สามวันต่อมาหลังจากขนของใช้จำเป็นต่าง ๆ เต็มเกวียนและรถม้าแล้ว หนิงซวนหยวนก็พาครอบครัวที่เหลืออยู่เดินทางไปที่ชายแดนตะวันออก เขาให้พ่อบ้านช่วยดูแลจวนเอาไว้ให้เผื่อวันใดวันหนึ่งหลานชายของเขาอยากกลับไปเยี่ยมหลุมฝังศพพ่อแม่ของพวกเขาในอนาคต
ขบวนของหนิงซวนหยวนมีเกวียนสี่เล่มพร้อมรถม้าอีกสองคัน เขายังจ้างผู้คุ้มกันไปส่งยังเมืองชายแดนตะวันออกด้วยกลัวว่าจะมีคนมาปล้นทรัพย์สินของเขาระหว่างทางอีก เรื่องนี้ฮ่องเต้ที่ทำให้ครอบครัวหนิงต้องล่มสลายไปยังส่งองครักษ์เงาติดตามช่วยเหลือพวกเขาและดูความเป็นอยู่ของพวกเขาที่เมืองชายแดนก่อนจะกลับมารายงานให้ฝ่าบาททราบ อย่างไรเขาก็เป็นคนทำเรื่องนี้ขึ้นมา เขาจึงไม่สามารถนิ่งนอนใจได้
การเดินทางไกลครั้งนี้หนิงเจิ้งไม่งอแงเลยแม้แต่น้อย ทำให้หนิงซวนหยวนกับภรรยาเบาใจไปไม่น้อย ส่วนหนิงจิ้งเองก็เงียบขรึมลงไปมากตั้งแต่เกิดเรื่อง เขารู้ดีว่าหนิงจิ้งยังคงมีความคิดแค้นพวกโจรอยู่จึงไม่อยากว่าอันใดหลานชายนัก สาเหตุที่เขาพาทุกคนย้ายไปยังชายแดนเป็นเพราะเบื่อหน่ายการแข่งขันกันในราชสำนัก ตอนนี้ลูก ๆ เขาก็ไม่เหลือแล้ว เขาจึงอยากให้หลาน ๆ อยู่อย่างสงบสุขในบั้นปลายชีวิตของเขาเขาจึงเลือกทำเช่นนี้ ซึ่งภรรยาของเขาก็เห็นด้วย นางไม่อยากอยู่ในจวนที่ลูก ๆ ตายไปต่อหน้าของนางอีก นางอยากลืมความเจ็บปวดที่สูญเสียลูก ๆ ไปในวันนั้นจึงอยากเปลี่ยนสถานที่อยู่แห่งใหม่แต่แรก เมื่อสามีมาชวนย้ายนางจึงตกลงในทันที
หนิงซวนหยวนเองที่ผมขาวภายในวันเดียวก็ได้แต่ชื่นชมภรรยาของเขาที่คอยอยู่เคียงข้างเขามาตลอด นางไม่เคยทำสิ่งใดให้เขาผิดหวังเลยแม้แต่น้อย หนิงซวนหยวนคิดที่จะสอนให้หลาน ๆ เป็นคนไม่ทะเยอทะยานเหมือนลูก ๆ เขาอีก อย่างไรตอนนี้พวกเขาก็อยู่ห่างจากอำนาจของราชสำนักมากแล้ว และตอนนี้สมบัติต่าง ๆ ที่ถูกปล้นไปก็ได้กลับมาจากการที่ฮ่องเต้ส่งคนออกตามหา ยกเว้นแบบแปลนที่หาไม่เจออย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งหนิงซวนหยวนที่อยู่ในราชสำนักมานานมีหรือจะไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ เพียงแต่เขาไม่อยากทำให้เรื่องราวยุ่่งยากมากกว่านี้ในเมื่อเขายังมีทายาทอีกสองคน เขาจึงตัดสินใจลาออกจากราชการเสีย
หนิงจิ้งเป็นคนเดียวที่ชอบงานประดิษฐ์เหมือนพ่อของเขา เขายังจดจำได้ว่าเคยสร้างสิ่งใดบ้างกับพ่อของเขาเมื่อตอนห้าขวบ เขายังนำหนังสือของบรรพบุรุษที่พ่อของเขามีอยู่มาด้วยไม่น้อย ของพวกนี้จะเป็นประโยชน์กับเขาในอนาคตเมื่อเขาไปแก้แค้นคนของฮ่องเต้ที่ฆ่าพ่อแม่ของเขา
หนิงเจิ้งที่ยังเด็กอยู่ไม่รู้ว่าความตายคืออะไร แต่ท่านปู่ท่านย่าก็ให้ความรักเขาไม่น้อยเหมือนพ่อกับแม่เขาจึงไม่ได้คิดมากอันใด อีกอย่างเขายังมีพี่ชายจิ้งอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง แค่นี้เขาก็สบายใจแล้ว หากจู่ ๆ ต้องให้เขาแยกจากทุกคนเขาคงร้องไห้งอแงไปนานแล้ว
การเดินทางไกลครั้งนี้ขบวนของหนิงซวนหยวนไม่ได้เร่งร้อนอันใด เขาขอให้คนคุ้มกันเดินทางอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว ค่ำที่ไหนพวกเขาก็หาที่นอนที่นั่นอย่างไม่คิดมาก เด็ก ๆ ยังได้สนุกกับการล่าสัตว์ของผู้คุ้มกันอีกด้วย พวกเขาอยากเรียนวรยุทธแต่จนใจที่ครอบครัวพวกเขาเป็นนักประดิษฐ์กันเสียหมด ตำราเรื่องวรยุทธอันใดก็ไม่เคยมีในจวนตระกูลหนิงมาก่อน ผู้คุ้มกันเห็นว่าเด็ก ๆ สนใจเรื่องนี้จึงขออนุญาตหนิงซวนหยวนสอนพวกเขาสักท่าสองท่าเพื่อป้องกันตัวในระหว่างทาง
หนิงซวนหยวนเห็นว่าหลาน ๆ มีความสุขเขาจึงอนุญาตให้สอนได้ตามสบาย แถมยังจะจ่ายค่าเรียนให้ผู้สอนหลาน ๆ เขาอีกด้วยเป็นการตอบแทน ด้วยนิสัยของหนิงซวนหยวนที่ไม่ชอบติดค้างผู้คน เขาจึงขอใช้เงินทองเป็นการทดแทน
ส่วนภรรยาของเขาเองก็เห็นด้วยที่จะให้หลาน ๆ รู้วรยุทธบ้างเพื่อในภายภาคหน้าพวกเขาจะได้ดูแลตนเองได้บ้าง ไม่เช่นนั้นหากเกิดเหตุการโจรปล้นอีกพวกเขาคงต้องตายตั้งแต่ยังไม่ได้สู้กระมัง
ผู้คุ้มกันที่มาด้วยเห็นว่าลูกค้าไม่ว่ากระไร พวกเขาจึงสนุกกับการสอนเด็ก ๆ ทั้งสองคนเป็นอย่างดี การเดินทางครั้งนี้จึงไม่น่าเบื่อมากนัก ระหว่างการเดินทางหนิงจิ้งยังคงอ่านหนังสือต่าง ๆ ที่เขานำมาด้วยนอกเวลาที่ต้องเรียนวรยุทธ เขาอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่ห้าขวบปีจากการสอนของพ่อเขา เพียงแต่เขาไม่ได้บอกท่านปู่ท่านย่าเท่านั้น เขารู้ดีว่าพวกท่านเป็นห่วงที่เห็นเขาเงียบลงไป แต่เขาเองก็ไม่รู้จะพูดคุยเรื่องใดกับท่านทั้งสองเช่นกัน ด้วยว่าเขากำลังอยู่ในวัยกำลังโต การพูดคุยส่วนใหญ่นั้นเขาคุ้นเคยกับการคุยกับพ่อของเขาคนเดียวเท่านั้น
ในรถม้าของหนิงจิ้งนั้นมีแต่หนังสือมากมายที่นำมาจากตระกูลหนิง ส่วนหนิงเจิ้งนั้นนั่งรถม้ากับท่านปู่ท่านย่าเพราะเขายังเด็กอยู่ ในตอนที่ผู้คุ้มกันสอนวรยุทธให้พวกเขาทั้งสอง หนิงจิ้งจะคอยสอบถามเรื่องราวที่เขาไม่เข้าใจอยู่ตลอด และตั้งใจฝึกฝนเป็นอย่างดี ผู้คุ้มกันยังชอบนิสัยที่อดทนของหนิงจิ้งไม่น้อย ส่วนหนิงเจิ้งตัวน้อยนั้นแค่อยากเล่นสนุกเท่านั้น เขาทำท่าทางเลียนแบบพี่ชายอย่างน่ารักทำให้บางครั้งที่เขาฝึกไม่ได้คนอื่นๆ ก็ไม่ได้โทษว่าสิ่งใดเขาเพราะยังเด็กอยู่มาก
การเดินทางช้า ๆ เช่นนี้ทำให้ขบวนเดินทางไปชายแดนตะวันออกใช้เวลานานกว่าสองเดือนกว่าที่พวกเขาจะไปถึงเมืองชายแดน รวมทั้งตัวหนิงซวนหยวนยังให้พวกเขาไปส่งที่หมู่บ้านหนิงไค่ที่อยู่ทางตะวันตกของเมืองชายแดนอีกทอดหนึ่ง ซึ่งหมู่บ้านนี้เป็นต้นกำเนิดของตระกูลหนิงของเขาเมื่อก่อนที่จะไปสอบที่เมืองหลวงแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลยเป็นเวลามากกว่าหลายสิบปีแล้วที่เขาไม่เคยกลับมาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้เนื่องจากหน้าที่การงานและระยะทางที่ห่างไกล แต่เขายังคงเขียนจดหมายมาให้ผู้นำหมู่บ้านก่อนที่จะมาถึงที่นี่นานแล้ว โดยเขาต้องการหาบ้านใหม่สักหลังหรือซื้อที่สร้างบ้านใหม่เอาไว้ โดยบ้านหลังใหม่นี้เขาจะสร้างกลไกเพื่อป้องกันครอบครัวน้อย ๆ ของเขาให้ทุกคนได้อยู่ดีมีสุขและไม่ต้องกังวลกับพวกโจรร้ายอีก
หลังมาถึงหมู่บ้านหนิงไค่แล้ว หนิงซวนหยวนแวะที่บ้านผู้ใหญ่บ้านก่อน เขายังไม่รู้ว่าบ้านเดิมของเขายังว่างอยู่หรือไม่“สวัสดีท่านผู้ใหญ่บ้าน ข้าหนิงซวนหยวนที่ส่งจดหมายมาหาท่านก่อนหน้านี้ ไม่ทราบท่านได้ตรวจดูบ้านเก่าให้ข้าหรือยัง” ผู้ใหญ่บ้านมองคนตรงหน้าที่แต่งตัวดีเหมือนขุนนางในเมือง เขาได้แต่ตกใจจนไม่คิดว่าจะมีคนเช่นนี้เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านตระกูลหนิง แต่เขาก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดี“บ้านเดิมของท่านผุพังไปหมดแล้วขอรับ ไม่ทราบว่าท่านจะจัดการสร้างใหม่หรือทำอย่างไร ส่วนที่ดินของท่านที่ขอซื้อเพิ่มรอบ ๆ บ้านนั้นข้าจัดการให้ท่านเรียบร้อยแล้วขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านมอบตั๋วเงินที่เหลือให้กับหนิงซวนหยวนอย่างซื่อสัตย์ เขาไม่กล้าที่จะยักยอกเงินขุนนางใหญ่เช่นนี้หรอก“เจ้ามีใครพอจะแนะนำให้ข้าได้บ้างเรื่องสร้างเรือน ข้าจะได้จ้างช่างมาทำเสียให้เสร็จสิ้น” ผู้ใหญ่บ้านแนะนำช่างที่เป็นเพื่อนบ้านในหมู่บ้านรวมทั้งคนในหมู่บ้านที่ว่างจากการทำนาแล้วมาช่วยสร้างบ้านให้หนิงซวนหยวน ส่วนครอบครัวพวกเขาจะเช่าบ้านในหมู่บ้านอยู่ไปก่อนเพื่อรอให้บ้านเสร็จเรียบร้อย ส่วนผู้คุ้มกันที่มาด้วยเขาก
เด็ก ๆ พากันขึ้นเขาเกือบสิบคน พวกเขาช่วยกันถือกับดักหลายอันที่หนิงจิ้งทดลองทำแล้วนำไปวางเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ ที่คิดว่าสัตว์ป่าจะเข้ามาติดกับดัก หลังจากวางแล้วพวกเขาก็ลงจากเขาไปแล้วตอนเย็นค่อยมาดูว่ามีกับดักอันใดล่าเหยื่อได้บ้าง เด็ก ๆ ที่เคยชินกับการหาของป่ายังชวนหนิงจิ้งไปหาผลไม้อร่อย ๆ กินกันก่อนลงเขาด้วย หนิงจิ้งกับหนิงเจิ้งตัวน้อยที่มาด้วยต่างก็แปลกใจไม่น้อยที่เด็ก ๆ ทุกคนยอมเล่นกับพวกเขาเช่นนี้ หนิงจิ้งจึงพาน้องชายเดินตามพวกเขาไปเก็บผลไม้ได้มาไม่น้อย พวกเขานัดกันช่วงบ่ายว่าจะมาดูกับดักกันอีกครั้ง ให้พวกเขามาตามที่เรือนได้เลยหากจะขึ้นเขา เด็ก ๆ รับปากกับหนิงจิ้งว่าจะไปเรียกเขาแน่นอน หลังจากแยกย้ายกันกลับบ้านแล้วหนิงจิ้งกับหนิงเจิ้งก็นำผลไม้อร่อยๆ ไปให้กับท่านปู่ท่านย่า ทั้งสองคนต่างชมเชยหลานชายเสียมากมายเพื่อให้กำลังใจพวกเขา โชคดีที่ทั้งสองคนยอมเล่นกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน ไม่อย่างนั้นเขาคงจะเป็นห่วงพวกเขามากไปกว่านี้แน่ กระทั่งถึงช่วงบ่ายที่พวกเขานัดกัน หนิงจิ้งกับหนิงเจิ้งก็มารอทุกคนอยู่หน้าประตูเรือนแล้ว พวกเขาพากันขึ้นเขาไปดูกับดักก็พบว่าแต่ละอ
ส่วนหลานชายคนรองของหนิงซวนหยวนที่ชอบสมุนไพรนั้นเขาก็เตรียมหาหญิงชาวบ้านมาเป็นภรรยาให้เท่านั้น เพื่อที่หลานชายจะได้ไม่จากไปไหน ตอนนี้ภรรยาของเขาตายไปก่อนแล้วทำให้เขาเหงาไม่น้อย เขาจึงได้ชดเชยความคิดถึงภรรยาโดยการสั่งสอนหนิงเจิ้งให้เป็นชาวบ้านเหมือนคนอื่น ๆ เพื่อที่เขาจะได้เข้ากับคนอื่น ๆ ได้ในอนาคตหากเขาไม่อยู่แล้วนั่นเอง หนิงเจิ้งยังรู้ด้วยว่าหากมีเรื่องเดือดร้อนอันใด เขาสามารถส่งจดหมายไปหาพี่ใหญ่ได้เช่นกัน พี่ใหญ่ให้ที่ติดต่อเอาไว้ให้กับเขาแล้วเรื่องการส่งจดหมาย เพียงแต่หนิงเจิ้งผู้ชอบใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือนที่ท่านปู่สอนนั้นไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องการนอกจากการปลูกสมุนไพรขายเท่านั้น เรื่องนี้ทำให้หนิงซวนหยวนพอใจไม่น้อยที่หลานชายได้ดั่งใจ เขายังกำชับให้หนิงเจิ้งตั้งใจปลูกสมุนไพรเป็นอาชีพจะได้เลี้ยงดูครอบครัวในภายภาคหน้าได้ หนิงเจิ้งที่อายุเพียง 14 ปีก็ตั้งใจที่จะดูแลท่านปู่ตามที่พี่ใหญ่ขอร้องเอาไว้ก่อนจากไป เขายังคงคิดไม่ออกว่าเหตุใดพี่ชายจึงอยากไปเมืองหลวง เพราะตอนเขาจากมาเขายังเด็กนักจึงไม่รู้เรื่องรู้ราวใดเกี่ยวกับครอบครัวเหมือนกับหนิงจิ้ง แต่เขาก็ยังคงรับปากพี่ชายว่าเ
หนึ่งปีต่อมา หลานจิวที่หมั้นหมายกับหนิงเจิ้งก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีที่เรือนของหนิงเจิ้ง เขาทำพิธีโดยมีท่านปู่กับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเป็นพยาน รวมทั้งคนในหมู่บ้านที่มาร่วมสนุกในงานแต่งงานครั้งนี้ พวกเขารู้ดีว่าบ้านหนิงซวนหยวนไม่เคยตระหนี่ของกิน พวกเขาจึงนำเงินเล็กน้อยมาเป็นขวัญถุงให้กับบ่าวสาวตามธรรมเนียม ทั้งที่หนิงซวนหยวนบอกแล้วว่าไม่รับของหรือเงิน แต่ก็ต้องจนใจที่ชาวบ้านบอกว่ามันเป็นธรรมเนียมที่พวกเขาทำสืบทอดกันมา หนิงซวนหยวนจึงได้ให้บ่าวรับเอาไว้ให้หลานชายเขาทีหลัง หลานจิวที่ตอนแรกไม่อยากแต่งงาน แต่พอเห็นว่าบ้านนี้ใหญ่โตเพียงใดนางก็เกิดโลภขึ้นมาจึงได้ทำตัวดีให้ทุกคนเห็นเป็นฉากหน้า นางคิดว่านางจะได้นั่งเป็นฮูหยินที่สุขสบายในเรือนนี้แน่ ๆ โดยที่นางไม่รู้เลยว่าอีกไม่นานท่านปู่ผู้เป็นญาติคนเดียวของสามีจะสิ้นไป หนิงเจิ้งเองก็มีความสุขไม่น้อย ภรรยาของเขาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อย่างที่เคยคิดเอาไว้ นางดูเป็นคนอ่อนหวานและช่างเอาใจไม่น้อย ทำให้หนิงเจิ้งหลงใหลนางเข้าจริง ๆ หนิงซวนหยวนเห็นว่าทั้งคู่เข้ากันได้ดีก็วางใจ อย่างน้อยหากเขาเป็นอันใดไปก็ยังคงวางใจได้
หลังจากวันที่หลานจิวถูกท่านปู่สามีสั่งสอน นางก็ทำตัวดีขึ้นทันที ด้วยกลัวว่าจะถูกเพ่งเล็งจนต้องหย่ากับสามี ส่วนหนิงเจิ้งนั้นไม่ได้สนใจภรรยา เขากับปู่ช่วยกันเลี้ยงดูเด็ก ๆ อย่างสนุกสนาน ในเมื่อแม่ของพวกเขาใจจืดใจดำนัก ทั้งสองปู่หลานจึงได้ช่วยกันเลี้ยงแทน หนิงซวนหยวนที่ช่วยเลี้ยงจนหลานชายคนโตอายุได้ห้าขวบ เขาก็เริ่มเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ตามประสาคนสูงวัย ทำให้หนิงเจิ้งยิ่งห่างเหินกับภรรยา เขาคอยดูแลท่านปู่และส่งจดหมายบอกพี่ชายแล้วว่าหากกลับมาดูใจท่านได้ก็ให้กลับมา ถ้ามาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เขาจะดูแลท่านปู่จนถึงวาระสุดท้ายเอง ด้านหนิงจิ้งที่ได้รับจดหมายจากน้องชายได้แต่นึกเสียใจ แต่ตอนนี้เขาได้สอบเข้าเป็นขุนนางในราชสำนักแล้ว การจะไปไหนมาไหนย่อมเป็นเรื่องยาก แถมตอนนี้ลูก ๆ ของเขาเองก็อายุมากพอที่จะเข้าเรียนแล้ว เขาจึงไม่อาจจากไปได้ หนิงจิ้งได้แต่ส่งจดหมายตอบกลับน้องชายอย่างเสียใจ คราแรกภรรยาเขาจะเดินทางกลับไปเอง แต่หนิงจิ้งไม่ไว้วางใจให้นางเดินทางคนเดียว เขาจึงไม่ให้นางไปด้วยความเป็นห่วง ฮวงเหมยอี้รู้ดีว่าสามีเป็นห่วง แต่เขาลืมไปหรือเปล่าว่านางเป็นลูกสาว
หนิงเจิ้งที่ยิ่งอยู่กับภรรยานานเข้าก็ยิ่งรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร เขาไม่นำพาว่านางจะมีนิสัยอย่างไร เพียงแค่ไม่ทำให้ลูก ๆ ลำบากเขาก็พอใจแล้ว ขนาดว่าหนิงกวานเรียนเก่งกว่าพี่ ๆ นางยังไม่เคยจะคิดชมเชยลูกเลยสักนิด นางกลับเอาอกเอาใจแต่ลูกคนโตกับคนรองของเขา มีแค่เขาเท่านั้นที่คอยส่งเสริมลูกชายคนเล็กให้ขยันเรียนให้มาก และเรียนรู้เรื่องสมุนไพรกับเขาให้ดี เผื่อว่าในอนาคตเขาจะได้มีวิชาติดตัวไว้บ้าง นับวันหลานจิวจะยิ่งแสดงออกถึงนิสัยที่แท้จริงของนางที่ทั้งตระหนี่ถี่เหนียว ไหนจะเอาแต่ด่าทอลูกคนเล็กให้เขาได้ยินบ่อย ๆ จนเขาต้องทะเลาะกับนางมาตลอดเรื่องนี้ หลานจิวเปรียบเทียบตนเองกับครอบครัวพี่ใหญ่ของหนิงเจิ้งมาตลอดว่าเขาไม่เอาไหน ไม่เหมือนพี่ชายที่เป็นขุนนางเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ยิ่งทำให้หนิงเจิ้งไม่พอใจ เขาชอบที่จะใช้ชีวิตสงบๆ เหตุใดเขาจึงได้มีภรรยาเช่นนี้ ความจริงแล้วเขาอยากหย่ากับนางมานานแล้ว เพียงแต่ลูก ๆ ยังเล็กอยู่เขาจึงจำใจอดทน รอให้ลูก ๆ โตกว่านี้ก่อนแล้วเขาจึงจะหย่านาง อย่างไรนางก็คงไม่ต้องการลูกคนเล็กของเขาแน่ ๆ หากนางคิดว่าสามารถเลี้ยงดูลูกชายสองคนเองได้เขาก็จะไ
หนิงกวานที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยอายุเขายังน้อยก็ได้แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านแม่จึงไม่รักเขาเหมือนพี่ ๆ ความจริงแล้วที่หลานจิวเกลียดหนิงกวานก็เพราะนางไม่สามารถมีลูกได้อีกหลังจากคลอดหนิงกวานนางจึงเกลียดเขาที่ทำให้นางมีลูกได้แค่สามคน ทั้งที่นางอยากได้ลูกสาวสักคนเพื่อจะได้เลี้ยงดูนางให้ดี สิบปีต่อมาหนิงกวานที่โตแล้วรู้ว่าแม่ของเขาเป็นอย่างไรก็หาได้ถือสา อย่างไรเขาก็ยังกตัญญูกับนางเหมือนเดิม ถึงแม้ท่านพ่อจะพยายามไม่ให้เขาเกิดความเกลียดชังแม่ตัวเอง แต่เขาก็มีเพียงความคิดน้อยใจเท่านั้น เมื่อถึงวัยแต่งงาน พี่ชายทั้งสองของเขาไปสู่ขอภรรยาก็ได้รับเงินจากท่านแม่ไปคนละไม่น้อย ส่วนเขาที่มีคนรักอยู่ในอีกหมู่บ้านหนึ่งนั้นกลับไม่ได้รับเงินจากนางแม้แต่อีแปะเดียว แถมนางยังไม่ยอมให้เขารับนางเข้าบ้านอีกต่างหาก จนท่านพ่อต้องเข้ามาจัดการเรื่องราวให้เขาเอง ท่านพ่อให้เงินทองและของหมั้นมากมายกับหนิงกวานจนทำให้หลานจิวยิ่งไม่พอใจที่สามีลำเอียง หนิงเจิ้งให้เหตุผลว่าเป็นเพราะหนิงกวานช่วยเขาทำสวนสมุนไพรมาตลอด การที่เขาจะตอบแทนลูกรักก็ไม่แปลก ทำเอาคนอื่น ๆ ในบ้านไม่กล้าพูดสิ่
หลายปีต่อมา หนิงเจิ้งที่ทำงานมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เริ่มเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ตามประสาคนสูงวัย ยังดีที่มีเสี่ยวชุ่ยและลูก ๆ อีกสามคนช่วยกันดูแล หนิงกวานจึงได้ปลูกสมุนไพรได้อย่างสบายใจและดูแลครอบครัวเล็ก ๆ ของเขาเป็นอย่างดี หนิงเจิ้งยังกำชับหนิงกวานว่าหากเขาเป็นอะไรไปก็อย่าให้หลานจิวกับลูกๆ เข้ามาอยู่ที่เรือนอีก เขารู้ดีว่าหนิงกวานเป็นคนใจอ่อนขนาดไหน หนิงกวานเองก็ไม่ได้รับปากอันใด เขาเพียงแต่บอกว่านางเป็นแม่เขาหากเขาไม่กตัญญูแล้วคนอื่นครหาจะทำเช่นใด หนิงเจิ้งฟังแล้วจึงได้บอกให้ลูกชายนำทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาเคยบอกเอาไว้ไปฝังเก็บไว้ที่อื่นเสียเพื่อที่จะได้ไม่ตกเป็นของหลานจิวกับลูกอีกสองคน เขารู้ดีว่าทรัพย์สินเหล่านี้หากอยู่ในมือคนพวกนี้คงไม่สามารถงอกเงยขึ้นมาได้ มีเพียงหนิงกวานเท่านั้นที่เขาเชื่อใจ หนิงกวานเองก็ได้แต่ต้องยอมทำตามที่ท่านพ่อบอก เขาหาสถานที่ฝังทรัพย์สินเอาไว้บนภูเขาห่างไกลจากที่ผู้คนเดินไปมาไม่น้อย เขายังทำสัญลักษณ์เอาไว้เพื่อที่ตนเองจะได้จดจำได้ว่าฝังไว้ที่ใดหากเกิดเหตุการณ์อย่างที่ท่านพ่อคาดเดาเอาไว้ หลังจากดูแลหนิงเจิ้งได้เกือบปีเขาก็จากไปด้
รุ่งเช้าวันต่อมา หนิงชิงตื่นขึ้นมาอย่างปวดเมื่อยเนื้อตัวไม่น้อย นางล่ะอยากจะตีสามีของนางจริง ๆ หากเมื่อคืนนางไม่หยุดเขาไว้ มีหวังนางคงลุกไม่ขึ้นเป็นแน่ เจียงเฉิงที่เห็นภรรยาตื่นแล้วก็รีบทำตัวเป็นสามีที่ดี เขาพานางไปอาบน้ำด้วยกันหลังจากที่ไม่ได้อาบด้วยกันมานานแล้ว หนิงชิงที่เหนื่อยอ่อนแต่แรกได้แต่ตามใจเขา นางไม่มีแรงพอจะห้ามเขาหรอกหนา หากเขาต้องการบริการนางนางก็จะรับเอาไว้ อีกทั้งเจียงเฉิงยังชอบนวดให้นางอยู่บ่อย ๆ เวลาอาบน้ำ ทำให้นางสบายตัวไม่น้อยเช่นกัน หนิงชิงจึงปล่อยให้เขาทำตามใจตนเองไป กระทั่งพวกเขาอาบน้ำเสร็จก็นั่งกินข้าวที่บ่าวไพร่นำมาให้พร้อมกัน ก่อนที่ต่างคนต่างออกไปทำงานของตนเอง วันนี้พวกเขาไปสายจึงไม่ได้ไปนั่งกินข้าวกับท่านพ่อ ท่านแม่ของเจียงเฉิงตามปกติ เมื่อไปถึงร้านแล้ว หนิงชิงบอกข่าวดีกับทุกคนว่าต่อไปจะมีขุนนาง ขันทีและฮองเฮาเสด็จมาเ
เมื่อหนิงชิงกลับไปนั่งที่แล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสถามเกี่ยวกับสินค้าในร้านของนางว่ามีสิ่งใดอีกบ้าง เพราะเท่าที่เห็นแค่อย่างเดียวที่นางทำขึ้นมาก็ใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี ฝ่าบาทยังต้องการโต๊ะทำงานที่มีกลไกสำหรับใส่สิ่งของสำคัญของท่านอยู่พอดี หนิงชิงอธิบายถึงสินค้าในร้านนางที่มีหลากหลายอย่างพร้อมรอยยิ้ม นางยังบอกฮ่องเต้ว่าหากพระองค์อยากได้โต๊ะเช่นนั้นนางจะทำมาถวายให้พระองค์ด้วยตนเอง แต่อาจใช้เวลามากสักหน่อยเพราะนางจะสลักลายมังกรให้ที่โต๊ะทำงานนี้ด้วย เพื่อแสดงว่าเป็นสิ่งของของฝ่าบาท ฮ่องเต้ดีใจมากที่หลานสะใภ้ของเขารู้จักกตัญญูนัก ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ขันทีไปดูสินค้าที่เหมาะแก่การใช้สอยของราชวงศ์ที่ร้านของหนิงชิงในอีกสองวันหลังจากนี้ และราชวงศ์จะเป็นลูกค้าของนางอย่างแน่นอน หนิงชิงพอฟังแล้วได้แต่ลุกขึ้นถวายพระพรฮ่องเต้ที่ทรงเมตตานางเป็นอย่างมาก น
เมื่อเข้าไปในงานแล้วขันทีก็พาพวกเขาไปยังโต๊ะหน้าพระที่นั่ง เพราะอย่างไรครอบครัวแม่ทัพใหญ่ก็มีอำนาจมากกว่าครอบครัวขุนนางคนอื่น ส่วนพวกเจียงเฉิงก็ได้แต่เบาใจที่วันนี้พวกเขาจัดที่นั่งกันเป็นครอบครัว ไม่เช่นนั้นเจียงเฉิงคงหวงภรรยาคนสวยแย่เลยทีเดียว ขนาดว่าเดินเข้างานมาเมื่อกี้ เขาก็ยังเห็นมีชายหนุ่มหลายคนที่มองภรรยาตัวน้อยของเขาตาเป็นมันจนเขาอยากควักลูกตาชายหนุ่มเหล่านั้นออกมานัก ภรรยาเขาก็กระไร จะสวยไปไหนกัน เขาหวงนางจะแย่อยู่แล้ว ครอบครัวขุนนางที่เข้ามาก่อนหน้ายังไม่มีใครไปนั่งตำแหน่งของตนเองมากนัก พวกเขายังคงยืนคุยกันตามประสาเพื่อนร่วมงานที่พาครอบครัวมางานในครั้งนี้ บางคนก็ทาบทามลูก ๆ ให้กันและกันเป็นเรื่องปกติของพวกเขา ยิ่งพอเห็นว่าครอบครัวแม่ทัพใหญ่เข้ามาแล้วนั้น พวกเขาก็มีเรื่องนินทามาเพิ่มอีกนับไม่ถ้วน แต่ใครจะกล้าเสียงดังให้แม่ทัพใหญ่ได้ยินกันเล่า พวกเขายังไม่อยากหัวขาดในวันนี้หรอกหนา ทุกคนได้แต่แอบมองฮูหยินของแม่ทัพใหญ่แล้วก
สองวันต่อมา วันนี้หนิงชิงไม่เข้าร้านขายของแปลกเพราะนางต้องเตรียมตัวไปงานเลี้ยงกับครอบครัวแม่ทัพในวันนี้ แม่สามีนางให้คนมาช่วยนางอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่หลังอาหารเที่ยง ทั้งที่งานจะจัดขึ้นในช่วงเย็น แต่หนิงชิงที่ไม่รู้เรื่องพวกนี้มากมายนักจึงจำยอมที่จะปล่อยให้คนของท่านแม่เป็นคนจัดการทุกอย่างให้แทน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หน้า ผม พวกเขาล้วนจัดการให้หนิงชิงจนนางแทบจะกลายเป็นนางฟ้าน้อยไปแล้ว บ่าวไพร่ต่างชมนางเป็นเสียงเดียวกันว่านางสวยมาก วันนี้หนิงชิงใส่ชุดสีฟ้าน้ำทะเลที่มีลวดลายเมฆมงคลอยู่บนเสื้อผ้า อีกทั้งเสื้อผ้าชุดนี้ก็เป็นนางที่เหมามาในวันนั้นโดยไม่ได้ตรวจสอบดูเสียก่อนว่ามีเสื้อผ้าอันใดบ้างจนมาถึงวันนี้ที่คนของท่านแม่เจียงเฉิงมาพบเข้าก็พากันนำชุดนี้มาให้นางใส่ ซึ่งพวกเขาบอกว่าชุดนี้ช่วยขับผิวให้นางยิ่งดูขาวใสสว่างมากกว่าปกติอีกด้วย หนิงชิงมองตนเองในกระจกอย่างแปลก ๆ นางไม่เคยแต่งหน้ามาก่อนนี่จึงเป็นครั้ง
หลังจากที่หนิงชิงออกจากร้านเสื้อผ้าไปแล้ว ผู้คนต่างยังคงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันยกใหญ่ว่าฮูหยินแม่ทัพช่างน่ากลัวจริง ๆ อีกทั้งนางยังมากความสามารถ ทั้งยังระงับอารมณ์ตนเองได้ดี หากเป็นคนอื่นคงเข้าไปตบปากคนพูดจาว่าร้ายด้วยตนเองแล้ว แต่หนิงชิงกลับใช้องครักษ์ของนางเป็นคนจัดการแทน สิ่งนี้คงไม่มีใครอีกที่จะทำได้เหมือนฮูหยินแม่ทัพใหญ่ ส่วนข่าวที่ว่านางเป็นฮูหยินบ้านนอกนั้นพวกเขาไม่มีใครตำหนิอันใด ในเมื่อนางเก่งกาจก็ควรค่าแก่การเป็นฮูหยินของจวนแม่ทัพแล้ว ไม่ถึงครึ่งวัน ข่าวคราวนี้ก็ดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวง เจียงเฉิงที่อยู่ค่ายทหารยังไม่รู้ว่ามีคนมารังแกภรรยาสุดที่รักของเขา แต่ฮ่องเต้และคนในวังต่างทราบข่าวกันแล้ว ฮ่องเต้ถึงกับหัวเราะว่าหลานสะใภ้ของเขาช่างดีจริง ๆ เขาถึงกับนับวันรอว่าเมื่อใดจะได้พบกับหลานสะใภ้คนนี้ตัวเป็น ๆ เสียที เขาอยากเห็นว่านางจะสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดในงานเลี้ยงครั้งนี้ได้อย่างไร หากว่ามีคนวิพากษ์วิจารณ์นาง
“องครักษ์ ตบปากนางจนกว่านางจะสำนึกได้ว่าข้าเป็นใคร” องครักษ์หันมองหน้ากันแต่ไม่กล้าขัดคำสั่งฮูหยินน้อย พวกเขาคนหนึ่งจับแขนเฉียวหลัวหลัว อีกคนก็ตบปากนางไม่เบานักไปหลายที เฉียวหลัวหลัวได้แต่กรีดร้องอย่างเจ็บปวด บ่าวของนางที่ตามมาด้วยยังด่าทอองครักษ์และหนิงชิงอย่างหยาบคาย จนหนิงชิงต้องเอ่ยปากอีกครั้ง“องครักษ์ ตบปากบ่าวของนางด้วย ข้าเป็นฮูหยินแม่ทัพใหญ่ ใช่คนที่พวกเจ้าจะมากล่าวหาว่าร้ายได้ง่าย ๆ หรืออย่างไร บ้านเมืองมีกฎหมาย พวกเจ้ากล้าแม้กระทั่งว่าร้ายข้าโดยไม่มีหลักฐานอันใด ทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง และข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วว่าข้าไม่เคยวางแผนอันใดใส่ท่านแม่ทัพ เป็นเขาที่รอข้ามานานหลายปีกว่าจะได้แต่งงานกับข้า วันนี้ข้ามีเรื่องที่ต้องทำมากมาย ไม่ได้มีเวลาจะมาต่อปากต่อคำกับเจ้า ดังนั้นข้าจึงให้คนของข้าลงโทษเจ้าเสีย แทนที่จะไปร้องเรียนทางการที่เจ้ากับบ่าวของเจ้าทำตัวก้าวร้าวกับข้า แม่ค้า รีบนำเสื้อผ้ามาให้ข้าเลือกเสีย เสร็จแล้วข้าจะได้รีบไปทำงานต่อ ข้าไม่ได้มีเวลาว่างมากพอกับเรื่องไร้สาระ”
หนิงชิงเมื่อกลับถึงจวนแม่ทัพแล้วนางก็ไปคารวะพ่อกับแม่สามีนางเหมือนเช่นปกติที่นางกลับจวนเร็ว พวกท่านบอกให้หนิงชิงนั่งลงเสียก่อน เพราะพวกเขามีข่าวจะบอกนาง หนิงชิงนั่งลงตามที่ท่านทั้งสองบอก นางสงสัยว่าพวกท่านมีเรื่องอันใดกันจึงได้ทำสีหน้าจริงจังเช่นนี้“อีกสามวันในวังจะมีงานเลี้ยง หนิงชิง เจ้าต้องไปด้วยรู้หรือไม่ คราวนี้ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงเพื่ออยากดูว่าฮูหยินแม่ทัพอย่างเจ้ามีความสามารถอันใด เจ้าต้องเตรียมการแสดงไปด้วยเผื่อเอาไว้ เจ้าคิดว่าทำได้หรือไม่”“ท่านแม่ ข้าไม่เคยเรียนรู้การแสดงอันใด สิ่งเดียวที่ข้าจะแสดงได้ก็คือการออกแบบสิ่งของหรือไม่ก็สร้างสิ่งของให้พวกเขาดูเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าข้าจะทำเช่นนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ”“ท่านพี่ว่าอย่างไรเจ้าคะ หากหนิงชิงจะสร้างสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการแสดงของนาง”“พี่ว่าก็น่าจะได้นะ หนิงชิง เจ้าก็เลือกสิ่งของที่ใช้เวลาสร้างไม่นานและมีประโยชน์สักอย่างหนึ่งก็
ยี่สิบวันต่อมา ขบวนของหนิงหยางก็เดินทางมาถึงเมืองหลวง พวกเขาขอแยกตัวออกไปหาร้านขายของแปลกของครอบครัวหนิงหยาง บรรดาอาจารย์และบัณฑิตคนอื่นจึงเพิ่งจะรู้ว่าหนิงหยางมีครอบครัวอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว พวกเขาไม่ได้ตำหนิอันใดที่หนิงหยางไม่ได้บอกพวกเขา อย่างไรพวกเขาก็ไม่ค่อยสนิทกันมากนัก เนื่องด้วยต่างคนต่างก็มีอาจารย์ประจำของตนเองอยู่แต่แรก หนิงหยางให้คนขับรถม้าถามทางผู้คนไปยังร้านขายของแปลกทันทีหลังจากแยกตัวออกจากขบวนเดินทาง คนขับรถม้าสอบถามเส้นทางจนรู้ว่าต้องไปทางไหนเขาจึงขับรถม้าไปที่นั่นอย่างช้า ๆ เพราะผู้คนในเมืองหลวงช่างมากมายนัก ทำให้เขากลัวจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ หนิงหยางกับอาจารย์ก็เข้าใจคนขับรถม้าดี อย่างไรก็มาถึงเมืองหลวงแล้วพวกเขาจึงไม่เร่งรีบอีกต่อไป หนิงหยางตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้พบกับท่านพ่อและพี่ใหญ่ของเขาที่ร้านขายของแปลก เขารู้แต่แรกแล้วว่าท่านแม่นั้นปักผ้าอยู่ที่จวนเฉย ๆ นางไม่ได้
หนิงหยางเมื่อส่งจดหมายให้พี่สาวแล้วเขากับอาจารย์ก็เตรียมตัวเดินทางไปยังเมืองหลวง สัมภาระของหนิงหยางตลอดเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมายังคงมีเท่าเดิม ที่เพิ่มขึ้นคงมีแต่หนังสือกระมัง หนิงหยางหมั่นไปหาดูหนังสือใหม่ ๆ มาอ่านเพื่อเตรียมความรู้ในการสอบจอหงวนครั้งนี้หลายเล่ม ดีที่พี่สาวของเขาให้เงินเอาไว้ไม่น้อยก่อนไปเมืองหลวง ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนที่ต้องเข้าสอบแล้ว เขาจึงอยากไปเตรียมตัวก่อนการสอบที่เมืองหลวงเสียก่อน ไหนจะระยะเวลาเดินทางที่ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนหากไม่แวะพักที่ใดเลย หนิงหยางคาดว่าพวกเขาจะใช้เวลาเกือบยี่สิบวันในการเดินทางครั้งนี้ บัณฑิตคนอื่นก็ไปพร้อมกับอาจารย์ของตนเองเช่นเดียวกัน สำหรับหนิงหยางนั้นเอาจารย์เขามีเขาแค่คนเดียวที่เป็นศิษย์สายตรง หนิงหยางจึงไม่อยากทำให้อาจารย์ผิดหวังในการสอบครั้งนี้เช่นกัน อาจารย์ของหนิงหยางเช่ารถม้าเพื่อไปส่งพวกเขาที่เมืองหลวงในราคาปานกลาง