หนิงเจิ้งที่ยิ่งอยู่กับภรรยานานเข้าก็ยิ่งรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร เขาไม่นำพาว่านางจะมีนิสัยอย่างไร เพียงแค่ไม่ทำให้ลูก ๆ ลำบากเขาก็พอใจแล้ว ขนาดว่าหนิงกวานเรียนเก่งกว่าพี่ ๆ นางยังไม่เคยจะคิดชมเชยลูกเลยสักนิด นางกลับเอาอกเอาใจแต่ลูกคนโตกับคนรองของเขา มีแค่เขาเท่านั้นที่คอยส่งเสริมลูกชายคนเล็กให้ขยันเรียนให้มาก และเรียนรู้เรื่องสมุนไพรกับเขาให้ดี เผื่อว่าในอนาคตเขาจะได้มีวิชาติดตัวไว้บ้าง
นับวันหลานจิวจะยิ่งแสดงออกถึงนิสัยที่แท้จริงของนางที่ทั้งตระหนี่ถี่เหนียว ไหนจะเอาแต่ด่าทอลูกคนเล็กให้เขาได้ยินบ่อย ๆ จนเขาต้องทะเลาะกับนางมาตลอดเรื่องนี้ หลานจิวเปรียบเทียบตนเองกับครอบครัวพี่ใหญ่ของหนิงเจิ้งมาตลอดว่าเขาไม่เอาไหน ไม่เหมือนพี่ชายที่เป็นขุนนางเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ยิ่งทำให้หนิงเจิ้งไม่พอใจ เขาชอบที่จะใช้ชีวิตสงบๆ เหตุใดเขาจึงได้มีภรรยาเช่นนี้
ความจริงแล้วเขาอยากหย่ากับนางมานานแล้ว เพียงแต่ลูก ๆ ยังเล็กอยู่เขาจึงจำใจอดทน รอให้ลูก ๆ โตกว่านี้ก่อนแล้วเขาจึงจะหย่านาง อย่างไรนางก็คงไม่ต้องการลูกคนเล็กของเขาแน่ ๆ หากนางคิดว่าสามารถเลี้ยงดูลูกชายสองคนเองได้เขาก็จะไม่รั้งนางเอาไว้ เพราะเขาไม่อยากได้ยินเสียงบ่นด่าของนางที่มีกับหนิงกวานอีกแล้ว มันช่างน่ารำคาญและไม่มีเหตุผลใดเลย ถึงแม้หนิงกวานจะอยู่เฉย ๆ เขาก็ยังถูกนางด่าว่าเป็นประจำ ทำเอาหนิงเจิ้งได้แต่โมโหมากขึ้นทุกวัน
เป็นเพราะการทะเลาะกันของสองผัวเมียทำให้หนิงกวานได้แต่เสียใจที่เขาเป็นต้นเหตุให้พ่อกับแม่ทะเลาะกัน เพียงแต่เขายังเด็กนักจึงไม่เข้าใจว่าทำไมท่านแม่จึงจงเกลียดจงชังเขานัก หนิงกวานพยายามเป็นเด็กดีอย่างที่ท่านพ่อบอก เผื่อว่าท่านแม่จะรักและเอ็นดูเขาบ้าง แต่จนใจที่หลานจิวไม่มีเหตุผล นางยังคิดว่าหนิงกวานเป็นตัวซวยสำหรับนางมาตลอดตั้งแต่นางคลอดก่อนกำหนดจึงทำให้นางรังเกียจหนิงกวานมาก
เรื่องราวที่บ้านหนิงเจิ้งใช่ว่าผู้ใหญ่บ้านไม่รู้ เพียงแต่เขาเป็นคนนอกจึงช่วยสิ่งใดไม่ได้มากนัก แต่หากหนิงเจิ้งต้องการหย่าภรรยาเขาก็จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เขาเคยรับปากหนิงซวนหยวนเอาไว้ว่าจะช่วยหนิงเจิ้งหากเขามีเรื่องใดหนักใจ ตอนนี้เป็นเขาที่ไม่น่าเชื่อภรรยาตนเองหาคนเช่นนี้มาแต่งงานกับหนิงเจิ้งเลยจริง ๆ เขาแค่เห็นว่าภรรยาเขาเป็นญาติห่าง ๆ จึงได้เชื่อใจนาง แต่กลับได้สะใภ้เช่นนี้มาให้หนิงซวนหยวน ทำให้เขาได้แต่ละอายใจจนไม่กล้าไปบ้านหนิงเจิ้งบ่อย ๆ เหมือนเมื่อก่อน ยิ่งตอนนี้บ่าวไพร่ต่างแยกย้ายกันออกจากเรือนกันหมดแล้ว หนิงเจิ้งต้องอาศัยภรรยาเรื่องอาหารการกิน ถึงแม้จะไม่อร่อยเท่าเดิมแต่ก็พอกินได้เท่านั้น
หลานจิวยังชอบลงโทษหนิงกวานไม่ให้กินข้าวบ่อย ๆ ทำให้หนิงเจิ้งไม่พอใจมากจนขู่นางว่าเขาจะหย่านางเสียหากนางยังคงทำตัวเช่นนี้ เขาสามารถหาซื้อทาสหลวงมาเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีนางอยู่เขากับลูกก็อยู่กันได้
ทำเอาหลานจิวตกตะลึงที่สามีนางคิดจะหย่านางเพราะเจ้าลูกตัวซวย หลังจากวันที่หนิงเจิ้งขู่ว่าจะหย่านาง หลานจิวก็ทำตัวดีขึ้นไม่น้อย นางไม่ได้ด่าทอต่อว่าหนิงกวานอีก แต่ก็ไม่ได้ชมเชยเลยเช่นกัน
หนิงเจิ้งเห็นว่านางสงบลงมากก็ค่อยเบาใจ ความจริงเขาเองก็ไม่อยากหย่านางให้อับอายขายหน้าตนเอง อย่างไรนางก็ยังเป็นแม่ของลูกเขาอยู่ดี ถึงแม้เขาจะแยกห้องนอนกับนางนานมากแล้วตั้งแต่เห็นนิสัยที่แท้จริงของนาง
หนิงเจิ้งยังพาหนิงกวานมานอนเรือนเดียวกับเขาด้วยกลัวว่าหลานจิวจะแอบทำร้ายลูกชายคนนี้นั่นเอง เรื่องนี้ยิ่งทำให้หลานจิวไม่พอใจที่สามีไม่เชื่อใจนาง นางแค่ด่าว่าหนิงกวานเท่านั้นแต่ไม่เคยลงไม้ลงมือกับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หลังจากวันนั้นบ้านหนิงก็สงบลงมาก จนคนในหมู่บ้านคิดว่าพวกเขาคืนดีกันแล้วตามประสาผัวเมีย แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าหนิงเจิ้งยิ่งเงียบขรึมลงเรื่อย ๆ เขาแทบไม่พูดคุยกับภรรยาด้วยซ้ำ ส่วนเงินค่าอาหารเขาก็ให้นางบริหารเอาเอง เขาจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่นางต้องใช้ให้พอดีกับอาหารทุกมื้อและทุกเดือน ด้วยว่าเขาให้นางไม่น้อย อย่างไรเงินก็ยังเหลือหากนางไม่แอบเก็บเอาไว้เอง
จนใจที่นิสัยขี้ตระหนี่ของหลานจิวมันอยู่ในสายเลือดเสียแล้ว อาหารที่นางทำออกมากลับมีแต่ผักหญ้า เนื้อแม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี ทำให้หนิงเจิ้งที่ทำสวนสมุนไพรอดรนทนไม่ไหวจนทะเลาะกันอีก เขาบอกว่าต่อไปจะไม่ให้นางใช้เงินอีก ส่วนวัตถุดิบทำอาหารเขาจะซื้อมาทำเอง แต่หลานจิวที่มีเงินแล้วไม่ยอมคืนเงินให้กับหนิงเจิ้ง
หนิงเจิ้งที่เห็นนิสัยละโมบโลภมากของนางได้แต่จนใจ เขาจึงไม่อยากยุ่งกับนางอีก เขาพาหนิงกวานออกไปหาซื้อทาสมาทำอาหารให้เขากับลูกชายคนเล็กกิน ส่วนลูกอีกสองคนนั้นเขาไม่สนใจเลย อย่างไรหลานจิวก็รักพวกเขามากกว่าอยู่แล้ว นางคงไม่ปล่อยให้ลูกนางอดตายหรอกกระมัง
หลานจิวที่เห็นสามีกับลูกคนเล็กออกจากเรือนไปก็ได้แต่ร้อนใจ นางเพียงแค่อยากเก็บเงินเอาไว้บ้างเท่านั้นเขากลับไม่ไว้หน้านางเลย หลานจิวรู้ดีว่าเขาไม่กล้าหย่ากับนางตอนนี้เป็นเพราะลูก ๆ ยังเล็กอยู่ หากในอนาคตเขาคงไม่รอให้นางทะเลาะกับเขาอีกแน่ เขาจะต้องหย่ากับนางแน่นอน
หลานจิวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสามีนางจึงได้รักแต่ลูกตัวซวยของนางนัก ส่วนลูก ๆ ทั้งสองของนางที่นางรักเขากลับไม่สนใจ ตอนนี้หลานจิวมีเงินค่าอาหารหนึ่งตำลึงที่สามีให้มาอยู่ในมือ นางอยากได้เสื้อผ้าดี ๆ อย่างที่พี่สะใภ้ใส่บ้างนางจึงยึดเงินเอาไว้กับตัวเช่นนี้ ทั้งที่หนิงเจิ้งก็มีเงินไม่น้อย เพียงแต่เขาถูกสั่งสอนมาให้เป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ เขาจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดภรรยาคนนี้ของเขาจึงได้ชอบเปรียบเทียบตนเองกับพี่สะใภ้เขานัก ทั้งที่เขาบอกไปแล้วว่านางเป็นถึงลูกสาวคนเดียวของสำนักคุ้มภัย เหตุใดหลานจิวที่เป็นเพียงลูกชาวบ้านต้องการเปรียบเทียบกับนางด้วย
หนิงกวานที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยอายุเขายังน้อยก็ได้แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านแม่จึงไม่รักเขาเหมือนพี่ ๆ ความจริงแล้วที่หลานจิวเกลียดหนิงกวานก็เพราะนางไม่สามารถมีลูกได้อีกหลังจากคลอดหนิงกวานนางจึงเกลียดเขาที่ทำให้นางมีลูกได้แค่สามคน ทั้งที่นางอยากได้ลูกสาวสักคนเพื่อจะได้เลี้ยงดูนางให้ดี สิบปีต่อมาหนิงกวานที่โตแล้วรู้ว่าแม่ของเขาเป็นอย่างไรก็หาได้ถือสา อย่างไรเขาก็ยังกตัญญูกับนางเหมือนเดิม ถึงแม้ท่านพ่อจะพยายามไม่ให้เขาเกิดความเกลียดชังแม่ตัวเอง แต่เขาก็มีเพียงความคิดน้อยใจเท่านั้น เมื่อถึงวัยแต่งงาน พี่ชายทั้งสองของเขาไปสู่ขอภรรยาก็ได้รับเงินจากท่านแม่ไปคนละไม่น้อย ส่วนเขาที่มีคนรักอยู่ในอีกหมู่บ้านหนึ่งนั้นกลับไม่ได้รับเงินจากนางแม้แต่อีแปะเดียว แถมนางยังไม่ยอมให้เขารับนางเข้าบ้านอีกต่างหาก จนท่านพ่อต้องเข้ามาจัดการเรื่องราวให้เขาเอง ท่านพ่อให้เงินทองและของหมั้นมากมายกับหนิงกวานจนทำให้หลานจิวยิ่งไม่พอใจที่สามีลำเอียง หนิงเจิ้งให้เหตุผลว่าเป็นเพราะหนิงกวานช่วยเขาทำสวนสมุนไพรมาตลอด การที่เขาจะตอบแทนลูกรักก็ไม่แปลก ทำเอาคนอื่น ๆ ในบ้านไม่กล้าพูดสิ่
หลายปีต่อมา หนิงเจิ้งที่ทำงานมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เริ่มเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ตามประสาคนสูงวัย ยังดีที่มีเสี่ยวชุ่ยและลูก ๆ อีกสามคนช่วยกันดูแล หนิงกวานจึงได้ปลูกสมุนไพรได้อย่างสบายใจและดูแลครอบครัวเล็ก ๆ ของเขาเป็นอย่างดี หนิงเจิ้งยังกำชับหนิงกวานว่าหากเขาเป็นอะไรไปก็อย่าให้หลานจิวกับลูกๆ เข้ามาอยู่ที่เรือนอีก เขารู้ดีว่าหนิงกวานเป็นคนใจอ่อนขนาดไหน หนิงกวานเองก็ไม่ได้รับปากอันใด เขาเพียงแต่บอกว่านางเป็นแม่เขาหากเขาไม่กตัญญูแล้วคนอื่นครหาจะทำเช่นใด หนิงเจิ้งฟังแล้วจึงได้บอกให้ลูกชายนำทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาเคยบอกเอาไว้ไปฝังเก็บไว้ที่อื่นเสียเพื่อที่จะได้ไม่ตกเป็นของหลานจิวกับลูกอีกสองคน เขารู้ดีว่าทรัพย์สินเหล่านี้หากอยู่ในมือคนพวกนี้คงไม่สามารถงอกเงยขึ้นมาได้ มีเพียงหนิงกวานเท่านั้นที่เขาเชื่อใจ หนิงกวานเองก็ได้แต่ต้องยอมทำตามที่ท่านพ่อบอก เขาหาสถานที่ฝังทรัพย์สินเอาไว้บนภูเขาห่างไกลจากที่ผู้คนเดินไปมาไม่น้อย เขายังทำสัญลักษณ์เอาไว้เพื่อที่ตนเองจะได้จดจำได้ว่าฝังไว้ที่ใดหากเกิดเหตุการณ์อย่างที่ท่านพ่อคาดเดาเอาไว้ หลังจากดูแลหนิงเจิ้งได้เกือบปีเขาก็จากไปด้
วันหนึ่งหนิงกวานไปขายสมุนไพร ขากลับฝนกลับตกลงมาอย่างแรง เขาจึงขอขึ้นเกวียนกลับหมู่บ้านทั้งที่ปกติเขาจะเดินเอา ด้วยถนนหนทางที่ไม่ดี ทำให้เกวียนเสียหลักคว่ำไปทับหนิงกวานที่กระโดดลงไม่ทัน ส่วนคนอื่นที่ขึ้นเกวียนมาด้วยก็บาดเจ็บมากน้อยต่างกันไป เพียงแต่หนิงกวานเจ็บหนักที่สุดเพราะเขาช่วยเด็กเอาไว้ไม่ให้ถูกเกวียนทับเหมือนเขา กว่าที่จะมีคนมาช่วยหนิงกวานกลับบ้าน อาการของเขาก็หนักมากแล้ว เสี่ยวชุ่ยไปขอเงินหลานจิวเพื่อจะพาสามีไปหาหมอ“ฮึก.. ท่านแม่ ข้าขอร้องท่าน ขอเงินให้ข้าพาหนิงกวานไปหาหมอด้วยเถิดเจ้าค่ะ ไม่อย่างนั้นเขาต้องทนไม่ไหวแน่”“ฮึ! เรื่องอะไรข้าจะช่วยมัน ถ้ามันตายได้ก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเปลืองข้าวปลาอาหารอีก ไหนมันจะอกตัญญูกับข้าบ่อย ๆ เจ้าเองก็เห็น”“ท่านแม่ แต่นี่หนิงกวานเป็นลูกชายท่านนะเจ้าคะ ท่านไม่คิดจะช่วยเหลือเขาหรืออย่างไร ทั้งที่เขาหาเลี้ยงคนทั้งครอบครัว”“มันเป็นลูกข้าแล้วยังไง ข้าเกลียดที่มันทำให้ข้าไม่สามารถมีลูกได้อีก สามีก็ห่างเหินจากข้าจนหย่ากับข้า เจ้าไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ ไป ไป จะไปไหนก็ไป อย่าให้มันมาตายที่บ้านข้าให้อัปมงคล” เสี่ยวชุ่ยไ
สามวันต่อมาหลังจากหนิงกวานฟื้นตัวได้ดี เขาก็บอกให้เสี่ยวชุ่ยเก็บของทุกอย่างให้เรียบร้อย ส่วนเงินเก็บเขาก็นำออกมาให้หนิงชิงไปจัดการเรื่องการหาบ้านเช่าที่หมู่บ้านอื่น เสี่ยวชุ่ยแนะนำลูกสาวให้ไปเช่าที่หมู่บ้านนางซึ่งไม่ไกลจากเมืองนัก อีกทั้งเวลาจะพาหนิงกวานไปหาหมอจะได้สะดวกหน่อย หนิงชิงได้แต่กำชับให้น้อง ๆ ดูแลท่านพ่อให้ดี นางกับแม่จะรีบกลับมาหลังจากได้บ้านเช่าแล้ว ครอบครัวเล็ก ๆ ได้แต่อยู่ในห้องเฝ้าพ่อของพวกเขา ตอนนี้สวนสมุนไพรไม่มีใครดูแล ใช่ว่าหนิงกวานจะไม่เป็นห่วงสมุนไพรพวกนั้น แต่จนใจที่ลูก ๆ กลัวว่าหลานจิวจะมาทำร้ายเขาขณะที่ยังบาดเจ็บอยู่จึงไม่ยอมออกไปไหน หนิงชิงยังกำชับไม่ให้เขาเคลื่อนไหวอีกด้วย เพราะกระดูกของเขายังไม่หายดี หนิงชิงเดินตามท่านแม่ของนางไปที่หมู่บ้านคังที่เป็นบ้านเดิมของท่านแม่นาง ซึ่งความจริงแล้วนางไม่ได้กลับบ้านมานานแล้วตั้งแต่แต่งงาน เป็นเพราะนางท้องต่อ ๆ กันนั่นเองจึงไม่ได้มาเยี่ยมที่บ้านเลย อีกทั้งหลานจิวที่มาอยู่ก็ไม่ยอมให้นางออกไปไหน นางจำเป็นจะต้องรองมือรองเท้าของหลานจิวอยู่ตลอดเวลา วันนี้เมื่อมีโอกาสนางจึงจะแวะเยี่ยมครอบครัว
ช่วงสองสามวันมานี้พวกหนิงชิงไม่สนใจเสียงก่นด่าของหลานจิว พวกนางกินข้าวที่เรือนของพวกนางเองอย่างไม่ไว้หน้าหลานจิว หากพวกเขาหิวก็ให้พวกเขาทำกันเอง พวกนางไม่สนใจจะเป็นที่รองมือรองเท้าของคนพวกนี้อีก นางยังนัดให้ท่านลุงผู้ใหญ่บ้านมาช่วยเรื่องการแยกบ้านในวันพรุ่งนี้ด้วย ช่วงนี้พวกนางต้องเก็บของที่จำเป็นก่อนที่จะย้ายออกจากเรือนนี้ในวันพรุ่งนี้ หลานจิวเองก็ไม่อยากไปเหยียบเรือนของคนพวกนี้ นางจึงได้แต่ใช้สะใภ้ทั้งสองให้ทำอาหารให้พวกนางกินแทน ถึงแม้ฝีมืออาหารจะไม่อร่อยเท่าเสี่ยวชุ่ยทำแต่ก็พอที่จะกินได้บ้าง ทำให้หลานจิวค่อยสบายใจขึ้นหน่อยที่นางไม่มีคนพวกนี้นางก็ยังอยู่ได้ วันทั้งวันครอบครัวของหนิงชิงไม่คิดไปเหยียบเรือนใหญ่ของท่านย่าแม้แต่นิดเดียว ด้วยยังยุ่งอยู่ว่าจะเอาสิ่งใดไปบ้างในการย้ายบ้านครั้งนี้ พวกหม้อไหต่าง ๆ ก็เป็นของที่บ้านเก่า“ท่านพ่อจะให้ขนสิ่งใดไปบ้างเจ้าคะ ข้าเห็นว่าของพวกนั้นเก่าเก็บมานานแล้ว หากท่านพ่อพอจะมีเงินเหลือบ้างข้าจะได้หาซื้อเอาใหม่ ตอนไปดูบ้านข้าก็ลืืมดูเครื่องครัวว่ามีหรือไม่ด้วยเจ้าค่ะ”“หากเจ้าคิดเช่นนี้ก็ซื้อใหม่เอาเถิดหนิงชิง พ่อเองก็
ไม่นานนักเกวียนของผู้ใหญ่บ้านก็มาถึง ทุกคนช่วยกันยกเสื้อผ้าและที่นอนขึ้นไปวางไว้ก่อน จากนั้นพยุงหนิงกวานไปนั่งที่เกวียน ส่วนคนอื่น ๆ ก็ขึ้นเกวียนกันไปรอแล้ว เหลือแค่หนิงชิงที่ยังคงผูกรถเข็นเข้ากับเกวียนเพื่อเดินทางในครั้งนี้ เมื่อผูกเสร็จแล้วนางก็ขอให้ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านออกเดินทางได้ โชคดีที่พวกนางไม่มีของมากนักจึงขนของได้อย่างรวดเร็ว หลานจิวเห็นพวกมันเตรียมตัวอย่างดีก็ถึงได้รู้ว่าเรื่องแยกบ้านนี้พวกมันคิดกันเอาไว้ดีแล้ว ต่อไปนางจะหาเงินได้จากที่ใดถ้าไม่มีหนิงกวานคอยไปขายสมุนไพร นางได้แต่เสียใจที่ไม่ให้ลูก ๆ เรียนรู้เรื่องการปลูกสมุนไพรเหมือนหนิงกวาน ยังดีที่นางยังพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง แต่นางต้องคิดหาทางให้ได้เงินมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นแค่ค่าอาหารพวกนางก็คงอยู่ได้ไม่กี่เดือนแน่ ๆ ส่วนเงินที่หนิงเจิ้งเคยให้นางเอาไว้นางก็ใช้หมดไปนานแล้ว หลานจิวให้ลูก ๆ ไปดูแปลงสมุนไพรว่าพอจะมีเหลือขายอีกหรือไม่ หากมีก็ให้พวกเขาเก็บไปขายเสียขณะที่หนิงกวานยังไม่สบายอยู่ บ้านนั้นคงไม่มีใครขายสมุนไพรได้กระมัง นางจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้นบ้าง ลูก ๆ ที่ขี้เกียจของนางคราแรกจะ
หนิงชิงซื้อของเสร็จแล้วก็จะจ่ายค่าเกวียนให้ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านหนิงไค่แต่เขาไม่รับ เขาบอกว่าเขาต้องการช่วยเหลือหลานของเพื่อนรัก หนิงชิงจึงไม่ได้จ่ายค่าเกวียนเลย แถมท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านหนิงไค่ยังช่วยนางยกของลงอีกต่างหาก“ท่านปู่วางเอาไว้แถวนี้ก็ได้้เจ้าค่ะ เดี๋ยวที่เหลือพวกข้าจะจัดการเอง ข้ารบกวนเวลาของท่านปู่มาทั้งวันแล้ว”“เพ้ย! อย่าได้คิดแบบนั้น ข้าเต็มใจมาช่วยเหลือพวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ อย่าได้เกรงใจข้า และหากมีสิ่งใดคับข้องใจก็ไปหาข้าที่หมู่บ้านได้เลย เจ้าอย่าลืมล่ะหนิงชิง”“ไม่ลืมเจ้าค่ะท่านปู่ ข้าขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะ” หลังร่ำลากันแล้ว ผู้ใหญ่บ้านหนิงไค่ก็ขับเกวียนกลับไปที่หมู่บ้านเพราะตอนนี้ก็บ่ายมากแล้ว เขากลัวว่าจะถึงบ้านค่ำมืดเสียก่อน เมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่บ้านจากไปแล้ว หนิงชิงก็เรียกน้อง ๆ มาช่วยกันยกของเข้าบ้าน นางไม่ได้ซื้อของมากมายนัก เพราะนางซื้อแต่ของที่จำเป็นเท่านั้น หลังจากจัดสิ่งของเสร็จแล้ว หนิงชิงก็ให้แม่ของนางไปบอกท่านตาท่านยายว่าย้ายมาแล้ว เพียงแต่ท่านพ่อไม่สะดวกเดินทางไปหาพวกท่าน หากพวกท่านมีสิ่งใดจะใช้พวกนางก็ยินดีช่วยเหลือ เสี่ย
รุ่งเช้าวันต่อมาหนิงชิงปลุกน้อง ๆ ให้ไปช่วยกันลงต้นสมุนไพรก่อนที่มันจะทนไม่ไหวแล้วตายไป น้อง ๆ รีบล้างหน้าล้างตาแล้วไปช่วยหนิงชิงทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง พวกนางใช้เวลาทั้งเช้าในการทำงานจนเสร็จสิ้นก่อนจะไปทานอาหารทีหลัง เนื่องจากหนิงชิงไม่อยากทิ้งงานเอาไว้แล้วค่อยกลับมาทำนางจึงทำเช่นนี้ น้อง ๆ เห็นพี่สาวขยันขันแข็งขนาดนี้ พวกเขาก็ไม่ได้โอดครวญอันใด แต่ช่วยพี่สาวทำงานจนเสร็จไปพร้อมกัน ขณะกินข้าวหนิงชิงยังคิดว่าจะหาเงินได้จากที่ใดอีกนอกจากการปลูกสมุนไพร นางสอบถามท่านแม่ว่าท่านลุงที่ไปล่าสัตว์ขายได้ราคาดีหรือไม่ พอนางรู้ว่าท่านลุงขายได้ราคาไม่น้อยนางก็คิดอยากไปล่าสัตว์บ้าง แต่ท่านพ่อท่านแม่นางกลัวว่านางจะไม่ปลอดภัยจึงไม่ให้ทำ หนิงชิงอธิบายให้พ่อกับแม่ฟังว่านางจะทำกับดักเอาไว้แล้วค่อยไปเก็บกับดักทีหลัง พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องห่วงนาง หนิงกวานที่พอจะรู้ว่ากับดักทำอย่างไรก็อาสาช่วยลูกสาวทำ หนิงชิงขอบคุณพ่อของนางที่เข้าใจนางว่านางต้องช่วยหาเงินให้กับที่บ้านเพื่อรักษาเขา สองพ่อลูกจึงได้ช่วยกันทำกับดักง่าย ๆ จากไม้ไผ่ที่อยู่แถวบ้าน โดยหนิงชิงเป็นคนไปตัดไม้แล้วล
ก่อนวันแต่งงานหนึ่งวันหลังปิดร้านอาหารเช้าแล้ว ต้าเจียงพาเหล่าบ่าวแซ่เจิ้งมาทำความสะอาดและตกแต่งร้านให้เหมาะสมกับงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ โดยห้องหอจะอยู่ที่สุดทางของห้องอื่น เพราะห้องของหนิงกุ้ยนั้นติดกับห้องของหนิงชิง พวกเขาจึงกลัวว่าเสียงดังจะทำให้หนิงชิงตกใจเอาได้จึงได้เปลี่ยนห้องให้หนิงกุ้ย กว่าที่ทุกคนจะตกแต่งร้านด้วยสิ่งของสีแดงเสร็จก็เกือบเย็นแล้ว หนิงชิงมองดูผ้าสีแดงด้วยความรู้สึกแปลก ๆ หากตอนนางแต่งงานก็คงจะต้องมีแต่ของสีแดงเช่นนี้หมดสินะ งานแต่งนี้ไม่เหมือนยุคที่นางจากมาที่จะใส่ชุดอันใดก็ได้ รุ่งเช้าวันต่อมาร้านทั้งสามปิดทำการ ด้านหนิงกุ้ยเองถูกแม่ปลุกให้ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ยังไม่รุ่งสางด้วยซ้ำ ส่วนหนิงชิงนั้นปล่อยให้แม่ของนางกับแม่ของต้าเป่าช่วยกันจัดการหนิงกุ้ย เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าต้องแต่งตัวอย่างไร แต่งหน้าอย่างไรในยุคสมัยนี้
ฮุ่ยหลางได้รับจดหมายจากฮ่องเต้ในอีกห้าวันถัดมา เขารีบไปหาแม่สื่อเพื่อให้ไปคุยเรื่องงานแต่งงานของเขากับหนิงกุ้ยทันที โชคดีที่ฝ่าบาทอนุญาต แถมยังสั่งให้เขาอยู่คุ้มครองหนิงกุ้ยให้ดีด้วย ไม่จำเป็นต้องกลับเมืองหลวง เรื่องนี้ทำให้เขาดีใจมากที่จะได้อยู่กับภรรยาและดูแลนาง แม่สื่อได้รับค่าจ้างไม่น้อยจากฮุ่ยหลาง นางพาฮุ่ยหลางไปแลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิดตามธรรมเนียม รวมทั้งของหมั้นที่ฮุ่ยหลางแอบซื้อเอาไว้ก่อนหน้านี้ เขาเป็นองครักษ์มาตั้งแต่เด็กทำให้มีเงินสะสมไม่น้อย จึงสามารถจัดการเรื่องพวกนี้เองได้ พ่อแม่ของหนิงกุ้ยพอเห็นของหมั้นก็ได้แต่ตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าเขยแต่งเข้าของบ้านพวกเขาจะมีเงินมากมายขนาดนี้ เฉพาะตั๋วแลกเงินที่ให้มาก็เป็นพันตำลึงแล้ว ไหนจะผ้าไหมชั้นดีพร้อมเครื่องประดับอีกเล่า มูลค่าสิ่งของหมั้นนับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเขาส่งวันเดือนปีเกิดของหนิงกุ้ยให้กับแม่สื่อตามธรรมเนียมแล้วจ
หนิงชิงนั่งเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เจียงเฉิงรู้ นางไม่รู้ว่าที่เมืองหูกุ้ยมีพันธมิตรของตระกูลเจียงหรือไม่ นางอยากให้พวกเขาช่วยดูแลคนงานในร้านของนางด้วย เนื่องจากนางไม่รู้จักใครที่เมืองหูกุ้ยเลย หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับคนของนางนางคงรู้สึกผิดเป็นแน่ เมื่อเขียนจดหมายเสร็จแล้วหนิงชิงก็รอทหารที่มักจะมาถามหาจดหมายจากนางในช่วงบ่ายของวันอยู่เป็นประจำ และไม่นานก็มีทหารมาจริง ๆ หนิงชิงจึงยื่นจดหมายให้กับเขา ตอนนี้ร้านข้าวเช้าปิดไปนานแล้ว หนิงชิงไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองใช้เวลาเขียนจดหมายนานมากถึงขนาดนี้ อาหารเที่ยงนางก็ลืมออกมากินเสียด้วยซ้ำ เป็นปกติที่แม่ของนางจะไม่มาเรียกเผื่อว่านางกำลังออกแบบงานอยู่จะเสียสมาธิได้ เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้กันมานานหลายปีแล้ว ทหารที่มาส่งจดหมายและรับจดหมายเห็นหนิงชิงอยู่เสียที เขาส่งจดหมายที่แม่ทัพใหญ่เขียนมาให้นางก่อนที่จะรับจดหมายจากนางเพื่อนำไปส่งให้กับแม่ทัพใหญ่ที่เ
หลังจากหนิงชิงจากไปแล้ว ก้านลู่ก็ช่วยกันดูแลหน้าร้านเพราะคุณหนูใหญ่สั่งว่าสิ่งของพวกนี้เป็นตัวอย่าง หากลูกค้าอยากได้ก็ให้สั่งเอาไว้ก่อนพร้อมกับวางมัดจำแล้วค่อยสั่งให้คนงานสร้างออกมา นี่เป็นเทคนิคที่จะไม่ทำให้ทุนจมของหนิงชิง นางสร้างสิ่งของเยอะก็จริง แต่ก็ไม่ได้สร้างออกมาจำนวนมากนอกจากจะมีคนมาสั่งซื้อ ที่เมืองสือมีคนซื้อมากก็เพราะนางทำเช่นนี้เช่นเดียวกัน เรื่องประโยชน์ใช้สอยสิ่งของต่าง ๆ เจิ้งหงกับเจิ้งหย่งก็อธิบายให้หูอ้าย หูกวนและก้านลู่ฟังแล้วก่อนที่จะนำออกมาหน้าร้าน พวกเขาจึงไม่กังวลว่าทั้งสามคนจะดูแลหน้าร้านไม่ได้ หากสงสัยสิ่งใดก็สามารถเข้าไปสอบถามพวกเขาให้มาสาธิตวิธีการใช้งานให้ได้เช่นกัน อย่างไรคุณหนูก็ฝากสาขานี้เอาไว้กับพวกเขา อย่างไรพวกเขาต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดอยู่แล้ว ด้านหนิงชิงกับต้าเจียงกว่าที่จะเดินทางถึงเมืองกังก็ใช้เวลาเก้าวันเช่นเคย พวกนางมาถึงเมืองกังก็เป็นช่วงบ่ายแล้วเช่นเดียวกับตอนไปที่เมืองหูกุ้ย นับว่าการเดินทางค
หลังจากกินอาหารและทาสใหม่เปลี่ยนชุดกันหมดแล้ว หนิงชิงก็เรียกพวกเขามาคุยกัน“ตอนนี้พวกเจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะซื่อสัตย์และตั้งใจทำงาน หากใครทำงานดีก็จะได้เงินดีด้วยเช่นกัน ถึงแม้พวกเจ้าจะเป็นทาส แต่บ่าวทุกคนที่อยู่กับข้าก็ได้รับเงินเดือนไม่น้อยเลยสักคนเดียว หากไม่เชื่อพวกเจ้าค่อยลองสอบถามกับเจิ้งหงหรือเจิ้งหย่งก็ได้ ที่สาขานี้จะมีทั้งสองคนคอยดูแลงานแทนข้า ส่วนพ่อบ้านใหญ่อย่างต้าเจียงจะมาตรวจสอบบัญชีทุก ๆ หนึ่งเดือนและจ่ายค่าจ้างให้พวกเจ้า พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”“พวกเราเข้าใจขอรับ” คนทั้งแปดตอบเสียงดังฟังชัด พวกเขาไม่คิดว่าจะโชคดีได้รับใช้ครอบครัวที่ดีเช่นนี้ ตั้งแต่เป็นทาสมาพวกเขาไม่เคยได้เงินเดือนเลยแม้สักครั้งเดียวในชีวิต ตอนนี้พวกเขามีนายที่ดี มีหรือที่จะคิดเป็นอื่น“พวกเจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ทั้งห้าคนที่ทำงานไม้ต้องเรียนรู้และทำงานกับเจิ้งหย่
หลังอาหารเย็นไม่นานนัก ต้าเจียงก็กลับมาถึงร้านค้าพร้อมโฉนดที่ดิน นับว่าเจ้าหน้าที่ทำงานได้รวดเร็วจริง ๆ หนิงชิงให้ต้าเจียงกินข้าวเสียก่อนแล้วค่อยคุยกัน เขาจึงนั่งลงกินข้าวที่เจิ้งหงกับเจิ้งหย่งเหลือเอาไว้ให้ไม่น้อย หนิงชิงคุยกับเจิ้งหงและเจิ้งหย่งเรื่องที่นางจะให้พวกเขาประจำการที่สาขานี้ นางไม่รู้ว่าพวกเขาจะเต็มใจหรือไม่“ได้ขอรับคุณหนู พวกเราจะอยู่ดูแลคนงานที่สาขานี้ให้ขอรับ อย่างไรร้านที่เมืองกังก็มีงานไม่มากนัก พวกเราน่าจะช่วยทางนี้ได้มากกว่าขอรับ”“ขอบใจพวกเจ้ามากนะที่ช่วยกันทำงานและศึกษางานใหม่ ๆ กันมาตลอด ที่นี่ห่างไกลจากเมืองกังไม่น้อย หากต้าเจียงต้องมาตรวจงานก็คงต้องพึ่งพวกเจ้าให้ควบคุมคนงานใหม่ที่ข้าจะซื้อมาให้พวกเจ้าเสียก่อนล่ะนะ”“คุณหนูใหญ่ไม่ต้องกังวลขอรับ พวกเราจะทำงานและดูแลร้านนี้ให้ดีอย่างแน่นอนขอรับ” หนิงชิงค่อยพรูลมหาย
บ่าวทั้งสามฟังที่หนิงชิงพูดแล้วก็ได้แต่นึกขอบคุณนางที่ทำทุกสิ่งเพื่อพวกเขา พวกเขายิ่งเคารพนางมากยิ่งขึ้น หากคุณหนูใหญ่ให้ทำสิ่งใด แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ขัดคำสั่ง กว่าที่หนิงชิงกับพวกจะเดินทางถึงมณฑลหูกุ้ยก็เป็นช่วงบ่ายของวันที่เก้าในการเดินทางแล้ว เนื่องจากระยะทางไกลไม่น้อย รวมทั้งพวกเขาไม่รู้ทางไปที่เมืองหูกุ้ยจึงได้สอบถามคนมาตลอดทางกระทั่งมาถึงได้เสียที ต้าเจียงขับรถม้าพาทุกคนเข้าไปในเมืองอย่างช้า ๆ หนิงชิงสั่งให้ต้าเจียงไปที่ที่ว่าการมณฑลเลยเพื่อหาร้านทันที คืนนี้พวกนางจะได้หาที่พักก่อนหากยังซื้อขายไม่ได้ ต้าเจียงสอบถามคนไปจนถึงที่ว่าการ เขาลงจากรถม้าเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ซื้อขายร้านค้าภายในเมือง ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็ออกมาคุยกับเขา“คารวะท่านเจ้าหน้าที่ขอรับ ข้าเป็นพ่อบ้านตระกูลหนิง มาติดต่อขอซื้อร้านว่างที่เมืองนี
เมื่อตกลงเรื่องการเดินทางกับพ่อแม่ได้แล้ว หนิงชิงก็ขอบคุณพี่ชายเสี่ยวเจียงที่มาเป็นธุระให้นางอีกครั้ง พวกเขาแยกกันหลังจากทานอาหารเสร็จต่างคนต่างไปพักผ่อน ส่วนหนิงชิงยังต้องจัดเตรียมของสำหรับการเดินทางไกลในครั้งนี้ นางจะต้องเอาเงินไปเพิ่มสักสองหมื่นตำลึง เพราะไปเมืองสือครั้งนี้นางหมดเงินไปหลายพันตำลึง จึงต้องหาเงินไปเผื่อเอาไว้สำหรับการจัดตั้งร้านสาขาใหม่ของนาง หนิงชิงนึกถึงพวกพี่ชายเจิ้ง นางจะให้พี่ชายเจิ้งหงกับพี่ชายเจิ้งหย่งไปด้วยในคราวเดียว รอพรุ่งนี้ออกเดินทางสายหน่อยก็คงไม่เป็นไร อย่างไรนางก็ต้องกินข้าวเช้าก่อนอยู่ดี รุ่งเช้าวันต่อมาหนิงชิงมองหนิงกุ้ยกับชายร่างใหญ่ที่ช่วยกันทำอาหารอย่างแปลกใจ เอาไว้นางกลับมาค่อยสอบถามน้องสาวก็ยังไม่สาย หนิงชิงสั่งต้าเจียงให้พาเจิ้งหงกับเจิ้งหย่งไปด้วยเลย ให้พวกเขาเก็บเสื้อผ้าหลังอาหารเช้าให้เรียบร้อยเพื่อไปประจำที่สาขาใหม่เหมือนตอนที่พวกเขาไปสอนคนที่เมืองสือ ต้าเจียงรับคำสั่งคุณหนูใหญ่
รุ่งเช้าหลังอาหารวันต่อมา หนิงชิง หนิงกวานและเสี่ยวชุ่ยไปส่งหนิงหยางที่โรงเรียนใหม่ของเขา พวกนางซื้อเสื้อผ้าเพิ่มให้กับหนิงหยางอีกนับสิบตัวตั้งแต่เมื่อวานนี้ เพราะหนึ่งปีนี้เขาจะได้ตั้งใจทบทวนตำรา ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้าหรืออาหารการกินใด ๆ หนิงชิงยังให้เงินเขาเอาไว้อีกห้าร้อยตำลึงนอกจากเงินสามสิบตำลึงที่เขาจะจ่ายให้กับโรงเรียน นางเห็นว่าน้องชายโตแล้วสามารถพิจารณาได้เองว่าสิ่งใดจำเป็นต้องซื้อ หากเป็นครอบครัวทั่วไปเงินห้าร้อยตำลึงสามารถอยู่ได้ไปจนตลอดชีวิต แต่หนิงชิงนึกถึงราคาหนังสือของหนิงหยางที่เจียงเฉิงเคยพานางไปซื้อ นางจึงให้เงินเผื่อเอาไว้กับน้องชายและสั่งว่าถ้าเงินหมดให้ไปรับที่ร้านแล้วส่งจดหมายมาบอกนาง นางจะชดเชยเงินให้ทางร้านเอง หนิงหยางรับฟังพี่สาวเขา เขาไม่เคยจากครอบครัวไปไหนจึงได้แต่น้ำตารื้น ถึงจะบอกว่าเขาโตแล้วก็เถอะ แต่เขาเป็นน้องชายคนเล็กของบ้านอยู่ดี เขาจึงรู้สึกโหวงเหวงไม่น้อยที่จะต้องจากกับครอบครัว หนิงชิง