จิวซินนอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงข้อเท้าที่บวมทำให้รู้สึกเจ็บ แต่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนนั้น หลายวันมานี้เจ็บตัวตลอด แต่ก็แต่ไหนแต่ไรมาแล้วจิวซินมักจะโลดโผนเพื่อให้เหมือนจิ่นเกอทำให้ได้เท่าจิ่นเกอพี่ใหญ่ด้วยความเป้นหญิงจึงเจ็บตัวเพราะไม่ได้แข็งแกร่งเช่นบุรุษทั่วไปนั่นเอง“หมิงหลิน” เรียกหาหมิงหลินเสียงลั่น“ไหลหล่า ไหลหล่า” (มาแล้วๆ) หมิงหลินขานมาแต่ไกล“จิ่นฉิน อยู่ไหน” จิวซินถามหาอีกคน“ท่านองครักษ์อยู่ด้านนอก คอยอารักขานายหญิงมีสิ่งใดจะบอกกล่าว” หมิงหลินเลิกคิ้วสูง“ข้าเพียงแต่ พักนี้ไม่เห็นเขาคอยมาวุ่นวายตักเตือนว่ากล่าวข้าเหมือนเช่นเคย”“ข้าน้อยก็เห็นว่าเดี๋ยวนี้ท่านองครักษ์ มักออกไปนอกวังบ่อยครั้ง หรือว่า แอบไปเที่ยวหอคณิกา” หมิงหลินออกความเห็น จิวซินอดขำไม่ได้“ในโลกนี้มีกี่ผู้คนที่รู้จักเสพสุขเยี่ยงนี้ จิ่นฉินหาใช้บุรุษเช่นนั้นไม่” หมิงหลินพยักหน้าเห็นด้วยจิวซินคิดว่าต้องมีเหตุอันใดเป็นแน่ที่ทำให้จิ่นฉินออกไปนอกวังสักวันคงต้องสะกดรอยตามไปจวนอ๋องห้า“กงกง เหตุอันใดนำท่านมาถึงจวนอ๋อง” ฮุ่ยโม๋กล่าวทักทาย ขันทีเฒ่า“ท่านอ๋อง ข้าเพียงแต่แวะเวียนมา คารวะท่าน” ฮุ่ยโม๋เพียงแต่ยิ้มบางๆ“เห็
องค์หญิง14นั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่างเบื้องหน้านั้นดอกเหมยร่วงหล่นลงสู่พื้นดินยามสามลมพัดหวีดหวิว“องค์หญิงเป็นอะไรไป” สาวใช้คนสนิทอดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้ ใบหน้าสวยหันกลับมามองสาวเพียงแวบเดียวแล้วก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างตามเดิมเจ้าเคยสบตาบุรุษใดแล้วใจสั่นไหวหรือไม่” สาวใช้ตาโต“องค์หญิงคงหมายถึงองค์ชายใหญ่จิ่นเกอ ทำไมไม่ไปที่ตำหนักบูรพา” ใบหน้าสวยย่นจมูก“องค์ชายใหญ่จิ่นเกอเจ้าคิดเช่นนั้นหรือ” สายตาดุเข้มจ้องมองสาวใช้“ข้าน้อยมิกล้า องค์หญิงคิดเช่นไรข้าน้อยมิบังอาจ”“องค์ชายใหญ่จิ่นเกอ องอาจผึ่งผายสมกับเป็นบุรุษตัวข้าเองถึงจะรู้สึกต้องชะตาแต่ยามอยู่ใกล้ใจข้าไม่เคยสั่นไหวและเมื่อจากไกลไม่เคยถวิลหาเช่นบุรุษหนุ่มผู้นั้น” สาวใช้ปิดปากเบิกตากว้างกว่าเดิม“องค์หญิงอย่าทรงแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปหากเรื่องถึงหูฝ่าบาทจะทรงกริ้วแค่ไหน”“ข้ารู้ดีไม่ใช่เด็กๆ ข้าเพียงแต่อยากพบหน้าเขาอีกสักครั้งก็เท่านั้น”“องค์หญิงโปรดใคร่ครวญให้ดีตัดไฟเสียแต่ต้นลม ไม่ข้องแวะไม่ผูกพันย่อมไม่มีความถวิลหา”“ตบปาก” การที่เป็นองค์หญิงเพียงคนเดียวในวังหลวงจึงมักถูกตามใจมาตลอดทำให้เป็นคนเอาแต่ใจ ชาวใช้ยกมือขึ้นตบปากตัวเอ
“ข้าจิ่นฉินไม่บังอาจ” ก้มหน้าลงด้วยความสำรวม“นายเจ้ายังไม่ทันเอ่ยคำใดไยเจ้าถึงหวาดกลัวเช่นนั้น”“หากเมามายเสียหมดแล้วจะมีผู้ใดดูแลใครได้” ฮุยโม๋ยิ้มจิ่นฉินคืออุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งที่เดียว“คุณชายขาเข้าไปไม่ได้นะค่ะแขกคนสำคัญห้ามใครรบกวน” เสียงดังอื้ออึงภายนอก เพียงครู่เดียวชงไฉ่ ก็เข้ามาข้างใน“อ้าวน้องสิบสองเชิญเจ้าด้วย” บุรุษที่เป็นเหมือนคนคุ้มกันถอยห่างออกไปเมื่อได้ยินองค์ชายห้ากล่าวทักทายผู้มาใหม่ชงไฉ่ทรุดกายลงข้างๆ จิวซิน“พี่ห้าหาโอกาสร่ำสุราเคล้านารีทำไมไม่ชวนข้าชงไฉ่” ตำหนิทีเล่นทีจริง“ข้าบังเอิญผ่านไปตำหนักบุรพาองค์ชายใหญ่จิ่นเกอยังมิเคยได้ลิ้มลองสุราของที่นี่จึงมิไยที่ข้าต้องนำเสนอ”“เป็นเพราะมี สหายร่วมดื่มคนใหม่พี่ห้าถึง ไม่ชวนข้า ว่าแต่องค์ชายใหญ่จิ่นเกอท่านคิดว่าสุราที่นี่รสชาติเป็นเช่นใด” หันไปทางจิวซินซึ่งบัดนี้ดวงตาสุกสกาวแต่ทว่าแก้มกับแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์ของสุราแก้มสุกปลั่งน่าดอมดม“รสชาติดีอย่างไม่อาจปฏิเสธข้ายอมรับว่าหลงใหลสุราหมักชนิดนี้” ลูบคลำถ้วยเหล้าในมือเหมือนกับเป็นของล้ำค่า“พี่ห้านับว่าท่านเดาใจองค์ชายใหญ่ได้ถูกต้องว่าชอบสุราหมักชนิดใด”“สุราชนิดนี้มีเฉพ
ชงไฉ่อาจมิใช่บุรุษที่เพรียบพร้อมหากแต่มีน้ำใจเป็นเลิศ แม้ต่สุราหนึ่งจอกก็อาจแบ่งบันแก่สหายคนละครึ่งจอกได้ไม่มีบิดพลิ้วแต่กระนั้นเขาเองมิใช่ผู้ที่ทานทนต่อความอดกลั้นได้นานหากถูกปองร้ายก็พร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่ด้วยกระบี่คู่กายใบหน้าของเขาแม้หล่อเหลาหาผู้เทียบเคียงแต่มธุรสวาจากลับหวานหาผู้เทียบเคียงไม่มีได้ ในยามที่ปักใจหลงใหลแก่หญิงงามคำหวานข้างหูที่อยากจะเบือนหน้าหนีหากแต่ไม่อาจทำเพราะทอดตัวลงด้วยความอ่อนหวานที่เขาปลุกปลอบบุรุษผู้ที่ไม่อาจให้หญิงงามโดนรังแกแม้ว่าจะไม่เคยรู้จักนางมาก่อนชงไฉ่เมื่อบังเกิความรักแท้กลับคิดว่าอนุภาพของความรักน่าสะพรึงกลัวดวงหน้าของหญิงอันเป้นที่รักกลับโยกคลอนจิตใจของบุรุษให้สั่นไหวความรักของชงไฉ่แม้ไม่ต้องการยึดครองหากขอเพียงได้ตื่นลืมตามายามเช้าพร้อมกันในทุกวันเมื่อดวงตะวันทอแสงที่ขอบฟ้านั่นขอเพียงมีเจ้าอยู่ในอ้อมแขนพัวพันหงส์ซอนน้ำตา“นายของข้าเมาจนหลับไปแล้วเห็นที่ข้าต้องพากลับตำหนักบูรพาเสียทีไม่รบกวนองค์ชายทั้งสอง”“ข้านำเกี้ยวมาจากในวังเชิญเจ้าพานายของเจ้ากลับไปกับเกี้ยวที่ข้านำมาเถิด” องค์ชายสิบสองคล้ายจะเตรียมการมาอย่างดี จิ่นฉินไม่กล้ากอดประค
“องค์ชายใหญ่จิ่นเกอโอกาสอันดีนี้ ข้าคงไม่อาจเพิกเฉย” พึมพำด้วยความกระหายในราคะ ถอดชุดขันทีออกเหลือเพียงหน้าอกเปลือยเปล่ากางเกงลำลองบางเบา ตาเป็นประกายจ้องมองมายังจิวซินตาไม่กะพริบ เอื้อมมืออันหยาบกระด้างจับไหลบางของจิวซินหมายจะ มองใบหน้าของจิวซินที่เจ้าขันทีเฒ่าคิดว่าเป็นบุรุษหนุ่มหน้าหวานท่าทางอ้อนแอ้นเหมือนที่ตนเคย ชอบลิ้มลองมานักต่อนักไม่ว่าจะเป็นบรรดาขันทีวัยหนุ่มหลายคนที่ต้องเป็นเหยื่อราคะเพื่อสังเวยให้แก่ขันเฒ่าผู้มากด้วยตัณหา รอยยิ้มน่าเกลียดบนริมฝีปากที่เต็มไปด้วยหนวดเคราแม้อายุจะย่างเข้าสู่วัยชราแล้วหากแต่ยังเต็มไปด้วยความอยากไม่รู้จักจบจักสิ้น ปลดสายคาดเอวของจิวซินออกด้วยมืออันสั่นเทา“โครม” เสียงประตูห้องใหญ่พังลงอย่างง่ายดายด้วยแรงถีบมหาศาล“เอามือโสมมของเจ้าออกจากตัวขององค์ชายใหญ่เดี๋ยวนี้” ชงไฉ่ชักกระบี่เหยียดตรงเข้าใส่ขันทีเฒ่า ด้วยความโมโหสุดระงับยับยั้งขันทีเฒ่า ที่ปากคอสั่นด้วยความกลัว คุกเข่าลงกับพื้นดวงตาเหลือกลาน“องค์รัชทายาทโปรดอภัย ข้ามิบังอาจเพียงแต่องค์ชายใหญ่เมามายข้าเพียงจะช่วย”“เจ้านี่ช่างแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ข้าสั่งเกี้ยวไปยังตำหนักบูรพาแต่เจ้ากับสับเปลี่ยนคนห
“องค์ชายใหญ่”“องค์ชายใหญ่ราชบุตรเขยนะหรือ”“ใช่”“แล้วทำไมคนของข้าบอกว่าเป็นหญิงงาม” เยว่ฉีพยายามมองพิศใบหน้าของจิวซิน“หากข้าไม่เคยได้ยินคำล่ำลือ คงไม่อาจจะเชื่อได้ว่าเป็นองค์ชายใหญ่ ที่กล่าวกันว่าใบหน้างดงามปานอิสตรี”“เจ้ากล่าวมาไม่ผิด” ชงไฉ่พยายามปกปิดความผิดปกติทางน้ำเสียง“องค์ชายใหญ่ของเหอตงหยวนคนนี้ ช่างต่างจากบุรุษทั่วไปตามสายตาข้า”“เช่นไร” ชงแตกใจกับคำกล่าวของเยว่ฉี“ใบหน้าชดช้อย ไม่มีหนวดเคราอีกทั้งทรวดทรงต่างออกไป แม้แต่....” ด้วยเยว่ฉีคลุกคลีกับขันทีเฒ่าพ่อบุญธรรมจึงมักพบเจอกับเด็กที่เป็น ของเล่นของขันทีเฒ่าที่มักมีร่างกายเป็นชายแต่จริตเป็นหญิง“เจ้าหมายความว่าองค์ชายใหญ่จิ่นเกอมีจริตเป็นหญิงเช่นนั้นหรือ” ชงไฉ่รู้สึกสับสนไม่เข้าใจว่าเขาจะเสียใจทำไมหรือเป็นเพราะหวังอยากให้องค์ชายใหญ่เป็นหญิงแท้ๆ แต่ไม่ใช่แค่มีจริตเป็นหญิงซึ่งเขาไม่ชอบใจนัก“ข้าต้องได้พูดคุยกับองค์ชายใหญ่เสียก่อน” “ข้าต้องได้พูดคุยกับองค์ชายใหญ่เสียก่อน” ชงไฉ่ช่างรู้สึกว่าเยว่ฉีจะมีประโยชน์ก็ตอนนี้นี่เอง“เช่นนั้นเจ้าออกไปเถิดหากองค์ชายใหญ่ได้สติเจ้าคงต้องได้พูดคุย” เยว่ฉีเขม้นมองจิวซิน หากเป็นชายไยน่าตา
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิเสด็จพ่อคงไม่ยอมเช่นนั้น ข้าชงไฉ่มีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่องค์ชายใหญ่จิ่นเกอ”“ข้าคิดว่าท่านสมควรจะ ได้พบนางสักครั้งแล้วท่านจะได้รู้ว่านางน่ารังเกียจเช่นใดในเมื่อเราสองแม้จะไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติข้าไม่อาจปล่อยให้องค์รัชทายาท เสกสมรสกับน้องสาวที่พิกลพิการของข้าได้” เพราะเป็นการเอาเปรียบองค์ชาย12เหลือเกิน” ชงไฉ่ยังคงคิดเหมือนเดิมว่าองค์ชายใหญ่ผู้นี้ต้องการอะไรกันแน่หรือเพราะความริษยาน้องสาวกันแน่ถึงได้พยายามชี้ให้เขาเห็นว่าองค์หญิงรองของเหอตงหยวนไม่น่าคบหา“ข้าคงต้องเยือนเหอตงหยวนสักครั้ง”“ในฐานะคู่หมั้นเสด็จพ่อของข้าคงไม่ขัดข้องและองค์ชายสิบสองจะได้พบกับจิวซินน้องข้า”“เช่นนั้น ข้ารอบัญชาจากฮ่องเต้ของเหอตงหยวนให้ข้าได้ขออนุญาตจากเสด็จพ่อเสียก่อนเมื่อนั้นข้าพร้อมเดินทางทันที” จิวซินยิ้ม คราวนี้นี้เองที่ชงไฉ่ต้องยกเลิกการหมั้นหมายอย่างแน่นอนหากได้พบกับองค์หญิงรองของเหอตงหยวนในแบบที่จิวซินต้องการให้เป็น แต่ใครเล่าจะเป็นจิวซินในแบบที่จิวซินต้องการนอกจากตัวจิวซินเองงานนี้ต้องมีเรื่องท้าทายให้ลงมือทำอีกแล้ว“ตอนนี้องค์ชายใหญ่ดื่มชาเสียหน่อยสักพักจะรู้สึกดีขึ้น ข้าส่งค
ชายาเอกเหตุใดต้องเป็นคนของเหอตงหยวนแต่ไม่อาจมีคำใดเอื้อนเอ่ยออกมาได้แต่ก้มหน้านิ่ง“ท่านคิดว่าอย่างไรเสีย ก็ยังปักใจให้จิวซินน้องเป็นชายาเอกเช่นนั้นหรือ”“ไม่เป็นการอยุติธรรมไปหน่อยหรือหากข้าจะรีบตัดสินน้องของท่านเพียงเพราะคำพูดของท่านเท่านั้นองค์ชายใหญ่” ชงไฉ่แสดงให้เห็นถึงความเป็นบุรุษอย่างแท้จริงที่ไม่อาจตัดสินหญิงใดเพียงแค่คำนินทา จิวซินเผลอยิ้มด้วยความพึงใจ“ดีเช่นนั้นท่านต้องได้พานพบนางอย่างแน่นอนเมื่อนั้นค่อยตัดสินนางยังไม่สาย” ยกชาขึ้นจิบละเมียดรสชาที่ขมปนฝาดเยว่ฉีเหลือบตามองจิวซินอย่างค้นคว้าแม่เป็นสตรีหากแต่นางก็ไม่สามารถมองออกได้ว่าจิวซินมิใช่บุรุษอย่างแท้จริงจิวซินระมัดระวังตัวอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวเพราะกิริยาบางอย่างมีเพียงอิสตรีด้วยกันเท่านั้นที่สามารถมองทะลุปรุโปร่ง“องค์ชายใหญ่จิ่นเกอ องอาจงดงามมิเสียแรงที่ทั่วทั้งวังกล่าวขานถึงความองอาจของท่าน” เยว่ฉีลองหยั่งเชิงดู“แม่นางเยว่ฉี กล่าวเช่นนี้องค์รัชทายาทจะเคืองขุ่นเมื่อภรรยากับเห็นผู้อื่นองอาจกว่าคนที่ร่วมเตียงทุกคืนวัน” ชงไฉ่อมยิ้มกับคำกล่าวของจิวซิน เยว่ฉีทำหน้าตากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดผิด
หันมองชิงซาที่พยักหน้าสนับสนุนคำพูดของฮุยโม๋“ข้ากลัวเหลือเกิน ว่าจะลืมเลือนใครบางคน” ชิงซายิ้มอ่อนโยน“ฝ่าบาทเชื่อใจพี่ห้าของพระองค์เถิด ครั้งนี้ทุกอย่างจะต้องจบลงโดยดี”“ทุกอย่างที่ทำเพราะพี่ห้าหวังดีฝ่าบาทโปรดวางพระทัยและเชื่อใจในพี่ห้าคนเดิมของฝ่าบาทด้วย”ชงไฉ่กรอกยาลงไปในลำคออย่างรวดเร็วเหมือนกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจ ต่อจากนั้นบังเกิดความปั่นป่วนจนแทบทนไม่ไหว สมองเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ใช้มือกุมศีรษะจนล้มลงทั้งยืนความทรงจำเก่าใหม่วิ่งแล่นอยู่ในหัว ฮุยโม๋สกัดจุดให้ชงไฉ่คลายความเจ็บปวดทรมาน ชิงซาช่วยพยุงตัวชงไฉ่ยังแท่นบรรทม“ตามหมอหลวงชิงซา ปกปิดการกลับมาของข้าเสียด้วย ต่อแต่นี้ให้เจ้าเรียกข้าว่าฟู่โม๋จนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย บอกกล่าวแก่ทุกคนแค่เพียงฝ่าบาทร่างกายอ่อนเพลียต้องการพักผ่อนและยาบำรุง” ชิงซารับคำโดยดี รีบรุดออกไปตามหมอหลวง“พระชายาฝ่าบาททรงพระประชวร”“ดีอย่างน้อยตอนนี้เราก็ยังมีเวลาจัดการกับนางงูพิษ หยู่เยียน ก่อนที่ฝ่าบาทจะแต่งตั้งให้นางเป็นสนม”“พระชายา ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องทรงไป ดูแลฝ่าบาท” หยู่เยียน เดินนวยนาดใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้า
“แต่เราสองคนก็สมควรจะกลับได้แล้ว” ชงไฉ่ทำหน้าเสียดาย“เวลาความสุขมักผ่านไปเร็วเหลือเกิน” เขานึกถึงเยว่ฉีและกงกงหากรู้ว่าเขาปรารถนาเลี่ยงเฟิ่งมาเคียงข้างคนทั้งสองจะจัดการเลี่ยงเฟิ่ง อย่างที่เขาต้องไม่ให้อภัยแน่นอน ตอนนี้ทำอย่างไรถึงจะปกป้องเลี่ยงเฟิ่งรอให้เขาจัดการทุกอย่างตามที่เขาสงสัยเกี่ยวกับอำนาจในมือของกงกงเฒ่า ให้ผ่านไปเสียก่อนเมื่อนั้นจะต้องชดเชยให้เลี่ยงเฟิ่งตอนนี้เขาไปอาจให้นาง เป็นเนื้อหน้าเขียงรอให้ทุกอย่างจบลง เมื่อนั้นเขาจะทำได้อย่างที่ใจต้องการผุดลุกขึ้นอุ้มร่างบางส่งขึ้นบนหลังม้า กระโดดขึ้นไปนั่งคร่อมด้านหลังใช้คางเกยไหล่สวยควบม้าทะยานกลับไปทางเดิมที่ผ่านมา สองข้างทางช่างน่ารื่นรมย์เมื่อคนที่เคียงข้างเป็นคนที่รักหมดหัวใจชิงซา วิ่งถลาเข้ามาทันทีเมื่อเห็นม้าที่ทั้งสองเยาะย่างมาที่คอกม้า“ฝ่าบาท พระองค์ต้องไม่เชื่อ แน่ๆ” ชงไฉ่ยิ้มไม่ได้ตื่นเต้นกับเรื่องที่ชิงซาพูดเนื่องจากเขากำลังอารมณ์ดี ส่งมือให้เลี่ยงเฟิ่งก่อนจะดึงตัวนางลงจากหลังม้าสู่อ้อมกอด“มีอะไรว่ามาชิงซา”“องค์ชายห้า ฮุยโม๋กลับมาแล้ว” ชงไฉ่ชะงัก“พี่ห้า เขายไปแล้ว”“ฝ่าบาทองค์ชายห้ารอฝ่าบาทที่ ตำหนักของพระองค์”
ชงไฉ่เผลอไผลเรียกชื่อที่เขาลืมไปแสนนาน ความทรงจำบางอย่างหวนคืนมาร่างบางในอ้อมแขนใบหน้าสวยหวานในอาภรณ์บุรุษ เลี่ยงเฟิ่งไม่มีอาการว่าจะสะดุ้งตกใจอาการบอกว่ารักและใคร่ล้วนมาจากใจของบุรุษที่ใช้ร่างกายของเขาส่งผ่านความรู้สึกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นรักหรือปรารถนาร่างแข็งแรงยังกอดประคองอยู่อย่างนั้นไม่ปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระง่ายๆ เลี่ยงเฟิ่งซุกใบหน้านวลลงบนแผ่นอกเปล่าเปลือยทว่าเต็มไปด้วยมัดกล้าม“น้ำตามากมายไหลเรื่อย เป็นความตื้นตันใจหรือความรู้สึกเป็นสุข ชงไฉ่ยกมือเรียวเช็ดน้ำตาที่แก้มของเลี่ยงเฟิ่ง“เจ้า ถึงกับมีน้ำตาเสียใจหรืออย่างไร ที่ร่างกายของเจ้าเป็นของข้า” เลี่ยงเฟิ่งยังคงนิ่ง ชงไฉ่บรรจงจุมพิตที่หน้าผากเนียน“เลี่ยงเฟิ่ง ข้า...รักเจ้าอย่างที่ไม่อาจรักใครได้ไม่รู้ด้วยเหตุใด หากเจ้ามีคำตอบช่วยบอกข้าที” ดึงผ้าบางเบาที่ถูกดึงทึ้งยามที่อารมณ์ปรารถนา ครุกรุ่นให้เข้าที่เข้าทางปกปิดร่างอรชรที่ยังอยู่ในอ้อมแขน“ฝ่าบาท ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใด ฝ่าบาทถึงรักเลี่ยงเฟิ่งหรืออาจเป็นเพียงคำพูดเมื่อเลี่ยงเฟิ่งอยู่ในอ้อมแขนเหมือนที่พระชายาเคยได้ยินคำกล่าวนี้มาแล้ว”“เจ้าไม่เชื่อข้า ทำเช่นไรเลี่ยงเฟิ่ง
เลี่ยงเฟิ่ง ไปยังคอกม้า กระโดดขึ้นหลังม้ากระตุกบังเหียนให้ทะยานออกสู่ประตูเมืองป้ายหยกถูกยื่นส่งให้ทหารยามดู ก่อนจะมุ่งไปยังทุ่งกว้างเมื่อมาถึงจุดหมาย เลี่ยงเฟิ่งปล่อยม้าเยาะย่างเลาะเล็มหญ้าส่วนตัวนางใช้ความคิดกับบางเรื่องภาพความทรงจำเก่าๆ ไหลเรื่อยออกมาจากหัวเมื่อม้าหนุ่มตัวหนึ่งพุ่งตรงเข้าใส่จิวซินชงไฉ่คว้าร่างบางมากอดไว้ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนริมฝีปากของจิวซินเลี่ยงเฟิ่งยกมือขึ้นลูบไล้ริมฝีปากตัวเอง ด้านหลังเสียงมาวิ่งเข้ามาใกล้เลี่ยงเฟิ่งหันกลับไปมอง ชงไฉ่ทวงทีสง่างามบนหลังม้าจ้องมองมายังเลี่ยงเฟิ่ง“ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าแต่เดิมไม่นิยมขี่ม้า” เป็นคำพูดของชงไฉ่ที่เคยพูดไว้กับจิวซิน (ตอนสติสัมปชัญญะถูกความรักบดบัง) ชงไฉ่นึกประหลาดใจว่าเขาเคยพูดคุยเรื่องม้ากับเลี่ยงเฟิ่งหรือไม่“ฟู่โม๋เป็นคนสอน” ชงไฉ่ขมวดคิ้วใบหน้าหล่อเหลา งุนงง“ใครกัน”“ฟู่โม๋ เขาเป็นเพียงบุรุษพเนจรไร้ที่พักพิง อาศัยความเป็นสหายกับฮุยเจินจึงสามารถอาศัยอยู่ที่เหอตงหยวนได้นานหน่อยจึงตอบแทนฮุยเจินหลายเรื่องรวมทั้งสอนข้าขี่ม้า”“เจ้าชื่นชมเขาเหลือเกิน” รู้สึกอิจฉาฟู่โม๋คนนั้น“ฟู่โม๋ไม่เคยขัดใจไม่เคยทำให้ต้องเสียใจ” ชงไฉ่ห
“หม่อมฉันไม่รู้สึกคุ้นเคยใดใด” เลี่ยงเฟิ่งตอบทั้งที่ใจคอก็รู้สึกหวั่นไหวเช่นกัน“ช่างเถอะปล่อยให้ข้าเป็นไปแค่ฝ่ายเดียวอย่างนี้ก็ดีแล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล อย่างไรเสียข้าก็ไม่อาจฝืนใจเจ้าอยู่ดี” บ้างอย่างเหมือนเคยรู้สึกมาก่อนแล้ว หยู่เยียนยืนแอบฟังอยู่ด้านหลังประตูเงียบๆ จดจำทุกคำพูด“เราจะเคยคุ้นเคยกันได้อย่างไรเล่าฝ่าบาทในเมื่อเลี่ยงเฟิ่ง....เพิ่งจะเคยมาที่นี่”“ไม่สิเลี่ยงเฟิ่ง บางครั้งการได้พบก็เหมือนกับการไม่ได้พบ”“เลี่ยงเฟิ่งไม่เข้าใจ” เลี่ยงเฟิ่งแสร้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่ชงไฉ่พูด“จิตใจ ของข้าตอนนี้...ไม่บอกเจ้าคงทำให้ร้อนรุ่มเลี่ยงเฟิ่งข้า...ข้าจะบอกเจ้าอย่างไรดี” ผุดลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเลี่ยงเฟิ่งด้วยใจปรารถนา“ฝ่าบาท พระชายา หมดสติ” เสียงของนางกำนัลข้างกายของเยว่ฉี ชงไฉ่ชะงัก“เลี่ยงเฟิ่ง ข้าไว้คราวหน้าหวังว่าเจ้าจะฟังข้า” ออกจากห้องไปทันทีเลี่ยงเฟิ่งทรุดกายลงบนเก้าอี้เขี่ย เห็ดหอมไปมายิ้มหยันให้กับตัวเอง ทันใดนั้นเองน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกับไหลโดยไม่รู้ตัว เลี่ยงเฟิ่งรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นว่าเหมือนกับถูกแย่งชิงสิ่งของที่รักไป และไม่อาจทวงคืนกลับมาได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมร
“หากเจ้าอยากจะเป็นใหญ่จิตใจต้องเด็ดเดี่ยวกล้าตัดสินใจในเรื่องที่เป็นเสี้ยนหนาม ตัดรากถอนโคนให้สิ้นไปในคราวเดียว” คำพูดที่เหมือนจะตรอกย้ำความคิดภายในใจของเยว่ฉี“เยว่ฉีลาพ่อบุญธรรมไว้คราวหน้าเยว่ฉี จะมาคารวะพ่อบุญธรรมอีกที” กงกงยิ้มหันหลังให้เยว่ฉีเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียนางก็ไม่ต่างจากเขานักเรื่องจิตใจที่เด็ดเดี่ยว“พระชายา” สาวใช้ที่รออยู่ข้างหน้ารีบมาขว้างไว้เพราะรู้อารมณ์ของเยว่ฉีดีว่าจะทำให้เสียเรื่อง“นำข้าไปห้องเครื่องเดี๋ยวนี้”“พระชายาหากทำเช่นนั้น ฝ่าบาทอาจไม่พอใจพระชายา เชื่อหม่อมฉันเรามีอีกหลายวิธีที่กำจัดนางให้พ้นทาง” เยว่ฉีชะงักใคร่ครวญก่อนจะหันหน้าเดินไปยังตำหนักใหญ่รอชงไฉ่อยู่ที่นั่นด้วยความอดทนและคิดแผนการที่จะกำจัดห้องเครื่องนาม เลี่ยงเฟิ่ง“เจ้าลองไปสืบดูว่านางน่าตานิสัยใจคอเป็นเช่นไร”“น้อมรับคำสั่งพระชายาแต่ ข้าน้อยกลัวว่า จะมีคนรู้สู้เราส่งคนของเรา คอยส่งข่าว”“นางอยู่เพียงลำพังไม่มีสาวใช้”“อย่างนั้นถือว่าเป็นโอกาสทองของเรา” เยว่ฉียิ้มเสียงโวยวายด่าทอพร้อมกับเสียงสะอื้นของสาวน้อยหน้าตาหมดจดที่ดังเล็ดลอดเข้าไปภายในห้องที่เลี่ยงเฟิ่งกำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับเช้าอี
เมื่ออยู่สองต่อสองเลี่ยงเฟิ่งแกล้งเฉไฉมองไปทางอื่นขณะที่ฝ่าบาทจ้องคนสวยตาไม่กระพริบมือกุมถ้วยชาแต่ใจอยู่กับคนชงชา“ฮุยเจินบอกข้าเรื่องจุดประสงค์” เลี่ยงเฟิ่งเบิกตากลมโตหันมาสนใจคนพูด“เรื่องไหนเพคะฝ่าบาท”“เรื่องที่เจ้าควบคุมดูแลเกี่ยวกับการค้าขายและการส่งสินค้าไปยังต่างแคว้น เพื่อแบ่งเบาฮุยเจิน เหอตงหยวนนับว่ามีทรัพยากรมากมาย ทั้งของกินของใช้ใน ฮุยเจินบอกข้าว่าเมื่อเจ้าดูแลด้านการจัดส่งสินค้าจึงอยากที่จะส่งสินค้าเกี่ยวกับอาหารของเหอตงหยวนมายังไห่ตงหยวน”“เลี่ยงเฟิ่งเพียงแค่อยากให้ผู้คนรู้จักอาหารเลิศรสของเหอตงหยวนที่มีมากมายเหลือเกิน ของบางอย่างมีเพียงแค่เดินทางไปยังเหอตงหยวนเท่านั้นที่จะสามารถลิ้มรส มันได้”“หากเจ้าตั้งใจจริง เช่นนั้นข้าส่งเสริมเจ้า”“เลี่ยงเฟิ่งต้องการ เปิดร้านค้าส่งวัตถุดิบหายากของเหอตงหยวนที่นี่ เพราะเหอตงหยวนและไห่ตงหยวนไปมาหาสู่ราษฎรของเหอตงหยวนย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ก็เยอะ บางครั้งคิดถึงบ้านเพียงแค่ได้ลิ้มรสอาหารที่หากินได้ต่ในเหอตงหยวน ย่อมทำให้คลายความคิดถึงลงได้”“เจ้าช่าง นึกถึงผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้ เจ้ามีสิ่งใดให้ช่วยวานบอกมา” ความรู้สึกดีๆ ได้ก่อตัวขึ้นในหัว
“นาง มาจากตระกูลใด หรือเป็นลูกของขุนนางของเหอตงหยวนคนใด” เยว่ฉีอดใจไว้ไม่ได้ฮุยเจินนิ่วหน้าคิดไม่ถึงว่าเยว่ฉีจะกล้าสอบหาที่มาที่ไป“เลี่ยงเฟิ่งนาง ที่มาที่ไปไม่ชัดเจนข้าพบนางนอนสลบไสลอยู่ตอนออกไปล่าสัตว์ เมื่อคราวฤดูกาลล่าสัตว์ของเหอตงหยวน” ชงไฉ่ทำท่าทางครุ่นคิด“ข้าอยากพบนางสักครั้ง”“อย่าเลยพระชายา นางไม่ค่อยสมประกอบอีกทั้งวาจาป่าเถื่อนหยาบกระด้าง ตามประสาคนนอกด่านอบรมสั่งสอนก็เคยจะเชื่อฟัง ไม่เชื่อท่านลองถาม เสด็จพี่ฮ่องเต้ดูก็ได้ เมื่อวานเขาเพิ่งถูกนางใช้วาจาเชือดเฉือน หากพบนาง เกรงว่าจะทำให้พระชายาขุ่นเคืองใจกับกิริยาของนางเสียเปล่า” ชงไฉ่สะดุ้งที่โดนโยนเผือกร้อนเข้าใส่“เอาไว้คราวหน้าหากเจ้าอยากพบนาง ข้าจะอนุญาต แต่หากพบนางแล้วเจ้าคงไม่อาจถือสานาง เจ้าอยู่สูงกว่าหญิงทั้งปวงอย่าได้ลดตัวเข้าไปเสวนากับคนป่าเถื่อนเช่นห้องเครื่องธรรมดาคนหนึ่งเลย” คำพูดโอ้โลมของชงไฉ่ได้ผลทำเอาเยว่ฉียิ้มจนแก้มแทบฉีก ฮุยเจินยิ้มมีชัยคิดไม่ผิดว่าชงไฉ่ต้องรู้สึกอยากปกป้องเลี่ยงเฟิ่ง“หากฝ่าบาทเห็นสมควรว่าเยว่ฉีไม่พบนางเยว่ฉีก็ไม่ฝืนบัญชาฝ่าบาทเพค่ะ” ชงไฉ่เอื้อมมือตบมือเยว่ฉีเบาๆ“เยว่ฉีเจ้าช่างวางตัวได้เ
“คืนนี้ อากาศค่อนข้างหนาวเลี่ยงเฟิ่งจะจัดถวายเป็นเครื่องเสวยยาม เฉิน (07.00-08.59) หรือยามซวี (19.00-20.59) เพื่อให้ได้ผลดี” ชงไฉ่พยักหน้าทำท่าทางเชื่อถือ“ดี เช่นนั้นข้าจะรอ ..เจ้าไปนอนเถิด” เหลือบตามองนกยวนยาง บนพื้นน้ำเดียวดายเลี่ยงเฟิ่งย่อตัว“สิ่งนี้ นำพาข้ามาที่นี่” ยกผอบที่มีกลิ่นหอมรัญจวนใจจากไปทันที เลี่ยงเฟิ่งยกชามใส่ไก่และเป็ดหมักไปเก็บ เดินมาทิ้งตัวลงนอน บนแท่นนอน ภาพชวนระทึกใจเมื่ออกนุ่มเบียดอยู่กับอกกว้างกลิ่นเครื่องหอมรัญจวนใจ กับบรรยากาศแบบนั้นเลี่ยงเฟิ่งข่มตานอน ชงไฉ่เองทิ้งตัวลงนอนหลังจากที่วางผอบไว้บนแท่นกำยานบนหัวเตียงหลับตาเป็นสุขใจความรู้สึกเหมือนมีอะไรสว่างสดใสรออยู่เบื้องหน้าในฝันนั้นลูกดอกจากคันธนูของใครบางคน พุ่งเข้าสู่จุดหมายเล็กๆ บนเป้าที่อยู่ไกลออกไปอย่างแม่นยำทว่ากลับมองไม่เห็นใบหน้า คนเบื้องหลังคันธนูคนนั้นภาพเดียวกันนี้ถูกซ้อนทับด้วยเลี่ยงเฟิ่งในอาภรณ์บุรุษงดงามกับคันธนูที่โค้งงอ ชงไฉ่มองอยู่ตรงนั้นภาพนี้เขาเคยเห็นมันมาแล้วอย่างแน่นอน สะดุ้งสุดตัวตื่นขึ้นเมื่อแขนข้างที่กอดอยู่กับเป็นแขนบอบบางของเยว่ฉี ชงไฉ่เผลอยกแขนของเยว่ฉีออกจากอกของตัวเอง“ฝ่าบาท”