันทีที่เปิดประตูออก ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่ใช่พี่ชายที่เธอเข้าใจผิดคิดว่าคงลืมของจึงกลับมา “ทำไมไม่ดูให้ดีก่อนเปิดประตู ถ้าเป็นโจรขึ้นมาจะทำยังไง” คนตัวสูงดุแล้วเดินเข้าไปราวกับเป็นบ้านของตัวเองเสียงล็อกประตูทำให้เกวลินได้สติ เธอไม่คิดว่าเขาจะมายืนตรงหน้าอย่างนี้ “พี่...พี่อิฐ” “ก็พี่ไง หรือรอใครอยู่” อิทธิพลขมวดคิ้วแล้วกวาดตามอง “ตะโก้กับวายุไม่อยู่เหรอ” “ค่ะ...ออกไปข้างนอก...” “ดี...พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” “เดี๋ยวนะคะ ขอกะทิทำใจก่อน” “ทำใจอะไร” อิทธิพลขมวดคิ้ว “พี่อิฐมาบอกเลิกกะท
เกวลินโผล่หน้ามาดู แค่พี่ชายพยักหน้าให้เธอก็ผลุบกลับเข้าไปในครัว รินน้ำดื่มสองแก้วแล้วเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง แต่เธอคิดว่าคงไม่เหมาะจะนั่งฟังด้วยจึงหลบไปด้านหลัง ได้แต่ส่งยิ้มให้กำลังวายุที่ยืนหน้าซีดอยู่ และเป็นการันต์ที่กระตุกมือให้วายุนั่งลงข้างเขา “ลูก...ดูสบายดีนะ” คนเป็นแม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผมสบายดี” วายุตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่สองมือบีบกันแน่น การได้พบแม่ไม่ได้ทำให้เขากังวลได้เท่ากับเห็นพ่อมาอยู่ตรงหน้าด้วย เขากลัวว่าพ่อจะทำร้ายคนที่บ้านนี้ ซึ่งเขาไม่ยอมให้มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นเด็ดขาด “พ่อรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่” “วันนี้พ่อเห็นแกไปออกบูธก็เลยให้คนตามดู” คนเป็นพ่อเอ่ยเสียงอ่อนล้า “ทำไมครับ อยากเห็นว่าผมจะใช้ชีวิตเหลวแหลกอย่างที่พ่อประณามไว้หรือเปล่านะเหรอ” น้ำเสียงวายุก็ปวดร้าวไม่แพ้กัน “เปล่าๆ....พ่อ...พ่ออยากให้แกกลับบ้าน” ถ้อยคำที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของคนตรงหน้าทำให้วายุนิ่งงันไป เขาย้ายสายตาไปมองมารดาที่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา “กลับบ้านเ
‘ใครเป็นฝ่ายทักกันก่อนเล่า’ เกวลินขมวดคิ้วแล้วฉีกยิ้มทักทาย “ว่าไง”“ว่าไง?” เอมอรแอบเบ้ปากในใจ “ก็ไม่มีอะไร แค่จำได้ว่าเธอออกจากโรงเรียนกลางเทอมนี่ ได้ยินว่าท้องเลยหนีตามผู้ชายไป แล้วเป็นไงบ้างล่ะ ป่านนี้ลูกคนโตแล้วสินะ มีอะไรให้เพื่อนอย่างฉันช่วยก็บอกมาได้เลยนะ”แม้เอมอรไม่ได้ใช้น้ำเสียงดังอะไรนัก แต่ถ้อยคำของเธอทำให้คนที่ได้ยินถึงกับนิ่งไป นั้นหมายถึงคุณเกริกและคุณลาวัลย์ที่อดปรายตามองทางเกวลินไม่ได้ หญิงสาวสูดลมหายใจลึกอ้าปากจะโต้เถียงแต่กลับเป็นการันต์ที่ทนไม่ไหวชิงพูดออกไปก่อน“ท้องอะไร หนีตามผู้ชายอะไร” การันต์พูดเสียงดังอย่าไม่อายใครและไม่มีอะไรให้อายด้วย “ยัยกะทิออกจากโรงเรียนตอนม.5ก็จริง แต่เพราะมาดูแลแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แต่ก็ไปสอบกศน.จนได้วุฒิม.ปลายไง รู้จักไหม การศึกษานอกโรงเรียนนะ แล้วถ้ายัยกะทิเรียนไม่จบม.ปลายมันจะเอาวุฒิที่ไหนไปเรียนมหาวิทยาลัยจนได้เกียรตินิยมอันดับสองเล่า! คิดจะปั้นเรื่องใส่ความคนอื่นก็ช่วยให้มันใกล้เคียงกับความจริงหน่อยเซ่!”“ตะโก้!ใจเย็นๆ” วายุรั้งแขนการันต์ไว้เพราะกลัวว่าคนรักจะเข้าไปตบตีอีกฝ่าย ถึงยังไงคู่กรณีก็เป็นผู้หญิง ทำอะไรไปก็
การันต์สบตากับวายุแล้วปลดหน้ากากอนามัยออก ทั้งที่เขาบอกกับวายุไม่ต้องมาช่วยก็ได้ แต่อีกฝ่ายก็เป็นห่วงน้องสาวของเขาที่ยังเจ็บขาอยู่จึงมาช่วยงาน ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองคิดไม่ผิดที่พาวายุเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว วายุดึงปลดหน้ากากอนามัยออกแล้วเอียงตัวไปทางการันต์เล็กน้อย มองผิวเผินเหมือนเพื่อนถ่ายรูปคู่กัน มีเพียงแววตาที่มองกันนั้นแตกต่างจากคำว่า ‘เพื่อน’โอ๊ย! พี่ชายเธอตัวใหญ่ยักษ์แต่พี่วายุก็ไม่ได้ตัวเล็กแต่เพราะสูงโปร่งเลยดูบอบบางไปเลย เกวลินกดบันทึกภาพรัวๆ นานๆ จะมีรูปถ่ายคู่กันนอกบ้านที แอบดีใจที่พี่ชายได้เจอคนรู้ใจที่เข้าอกเข้าใจกันดี ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้ หญิงสาวแอบถอนหายใจ บางทีเธอก็คิดว่าตัวเองฝันไปที่ได้คบกับอิทธิพล เขาดูสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง จนบางทีเธอก็คิดว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะยืนเคียงข้าง แต่เพราะเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขายามที่อยู่ด้วยกัน ทำให้เธอคิดได้ว่า...ขอแค่ทำให้เขามีความสุขแค่นี้ก็พอแล้ว“หนูกะทิอยู่นี่เอง”เสียงทักจากด้านหลังทำให้เกวลินหันไปส่งยิ้มพร้อมยกมือไหว้ทันที “สวัสดีค่ะคุณลาวัลย์ คุณเกริก”“เรียกเสียห่างเหินเชียว” คุณเกริกหัวเร
“จะดีเหรอคะ นานๆ เลี้ยงทีก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเลี้ยงบ่อยนักหรอก เดี๋ยวกะทินิสัยเสียเอาแต่ใจตัวเองขึ้นมา พี่อิฐจะลำบากเอานะ” ตั้งแต่เคยมีแฟนมาก็มีคนนี้ที่บ่นว่าเขาเลี้ยงเธอบ่อยเกินไป อิทธิพลไม่รู้จะทำยังไงดี บางทีทำตัวก็เป็นเด็ก แต่บางครั้งก็เป็นคนมีเหตุผล “ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ พี่ชายกะทิบอกให้พี่ไปกินข้าวเย็นที่ร้านได้ กะทิจะได้ไม่ต้องออกมาส่งข้าวให้พี่กิน นี่พี่ก็ประหยัดมื้อเย็นไปอีกหนึ่งมื้อเชียวนะ” เกวลินคิดตามแล้วก็พยักหน้ารับ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่รู้ผิดว่าตัวเองเอาเปรียบเขามากไป “พี่ถามอะไรหน่อยสิ” “ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับพลางยกน้ำขึ้นดื่ม “พี่เห็นที่บ้านมีผู้ชายอีกคน ...คนนั้นใครเหรอ” “อ้อ!พี่วายุค่ะ” “แล้ว?” “เอ่อ...” เกวลินชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ใจหนึ่งก็กลัวว่าเขาจะรังเกียจที่พี่ชายเธอเป็นเกย์ แต่อีกใจก็ไม่รู้ว่าจะปิดบังทำไม พูดไปตรงๆ ดีกว่า “พี่วายุ...เป็นแฟนของพี่ตะโก้ค่ะ” “แฟน?” “อื้ม... ก็แฟนแบบเราสองคนนี้ไง”
“ก็คนเพิ่งคบกันก็อยากให้มั่นใจก่อนไง ที่พี่ตะโก้กับพี่วายุก็ยังคบหาดูใจกันก่อนที่พี่ตะโก้จะพาพี่วายุมาเจอกะทิเลย” “ก็ตะโก้หวงกะทิไง” “กะทิก็หวงพี่ตะโก้นะ แต่เพราะกะทิรักพี่ตะโก้ไง ถ้าพี่รักใครกะทิก็รักด้วย แล้วกะทิก็รู้ว่าพี่วายุเป็นคนดีก็เลยไม่เคยห้ามไง มันไม่ได้เข้าใจอะไรยากเลย” “ก็...” “จะยืนคุยให้แผลอักเสบหรือไง มานั่งนี่” การันต์หันมาตวาด วายุประคองเกวลินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ เพียงหย่อนก้นลงนั่ง พี่ใหญ่ของบ้านก็ยกชามโจ๊กข้าวกล้องหอมกรุ่นมาวางบนโต๊ะ “แค่เป็นแผลถลอกต้องกินโจ๊กเลยเหรอคะ” น้องสาวเริ่มเล่นบทอ้อนแต่พี่ยังนั่งหน้าตึงใส่ เธอจึงยกช้อนคนชามโจ๊กของตนเอง “หมอให้งดแค่ของหมักดองกับพวกเหล้าเบียร์นี่ค่ะ” “จะกินมั้ย” “กินค่ะ” เกวลินช้อนตาขึ้นมองพี่ชายนั่งกอดอกจ้องหน้าเธอนิ่ง เธอหลุบตามองโจ๊กในชามแล้วก็เผลอยิ้มออก “โจ๊กไก่ฉีกของโปรดใครน๊า แม่บอกว่าอยากกินอะไรก็ใส่ลงไป กะทิชอบกินกากหมูกรอบๆ พี่ตะโก้ก็ทำใส่ให้ ใส่ขิงซอยหน่อย โรยใบขึ้นฉ่ายนิดหนึ่ง ตอนเด็กๆ กะทิแยกใบขึ้นฉ่าย (คื่นไฉ่)ก็ใบผ
“ขอบคุณมากครับ” อิทธิก้มศีรษะให้เล็กน้อย เขาถอยออกมาให้พยาบาลทำแผลเกวลินจนเสร็จ เวรเปลเข็นรถมารอรับคนเจ็บไปเอ็กซ์เรย์และสแกนสมอง อิทธิพลเดินเข้าไปสอบถามคุณหมอท่านเดิมอีกครั้งก่อนเดินตามเกวลินไปเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร หญิงสาวได้แต่รู้สึกอึดอัดทำอะไรไม่ถูก เขาไม่พูด ไม่ยิ้ม ไม่ถาม ยิ่งกดดันจนเธอไม่รู้ว่าต้องทำยังไง จนเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจร่างกายและหมอสรุปว่าเธอบาดเจ็บแค่ภายนอก และให้ฉีดวัคซีนป้องกันการเป็นบาดทะยัก“นั่งรออยู่นี่ เดี๋ยวผมไปรับยาให้เอง” เขาพูดแล้วรับใบรับยาของเกวลินมา เขาไม่ได้มองหน้าเธอด้วยซ้ำแต่เดินหายไปทิ้งเธอนั่งบีบมือตัวเองไปมาบนรถเข็น เขาหายไปราวสิบนาทีแล้วเดินกลับมาพร้อมถุงยา อาจเพราะเป็นหมอไปรับยาเองเลยได้เร็วกว่า เขาคงรีบร้อนมาดูเธอ เสื้อกาวน์ก็ไม่ได้ถอด ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว เขายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยสินะ หญิงสาวรู้สึกผิดหนักขึ้นไปอีกจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาอิทธิพลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่ได้ถามเธอด้วยซ้ำว่าไปทำยังไงถึงประสบอุบัติแบบนี้ เขาปรับอารมณ์ตัวเองแล้วเอ่ยขึ้น“โทรบอกพี่ชายให้มารับสิ”“คะ?” เกวลินเงยหน้าขึ้น ทวนสิ่งที่ได้ยินแล้วส่ายหน้าไปมา“แผลนิด
‘ไม่ว่ายังไง วายุก็เป็นลูกของแม่ ลูกไปเถอะ ไปใช้ชีวิตที่ลูกต้องการ’ ‘แต่ผมเป็นห่วงแม่’ ‘มันคงเป็นเวรกรรมของแม่เอง ลูกไปเถิดนะ แม่อยากเห็นลูกมีความสุข’ วันที่ออกจากบ้านมีเงินติดตัวมาไม่กี่พันบาท เสื้อผ้าไม่กี่ชุดและสะพายกีต้าร์ออกมา พ่ออายัติเงินในบัญชีและบัตรเครดิต เขาจำต้องหาห้องเช่าราคาถูก ทำงานร้องเพลงตามผับบาร์ ต้องวิ่งรอกหลายที่ต่อคืนเพื่อจะได้มีเงินพอใช้จ่าย ชีวิตมันไม่ได้สวยงามสะดวกสบายแต่ก็แลกมากับความสุขใจ จนกระทั่งได้เจอกับการันต์ที่มากินเหล้าที่ในคืนที่เขาร้องเพลงอยู่ ความสัมพันธ์ค่อยๆ พัฒนาขึ้น การันต์ช่วยดูแลเขาจนได้ได้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านเดียวกันแบบนี้ เขาหัวเราะขื่นๆ นึกถึงวันที่ได้พบคุณเกริกกับคุณลาวัลย์ ทั้งสองเป็นเพื่อนของบิดาของเขา แต่คงจำเขาไม่ได้เพราะไม่ได้พบหน้ากันหลายปี พ่ออับอายถึงขนาดปล่อยข่าวว่าลูกไปอยู่เมืองนอกเชียวหรือ? ยังดีที่เขาโทรหาแม่อยู่บ่อยๆ พอรู้ว่าแม่ยังสบายดีอยู่จึงไม่ค่อยกังวลนัก เพล้ง! เสียงของตกแตกทำให้วายุตื่นจากภวังค์แล้วหันไปมองที่ต้นเสียง การันต์ยืนนิ่งงันมองแ