หนึ่งปีต่อมา หลานจิวที่หมั้นหมายกับหนิงเจิ้งก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีที่เรือนของหนิงเจิ้ง เขาทำพิธีโดยมีท่านปู่กับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเป็นพยาน รวมทั้งคนในหมู่บ้านที่มาร่วมสนุกในงานแต่งงานครั้งนี้ พวกเขารู้ดีว่าบ้านหนิงซวนหยวนไม่เคยตระหนี่ของกิน พวกเขาจึงนำเงินเล็กน้อยมาเป็นขวัญถุงให้กับบ่าวสาวตามธรรมเนียม ทั้งที่หนิงซวนหยวนบอกแล้วว่าไม่รับของหรือเงิน แต่ก็ต้องจนใจที่ชาวบ้านบอกว่ามันเป็นธรรมเนียมที่พวกเขาทำสืบทอดกันมา หนิงซวนหยวนจึงได้ให้บ่าวรับเอาไว้ให้หลานชายเขาทีหลัง
หลานจิวที่ตอนแรกไม่อยากแต่งงาน แต่พอเห็นว่าบ้านนี้ใหญ่โตเพียงใดนางก็เกิดโลภขึ้นมาจึงได้ทำตัวดีให้ทุกคนเห็นเป็นฉากหน้า นางคิดว่านางจะได้นั่งเป็นฮูหยินที่สุขสบายในเรือนนี้แน่ ๆ โดยที่นางไม่รู้เลยว่าอีกไม่นานท่านปู่ผู้เป็นญาติคนเดียวของสามีจะสิ้นไป
หนิงเจิ้งเองก็มีความสุขไม่น้อย ภรรยาของเขาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อย่างที่เคยคิดเอาไว้ นางดูเป็นคนอ่อนหวานและช่างเอาใจไม่น้อย ทำให้หนิงเจิ้งหลงใหลนางเข้าจริง ๆ
หนิงซวนหยวนเห็นว่าทั้งคู่เข้ากันได้ดีก็วางใจ อย่างน้อยหากเขาเป็นอันใดไปก็ยังคงวางใจได้ว่าทั้งสองจะยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่ เขาไม่รู้ว่าตนเองจะได้อยู่เห็นหน้าเหลนหรือไม่ด้วยซ้ำ เพราะเขาฝืนตัวเองมามากในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้ร่างกายของเขาเขารู้ดีว่าอาจเหลือเวลาไม่มากแล้ว
โชคดีที่หนิงซวนหยวนยังรักษาตนเองอยู่บ้าง เขาเริ่มหวังที่จะเลี้ยงเหลนที่กำลังจะคลอดออกมาในอีกไม่กี่เดือน นับว่าหลานชายเขาทำหน้าที่สามีได้ดีจริง ๆ หนิงเจิ้งเองก็รู้ดีว่าท่านปู่อยากเห็นหน้าเหลน เขาจึงให้กำลังใจท่านปู่บ่อย ๆ ว่าให้อยู่ช่วยเขาดูแลลูกด้วย
ส่วนหลานจิวที่กำลังอุ้มท้องก็ไม่กล้าทำสิ่งใดเมื่อยังมีหนิงซวนหยวนอยู่ นางรู้ดีว่าสามีหลงใหลตนเองเข้าจริง ๆ นางเพียงรอให้ปู่ของสามีสิ้นไปเสียก่อน กิจการในเรือนนี้นางจึงจะเป็นคนจัดการเอง โดยอ้างกับสามีว่าเขาเหนื่อยปลูกสมุนไพรแล้ว นางเองก็อยากช่วยเหลืองานเขาในเรือนเช่นกัน
หนิงเจิ้งมองภรรยาที่กำลังท้องอยู่และเห็นว่างานในเรือนไม่มีอันใดต้องทำมากมายนัก เขาคนเดียวก็สามารถดูแลได้จึงไม่ได้พูดสิ่งใดกับนางอีก เขายังจำคำเตือนของท่านปู่ได้ว่าอย่าไว้ใจใครมากเกินไป ถึงแม้คนคนนั้นจะเป็นภรรยาของเขาก็ตาม
หลานจิวเห็นว่าสามีไม่พูดอันใดนางจึงไม่กล้ารบเร้าต่อ ด้วยนางพอจะรู้ว่าสามีนางถึงจะหลงใหลนางแต่เขาก็ฉลาดมากเช่นกัน เขาคงไม่คิดว่านางน่าไว้ใจกระมัง หลานจิวได้แต่รอวันที่จะได้เป็นเจ้าของเรือนใหญ่หลังนี้เท่านั้นเอง
หลังจากหลานจิวคลอดลูกแล้ว หนิงซวนหยวนก็มีกำลังใจมากขึ้น ตอนนี้เขามีเหลนเอาไว้ให้เลี้ยงดูแล้วจึงมีสิ่งกระตุ้นให้เขาอยากมีชีวิตอยู่นานขึ้นอีกหน่อย กระทั่งหลานจิวคลอดบุตรคนที่สอง หนิงซวนหยวนก็ยิ่งดีใจที่มีเหลนหัวปีท้ายปีเช่นนี้
หลานจิวเห็นว่าท่านปู่สามีดูจะชอบเด็กมาก นางจึงอดทนคลอดเด็กๆ ออกมาเพื่อหวังจะได้ทรัพย์สินของบ้านบ้าง นางเคยได้ข่าวว่าตอนที่พี่ชายเขาแต่งสะใภ้จากสำนักคุ้มภัยนั้นมีสินสอดถึงสิบหีบ แต่งานแต่งงานของนางกลับไม่มีแม้แต่หีบเดียว แม่สื่อให้มาเพียงแค่เงินไม่กี่ตำลึงกับผ้าไม่กี่พับเท่านั้น นางยังนึกอิจฉาพี่สะใภ้ที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน จนทำให้นางคิดมากว่าสามีนางเหตุใดไม่ให้เหมือนกับพี่สะใภ้ หรือว่าทรัพย์สินทั้งหมดหมดไปเพราะเรื่องนี้แล้วนางก็ไม่อาจทราบได้ ถึงแม้ว่านางจะอยู่ดีกินดีมีบ่าวรับใช้แต่นางก็ยังไม่พอใจ
จนกระทั่งวันหนึ่งนางสอบถามสามีถึงเรื่องนี้ สามีของนางยังถามกลับว่านางรู้ได้อย่างไรและถามไปเพื่ออะไร ในเมื่อนั่นเป็นทรัพย์สินของพี่ชายของเขาเอง ส่วนเขาก็มีเพียงเงินเก็บจากการขายสมุนไพรเท่านั้น หากนางอยากได้อะไรก็แค่บอกมา เขาจะให้บ่าวไปซื้อให้ แต่เรื่องในเรือนนี้เขาจะเป็นคนจัดการเอง
ตั้งแต่วันนั้นที่ภรรยาของหนิงเจิ้งสอบถามเรื่องทรัพย์สินกับเขา เขาก็รู้แล้วว่าภรรยาคนนี้ไม่ดีเท่าภรรยาพี่ใหญ่ นางมีความละโมบโลภมากกับทรัพย์สินของเขาจริง ๆ โชคดีที่ท่านปู่เตือนเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้ เขาจึงไม่ได้บอกสิ่งใดกับนาง
ความห่างเหินของหนิงเจิ้งทำให้หลานจิวสังเกตเห็น นางได้แต่เสียใจที่ตนเองสอบถามเขาจนทำให้เขาตีตัวออกห่างนาง กระทั่งนางท้องลูกคนที่สามนั่นแหละ หนิงเจิ้งจึงคอยดูแลนางอย่างดีดังเดิม แต่ก็ยังเว้นระยะห่างระหว่างนางกับเขาไม่น้อยเช่นเดียวกัน หลานจิวเห็นว่าลูกคนนี้ช่างไร้ประโยชน์นัก ขนาดว่านางท้องสามียังไม่ค่อยสนใจเลย ส่วนหนิงซวนหยวนก็ยุ่งอยู่กับการเลี้ยงดูหลานชายสองคนของเขา เขาจึงไม่ได้สนใจว่าหลานสะใภ้กับหลานชายจะเป็นอย่างไร
วัน ๆ หลานจิวก็ชักจะอารมณ์เสียเพราะลูกไม่ช่วยให้นางมีความสัมพันธ์ดีขึ้นกับสามี นางแทบไม่อยากจะคลอดเด็กคนนี้เสียด้วยซ้ำไป จนใจที่ก่อนถึงกำหนดคลอด หลานจิวที่เดินไปมาสำรวจที่ทางในเรือนกลับสะดุดล้มจากท้องที่ใหญ่โตจนต้องคลอดก่อนกำหนด ในวันนั้นนางเกือบต้องตายไปพร้อมกับลูกชายเสียแล้ว หากสามีพาหมอมาไม่ทัน เรื่องนี้ยิ่งทำให้หลานจิวโกรธและเกลียดลูกในท้องคนนี้ยิ่งขึ้นไปอีก
หนิงเจิ้งไม่รู้เลยว่าภรรยาจะมีความคิดเช่นนี้ เขาเร่งตามหมอมาจนนางคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัยเป็นชายอีกคนหนึ่ง เขาคิดว่าแค่นี้ตระกูลหนิงก็คงจะมีคนสืบทอดหลายคนแล้วจึงได้พักเรื่องมีลูกกับภรรยา เขากลัวว่าหากผิดพลาดไปแล้วนางท้องอีก รายได้ที่เขาขายสมุนไพรคงไม่พอเลี้ยงดูทุกคนแน่ ๆ การกระทำที่เปลี่ยนไปของหนิงเจิ้งทำให้หลานจิวไม่พอใจ นางเอาแต่ตวาดว่าลูกชายคนที่สามที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเป็นตัวซวยทำให้นางกับสามีห่างเหินกันไปอีก
กระทั่งหนิงซวนหยวนได้ยินเข้าก็สั่งสอนหลานสะใภ้ให้รู้จักรักลูกของตนเองบ้าง ไม่ใช่เห็นแก่ความสบาย เขาเปรียบเทียบนางกับสะใภ้บ้านอื่นจนทำเอานางขายหน้าบ่าวไพร่ไปเสียหมด
หลังจากวันที่หลานจิวถูกท่านปู่สามีสั่งสอน นางก็ทำตัวดีขึ้นทันที ด้วยกลัวว่าจะถูกเพ่งเล็งจนต้องหย่ากับสามี ส่วนหนิงเจิ้งนั้นไม่ได้สนใจภรรยา เขากับปู่ช่วยกันเลี้ยงดูเด็ก ๆ อย่างสนุกสนาน ในเมื่อแม่ของพวกเขาใจจืดใจดำนัก ทั้งสองปู่หลานจึงได้ช่วยกันเลี้ยงแทน หนิงซวนหยวนที่ช่วยเลี้ยงจนหลานชายคนโตอายุได้ห้าขวบ เขาก็เริ่มเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ตามประสาคนสูงวัย ทำให้หนิงเจิ้งยิ่งห่างเหินกับภรรยา เขาคอยดูแลท่านปู่และส่งจดหมายบอกพี่ชายแล้วว่าหากกลับมาดูใจท่านได้ก็ให้กลับมา ถ้ามาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เขาจะดูแลท่านปู่จนถึงวาระสุดท้ายเอง ด้านหนิงจิ้งที่ได้รับจดหมายจากน้องชายได้แต่นึกเสียใจ แต่ตอนนี้เขาได้สอบเข้าเป็นขุนนางในราชสำนักแล้ว การจะไปไหนมาไหนย่อมเป็นเรื่องยาก แถมตอนนี้ลูก ๆ ของเขาเองก็อายุมากพอที่จะเข้าเรียนแล้ว เขาจึงไม่อาจจากไปได้ หนิงจิ้งได้แต่ส่งจดหมายตอบกลับน้องชายอย่างเสียใจ คราแรกภรรยาเขาจะเดินทางกลับไปเอง แต่หนิงจิ้งไม่ไว้วางใจให้นางเดินทางคนเดียว เขาจึงไม่ให้นางไปด้วยความเป็นห่วง ฮวงเหมยอี้รู้ดีว่าสามีเป็นห่วง แต่เขาลืมไปหรือเปล่าว่านางเป็นลูกสาว
หนิงเจิ้งที่ยิ่งอยู่กับภรรยานานเข้าก็ยิ่งรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร เขาไม่นำพาว่านางจะมีนิสัยอย่างไร เพียงแค่ไม่ทำให้ลูก ๆ ลำบากเขาก็พอใจแล้ว ขนาดว่าหนิงกวานเรียนเก่งกว่าพี่ ๆ นางยังไม่เคยจะคิดชมเชยลูกเลยสักนิด นางกลับเอาอกเอาใจแต่ลูกคนโตกับคนรองของเขา มีแค่เขาเท่านั้นที่คอยส่งเสริมลูกชายคนเล็กให้ขยันเรียนให้มาก และเรียนรู้เรื่องสมุนไพรกับเขาให้ดี เผื่อว่าในอนาคตเขาจะได้มีวิชาติดตัวไว้บ้าง นับวันหลานจิวจะยิ่งแสดงออกถึงนิสัยที่แท้จริงของนางที่ทั้งตระหนี่ถี่เหนียว ไหนจะเอาแต่ด่าทอลูกคนเล็กให้เขาได้ยินบ่อย ๆ จนเขาต้องทะเลาะกับนางมาตลอดเรื่องนี้ หลานจิวเปรียบเทียบตนเองกับครอบครัวพี่ใหญ่ของหนิงเจิ้งมาตลอดว่าเขาไม่เอาไหน ไม่เหมือนพี่ชายที่เป็นขุนนางเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ยิ่งทำให้หนิงเจิ้งไม่พอใจ เขาชอบที่จะใช้ชีวิตสงบๆ เหตุใดเขาจึงได้มีภรรยาเช่นนี้ ความจริงแล้วเขาอยากหย่ากับนางมานานแล้ว เพียงแต่ลูก ๆ ยังเล็กอยู่เขาจึงจำใจอดทน รอให้ลูก ๆ โตกว่านี้ก่อนแล้วเขาจึงจะหย่านาง อย่างไรนางก็คงไม่ต้องการลูกคนเล็กของเขาแน่ ๆ หากนางคิดว่าสามารถเลี้ยงดูลูกชายสองคนเองได้เขาก็จะไ
หนิงกวานที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยอายุเขายังน้อยก็ได้แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านแม่จึงไม่รักเขาเหมือนพี่ ๆ ความจริงแล้วที่หลานจิวเกลียดหนิงกวานก็เพราะนางไม่สามารถมีลูกได้อีกหลังจากคลอดหนิงกวานนางจึงเกลียดเขาที่ทำให้นางมีลูกได้แค่สามคน ทั้งที่นางอยากได้ลูกสาวสักคนเพื่อจะได้เลี้ยงดูนางให้ดี สิบปีต่อมาหนิงกวานที่โตแล้วรู้ว่าแม่ของเขาเป็นอย่างไรก็หาได้ถือสา อย่างไรเขาก็ยังกตัญญูกับนางเหมือนเดิม ถึงแม้ท่านพ่อจะพยายามไม่ให้เขาเกิดความเกลียดชังแม่ตัวเอง แต่เขาก็มีเพียงความคิดน้อยใจเท่านั้น เมื่อถึงวัยแต่งงาน พี่ชายทั้งสองของเขาไปสู่ขอภรรยาก็ได้รับเงินจากท่านแม่ไปคนละไม่น้อย ส่วนเขาที่มีคนรักอยู่ในอีกหมู่บ้านหนึ่งนั้นกลับไม่ได้รับเงินจากนางแม้แต่อีแปะเดียว แถมนางยังไม่ยอมให้เขารับนางเข้าบ้านอีกต่างหาก จนท่านพ่อต้องเข้ามาจัดการเรื่องราวให้เขาเอง ท่านพ่อให้เงินทองและของหมั้นมากมายกับหนิงกวานจนทำให้หลานจิวยิ่งไม่พอใจที่สามีลำเอียง หนิงเจิ้งให้เหตุผลว่าเป็นเพราะหนิงกวานช่วยเขาทำสวนสมุนไพรมาตลอด การที่เขาจะตอบแทนลูกรักก็ไม่แปลก ทำเอาคนอื่น ๆ ในบ้านไม่กล้าพูดสิ่
หลายปีต่อมา หนิงเจิ้งที่ทำงานมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เริ่มเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ตามประสาคนสูงวัย ยังดีที่มีเสี่ยวชุ่ยและลูก ๆ อีกสามคนช่วยกันดูแล หนิงกวานจึงได้ปลูกสมุนไพรได้อย่างสบายใจและดูแลครอบครัวเล็ก ๆ ของเขาเป็นอย่างดี หนิงเจิ้งยังกำชับหนิงกวานว่าหากเขาเป็นอะไรไปก็อย่าให้หลานจิวกับลูกๆ เข้ามาอยู่ที่เรือนอีก เขารู้ดีว่าหนิงกวานเป็นคนใจอ่อนขนาดไหน หนิงกวานเองก็ไม่ได้รับปากอันใด เขาเพียงแต่บอกว่านางเป็นแม่เขาหากเขาไม่กตัญญูแล้วคนอื่นครหาจะทำเช่นใด หนิงเจิ้งฟังแล้วจึงได้บอกให้ลูกชายนำทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาเคยบอกเอาไว้ไปฝังเก็บไว้ที่อื่นเสียเพื่อที่จะได้ไม่ตกเป็นของหลานจิวกับลูกอีกสองคน เขารู้ดีว่าทรัพย์สินเหล่านี้หากอยู่ในมือคนพวกนี้คงไม่สามารถงอกเงยขึ้นมาได้ มีเพียงหนิงกวานเท่านั้นที่เขาเชื่อใจ หนิงกวานเองก็ได้แต่ต้องยอมทำตามที่ท่านพ่อบอก เขาหาสถานที่ฝังทรัพย์สินเอาไว้บนภูเขาห่างไกลจากที่ผู้คนเดินไปมาไม่น้อย เขายังทำสัญลักษณ์เอาไว้เพื่อที่ตนเองจะได้จดจำได้ว่าฝังไว้ที่ใดหากเกิดเหตุการณ์อย่างที่ท่านพ่อคาดเดาเอาไว้ หลังจากดูแลหนิงเจิ้งได้เกือบปีเขาก็จากไปด้
วันหนึ่งหนิงกวานไปขายสมุนไพร ขากลับฝนกลับตกลงมาอย่างแรง เขาจึงขอขึ้นเกวียนกลับหมู่บ้านทั้งที่ปกติเขาจะเดินเอา ด้วยถนนหนทางที่ไม่ดี ทำให้เกวียนเสียหลักคว่ำไปทับหนิงกวานที่กระโดดลงไม่ทัน ส่วนคนอื่นที่ขึ้นเกวียนมาด้วยก็บาดเจ็บมากน้อยต่างกันไป เพียงแต่หนิงกวานเจ็บหนักที่สุดเพราะเขาช่วยเด็กเอาไว้ไม่ให้ถูกเกวียนทับเหมือนเขา กว่าที่จะมีคนมาช่วยหนิงกวานกลับบ้าน อาการของเขาก็หนักมากแล้ว เสี่ยวชุ่ยไปขอเงินหลานจิวเพื่อจะพาสามีไปหาหมอ“ฮึก.. ท่านแม่ ข้าขอร้องท่าน ขอเงินให้ข้าพาหนิงกวานไปหาหมอด้วยเถิดเจ้าค่ะ ไม่อย่างนั้นเขาต้องทนไม่ไหวแน่”“ฮึ! เรื่องอะไรข้าจะช่วยมัน ถ้ามันตายได้ก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเปลืองข้าวปลาอาหารอีก ไหนมันจะอกตัญญูกับข้าบ่อย ๆ เจ้าเองก็เห็น”“ท่านแม่ แต่นี่หนิงกวานเป็นลูกชายท่านนะเจ้าคะ ท่านไม่คิดจะช่วยเหลือเขาหรืออย่างไร ทั้งที่เขาหาเลี้ยงคนทั้งครอบครัว”“มันเป็นลูกข้าแล้วยังไง ข้าเกลียดที่มันทำให้ข้าไม่สามารถมีลูกได้อีก สามีก็ห่างเหินจากข้าจนหย่ากับข้า เจ้าไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ ไป ไป จะไปไหนก็ไป อย่าให้มันมาตายที่บ้านข้าให้อัปมงคล” เสี่ยวชุ่ยไ
สามวันต่อมาหลังจากหนิงกวานฟื้นตัวได้ดี เขาก็บอกให้เสี่ยวชุ่ยเก็บของทุกอย่างให้เรียบร้อย ส่วนเงินเก็บเขาก็นำออกมาให้หนิงชิงไปจัดการเรื่องการหาบ้านเช่าที่หมู่บ้านอื่น เสี่ยวชุ่ยแนะนำลูกสาวให้ไปเช่าที่หมู่บ้านนางซึ่งไม่ไกลจากเมืองนัก อีกทั้งเวลาจะพาหนิงกวานไปหาหมอจะได้สะดวกหน่อย หนิงชิงได้แต่กำชับให้น้อง ๆ ดูแลท่านพ่อให้ดี นางกับแม่จะรีบกลับมาหลังจากได้บ้านเช่าแล้ว ครอบครัวเล็ก ๆ ได้แต่อยู่ในห้องเฝ้าพ่อของพวกเขา ตอนนี้สวนสมุนไพรไม่มีใครดูแล ใช่ว่าหนิงกวานจะไม่เป็นห่วงสมุนไพรพวกนั้น แต่จนใจที่ลูก ๆ กลัวว่าหลานจิวจะมาทำร้ายเขาขณะที่ยังบาดเจ็บอยู่จึงไม่ยอมออกไปไหน หนิงชิงยังกำชับไม่ให้เขาเคลื่อนไหวอีกด้วย เพราะกระดูกของเขายังไม่หายดี หนิงชิงเดินตามท่านแม่ของนางไปที่หมู่บ้านคังที่เป็นบ้านเดิมของท่านแม่นาง ซึ่งความจริงแล้วนางไม่ได้กลับบ้านมานานแล้วตั้งแต่แต่งงาน เป็นเพราะนางท้องต่อ ๆ กันนั่นเองจึงไม่ได้มาเยี่ยมที่บ้านเลย อีกทั้งหลานจิวที่มาอยู่ก็ไม่ยอมให้นางออกไปไหน นางจำเป็นจะต้องรองมือรองเท้าของหลานจิวอยู่ตลอดเวลา วันนี้เมื่อมีโอกาสนางจึงจะแวะเยี่ยมครอบครัว
ช่วงสองสามวันมานี้พวกหนิงชิงไม่สนใจเสียงก่นด่าของหลานจิว พวกนางกินข้าวที่เรือนของพวกนางเองอย่างไม่ไว้หน้าหลานจิว หากพวกเขาหิวก็ให้พวกเขาทำกันเอง พวกนางไม่สนใจจะเป็นที่รองมือรองเท้าของคนพวกนี้อีก นางยังนัดให้ท่านลุงผู้ใหญ่บ้านมาช่วยเรื่องการแยกบ้านในวันพรุ่งนี้ด้วย ช่วงนี้พวกนางต้องเก็บของที่จำเป็นก่อนที่จะย้ายออกจากเรือนนี้ในวันพรุ่งนี้ หลานจิวเองก็ไม่อยากไปเหยียบเรือนของคนพวกนี้ นางจึงได้แต่ใช้สะใภ้ทั้งสองให้ทำอาหารให้พวกนางกินแทน ถึงแม้ฝีมืออาหารจะไม่อร่อยเท่าเสี่ยวชุ่ยทำแต่ก็พอที่จะกินได้บ้าง ทำให้หลานจิวค่อยสบายใจขึ้นหน่อยที่นางไม่มีคนพวกนี้นางก็ยังอยู่ได้ วันทั้งวันครอบครัวของหนิงชิงไม่คิดไปเหยียบเรือนใหญ่ของท่านย่าแม้แต่นิดเดียว ด้วยยังยุ่งอยู่ว่าจะเอาสิ่งใดไปบ้างในการย้ายบ้านครั้งนี้ พวกหม้อไหต่าง ๆ ก็เป็นของที่บ้านเก่า“ท่านพ่อจะให้ขนสิ่งใดไปบ้างเจ้าคะ ข้าเห็นว่าของพวกนั้นเก่าเก็บมานานแล้ว หากท่านพ่อพอจะมีเงินเหลือบ้างข้าจะได้หาซื้อเอาใหม่ ตอนไปดูบ้านข้าก็ลืืมดูเครื่องครัวว่ามีหรือไม่ด้วยเจ้าค่ะ”“หากเจ้าคิดเช่นนี้ก็ซื้อใหม่เอาเถิดหนิงชิง พ่อเองก็
ไม่นานนักเกวียนของผู้ใหญ่บ้านก็มาถึง ทุกคนช่วยกันยกเสื้อผ้าและที่นอนขึ้นไปวางไว้ก่อน จากนั้นพยุงหนิงกวานไปนั่งที่เกวียน ส่วนคนอื่น ๆ ก็ขึ้นเกวียนกันไปรอแล้ว เหลือแค่หนิงชิงที่ยังคงผูกรถเข็นเข้ากับเกวียนเพื่อเดินทางในครั้งนี้ เมื่อผูกเสร็จแล้วนางก็ขอให้ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านออกเดินทางได้ โชคดีที่พวกนางไม่มีของมากนักจึงขนของได้อย่างรวดเร็ว หลานจิวเห็นพวกมันเตรียมตัวอย่างดีก็ถึงได้รู้ว่าเรื่องแยกบ้านนี้พวกมันคิดกันเอาไว้ดีแล้ว ต่อไปนางจะหาเงินได้จากที่ใดถ้าไม่มีหนิงกวานคอยไปขายสมุนไพร นางได้แต่เสียใจที่ไม่ให้ลูก ๆ เรียนรู้เรื่องการปลูกสมุนไพรเหมือนหนิงกวาน ยังดีที่นางยังพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง แต่นางต้องคิดหาทางให้ได้เงินมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นแค่ค่าอาหารพวกนางก็คงอยู่ได้ไม่กี่เดือนแน่ ๆ ส่วนเงินที่หนิงเจิ้งเคยให้นางเอาไว้นางก็ใช้หมดไปนานแล้ว หลานจิวให้ลูก ๆ ไปดูแปลงสมุนไพรว่าพอจะมีเหลือขายอีกหรือไม่ หากมีก็ให้พวกเขาเก็บไปขายเสียขณะที่หนิงกวานยังไม่สบายอยู่ บ้านนั้นคงไม่มีใครขายสมุนไพรได้กระมัง นางจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้นบ้าง ลูก ๆ ที่ขี้เกียจของนางคราแรกจะ
หนึ่งเดือนต่อมา ท่านลุงกับลูกพี่ลูกน้องของนางก็กลับมาถึงเมือง พวกเขาได้รับตำแหน่งกันคนละเมือง ที่ใกล้ที่นี่ที่สุดเป็นพี่ชายเสี่ยวหยวนคือเขาได้ตำแหน่งรองนายอำเภอที่อำเภอติดกันนี้เอง ส่วนคนอื่น ๆ ก็ได้รับหน้าที่ที่อำเภอที่ห่างออกไปอีกไม่น้อย เป็นอย่างที่หนิงชิงคิดเอาไว้ว่าท่านตาท่านยายไม่อยากย้ายที่อยู่ ท่านลุงจึงให้ลูกชายคนโตหมั่นกลับมาเยี่ยมที่บ้านเอา เขาเห็นว่าลูกชายเดินทางง่ายกว่าที่พวกเขาจะเดินทางไปที่เมืองหยางฮุยเอง ส่วนลูกอีกสองคนก็ไม่ต้องลำบากกลับมาบ่อย ๆ พวกเขาบอกว่ารอให้น้องชายหนิงหยางสอบได้เสียก่อนแล้วจะแวะไปเยี่ยมพวกเขาทีหลัง หนิงชิงยังสนใจเมืองกังที่พี่ชายเสี่ยวเจียงได้ย้ายไปอยู่อีกด้วย นางชอบอาหารทะเลจึงอยากไปเยือนเมืองกังดูสักครั้ง หลังพูดคุยกันด้วยความคิดถึงแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ตนเอง หนิงชิงกับที่บ้านยังต้องเตรียมของเอาไว้ขายในวันพรุ่งนี้อีก ส่วนท่าน
หนิงชิงเปิดร้านมาได้เดือนกว่าแล้วลูกค้าก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวันจนนางต้องทำของออกมามากกว่าปกติเกือบเท่าตัว นางกลัวว่าจะทำมากเกินไปจนของขายไม่หมดและเหลือเยอะเกินไป แต่ท่านแม่ท่านพ่อของนางบอกว่าเหลือเราก็กินกันเองได้ หนิงชิงจึงได้แต่ทำเพิ่มไปตามที่ท่านแม่ท่านพ่อบอก วันต่อ ๆ มาลูกค้าของนางกลับเพิ่มมากขึ้นอีกทำให้ไม่มีอาหารเหลือเลยแม้แต่วันเดียว หนิงชิงดีใจมากที่ชาวบ้านเลือกมากินที่ร้านนางแทนที่จะทำอาหารกินกันเอง เพราะรสชาติที่อร่อยและให้เยอะของร้านนางในราคาย่อมเยา บรรดาคนในเมืองจึงไม่อยากทำอาหารเช้ากินเอง ยังมีบางคนเอาปิ่นโตมาใส่กลับไปด้วยเสียด้วยซ้ำไป พวกเขาบอกว่าไม่อยากทำอาหารให้เปลืองมากกว่ามาซื้อกินที่นี่ ยิ่งขายนานไปร้านของหนิงชิงยิ่งขายดีมากขึ้นทำให้นางมีเงินเก็บจากร้านอาหารไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนสวนสมุนไพรก็มีหนิงกุ้ยที่คอยดูแลไปตามประสา นางชอบของนางทุกคนในบ้านก็ไม่ได้ห้ามปรามอันใด หนิงชิงที่พาพ่อไปตรวจเมื่อต้นเดือนก็ย
หลังกลับมาจากหมู่บ้านคัง ต่างคนต่างยุ่งเรื่องของตนเอง หนิงชิงรู้ว่าท่านลุงจะติดตามลูก ๆ ไปสอบด้วยเพราะเป็นห่วง นางจึงบอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องที่นี่ นางกับน้อง ๆ จะช่วยกันดูแลป้าสะใภ้กับท่านตาท่านยายเอง เสี่ยวเหยาได้ยินหนิงชิงรับปากก็ได้แต่เบาใจ ในครอบครัวนี้หนิงชิงน่าเชื่อถือยิ่งกว่าใคร ไม่ว่าหนิงชิงจะทำสิ่งใดนางจะคิดทุกอย่างอย่างรอบคอบเสมอ เสี่ยวเหยาจึงหายกังวลเสียทีว่าเขาไปต่างเมืองกับลูก ๆ หลายวันที่บ้านจะวุ่นวาย เสี่ยวเหยายังให้เงินภรรยาเอาไว้ทำอาหารให้ท่านพ่อท่านแม่เขากินอีกด้วย ทั้งที่หนิงชิงบอกแล้วว่ามากินกันที่ร้านก็ได้ แต่เสี่ยวเหยาก็ยังเกรงใจนางอยู่ดี เขารู้ดีว่าหลานสาวทำงานหนักแค่ไหน ตอนนี้ลูก ๆ ของเขาสอบผ่านระดับอำเภอแล้ว จึงต้องเดินทางไปที่มณฑลเพื่อสอบต่ออีก ทั้งที่เขาไม่ได้หวังว่าลูก ๆ ทั้งสามจะเก่งกาจเสียขนาดนี้ ลูก ๆ ไม่ทำให้เขาผิดหวังจริง ๆ ตอนนี้เขายังมีเงินอยู่มากไม่น้อย เสี่ยวเหยายังไปบอกเถ้าแก่โรงเตี๊ยมด้วยว่าถ้าต้องการกระต่ายก็ไปที่บ้านเขาได้เลย เพราะเขาจะอ
หลังวันหยุดผ่านไปบ้านของท่านลุงหนิงชิงก็ปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนหนิงชิงเองก็ไปซื้อของสดมาไว้ทำอาหารเช้าขายในตอนเย็น นางจะขายโจ๊กหมูสับกับซาลาเปาไส้เนื้อเท่านั้น ทั้งครอบครัวช่วยกันเตรียมซาลาเปาเอาไว้นึ่งพรุ่งนี้เช้าก่อนสองร้อยลูก เผื่อว่าจะขายไม่ดี อย่างไรก็เป็นวันแรกที่ร้านเปิด หนิงชิงไม่ได้โลกสวยคิดว่าตนเองจะขายดิบขายดีเหมือนร้านที่เปิดมาก่อนหน้าแน่ ๆ นางคิดเผื่อเอาไว้แล้วว่าถ้าขายไม่ดีพวกนางก็จะได้กินเองแบบไม่เสียดายของที่ทำเอาไว้ เช้าวันต่อมาหลังจากเปิดร้านแล้ว เป็นอย่างที่หนิงชิงนึกเอาไว้ว่าร้านค้าใหม่คนยังไม่ค่อยรู้จัก หนิงชิงให้น้อง ๆ ช่วยกันเรียกลูกค้ามาทดลองชิมก่อนเพื่อที่คนอื่น ๆ จะได้บอกกันปากต่อปากว่าอาหารร้านนางนั้นรสชาติไม่เหมือนใครและใช้วัตถุดิบที่ดีมาทำอาหาร ลูกค้าที่โชคดีได้ทดลองชิมต่างบอกต่อ ๆ กันว่าร้านนี้อร่อยราคาไม่แพงด้วยโจ๊กถ้วยละ 10 อีแปะแต่ได้หมูสับมากมายแ
หลังจากคุยเรื่องปรับปรุงบ้านเสร็จแล้ว นายช่างนัดเริ่มงานพรุ่งนี้เพราะเขาต้องเตรียมอุปกรณ์และคนงานไปช่วยกันทำงาน หนิงชิงกับเสี่ยวเหยาไม่มีปัญหาเรื่องนี้ ทั้งสองลุงหลานจึงกลับเรือนไปหลังวางมัดจำ หนิงชิงยังอาสาไปช่วยลุงของนางไปจับกระต่ายมาไว้ที่บ้านหลังใหม่ด้วย เสี่ยวเหยาเห็นว่าหลายคนน่าจะทำให้เร็วขึ้นเขาจึงไม่คัดค้านอันใดหลานสาวคนเก่ง อีกอย่างตอนนี้ร้านอาหารยังไม่เปิดให้บริการ ทำให้หนิงชิงมีเวลามากมาย สองลุงหลานกลับไปเอาเกวียนแล้วพากันออกเดินทางกลับไปหมู่บ้านคังเพื่อจับกระต่ายมาไว้ที่บ้านใหม่ กว่าที่พวกเขาจะจับกระต่ายจำนวนมากเสร็จก็เที่ยงพอดี โชคดีที่หนิงชิงนำซาลาเปามาด้วย เมื่อเช้าที่บ้านนางทำซาลาเปาเนื้อเอาไว้มากมาย สองคนลุงหลานจึงนั่งกินกันก่อนจะเดินทางกลับเรือนในเมือง เมื่อกลับถึงเรือนแล้วทั้งสองคนจัดกระต่ายเอาไว้ในพื้นที่ซึ่งหนิงชิงเตรียมเอาไว้ให้เป็นอย่างดี กระต่ายทั้งหลา
สองวันต่อมาทั้งสองครอบครัวก็ย้ายบ้านกันเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้บ้านของท่านลุงจะยังไม่ได้ปรับปรุง แต่หนิงชิงก็ให้ทุกคนมาพักที่เรือนด้านหลังกันก่อนจะได้ไม่เสียเวลาขนของไปมาบ่อย ๆ อย่างไรท่านลุงก็ยังต้องเตรียมที่สำหรับกระต่ายจำนวนไม่น้อยที่เลี้ยงไว้ที่บ้านซึ่งยังไม่ได้ขนมา ส่วนประตูเชื่อมบ้านสองหลังนั้นท่านลุงของนางก็ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย ทำให้การไปมาหาสู่กันสะดวกยิ่งขึ้น หนิงชิงยังพาน้อง ๆ ไปช่วยท่านลุงปรับปรุงบ้านด้วยอีกต่างหาก ส่วนหนิงชิงปรับพื้นที่เพื่อเตรียมรอกระต่ายที่จะเข้ามาอยู่ที่นี่ในอนาคต เสี่ยวเหยาเห็นหลานสาวปรับพื้นที่รอแล้วเขาจึงขอยืมเกวียนของนางไปเอากระต่ายในวันพรุ่งนี้ หนิงชิงได้แต่จนใจกับความเกรงใจของท่านลุง นางได้แต่บอกว่าท่านลุงใช้ได้ตามสบายเลย อย่างไรบ้านนางตอนนี้ก็ไม่ต้องใช้เกวียนแล้วหลังจากขนของเสร็จ คนอื่น ๆ ฟังที่หนิงชิงพูดก็ได้แต่หัวเราะเสี่ยวเหยาที่ถูกหลานสาวเอ็ดเอา ทุกคนต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือและสอบถามหนิงชิงว่าจะทำสิ่งใดขายเป็นอาหารเช้าบ้าง หนิงชิงจึงบอกว่านางจะทำโจ๊กถ้วยละ 10 อีแปะ ส่วนซาลาเปาก็จะเป็นไส้เนื้อเท่านั้น ร้านนางไม่ต้องการขาย
หลังเสร็จธุระที่โรงหมอแล้ว หนิงชิงก็ให้ท่านลุงพาไปที่ร้านของนาง เพื่อที่จะได้รอท่านลุงไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อสอบถามเรื่องบ้านของท่านลุงด้วย ส่วนพวกนางจะทำความสะอาดรอก่อนที่จะย้ายมาอยู่ในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ เสี่ยวเหยาจอดเกวียนเอาไว้แล้วเดินไปที่ทำการอำเภอที่อยู่ไม่ไกล เขาไม่อยากขับเกวียนไปขวางทางที่นั่นจึงได้จอดเอาไว้ในบ้านของหลานสาว เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นเสี่ยวเหยาก็ได้แต่แปลกใจ เขากำลังจะเอาโฉนดที่ทำเสร็จแล้วไปให้กับหนิงชิงพอดี พอสอบถามกันไปมาปรากฏว่าเสี่ยวเหยาต้องการซื้อบ้านที่ใกล้กับบ้านหลานสาว โชคดีที่ด้านหลังบ้านของหนิงชิงนั้นมีบ้านว่างที่รอขายอยู่พอดี เขาจึงเสนอให้เสี่ยวเหยาในราคา 150 ตำลึง เพราะบ้านไม่ได้มีสภาพดีนัก เขาจึงบอกขายราคานี้ให้ เสี่ยวเหยายินดีที่จะไปดู อย่างไรเขาก็ซ่อมบ้านเองได้ไม่ลำบาก เจ้าหน้าที่เห็นว่าเขาสนใจจริง ๆ จึงบอกให้เสี่ยวเหยารอก่อน เขาขอไปเอาเอกสารกับกุญแจบ้านเหมือนเคย ไม่นานนักพวกเขาก็เดินมาถึงซอยด้านหลังร้านของหนิงชิง นับว่าที่อยู่ไม่ไกลกันเลยจริง ๆ พวกเขาสามารถเจาะประตูเดินไปหากันได้อย่างสบาย ๆ เสี่ยวเหยาดูสภาพบ้านแล้วก
สองลุงหลานต่างพากันดีใจที่ได้เหยื่อใหญ่อีกครั้งก่อนที่หนิงชิงจะย้ายบ้าน ทั้งคู่เอาเกวียนมาใส่สัตว์ป่าลงไปทั้งหมดในคราวเดียว อย่างไรตอนนี้กระต่ายที่เสี่ยวเหยาเลี้ยงไว้ก็มีลูกมากมายให้เขาจับขายได้ตลอดอยู่แล้ว หนิงชิงยังบอกท่านลุงของนางด้วยว่าถ้าอยากซื้อบ้านมาเลี้ยงกระต่ายก็ให้ท่านลุงซื้อบ้านหลังใหญ่หน่อยจะได้มีพื้นที่ให้กระต่ายผ่อนคลายบ้าง เสี่ยวเหยาคิดตามหลานสาวแล้วก็เห็นว่าจริงอย่างที่นางพูด หากเขาไม่ล่าสัตว์เขายังสามารถขายกระต่ายได้อยู่ดี ทำให้เสี่ยวเหยาตัดสินใจที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง เอาไว้พรุ่งนี้เขาค่อยไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อสอบถามเรื่องบ้านจะดีกว่า หากได้บ้านใกล้กับร้านของหนิงชิงก็ยิ่งดี วันนี้สองลุงหลานได้เงินค่าสัตว์ป่ามาอีกถึง 400 ตำลึง เนื่องจากน้ำหนักหมูป่าคราวนี้สองร้อยกว่าจิน ไหนจะสัตว์ป่าตัวอื่นในกับดักที่ยังเป็นๆ อยู่ ยิ่งทำให้ได้ราคาดี หนิงชิงต้องการจะแบ่งคนละครึ่งแต่เป็นท่านลุงที่ยอมรับแค่หนึ่งร้อยตำลึงเหมือนเดิมทั้งที่นางบอกแล้วว่ายังมีเงินเหลืออีกมากแต่เขาก็เป็นห่วงน้องสาวจึงยอมรับแค่ร้อยตำลึงเท่านั้น อย่างไรค่าบ้านที่เขาถามกันวันนี้ก็ไ
เมื่อถึงที่ว่าการแล้ว เสี่ยวเหยาก็พาหลานสาวเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ทางการที่รับผิดชอบเรื่องการค้าขายบ้าน“ท่านลุงเจ้าหน้าที่เจ้าคะ ไม่ทราบว่ามีบ้านราคาย่อมเยาที่จะขายบ้างหรือเปล่าเจ้าคะ หากเป็นร้านค้าได้ด้วยราคาขั้นต่ำเท่าไหร่หรือเจ้าคะ” เจ้าหน้าที่มองสองคนที่มาสอบถามเขาเห็นทั้งสองคนแต่งตัวไม่เลวจึงคิดว่าทั้งคู่คงเป็นพ่อลูกที่อยากหาที่อยู่ใหม่กระมัง“ถ้าบ้านเปล่าราคาก็ประมาณหนึ่งร้อยถึงสองร้อยตำลึง แต่หากเป็นร้านค้าด้วยก็จะราคาสามร้อยตำลึงพร้อมกับมีบ้านด้านหลังให้พักได้ด้วย เจ้าสนใจแบบใดเล่าแม่หนู ข้าจะได้พาเจ้าไปดู”“เช่นนั้นข้ารบกวนท่านลุงพาข้าไปดูที่ร้านก่อนดีกว่าเจ้าค่ะว่าทำเลพอที่ข้าจะค้าขายได้หรือไม่” เจ้าหน้าที่ขอเวลาไปนำกุญแจกับเอกสารมาก่อนไม่นานนัก ตอนนี้ในมือของหนิงชิงมีเงินถึงห้าร้อยตำลึงจากการขายสัตว์ป่าที่ผ่านมาทั้งอาทิตย์ นางไม่กลัวว่าจะไม่มีเงินจ่ายและปรับปรุงร้านแม้แต่น้อย อีกอย่างท่านลุงยังอาสามาช่วยนางปรับปรุงร้านอีกต่างหาก ในระหว่างที่พ่อของนางยังไม่หายดี เจ้าหน้าที่พาทั้งสองคนไปดูร้านค้าที่อยู่ใกล้ ๆ กับโรงเรียนพอดี ร้านนี้มีคนฝากข