[ ค่ะบอส กำลังจะขึ้นรถตู้แล้วค่ะ ]
[ อย่าลืมเช็คเอกสารให้ผมก่อนด้วยนะ เดี๋ยวผมรอสาย ]
[ ทราบแล้วค่ะ สักครู่นะคะบอส ]
หนิงชิงรีบวิ่งขึ้นรถตู้ที่กำลังจะออกเดินทางไปเมืองไห่เฉิง ที่ซึ่งเธอต้องไปดูทำเลให้กับบอสของเธอ จากนั้นหนิงชิงก็รื้อกระเป๋าเอาเอกสารออกมาเพื่อบอกข้อมูลที่บอสต้องการ ไม่นานหลังจากคุยโทรศัพท์ เสียงเบรกดังกึกก้องไปทั่วทั้งรถตู้ที่เธอนั่ง
เอี๊ยด!!! โครม!
รถตู้ที่ถูกรถบรรทุกหลับในชนเข้าอย่างจังจนร่างของหนิงชิงที่ยังไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยลอยทะลุออกจากรถตู้จนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ก่อนตายเธอได้แต่คิดว่าตนเองสะเพร่าที่ไม่คาดเข็มขัด คนอื่น ๆ ในรถบาดเจ็บกันมากน้อยต่างกันไป มีเพียงหนิงชิงคนเดียวที่วิญญาณหลุดออกจากร่างแล้ว
วิญญาณของหนิงชิงได้แต่ดูสภาพรถตู้และคนอื่น ๆ เธอยังคิดว่าซวยจริง ๆ ที่เธอไม่คาดเข็มขัดนิรภัยจนต้องตายตั้งแต่อายุยังน้อย หลังคิดสะระตะไม่นานก็มีเสียงเฒ่าชราเรียกเธอ เธอจึงหันไปมองเห็นเฒ่าชรากำลังลอยอยู่เหมือนเธอ
“คุณตาก็ตายแล้วเหมือนกันเหรอคะ”
“เพ้ย! ตายเตยอะไร ข้าเป็นเทพที่จะมาช่วยเจ้าต่างหากเล่า แต่ข้ามาช้าเกินไปจนเจ้าวิญญาณออกจากร่างเสียแล้ว เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่ตระกูลบรรพบุรุษของเจ้าพร้อมกำไลมิติที่มีห้องคอนโดของเจ้าอยู่”
“เอ่อ เหตุใดท่านจึงได้ใจดีแปลก ๆ เล่าท่านผู้เฒ่า มีอะไรที่ข้าควรรู้หรือไม่”
“ไม่มี๊ ไม่มี เจ้าจะคิดมากไปใย ในเมื่อข้าจะให้ชีวิตใหม่กับเจ้า เอ้า เอาไปกำไลมิติของเจ้า เจ้าเพียงแต่เพ่งจิตก็จะมองเห็นภายในและสามารถเข้าออกได้ตามใจเจ้า เอาล่ะ ข้าเสียเวลามามากแล้ว เดี๋ยวข้าจะส่งเจ้าไปยังโลกใหม่ที่มีครอบครัวของเจ้ารออยู่ก็แล้วกัน”
“ขอบคุณท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
หนิงชิงไม่รู้ว่าโลกหน้าจะเป็นอย่างไร แต่นางใส่กำไลเอาไว้ในแขนด้วยกลัวจะซุ่มซ่ามทำตกหายไปอีก กระทั่งไม่นานนักสติของหนิงชิงก็หายไป นางหลับใหลไปทั้งอย่างนั้นไม่รู้ว่านานเท่าใด
ส่วนเรื่องราวที่เกิดอุบัติเหตุทำให้บอสของหนิงชิงได้แต่เสียใจที่เขามัวแต่ห่วงเรื่องงานจนลูกน้องสุดแกร่งของเขาต้องมีอันเป็นไป หนิงชิงเองเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่สู้ชีวิตมาจนโต บอสของเธอเห็นว่าเธอไม่มีญาติเขาจึงรับเป็นเจ้าภาพจัดงานศพให้เธอจนกระทั่งเสร็จสิ้นพิธี เขายังได้ขออโหสิกรรมกับเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดที่เขาเคยใช้งานเธอมากเกินไป เพื่อที่ชาตินี้พวกเขาจะได้ไม่ติดค้างกันอีก
กว่าที่งานศพจะจบลงก็เป็นเวลาสามวันแล้วหลังจากหนิงชิงตายไป ในงานมีเพียงเพื่อนร่วมงานของเธอเท่านั้นที่มากันแทบทุกวัน ทุกคนรู้ดีว่าหนิงชิงสำคัญกับบริษัทขนาดไหน เธอเป็นวิศวกรสาวที่ขยันขันแข็งมากจนได้รับความไว้วางใจจากบอสให้ขึ้นเป็นผู้จัดการตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อนร่วมงานทุกคนไม่มีใครอิจฉาหนิงชิงเลย เพราะพวกเขาต่างเห็นว่าหนิงชิงทำงานอย่างทุ่มเทมากจริง ๆ ให้กับบริษัท คนอื่น ๆ ยังทำได้ไม่ถึงครึ่งที่เธอทำเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ไม่มีหนิงชิงแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าบอสจะให้ใครมาทำหน้าที่แทนหนิงชิงด้วยซ้ำ
หลังงานศพของหนิงชิงจบลง บริษัทก็เปลี่ยนโครงสร้างใหม่โดยนำเรื่องของหนิงชิงมาเป็นบทเรียน บอสเลือกคนที่อาวุโสที่สุดขึ้นมาแทนตำแหน่งของหนิงชิง แต่เขาลดความเข้มข้นของการทำงานลงมากโข ด้วยรู้ดีว่าหากเขายังทำงานเหมือนเมื่อก่อน มีหวังผู้จัดการคนใหม่ก็คงจะต้องจากไปเหมือนหนิงชิงเป็นแน่ ตอนนี้เขาต้องการให้ทุกคนในบริษัททำงานในหน้าที่ตนเองให้ดีเท่านั้น งานส่วนอื่นเขาจะรับผิดชอบเอง
บรรดาพนักงานต่างได้รับอานิสงฆ์จากการตายของหนิงชิง พวกเขายังถือว่าหนิงชิงเป็นคนทำงานที่แกร่งที่สุดในบริษัทเช่นเดิม และพวกเขายังเอาอย่างหนิงชิงเรื่องการทำงานอีกด้วย แต่ไม่ได้หักโหมเหมือนที่หนิงชิงทำ ด้วยพวกเขารู้ดีว่าตนเองไม่สามารถทำได้ทุกอย่างเหมือนหนิงชิงหญิงแกร่งแห่งบริษัทในศตวรรษที่ 21 คนนั้นนั่นเอง
หนิงชิงที่หมดสติไปไม่รู้ว่าเธอหมดสติไปนานแค่ไหนแล้ว แต่ตอนนี้เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บปวดในร่างกายจนเธอคิดว่าเธอตายแล้วทำไมยังเจ็บปวดแบบนี้อีก แถมเธอยังได้ยินเหมือนมีใครไม่รู้มานั่งร้องไห้เสียงดังข้างหูเธอทำเอาเธอที่เจ็บปวดเนื้อตัวไปหมด ปวดหูเข้าไปอีก เธออยากลืมตาตื่นแต่เหมือนว่าร่างกายไม่ฟังคำสั่งของเธอเลย เธอได้ยินแต่เสียงพร่ำเรียกชื่อเธอไม่หยุดพร้อมเสียงร้องไห้หลายเสียงจนเธอทนไม่ไหว
หนิงชิงฝืนลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วก็มองเห็นเพดานเก่า ๆ เหมือนบ้านดินในหนังสือที่เธอเคยเห็น พอหันไปด้านข้างเธอพบเด็กสองคนกับผู้หญิงผอมบางคนหนึ่งร้องไห้อยู่และเอาแต่พร่ำบอกว่าอย่าให้เธอเป็นอันใดไป ทำเอาหนิงชิงอยากสลบไปอีกรอบ นี่เธอมาอยู่ในครอบครัวเช่นไรกันแน่ ท่านผู้เฒ่าเหตุใดไม่บอกเธอบ้างเล่า
“หนิงชิง ลูกรู้สึกยังไงบ้าง ไหนบอกแม่มาหน่อยสิ รู้ไหมแม่เป็นห่วงลูกขนาดไหน ทีหลังอย่ามาขวางแบบนี้อีกนะลูก แม่ทนได้แต่แม่ทนเห็นลูกเจ็บตัวแบบนี้ไม่ได้”
หนิงชิงพยักหน้ารับคำแล้วจู่ ๆ นางก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมา ภาพในหัวของนางบอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวนี้ให้กับนางทราบทั้งหมด นางเป็นพี่ใหญ่ชองน้องชายน้องสาว ครอบครัวของพวกเธอต้องรองมือรองเท้าท่านย่าและครอบครัวท่านลุงทั้งสองมานานนับตั้งแต่เธอจำความได้ หนิงชิงมองอดีตผ่านความทรงจำของร่างเดิมจนรู้ว่าตอนนี้เธออายุเพียงสิบขวบเท่านั้น แต่กลับถูกลูกหลงตอนที่ป้าใหญ่จะทำร้ายแม่ของเธอจนสลบไป ทุกคนต่างเป็นห่วงเธออย่างมาก แม้แต่เงินอีแปะเดียวสำหรับเรียกหมอท่านย่ายังไม่ให้ครอบครัวเธอเลย ทั้งที่พ่อของเธอส่งเงินให้กับครอบครัวอยู่ตลอด แต่พอครอบครัวเธอต้องใช้เงินกลับไม่ได้รับความเมตตาแม้แต่นิดเดียว เรื่องราวในหัวของหนิงชิงหยุดลงในวันที่เธอถูกทำร้ายจนตายเพราะร่างกายอ่อนแอ ร่างเดิมขอให้เธอช่วยดูแลครอบครัวแทนเธอด้วยก่อนที่ร่างวิญญาณจะจางหายไป
หนิงชิงได้แต่คิดว่าตอนนี้ในเมื่อนางต้องอาศัยร่างนี้และครอบครัวนี้ นางจะเปลี่ยนครอบครัวของนางให้ได้ในสักวันหนึ่ง แต่ก่อนอื่นนางต้องรีบหายดีเสียก่อน หนิงชิงนึกถึงกำไลก็ได้แต่แอบจับ ๆ ก็พบว่ากำไลยังอยู่ แต่ดูเหมือนคนอื่นจะมองไม่เห็นกำไลของนาง เช่นนี้ยิ่งสะดวกับนางยิ่งนัก หากคนอื่นเห็นเข้าแล้วมาชิงเอาไปนางคงซวยอีกแน่
ย้อนกลับมาเมื่อเกือบร้อยปีก่อน ในเมืองหลวงมีตระกูลหนิงที่เป็นช่างหลวงมาตั้งแต่บรรพบุรุษ พวกเขาใช้ความรู้ความสามารถที่มีเฉพาะคนในตระกูลหนิงเท่านั้นที่รู้ รับใช้ราชสำนักมาตลอดเวลากว่าร้อยปีจนทำให้ตระกูลหนิงเจิรญรุ่งเรืองมาจนปัจจุบัน แต่ยิ่งพวกเขาได้รับความไว้วางใจมากเท่าไหร่ ความปลอดภัยของคนในครอบครัวพวกเขายิ่งลดน้อยลงเท่านั้น ยิ่งการแข่งขันในราชสำนักที่มีมานานหลายปี พวกเขาก็ยิ่งต้องระมัดระวังตนเองและคนในครอบครัวไม่ให้เผลอทำสิ่งใดผิดพลาดไปจนต้องถูกลงโทษจากฮ่องเต้ ตระกูลหนิงที่มีหน้าที่ออกแบบอาวุธและสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับราชสำนักต่างทำงานอย่างขยันขันแข็ง พวกเขามีระเบียบในการทำงานมาโดยตลอดจนไม่มีใครสามารถจับผิดพวกเขาได้เลย ความรู้ความสามารถเฉพาะของตระกูลหนิงยิ่งไปเข้าตาฮ่องเต้มากขึ้น ฝ่าบาทถึงขั้นมอบรางวัลให้ตระกูลหนิงไม่น้อยที่สร้างสิ่งประดิษฐ์ที่มีประโยชน์ให้กับแคว้นมากมาย เสนาบดีฝ่ายต่าง ๆ ถึงจะอิจฉาแต่ก็ไม่สามารถทำได้เหมือนขุนนางหนิง พวกเขาได้แต่ติชมไปตามเรื่องตามราวเพื่อลดความโปรดปรานของฝ่าบาทที่มีให้กับตระกูลหนิง ซึ่งหนิงซวนหยวนผู้
ฮ่องเต้หลังจากอ่านจดหมายฮองเฮาแล้วก็มานั่งคิดเรื่องที่พระสนมร้องขอ เขาเองก็ใช่ว่าจะไว้ใจนางมากนัก เขาจึงให้องครักษ์คนสนิทพาคนไปปล้นจวนตระกูลหนิงเสีย โดยพยายามอย่าฆ่าใครให้้มากเกินไปนัก ไม่เช่นนั้นเขาคงชดใช้ให้ตระกูลหนิงไม่ได้แน่ ตระกูลหนิงไม่รู้เลยว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น พวกเขาเป็นเพียงช่างหลวงจึงไม่มีคนคุ้มกันอันใดในจวน ทำให้องครักษ์ที่เข้าไปขโมยแบบแปลนจำต้องฆ่าคนที่เห็นเหตุการณ์ ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทคงต้องถูกสงสัยเป็นแน่ ด้านหนิงซวนหยวนผู้นำตระกูลได้แต่บอกให้คนสนิทไปแจ้งข่าวเจ้าหน้าที่ว่าพวกเขาถูกโจรปล้นฆ่าที่จวนตอนนี้ ไม่ถึงสองเค่อทหารก็มาปราบปรามโจรเหล่านี้แต่ไม่สามารถจับตัวการได้สักคนเดียว ด้วยว่าฝีมือพวกเขาเป็นรองพวกโจรมากโข พวกเขายังสงสัยว่าร้อยวันพันปีไม่เคยมีการปล้นแบบนี้มาก่อน จู่ ๆ ก็มาเกิดเหตุกับตระกูลหนิงซึ่งฝ่าบาทไว้วางใจได้อย่างไรกัน หนิงซวนหยวนได้แต่ตรวจสอบความเสียหายแล้วก็พบว่าลูกชายและลูกสะใภ้ทั้งสองของเขาถูกฆ่าเสียแล้ว ตอนนี้เขาเหลือเพียงหลานชายสองคนเท่านั้นที่เป็นลูกของลูกชายทั้งสองคน น่าเสียดายที่ตอนนี้คนในจวนเขาเหลือเพียงแ
สามวันต่อมาหลังจากขนของใช้จำเป็นต่าง ๆ เต็มเกวียนและรถม้าแล้ว หนิงซวนหยวนก็พาครอบครัวที่เหลืออยู่เดินทางไปที่ชายแดนตะวันออก เขาให้พ่อบ้านช่วยดูแลจวนเอาไว้ให้เผื่อวันใดวันหนึ่งหลานชายของเขาอยากกลับไปเยี่ยมหลุมฝังศพพ่อแม่ของพวกเขาในอนาคต ขบวนของหนิงซวนหยวนมีเกวียนสี่เล่มพร้อมรถม้าอีกสองคัน เขายังจ้างผู้คุ้มกันไปส่งยังเมืองชายแดนตะวันออกด้วยกลัวว่าจะมีคนมาปล้นทรัพย์สินของเขาระหว่างทางอีก เรื่องนี้ฮ่องเต้ที่ทำให้ครอบครัวหนิงต้องล่มสลายไปยังส่งองครักษ์เงาติดตามช่วยเหลือพวกเขาและดูความเป็นอยู่ของพวกเขาที่เมืองชายแดนก่อนจะกลับมารายงานให้ฝ่าบาททราบ อย่างไรเขาก็เป็นคนทำเรื่องนี้ขึ้นมา เขาจึงไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ การเดินทางไกลครั้งนี้หนิงเจิ้งไม่งอแงเลยแม้แต่น้อย ทำให้หนิงซวนหยวนกับภรรยาเบาใจไปไม่น้อย ส่วนหนิงจิ้งเองก็เงียบขรึมลงไปมากตั้งแต่เกิดเรื่อง เขารู้ดีว่าหนิงจิ้งยังคงมีความคิดแค้นพวกโจรอยู่จึงไม่อยากว่าอันใดหลานชายนัก สาเหตุที่เขาพาทุกคนย้ายไปยังชายแดนเป็นเพราะเบื่อหน่ายการแข่งขันกันในราชสำนัก ตอนนี้ลูก ๆ เขาก็ไม่เหลือแล้ว เขาจึงอยากให้หลาน ๆ อยู่อย่างสงบ
หลังมาถึงหมู่บ้านหนิงไค่แล้ว หนิงซวนหยวนแวะที่บ้านผู้ใหญ่บ้านก่อน เขายังไม่รู้ว่าบ้านเดิมของเขายังว่างอยู่หรือไม่“สวัสดีท่านผู้ใหญ่บ้าน ข้าหนิงซวนหยวนที่ส่งจดหมายมาหาท่านก่อนหน้านี้ ไม่ทราบท่านได้ตรวจดูบ้านเก่าให้ข้าหรือยัง” ผู้ใหญ่บ้านมองคนตรงหน้าที่แต่งตัวดีเหมือนขุนนางในเมือง เขาได้แต่ตกใจจนไม่คิดว่าจะมีคนเช่นนี้เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านตระกูลหนิง แต่เขาก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดี“บ้านเดิมของท่านผุพังไปหมดแล้วขอรับ ไม่ทราบว่าท่านจะจัดการสร้างใหม่หรือทำอย่างไร ส่วนที่ดินของท่านที่ขอซื้อเพิ่มรอบ ๆ บ้านนั้นข้าจัดการให้ท่านเรียบร้อยแล้วขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านมอบตั๋วเงินที่เหลือให้กับหนิงซวนหยวนอย่างซื่อสัตย์ เขาไม่กล้าที่จะยักยอกเงินขุนนางใหญ่เช่นนี้หรอก“เจ้ามีใครพอจะแนะนำให้ข้าได้บ้างเรื่องสร้างเรือน ข้าจะได้จ้างช่างมาทำเสียให้เสร็จสิ้น” ผู้ใหญ่บ้านแนะนำช่างที่เป็นเพื่อนบ้านในหมู่บ้านรวมทั้งคนในหมู่บ้านที่ว่างจากการทำนาแล้วมาช่วยสร้างบ้านให้หนิงซวนหยวน ส่วนครอบครัวพวกเขาจะเช่าบ้านในหมู่บ้านอยู่ไปก่อนเพื่อรอให้บ้านเสร็จเรียบร้อย ส่วนผู้คุ้มกันที่มาด้วยเขาก
เด็ก ๆ พากันขึ้นเขาเกือบสิบคน พวกเขาช่วยกันถือกับดักหลายอันที่หนิงจิ้งทดลองทำแล้วนำไปวางเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ ที่คิดว่าสัตว์ป่าจะเข้ามาติดกับดัก หลังจากวางแล้วพวกเขาก็ลงจากเขาไปแล้วตอนเย็นค่อยมาดูว่ามีกับดักอันใดล่าเหยื่อได้บ้าง เด็ก ๆ ที่เคยชินกับการหาของป่ายังชวนหนิงจิ้งไปหาผลไม้อร่อย ๆ กินกันก่อนลงเขาด้วย หนิงจิ้งกับหนิงเจิ้งตัวน้อยที่มาด้วยต่างก็แปลกใจไม่น้อยที่เด็ก ๆ ทุกคนยอมเล่นกับพวกเขาเช่นนี้ หนิงจิ้งจึงพาน้องชายเดินตามพวกเขาไปเก็บผลไม้ได้มาไม่น้อย พวกเขานัดกันช่วงบ่ายว่าจะมาดูกับดักกันอีกครั้ง ให้พวกเขามาตามที่เรือนได้เลยหากจะขึ้นเขา เด็ก ๆ รับปากกับหนิงจิ้งว่าจะไปเรียกเขาแน่นอน หลังจากแยกย้ายกันกลับบ้านแล้วหนิงจิ้งกับหนิงเจิ้งก็นำผลไม้อร่อยๆ ไปให้กับท่านปู่ท่านย่า ทั้งสองคนต่างชมเชยหลานชายเสียมากมายเพื่อให้กำลังใจพวกเขา โชคดีที่ทั้งสองคนยอมเล่นกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน ไม่อย่างนั้นเขาคงจะเป็นห่วงพวกเขามากไปกว่านี้แน่ กระทั่งถึงช่วงบ่ายที่พวกเขานัดกัน หนิงจิ้งกับหนิงเจิ้งก็มารอทุกคนอยู่หน้าประตูเรือนแล้ว พวกเขาพากันขึ้นเขาไปดูกับดักก็พบว่าแต่ละอ
ส่วนหลานชายคนรองของหนิงซวนหยวนที่ชอบสมุนไพรนั้นเขาก็เตรียมหาหญิงชาวบ้านมาเป็นภรรยาให้เท่านั้น เพื่อที่หลานชายจะได้ไม่จากไปไหน ตอนนี้ภรรยาของเขาตายไปก่อนแล้วทำให้เขาเหงาไม่น้อย เขาจึงได้ชดเชยความคิดถึงภรรยาโดยการสั่งสอนหนิงเจิ้งให้เป็นชาวบ้านเหมือนคนอื่น ๆ เพื่อที่เขาจะได้เข้ากับคนอื่น ๆ ได้ในอนาคตหากเขาไม่อยู่แล้วนั่นเอง หนิงเจิ้งยังรู้ด้วยว่าหากมีเรื่องเดือดร้อนอันใด เขาสามารถส่งจดหมายไปหาพี่ใหญ่ได้เช่นกัน พี่ใหญ่ให้ที่ติดต่อเอาไว้ให้กับเขาแล้วเรื่องการส่งจดหมาย เพียงแต่หนิงเจิ้งผู้ชอบใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือนที่ท่านปู่สอนนั้นไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องการนอกจากการปลูกสมุนไพรขายเท่านั้น เรื่องนี้ทำให้หนิงซวนหยวนพอใจไม่น้อยที่หลานชายได้ดั่งใจ เขายังกำชับให้หนิงเจิ้งตั้งใจปลูกสมุนไพรเป็นอาชีพจะได้เลี้ยงดูครอบครัวในภายภาคหน้าได้ หนิงเจิ้งที่อายุเพียง 14 ปีก็ตั้งใจที่จะดูแลท่านปู่ตามที่พี่ใหญ่ขอร้องเอาไว้ก่อนจากไป เขายังคงคิดไม่ออกว่าเหตุใดพี่ชายจึงอยากไปเมืองหลวง เพราะตอนเขาจากมาเขายังเด็กนักจึงไม่รู้เรื่องรู้ราวใดเกี่ยวกับครอบครัวเหมือนกับหนิงจิ้ง แต่เขาก็ยังคงรับปากพี่ชายว่าเ
หนึ่งปีต่อมา หลานจิวที่หมั้นหมายกับหนิงเจิ้งก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีที่เรือนของหนิงเจิ้ง เขาทำพิธีโดยมีท่านปู่กับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเป็นพยาน รวมทั้งคนในหมู่บ้านที่มาร่วมสนุกในงานแต่งงานครั้งนี้ พวกเขารู้ดีว่าบ้านหนิงซวนหยวนไม่เคยตระหนี่ของกิน พวกเขาจึงนำเงินเล็กน้อยมาเป็นขวัญถุงให้กับบ่าวสาวตามธรรมเนียม ทั้งที่หนิงซวนหยวนบอกแล้วว่าไม่รับของหรือเงิน แต่ก็ต้องจนใจที่ชาวบ้านบอกว่ามันเป็นธรรมเนียมที่พวกเขาทำสืบทอดกันมา หนิงซวนหยวนจึงได้ให้บ่าวรับเอาไว้ให้หลานชายเขาทีหลัง หลานจิวที่ตอนแรกไม่อยากแต่งงาน แต่พอเห็นว่าบ้านนี้ใหญ่โตเพียงใดนางก็เกิดโลภขึ้นมาจึงได้ทำตัวดีให้ทุกคนเห็นเป็นฉากหน้า นางคิดว่านางจะได้นั่งเป็นฮูหยินที่สุขสบายในเรือนนี้แน่ ๆ โดยที่นางไม่รู้เลยว่าอีกไม่นานท่านปู่ผู้เป็นญาติคนเดียวของสามีจะสิ้นไป หนิงเจิ้งเองก็มีความสุขไม่น้อย ภรรยาของเขาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อย่างที่เคยคิดเอาไว้ นางดูเป็นคนอ่อนหวานและช่างเอาใจไม่น้อย ทำให้หนิงเจิ้งหลงใหลนางเข้าจริง ๆ หนิงซวนหยวนเห็นว่าทั้งคู่เข้ากันได้ดีก็วางใจ อย่างน้อยหากเขาเป็นอันใดไปก็ยังคงวางใจได้
หลังจากวันที่หลานจิวถูกท่านปู่สามีสั่งสอน นางก็ทำตัวดีขึ้นทันที ด้วยกลัวว่าจะถูกเพ่งเล็งจนต้องหย่ากับสามี ส่วนหนิงเจิ้งนั้นไม่ได้สนใจภรรยา เขากับปู่ช่วยกันเลี้ยงดูเด็ก ๆ อย่างสนุกสนาน ในเมื่อแม่ของพวกเขาใจจืดใจดำนัก ทั้งสองปู่หลานจึงได้ช่วยกันเลี้ยงแทน หนิงซวนหยวนที่ช่วยเลี้ยงจนหลานชายคนโตอายุได้ห้าขวบ เขาก็เริ่มเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ตามประสาคนสูงวัย ทำให้หนิงเจิ้งยิ่งห่างเหินกับภรรยา เขาคอยดูแลท่านปู่และส่งจดหมายบอกพี่ชายแล้วว่าหากกลับมาดูใจท่านได้ก็ให้กลับมา ถ้ามาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เขาจะดูแลท่านปู่จนถึงวาระสุดท้ายเอง ด้านหนิงจิ้งที่ได้รับจดหมายจากน้องชายได้แต่นึกเสียใจ แต่ตอนนี้เขาได้สอบเข้าเป็นขุนนางในราชสำนักแล้ว การจะไปไหนมาไหนย่อมเป็นเรื่องยาก แถมตอนนี้ลูก ๆ ของเขาเองก็อายุมากพอที่จะเข้าเรียนแล้ว เขาจึงไม่อาจจากไปได้ หนิงจิ้งได้แต่ส่งจดหมายตอบกลับน้องชายอย่างเสียใจ คราแรกภรรยาเขาจะเดินทางกลับไปเอง แต่หนิงจิ้งไม่ไว้วางใจให้นางเดินทางคนเดียว เขาจึงไม่ให้นางไปด้วยความเป็นห่วง ฮวงเหมยอี้รู้ดีว่าสามีเป็นห่วง แต่เขาลืมไปหรือเปล่าว่านางเป็นลูกสาว
สองปีผ่านไป หนิงชิงตอนนี้ขยายสาขาเพิ่มอีกหนึ่งมณฑลแล้ว กิจการที่นั่นดำเนินไปได้ด้วยดี หนิงชิงแนะนำเทคนิคการวางขายสินค้าทั่วไปเสียก่อนที่จะวางขายสินค้าสั่งทำ เนื่องจากของใช้ทั่วไปคนธรรมดาเองก็สามารถซื้อได้ มันจะทำให้รายได้ของร้านคงที่ได้ระยะหนึ่งเลยทีเดียว ต้าเจียงเองก็ทำหน้าที่พ่อบ้านใหญ่ได้ดีสมกับที่หนิงชิงหวังเอาไว้เช่นเดียวกัน ไม่ว่างานที่จวนหรือที่ร้านเขาก็เป็นผู้ดูแลอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ตอนนี้ลูก ๆ ของหนิงชิงก็อายุครบสามขวบแล้ว ยิ่งโตพวกเขายิ่งผอมลง ไม่เหมือนตอนเด็กที่อ้วนท้วนกันใหญ่ ฮ่องเต้เองก็มักเรียกหาเหลน ๆ ทั้งสองเข้าวังไปเล่นด้วยอยู่บ่อย ๆ หลัง ๆ มานี้หนิงชิงก็ให้แม่นมพาทั้งสองไปหาเสด็จปู่ของพวกเขาแทนที่นางจะไปเอง เพราะหนิงชิงกลับไปดูงานที่ร้านอีกครั้งแล้ว เมื่อปีก่อนน้องสาวนางก็พาหล
วันนี้กว่าที่พ่อกับแม่ของหนิงชิงจะกลับก็เป็นตอนที่ลูกทั้งสองของนางเข้านอนตอนบ่ายแล้วนั่นเอง พวกท่านยังบอกให้นางดูแลหลานของพวกเขาให้ดี แล้วว่าง ๆ พวกเขาจะมาเยี่ยมใหม่ หลังจากร่ำลากันแล้ว พ่อแม่ของเจียงเฉิงและหนิงชิงก็ส่งพวกเขาขึ้นรถม้าแล้วออกจากจวนไป พ่อกับแม่ของเจียงเฉิงยังเยินยอพ่อแม่ของหนิงชิงเสียมากมายให้นางฟัง ก่อนที่พวกท่านจะไปพักผ่อนยามบ่ายกันตามปกติ ส่วนหนิงชิงที่วันนี้เหน็ดเหนื่อยกับการจับเจ้าลูกชายที่เพิ่งจะเดินได้มากขึ้นก็อยากกลับไปนอนพักผ่อนเช่นเดียวกัน แม่นมทั้งสองเองก็คอยดูแลคุณชายน้อยทั้งสองเป็นอย่างดี หนิงชิงจึงไม่ได้ห่วงอันใดพวกเขานัก สองวันต่อมา ต้าเจียงนำสมุดบัญชีมาให้หนิงชิงหลังจากที่ต้าเจินลูกชายของเขาเดินทางไปตรวจสอบบัญชีที่ร้านสาขาทั้งสองกลับมาเมื่อวานนี้ เขายังนำตั๋วแลกเงินจำนวนนับหลายหมื่นตำลึงกลับมาให้หนิงชิงด้วย ต
ข่าวที่หนิงชิงได้รับแต่งตั้งเป็นฮูหยินอันดับหนึ่งดังไปทั่วเมืองหลวงในเวลาไม่นาน มีบรรดาฮูหยินขุนนางมากหน้าหลายตาเข้ามาส่งของขวัญแสดงความยินดีกับหนิงชิงมากมายในช่วงเวลาเกือบสองสัปดาห์ที่นางต้องปั้นยิ้มรับของที่ไม่อยากได้เข้าจวน กระทั่งเหล่าฮูหยินมอบของขวัญครบทุกคนแล้วนั่นแหละ หนิงชิงจึงได้ถอนหายใจได้เสียที นางเบื่อการเข้าสังคมจอมปลอมเช่นนี้ที่สุด หากให้นางต้องไปนั่งดื่มชานินทาชาวบ้านล่ะก็นางคงทำไม่ได้ การได้รับความโปรดปรานใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเสียหน่อย ข้อเสียก็คือจะมีคนมารบกวนเรามากขึ้นเหมือนที่ผ่านมาอย่างไรเล่า อาหารเย็นวันนี้แม่ของเจียงเฉิงได้สอบถามหนิงชิงว่านางรู้สึกอย่างไรที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในเหล่าฮูหยินขุนนางแล้ว หนิงชิงได้แต่ยิ้มแหยตอบกลับไป“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าไม่เคยคิดหวังที่จะได้รับตำแหน่งนี้มาก่อน ทุกอย่างที่ข้าทำเพื่อเลี้ยงลูกก็เป็นจิตสำนึกของข้าเอง ข้ารู้ว่าฝ่าบ
สามวันต่อมา ราชโองการลงโทษจวนอดีตเสนาบดีกรมพิธีการสั่งการให้คนที่กระทำความผิดถูกประหารรวมทั้งบ่าวไพร่ที่ร่วมมือด้วยก็เช่นเดียวกัน ส่วนผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องให้เนรเทศไปชายแดนเหนือและห้ามเข้ารับราชการอีกตลอดชีวิต เสนาบดีกรมอาญาน้อมรับราชโองการและแจ้งวันประหารในอีกสามวันถัดไป เพราะพวกเขาต้องคัดคนที่จะถูกเนรเทศออกไปก่อนจึงต้องใช้เวลาสักหน่อยก่อนที่จะแยกออกได้ เจียงเฉิงที่ทำหน้าที่ของตนเองเสร็จแล้วก็กลับไปทำงานที่ค่ายทหารเช่นเคย หนิงชิงยังเคยบอกเจียงเฉิงว่าดีที่ตอนนี้ไม่มีศึกสงคราม ทำให้แคว้นพัฒนาไปได้มาก อีกทั้งนางยังไม่ต้องแยกจากสามีด้วยสี่เดือนต่อมา ฮ่องเต้ที่คิดถึงเหลนชายตัวอ้วนก็มีรับสั่งให้คนในจวนแม่ทัพเข้าเฝ้าเป็นกรณีพิเศษ วันนี้เจียงเฉิงพอได้รับข่าวก็รีบมาจากค่ายทหารแล้วพาทุกคนในครอบครัวเข้าไปในวัง แ
ไม่ถึงสามวัน คนที่เจียงเฉิงส่งไปสืบเรื่องราวก็รู้ว่าเป็นฮูหยินกับบุตรสาวของเสนาบดีกรมพิธีการที่ทำเรื่องเช่นนี้จริง ๆ เจียงเฉิงพอรู้ว่าเกี่ยวข้องกับเสนาบดีกรมพิธีการก็ยิ่งแค้นนัก เขาหรือก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่เสนาบดีกรมพิธีการกระทำมาก่อน ตอนนี้เขากลับกล้ามาแตะเกล็ดย้อนของเขา คนพวกนี้ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเขารักภรรยามากจึงได้ทำเช่นนี้ เจียงเฉิงนั่งคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นเขาจึงให้คนของเขาไปหาหลักฐานการทุจริตหรือการทำชั่วต่าง ๆ ที่คนในจวนเสนาบดีเคยทำมาให้หมด ในเมื่อเป็นเสนาบดีดีดีไม่ชอบ เจียงเฉิงก็จะให้เขากลายเป็นนักโทษไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ถือว่าเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู จะได้ไม่มีใครกล้ามาทำเช่นนี้อีก หลังรับคำสั่งแล้วคนของเจียงเฉิงมากกว่ายี่สิบคนก็แยกกันออกไปตามหาเบาะแสเรื่องของเสนาบดีกรมพิธีการทันที พวกเขารู้ดีว่านายน้อยใจร้อนมากเพียงใด หากพวกเขามัวแต่ชักช้า นายน้อยคงสั่งลงโท
คืนนี้หนิงชิงจึงได้นอนหลับอย่างสบายโดยที่สามีไม่ก่อกวนนางจริง ๆ เจียงเฉิงที่ได้แต่กอดภรรยานอน เขาอดหมั่นเขี้ยวคนตัวเล็กไม่ได้ จึงแอบหอมแก้มนางฟอดใหญ่ก่อนจะหลับไปพร้อมกับความอ่อนเพลียเช่นกัน จวนแม่ทัพเลี้ยงดูเด็ก ๆ ได้เกือบห้าเดือนแล้ว ช่วงนี้กลับมีข่าวลือว่าแม่ทัพใหญ่ไปติดพันลูกสาวเสนาบดีกรมพิธีการเสียได้ หนิงชิงไม่รู้ว่าข่าวนี้ใครเป็นคนปล่อย แต่สามีนางน่าจะรู้เรื่องนี้แล้วกระมัง ขนาดนางที่อยู่แต่ในจวนยังรู้เลย เขาที่ไปทำงานทุกวันจะไม่รู้ได้อย่างไร อีกทั้งข่าวลือยังบอกอีกว่าฮ่องเต้สนับสนุนให้แม่ทัพใหญ่มีฮูหยินรองเพื่อจะได้มีทายาทสืบทอดเพิ่มขึ้นอีก ทั้งสัปดาห์มีแต่ข่าวลือเรื่องนี้ ด้านเจียงเฉิงได้แต่โกรธแค้นว่าใครกันเป็นคนปล่อยข่าวบ้า ๆ นี่ออกมา เขาที่ทำงานที่ค่ายทหารงก ๆ จะเอาเวลาที่ไหนไปยุ่งกับหญิงอื่น อีกทั้งเขายังรักภรรยาคนเดียวด้วย จะมีหญิงใดที่เขาชายตามองในเมืองหลวงบ้างเ
สัปดาห์ต่อมาหลังจากเจียงเฉิงเริ่มจับทางเจ้าอ้วนน้อยทั้งสองได้แล้วว่าจะนอนตอนไหน แผนการเผด็จศึกภรรยาสุดที่รักก็เริ่มขึ้นทันที คืนนั้นเจียงเฉิงอาบน้ำให้ภรรยาพร้อมกับใส่ชุดให้นางแล้วอุ้มไปที่เตียงทันที หนิงชิงเองก็งงกับสามีตัวดีว่าจะทำอันใด ปกตินางก็เดินไปนอนเองอยู่แล้วหลังเขาใส่เสื้อผ้าให้ แต่วันนี้สามีนางมาแปลก เมื่อถึงเตียงแล้วเจียงเฉิงก็เริ่มปฏิบัติการเล้าโลมภรรยาตัวน้อยทันที หนิงชิงที่กว่าจะตั้งสติได้ก็ตอนที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยหมดแล้ว นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสามีตัวดีจึงได้ทำตัวแปลก ๆ ที่แท้เขาก็กำลังคิดเรื่องบนเตียงอยู่นั่นเอง หนิงชิงได้แต่กลัวว่าลูกจะตื่นจึงได้บอกเขาทั้งที่นางเองก็พร้อมให้กับสามีที่กำลังเล้าโลมนางอยู่ไม่น้อย เจียงเฉิงกระซิบบอกภรรยาที่รักของเขาว่าลูก ๆ จะยังไม่ตื่นจนกว่าจะอีกหนึ่งชั่วยาม เขาที่จับตาดูลูกมาตลอดหนึ่งสัปดาห์มั่นใจมาก หนิงชิงที่ได้ยินเช่นนั้นได้แต่บ่นสามีในใจว่าเขาถึงกับดูกิจวัตรประจำวันของเจ้าอ้วนน้อยทั้งสอ
กว่างานเลี้ยงจะเลิกก็เกือบเย็นแล้ว ครอบครัวเจียงเฉิงกับหนิงชิงพากันส่งแขกร่วมกันที่หน้าจวนจนกระทั่งแขกกลับกันหมดแล้ว หนิงกวานก่อนจะกลับจวนเช่นกันก็มอบของเล่นเอาไว้ให้หลาน ๆ เสียหลายอย่าง พ่อกับแม่ของเจียงเฉิงได้แต่ขอบคุณท่านตาของหลานพวกเขาที่สละเวลาทำของเล่นออกมาเสียมากมาย หนิงกวานได้แต่หัวเราะและบอกว่าพวกเขาเป็นหลานชายตัวอ้วนที่พวกเขามี หากมีสิ่งใดดี ๆ เขาก็อยากมอบให้หลาน ๆ มากกว่าที่จะให้กับคนอื่น หลังจากร่ำลากันได้สักพักพวกหนิงกวานก็ขึ้นรถม้าจากไป ตอนนี้จวนแม่ทัพกลับมาเงียบสงบดังเดิมแล้ว บ่าวไพร่เองต่างก็ช่วยกันเก็บข้าวของเพื่อให้บริเวณงานเลี้ยงสะอาดสะอ้านเหมือนก่อนที่จะจัดงาน พ่อกับแม่ของเจียงเฉิงที่เหนื่อยมาทั้งวันต่างชวนกันไปพักผ่อน วันนี้พวกเขาเสียเรี่ยวแรงไปมากจริง ๆ เอาไว้พรุ่งนี้พวกเขาค่อยไปเล่นกับหลาน ๆ ก็ยังไม่สาย อย่างไรหลานของพวกเขาก็อยู่ด้วยกันที่จวนอยู่แล้วด้วย ฟากฝ
สิ่งของสำหรับเลือกในครั้งนี้มีทั้งอุปกรณ์การช่างที่หนิงชิงเป็นคนวาง ตำราที่ฮ่องเต้ให้ขันทีวางลงไป ก้อนเงินที่ฮองเฮาประทาน ส่วนของไทเฮานั้นเป็นกุญแจอายุยืนที่นางสั่งร้านเครื่องประดับทำขึ้นมา สิ่งของอื่น ๆ ก็ยังมีของเล่นที่หนิงกวานทำมา มีดไม้แกะสลักก็ยังมี ไหนจะดาบของเล่นที่เจียงเฉิงเป็นคนวางอีกเล่า ยังไม่รวมสิ่งของอื่น ๆ อีกนับสิบอย่างที่มีคนมาวางเอาไว้ให้คุณชายน้อยทั้งสองเลือกอีก เมื่อถึงเวลาเลือกของแล้ว หนิงชิงกับเจียงเฉิงก็วางลูกลงบนกองสิ่งของแล้วให้พวกเขาเลือกมาสักหนึ่งอย่าง ด้านโหย่วเฉียงและคงหมิงได้แต่มองกันตาปริบ ๆ พวกเขารู้เพียงว่าอยากได้สิ่งของมาเล่นเท่านั้น จึงทำให้ทั้งคู่คลานต้วมเตี้ยมวน ๆ หาดูว่าจะเอาสิ่งใดมาเล่นดี โหย่วเฉียงที่เห็นดาบของเล่นก็ชอบใจ เขาเลือกดาบและตำราโดยนำดาบมาฟันตำราเล่นเสียอย่างนั้น การกระทำของเขาทำเอาแขกทั้งหลายมีแต่เสียงหัวเราะเอ็นดูเด็กน้อยกันทั้งนั้น ส่วนคงหมิงนั้นเลือกก้อนเงินและอุปกรณ์แปลก ๆ ของหนิงชิง &nb