“อาหารของพวกเราไม่เพียงพออีกแล้ว! ต่อไปนี้ใครที่ต้องการอาหารต้องมาช่วยกำจัดซอมบี้ข้างนอกนั่น! เราจะให้อาหารแก่ผู้ที่ลงมือ!”
เสียงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะเบ็งบอกให้ได้ยินกันทั่วโถง สิ้นเสียงของเขาก็ตามมาด้วยเสียงฮือฮาของพลเมืองที่ไม่พอใจการตัดสินนั้น “ถ้าไม่ทำก็ออกไปเป็นอาหารซอมบี้เองเถอะ!” เจ้าหน้าที่รายนี้ไม่สนว่าจะมีคนไม่พอใจหรือไม่ เพราะสถานการณ์ไม่เอื้อให้เหลือการประนีประนอมอีก “กลุ่มแรก ใครอาสาให้มาที่นี่” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งยกธงขึ้นเป็นสัญลักษณ์ พวกเขาใช้เสียงสดในการประกาศจึงต้องใช้งานลำคอมาก บางครั้งก็เหมือนตะคอกทั้งที่ไม่ตั้งใจ ฉินหลิวซีเห็นใจเจ้าหน้าที่บางคนที่ต้องรับมือกับสถานการณ์อันยากลำบากนี้ ส่วนคนที่ทำงานนี้แบบส่ง ๆ เธอไม่มีใจจะสงสารแม้แต่เสี้ยวเดียว จริงอยู่ว่าเจ้าหน้าที่มีจำนวนไม่พอมานานแล้วจึงต้องรับอาสาสมัครอยู่เรื่อย ๆ แต่คนที่รับงานนี้แค่เพราะอยากกร่างและใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นก็มีไม่น้อย ฉินหลิวซีเข้าไปเป็นอาสาสมัครในกลุ่มแรก หญิงสาวแซ่ฉินเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีของเจ้าหน้าที่เวลาร้องขออาสาสมัคร แม้เธอจะไม่ได้ร่วมทุกครั้ง แต่ก็เป็นส่วนใหญ่ที่จะมีชื่อเธอปรากฏอยู่ ฉินหลิวซีเป็นอดีตนักกีฬาต่อสู้ และยังมีประสบการณ์หลายปีที่ทำให้เธอรู้วิธีฆ่า ตอนนี้เธอไม่มีครอบครัวเหลืออยู่อีกแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องลังเล และเธอต้องการนิวเครียสซอมบี้เพื่อเพิ่มพลังอยู่ด้วย หากมองว่านี่เป็นการหาวัตถุดิบจากมอนสเตอร์ในเกม RPG เสมือนจริงก็ไม่แย่อะไร เจ้าหน้าที่ยังล้างสมองกรอกหูทุกครั้งก่อนออกเดินทางด้วยประโยคเดิม ๆ จนเธอท่องตามได้หมดแล้ว “ฆ่าซอมบี้ต้องเล็งที่หัว ถ้าติดเชื้อไม่มีโอกาสที่สอง ไปเอาเสบียงกลับมาให้ได้!” พลเมืองในกลุ่มร้องเฮลั่นเพื่อปลุกใจตัวเอง เพราะถ้าก้าวขาออกไปนอกรั้วเมื่อไร กำลังใจมีแต่หดหายไม่มีเพิ่ม เป็นระยะเวลามากกว่าสิบวันที่ร่วมต่อสู้เพื่ออาหารตามที่เจ้าหน้าที่เคยบอก ระหว่างนั้นเธอก็แอบกิน นิวเครียสไปหลายลูก เพื่อเพิ่มพลังและแรงกายที่ใกล้จะหมด อาหารที่มีเลี้ยงต่อวันคือขนมปังแข็ง ๆ ไม่กี่ก้อน เจ้าหน้าที่รับปากว่า จะให้อาหารในปริมาณที่มากกว่าเมื่อกลับถึงค่าย พวกที่ปราบซอมบี้อยู่แนวหน้าอย่างเธอมีรั้วช่วยทุ่นแรงแค่ชั้นเดียว เพราะต้องทำให้แน่นหนา แต่ด้วยจำนวนซอมบี้มีมากกว่าจึงถูกฝ่าทะลวงเข้ามาทุกปี จนตอนนี้รั้วกั้นของศูนย์พักพิงผู้อพยพเหลือแค่ชั้นนอกกับชั้นในเท่านั้น “พวกเราต้องทำแบบนี้ไปอีกกี่วันกันเนี่ย” เสียงชายวัยรุ่นคนหนึ่งบ่นทั้งสีหน้าเหนื่อยอ่อน “จากที่ฟังมาน่าจะเป็นวันสุดท้ายแล้วละ” ใครอีกคนตอบ สภาพผู้อาสาออกมาแต่ละคนดูดีกว่าซอมบี้แค่นิดเดียว เธอเองก็อยากรีบกลับเข้าไปแล้วเหมือนกัน หลังกลับเข้าไปจะมีอาหารปริมาณมากรอเธออยู่เป็นสิ่งตอบแทน หลังจากพระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงต่ำ อาสาสมัครที่เคยทำงานด่านหน้าก็มารวมกันที่หน้าประตู เพราะครั้งไหน ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เคยเกินสิบวัน แต่แล้วบางอย่างที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น “ประตูไม่ยอมเปิด! เฮ้ย คุณเจ้าหน้าที่ นี่มันหมายความว่ายังไง!?” ประตูและรั้วเหล็กเริ่มสั่นสะเทือนจากการใช้กำลังของอาสาสมัครหลายสิบคนที่นอกรั้ว ฉินหลิวซีรู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง ความหวาดกลัวค่อย ๆ คืบคลานเข้าเกาะกุมจิตใจ เธอยอมออกมา เพราะเชื่อว่าจะได้กลับเข้าไป แต่ดูเหมือนจะให้ความไว้ใจมากเกินไปสินะ ขณะเดียวกับที่เหตุความวุ่นวายตรงหน้ากำลังเริ่มขึ้น เสียงคำรามแหลมสูงจากด้านหลังก็ดังขึ้นมา เสียงสั่นประสาทหวีดแหลมก้องสะท้อนจนแสบแก้วหู “เปิดสิวะ!” “เปิดให้พวกเราเดี๋ยวนี้นะ!” พลเมืองพากันประท้วงทั้งชายหญิง พวกเขาต่างหมดเรี่ยวแรงไปแล้วจากการทำงานแลกอาหารสิบวันที่ผ่านมา เสียงกรีดร้องไม่มีความหมาย เจ้าหน้าที่ยังคงยืนกรานไม่เปิดประตูโดยไม่มีการตอบคำถามใด ฉินหลิวซีเงยหน้ามองอาคารสูงเบื้องหน้าด้วยแววตาเคียดแค้น ที่ผ่านมาเธอคงมองโลกในแง่ดีเกินไป การหาอาสาสมัครมาก็แค่คัดคนที่มีประโยชน์แบบใช้แล้วทิ้งมาเป็นอาหารผีดิบพวกนี้ จะให้อาหารเป็นรางวัลอย่างนั้นหรือ ทั้งที่อาหารไม่เคยมีพอ เธอน่าจะคิดได้ ฉินหลิวซีกัดฟันมองขึ้นไปยังห้องบัญชาการของค่ายด้วยความเครียดแค้นชิงชัง รั้วเหล็กชั้นนอกไม่นานก็ถูกพังเข้ามา ฝูงซอมบี้หิวกระหายไล่ล่าพลเมืองที่ถูกขังไว้ด้านนอกราวกับมีคนสั่งการ พวกมันไม่ได้พังรั้วอีกชั้นเข้าไป แต่กลับไล่รุมทึ้งมนุษย์ไม่กี่สิบคน ฉินหลิวซีสั่งรากไม้ให้ผุดขึ้นจากดิน แต่พลังของเธอยังไม่ถึงขั้น ต้านพวกมันได้ไม่ถึงอึดใจด้วยซ้ำ “กรี๊ดดดด!” ฉินหลิวซีหวีดร้องเสียงแหลมเมื่อถูกคว้าตัวเอาไว้ได้ สัมผัสต่อมาคือคมเขี้ยวเปื้อนน้ำลายที่ฝังลงบนผิวเธอแล้วฉีกกระชากออกไปจนหยาดเลือดสาดกระเซ็น ความหวาดกลัวเข้าครอบงำหญิงสาวในทันที ตัวเธอสั่นสะท้านและรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง หลังจากนั้นความเจ็บปวกมากมายก็จู่โจมมาที่เธอ สติรับรู้เลือนหาย ดวงตาพร่าเบลอ แม้แต่ลำคอก็ไม่อาจส่งเสียงได้ การรับรู้สุดท้ายคือเสียงโหยหวนของเพื่อนร่วมชะตาที่ไม่อาจหนีพ้นเช่นเดียวกับเธอ...ความรู้สึกแรกหลังจากรู้สึกตัวคืออุณหภูมิร่างกายที่สูงมากคล้ายคนจับไข้ ร่างกายหนักอึ้งไปจนถึงศีรษะ อาการปวดหัวจี๊ดแล่นริ้วขึ้นมาตามขมับจนต้องเผลอย่นคิ้วเมื่อคืนนี้เธอฝันประหลาด การต้องรับบทบาทในฝันเป็นเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบที่ทางบ้านมีฐานะยากจนไม่ค่อยสนุกเท่าไรนัก ฝันนั้นเด็กผู้หญิงตัวเล็กนั่นมีน้องชาย อาหารการกินก็ไม่เพียงพอแม้แต่ปากท้องเดียว มีแค่น้ำข้าวต้มใส ๆ ไม่มีเนื้อ บ้านที่นางอยู่มีไข่ไก่ แต่ไม่เคยตกถึงท้องเทียบกับการต้องออกไปเผชิญหน้าฝูงซอมบี้เป็นสิบเป็นร้อย ฉินหลิวซีไม่แน่ใจเลยว่า อันไหนคือฝันร้ายกว่ากันกันแน่วันวันหนึ่งเด็กผู้หญิงคนนั้นต้องใช้แรงงานในบ้านร่วมกับมารดาที่ร่างกายอ่อนแอ ซักผ้าให้คนทั้งบ้าน ยามป่วยไข้กลับไม่มีใครออกเงินรักษา คิดแต่นอนพักแล้วก็หายสุดท้ายก็ตายจากไปเงียบ ๆ แค่เรื่องราวของฝันตื่นหนึ่ง ไม่นึกเลยว่ามันคือความจริงฉินหลิวซีนอนเหม่อหลังจากได้สติรับรู้คืนมา ที่เรียกว่าฝันนั้นแท้จริงคือความทรงจำ ตัวนางคือองค์ประกอบหนึ่งของครอบครัวเล็ก ๆ ในครอบครัวใหญ่แห่งนี้เรื่องบ้า ๆ แบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวพอฉินหลิวซีไม่แน่ใจว่า การต้องฝ่าฟันโลกที่มีแต่ผีดิบเดินไ
อย่างที่ได้รับรู้ในความทรงจำตกค้างที่นางเข้าใจผิดไปเองว่า เป็นความฝัน ครอบครัวนี้ความเป็นอยู่ย่ำแย่ สะใภ้ถูกดูแลเหมือนเป็นคนใช้ในบ้าน ฉินหลิวซีเดินตามหลังผู้เป็นแม่ที่หอบตะกร้าสูงท่วมหัวออกไปยังแม่น้ำใกล้ ๆ ซึ่งจะบอกว่าใกล้ก็บอกได้ไม่เต็มปาก เพียงแต่มันเป็นแม่น้ำสายเดียวที่ใกล้ที่สุด และก็เดินจนปวดขา บิดาของเด็กหญิงตัวน้อยทำงานในที่นาของครอบครัว สองแม่ลูกดูแลเรื่องงานบ้านภายในและซักผ้าเป็นหลักชิวย่าหนานเห็นบุตรสาวไม่พูดก็นึกแปลกใจอยู่ แต่เห็นหน้านางซูบซีดคิดว่าคงเหนื่อย จึงไม่ได้ถามอะไร“ข้าขอตัวไปถ่ายหนักสักครู่นะเจ้าคะ”มารดาพยักหน้าไม่ได้ซักไซ้อะไร ฉินหลิวซีจึงปลีกตัวเดินออกมาไกล ๆ ได้อย่างไม่ผิดสังเกต พ้นสายตามารดามาได้นางก็มองหาต้นอ่อนพันธุ์ไม้ต่อ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ลองใช้พลังธาตุไม้ที่ติดตัวมาดู จากที่เคยทำให้ต้นกล้างอกใบออกมาได้ไม่กี่ใบ ทำให้รากไม้ขยับได้นิดหน่อย ตอนนี้แค่เพียงใส่พลังเข้าไปต้นอ่อนนั้นก็เติบโตขึ้นเป็นลำต้นในเวลาไม่กี่อึดใจฉินหลิวซีกำลังจะฉีกยิ้มยินดี เสียงท้องนางก็ร้องประท้วงขึ้นมาขัดจังหวะ ใบหน้าเด็กหญิงแข็งค้าง นึกได้ว่าตนยังไม่ได้กิน
ระหว่างที่กำลังใจลอยหนีความบัดซบของชีวิตก็พบว่าได้เวลากินข้าว ฉินหลิวซีมองแผ่นแป้งเล็กของตนเองด้วยความแค้นใจ เมื่อเช้านางไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากแผ่นแป้งแห้ง ๆ แข็ง ๆ รสชาติเหมือนเทียนไขเวลาทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัวคือช่วงเวลาที่เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างและความลำเอียง ฝั่งอาหารของบ้านใหญ่ สำรับของหลานชายทั้งสองที่มีอายุมากกว่านางสองสามปีล้วนมีไข่ไก่ ข้าวพูนจาน ไม่มีน้ำส่วนของบ้านนางมีเพียงน้ำต้มข้าวไร้รสชาติ และแผ่นแป้งแข็ง ๆ ฉินหลิวซียกน้ำข้าวต้มให้น้องชายที่ได้รับส่วนแบ่งเพียงช้อนเดียว เพราะพวกเขาคิดว่าน้องชายนางยังเล็ก อีกทั้งยังไม่ได้ทำงาน ให้กินแค่นี้ก็เพียงพอเพียงพอแบบไหน อะไร ยังไง อยากจะเปิดโต๊ะให้อภิปรายเหลือเกิน เพียงพอแบบขี้ข้าหรือไงถ้าหากฟันของมนุษย์แข็งแรงน้อยกว่านี้ วันนี้นางคงได้เคี้ยวฟันตัวเองจนแตกแน่ เด็กหญิงนับหนึ่งถึงสิบในใจเป็นร้อยรอบ เจอสถานการณ์แบบนี้ นี่นางใจเย็นที่สุดในชีวิตแล้ว ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในร่างเด็กห้าขวบคงมีคนซี่โครงหักกันบ้าง อะไรมันจะขนาดนี้“ชิวย่าหนาน พักนี้ทำงานอืดอาดไปหรือเปล่า” ท่านย่าเอ่ยตำหนิมารดาของนาง พอมีคน
“อาหยวน” นางตะโกนเรียกน้องชาย พอได้ยินเสียงพี่สาวเขาก็ยกมือขึ้นสูง ๆ ให้รู้ว่าตนเองอยู่ตรงไหนฉินหลิวซีเดินมาหาน้องชายกลางทาง เขาเห็นพี่สาวก่อไฟเสร็จแล้วจึงจูงมือนางมาหาจุดที่มีพวกลูกไม้ที่ตนเจอ นางลูบศีรษะน้องชาย กล่าวชมทั้งรอยยิ้ม“เก่งมาก”เพียงคำสั้น ๆ แต่ดวงตาคู่น้อยนั้นก็เริ่มมีประกายขึ้นมา เป็นฉินหลิวซีที่ชะงักไปเสียเอง ต้องใช้ชีวิตมาแบบไหนที่ทำให้เด็กสามขวบห้าขวบมีแววตาหม่นหมองได้ขนาดนี้ ทั้งที่เป็นวัยที่แต่งแต้มเติมสีเข้าไปได้ง่ายที่สุด แต่ครอบครัวสกุลฉินกลับเลือกที่จะเติมสีดำให้บ้านรองอย่างพวกนาง“อาหยวนเก่งมาก ๆ เลย ไปเก็บผลไม้ด้วยกันเถอะ”ฉินหลิวซีให้น้องขี่คอ แม้จะทุลักทุเลไปสักหน่อย แต่ก็เอื้อมไปถึงผลไม้บนต้นได้ พอได้ทำอะไรด้วยตัวเองฉินซือหยวนก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมานางกับน้องชายได้ลูกพลับมาสี่ผล จึงแบ่งกันคนละสองผล ฉินหลิวซีจูงมือน้องมานั่งตรงที่นางก่อไฟไว้แล้วให้เขานั่งเฝ้าปลา ส่วนตนเองก็เดินไปดูต้นไม้อีกต้นที่เห็นตอนเดินลงมาเมื่อครู่ เมื่อเดินมาใกล้ ๆ จึงเห็นว่าเป็นกล้วยหอมที่ยังโตไม่เต็มที่ ฉินหลิวซีไม่ลังเลที่จะใช้พลังธาตุเร่งการเจริญเติบโตของมันนางหันมองน้องชา
จนวันนี้อาหารของนางต่อหน้าครอบครัวก็ยังมีแต่แผ่นแป้งแห้ง ๆ ในแต่ละวันนางจะพาน้องชายเข้าป่าเพื่อหาของกิน สองสามวันมานี้มารดาชอบถามพวกนางว่าไปเล่นกับใครที่ไหน ไม่รู้ว่าด้วยความเป็นห่วงเพียงอย่างเดียวหรืออยากรู้อยากเห็นเรื่องของลูกด้วยกันแน่ แต่เพื่อไม่ให้ระแคะระคายไปมากกว่านี้ ฉินหลิวซีจึงไม่ได้พาน้องชายออกไปอีก แล้วอีกปัญหาหนึ่งที่ตามมาก็คือท่านย่าเริ่มระแคะระคายที่มีฟืนหายไปวันละสี่ห้าท่อนจึงอยู่บ้านเพื่อหาทางจับผิดวันนี้นางตามมารดาออกมาซักผ้า หลังจากช่วยจนผ้าใกล้หมดตะกร้าแล้วนางก็ทำทีขอไปเดินเล่น ผู้เป็นแม่เห็นว่านางช่วยซักผ้าจนมือเปื่อยมือเย็นจึงพยักหน้าอนุญาต หากผ้าไม่ใช่ตะกร้าใหญ่อย่างวันนี้นางทำคนเดียวก็ได้ แต่เมื่อไหร่ที่ได้ผ้ามาจนล้น นางทำจนเย็นก็ยังซักไม่เสร็จบุตรสาวจึงต้องมาช่วยฉินหลิวซีมุดเข้าไปหลังม่านเถาวัลย์เหมือนครั้งก่อน โชคดีที่นางตัวเล็กจึงไม่มีปัญหา แต่หากโตไปกว่านี้คงต้องมองหาที่ลับตาคนใหม่แล้ว เด็กหญิงเข้าไปในห้วงมิติของตน นางยังไม่มีเวลาสำรวจกระท่อมนี้เลยจนกระทั่งวันนี้หลังจากเข้ามาได้นางก็เริ่มทำการสำรวจภายในกระท่อม ด้านในกระท่อมมีตั่งไม้ยกสูงขึ้นมาสำหรับเป็
ฉินหลิวซีแง้มประตูยื่นหน้าออกไป ห้องนอนของนางอยู่ไม่ห่างจากห้องใช้งานส่วนอื่น ๆ ของบ้านเท่าไรนัก จึงได้ยินเสียงป้ากับมารดาพูดคุยกันชัดเจน“ผ้า เป็นหน้าที่ของเจ้าต้องซัก ทำไมจึงไม่ยอมเอาเสื้อผ้าของข้าไปซัก!”“แต่พี่หญิงไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาให้ข้านี่เจ้าคะ”“ไม่ได้เอามาก็ไม่รู้จักถามอย่างนั้นหรือ เป็นหน้าที่ของเจ้าแท้ ๆ”ชิวย่าหนานถูกตะคอกใส่ก็ยิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสู้ ที่ตรงนั้นยังมีท่านย่าของนางอีกคนที่ยืนอยู่ด้วย อยู่ต่อหน้าแม่สามีชิวย่าหนานยิ่งไม่กล้ามีปากมีเสียง เพราะรู้ว่าแม่สามีไม่ชอบตนเป็นทุนเดิม“ท่านแม่ดูสิเจ้าคะ นางไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง” ป้าสะใภ้เดินเข้าไปเอาอกเอาใจท่านย่าเขา บีบนวดไปพลาง ฟ้องเรื่องมารดาของนางไปด้วยประจบประแจงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ขั้นเซียนเลยนะนั่น“ท่านแม่ คนแบบนี้เลี้ยงไปก็เสียข้าวสุก หน้าที่ตัวเองไม่ยอมทำ ต้องให้คอยสั่งอยู่ตลอดทั้ง ๆ ที่ทำมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เย็นนี้ไม่ต้องทำอาหารสำหรับพวกนางหรอกเจ้าค่ะ”“เดี๋ยวสิเจ้าคะ&rd
“ท่านแม่ทำงานหนัก ซักผ้าเกือบทุกวัน ไม่เสื้อผ้าก็เป็นที่นอนปลอกหมอนมุ้ง ไม่มีวันไหนที่นางได้หยุดพัก ข้าเห็นพี่น้องบ้านใหญ่อาหารการกินมีเนื้อไข่ ข้ากับน้องได้กินแต่แผ่นแป้งแข็ง ๆ ทั้งที่ข้าก็ทำงาน น้องก็ทำงานจะเล็กน้อยอย่างไรก็ทำ ท่านพ่อไม่รู้สึกว่าแปลกหรือเจ้าคะ”เด็กหญิงทำหน้าตาใสซื่อตั้งคำถามเหมือนไม่รู้ความหมายจริง ๆ ดวงตากลมโตบริสุทธิ์จ้องมองไปยังบุรุษตรงหน้า“ข้าน้อยใจเหลือเกินเจ้าค่ะ วันนี้ท่านแม่ก็จะเอาผ้าไปซักตามปกติ แต่ท่านป้าไม่ยอมเอาผ้าของนางมาให้ กลายเป็นว่าท่านแม่ของข้าเป็นคนผิด หรือนี่เป็นความถูกต้องเจ้าคะ”ยิ่งฟังบุตรสาวพูด ผู้เป็นพ่อยิ่งรู้สึกหนักอึ้งในใจมีความไม่พอใจคุกรุ่นอยู่ในนั้น“ท่านพ่อเจ้าคะ หากวันนี้ข้าไม่เชื่อฟัง ข้าไม่ไปซักผ้า ไม่ทำอย่างที่ข้าเคยทำ ท่านจะผิดหวังในตัวข้าหรือไม่”นางกล่าวถามเสียงใส ปั้นหน้าดุจเทพธิดาตัวน้อยนั่นทำให้ฉินก่วงนึกย้อนไปถึงวัยเด็กของตัวเองขึ้นมา เขาเคยเชื่อว่าหากทำตามที่มารดาบอก นางก็จะรักเขาบ้าง ตั้งแต่เกิดมามีเพียงบิดาให้ความอบอุ่น&n
“ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้าเจอต้นพลับด้วย ตากผ้าแล้วข้าจะไปหามาให้ท่านนะเจ้าคะ”“ต้นพลับหรือ ไปเจอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”“ก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นในป่าบังเอิญเจอเข้าน่ะเจ้าค่ะ” นางบอกไม่ได้หรอกว่า พาน้องชายมาเล่นแถวนี้ ไม่อย่างนั้นคงโดนซักไซ้มากกว่านี้เป็นแน่หลังจากนำผ้าขึ้นตากจนหมดแล้ว ชิวย่าหนานก็ได้พักหายใจหายคอบ้าง นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาเดียวที่นางได้พักผ่อนนอกจากตอนนอน เมื่อมีเวลาผ่อนคลายฉินหลิวซีก็รีบมาบีบนวดให้มารดา เอาอกเอาใจสารพัดให้รู้สึกสบายเวลาที่ได้พักผ่อนจริง ๆก่อนหน้านี้ชิวย่าหนานไม่เคยถูกทำแบบนี้ให้ทั้งประหลาดใจและเข้าใจเวลาเดียวกัน นางยอมเออออตามใจลูกไม่เอาผ้าของบ้านใหญ่มานอกจากของพ่อแม่สามี คิดดูแล้วนี่อาจเป็นผลดีกว่าที่คิดก็ได้เมื่อผึ่งลมผึ่งแดดจนแห้งแล้วก็ได้เวลากลับชิวย่าหนานรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยที่ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับคนในบ้าน รู้สึกได้เลยว่าจะต้องโดนต่อว่าอย่างหนักแน่พอคิดถึงตอนนั้นตัวก็สั่นขึ้นมา สีหน้าของนางดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด กระทั่ง
"ท่านแม่ทำยา""อุ๊บ! ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษด้วยนะ แต่แม่ไม่ได้เป็นกระต่ายหรอก" ฉินหลิวซีขำพรืดก่อนเอี้ยวตัวมาลูบศีรษะบุตรชายด้วยความเอ็นดู"ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เสี่ยวไป๋สามารถเป็นได้ทุกอย่างที่ลูกอยากเป็นเลย จะเป็นกระต่ายหรือดวงดาวก็ได้ แม้จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็อย่าได้ทิ้งสิ่งนี้ที่อยู่ในใจของลูกไปเลยนะ"เมื่อการเติบโตทำให้ความรับผิดชอบมากขึ้น ความสุขที่ไขว่คว้าได้ก็น้อยลง ต้องยอมปล่อยมือจากสิ่งที่รักและหวงแหน ต้องสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่อาจไม่ปรารถนาแต่จำเป็นต้องมี วัฏจักรของมนุษย์ดำเนินไปเช่นนั้นฉินหลิวซีปรารถนาให้ลูกของตนไม่ถูกกลืนกินจากมัน แต่สุดท้ายก็คงไม่มีใครรอดพ้นอยู่ดี ดังนั้นก็จงทนุถนอมเอาไว้ให้ยาวนานเท่าที่ได้เถิดหลังจากบินเล่นจนพอใจแล้วหงส์แดงเพลิงก็ร่อนลงตรงที่กว้างสักแห่ง เจ้านายเปิดมิติให้ทุกคนก็เข้าไปพักผ่อน แต่เจ้าตัวสีทองนั่นยังบินเพลินไม่ยอมกลับเข้ามา เดือดร้อนคนรักของเจ้านายต้องออกไปตามอีกรอบมันเดินเตาะแตะมานอนซุกตัวข้างตัวบ้าน มิตินี้ไม่เคยถูกคนนอกรุกล้ำเข้ามาได้ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผู้บุกรุกเหล่านั้นก็จะต้องรับมือมันก่อน
ทันทีที่มันลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้ มันก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าการต่อสู้คือความสามารถและวิถีของมันทุกครั้งที่ฟักออกจากไข่ ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายคนก่อนจะหายไป ไม่ว่าความผูกพันธ์นั้นจะมีหรือไม่มี ก็จะถูกลบหายไปอย่างเท่าเทียมตั้งแต่ครั้งที่สามหรือสี่ที่รู้ตัวว่าเป็นแบบนั้น มันจึงใช้เวลากับเจ้านายใหม่เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อถูกปลุกขึ้นมา หลังถวายความภักดีให้ก็จะถูกใช้ไปสู้กับตัวอื่น ๆ บ้างก็แพ้บ้างก็ชนะ เคยถูกล่าม ถูกขัง และถูกเลี้ยงปล่อยเป็นอิสระด้วยเช่นกันการต้องจดจำเรื่องเหล่านั้นทุกครั้งที่ตื่นก็ดูเหนื่อยเกินไปจริง ๆ มันเริ่มรู้สึกเห็นด้วยที่ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายถูกลบหาย เห็นเป็นเพียงเงาร่างเลือนที่นึกไม่ออกทั้งชื่อและหน้าเจ้านายแต่ละคนปฏิบัติกับมันและมอบบทบาทให้มันไม่เหมือนกันคิดว่าครั้งต่อไปจะให้มันทำอะไรก็ไม่เกินความสามารถ แต่ก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าสัตว์อสูรในตำนานอย่างมันต้องมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กแกว้ก!"เสี่ยวฮั่วเล่นกับ ๆ อยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปรดน้ำแปลงสมุนไพร" วางทารกกับเด็กเล็กหนึ่งคนพิงตัวมันเสร็จก็เดินหนีไปยุคสมัยท
"เจ้าค่ะ!""เรื่องนั้นไม่ต้องพูดก็ได้" ซือหยวนจะตะครุบปากภรรยาเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่ทันฉินหลิวซีประติดประต่อเรื่องราว ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปในใจตัวเอง เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มพลางปรายตามองน้องชายร่วมสายเลือด"อย่างนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว"อยากให้ยุคนี้มีกล้องจริง ๆ เลยเชียวเพราะเหยื่อล้วนไปที่หอนางโลมนั้น สาเหตุการตายมาจากพิษ คนร้ายต้องเป็นคนใน หากจะหาเบาะแสก็ต้องแฝงตัวเข้าไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หอนางโลมนั้นผู้ชายจะเข้าไปได้ก็ในฐานะลูกค้า ไม่สามารถเป็นคนที่ทำงานในหอนั้นได้ ขอบเขตของเบาะที่หามาย่อมเจอทางตัน สุดท้ายก็ต้องปลอมตัวไปเป็นคนในเสียเองในฐานะสตรีผู้หนึ่ง ฉินหลิวซีทั้งรู้สึกแย่และรู้สึกดีกับเรื่องนี้ในคนละมุมมอง แต่มันเป็นที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว จะไปคิดมากก็ดูใช้พลังชีวิตเกินความจำเป็นดูจากตอนนี้ทั้งคู่ก็มีความสุขดี นางคงไม่ยื่นมือไปทำอะไรทั้งนั้น ตั้งใจว่าจะกลับมาเยี่ยมแต่โดนทำให้ตกใจเสียได้"พี่หญิงจะค้างที่นี่กี่วันหรือคะ ข้าจะให้คนจัดห้องให้""ไม่ต้องค้าง กลับไปเลย""พี่สาวเจ้ามาหาทำไมทำตัวแบบนี้ นางอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้า
เมื่อหลายปีก่อนมีสำนักคุ้มภัยเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมืองที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้มักไม่ค่อยมีขุนนางน้ำดีแวะเวียนมาเพราะหาประโยชน์กอบโกยไม่ได้แต่แล้วก็มีเซียนโอสถน้อยผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นที่นี่ นางกับน้องชายจากบ้านเกิดไปหลายปีเพื่อร่ำเรียนกับหมอเทวดา ครานั้นผู้คนในเมืองยังคิดกันอยู่เลยว่ามันไม่จริง เหมือนฝันอันห่างไกลที่เมืองแห่งนี้จะเจริญขึ้นได้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย เริ่มมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในที่ดินใกล้ที่ว่าการซึ่งปล่อยทิ้งร้าง มีร้านโอสถที่ขายยาหายาก เครื่องประทินโฉมอันเลื่องชื่อที่โด่งดังไปถึงต่างแดน"และคนที่เป็นเจ้าของสามในสี่อย่างที่ว่ามานี้ก็คือ ข้าเอง!"เสียงวางไหเหล้ากระแทกโต๊ะดังโครม ทุกคนเงียบกริบ เบนสายตาจากคนที่กำลังอวดอ้างตนเองมายังคนพเนจรร่างผอมบาง ผู้ที่มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายเพราะสวมผ้าคลุมและหมวกสานปิดหน้าอาไว้"อะไร จะหาเรื่องกันรึ?" ผู้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องเล่ามองเขม็งไม่สบอารมณ์"ได้ข่าวว่าสามสถานที่นั้นเป็นของเจ้าเพียงหนึ่งมิใช่รึ จะอ้างของใครก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยคุณชายฉิน" เสียง
หลี่ไป๋ได้ยินก็หูผึ่ง ต้องเป็นคนของบิดาเขาแน่ เวลาขนาดนี้ท่านแม่ก็น่าจะกลับมาจากออกล่าแล้วเช่นกัน แถมยังกำลังตามหาพวกเขาอยู่ หลี่ไป๋เริ่มมีความหวัง"ย้ายที่กันก่อน รีบพาสินค้าไปจุดรับของ" แม้จะร้อนใจจากเรื่องที่พึ่งได้ยินแต่หัวหน้าคนชั่วก็สั่งด้วยความใจเย็นหลี่ไป๋ขมวดคิ้ว พวกนั้นรีบร้อนแบบนี้ที่นี่คงอยู่ใกล้ ๆ เมือง เขาต้องหาทางถ่วงเวลา"เสี่ยวหนิง" เขากระซิบเรียกน้องสาวที่ยังนอนกลิ้งหนีความจริงไม่เลิก"หือ?" เชือกมัดปากก็ไม่ยอมแกะทำเป็นเล่นจริง ๆ ให้ตายสิแต่ก็ดีกว่านางร้องไห้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้หูแตกแน่ แถมเหมืองยังจะถล่มแน่นอนอีกด้วย"ช่วยพี่ชายหน่อยสิ เดี๋ยวซื้อเปาจื่อให้สามลูก"พอเอาของกินมาล่อนางก็พยักหน้าทันทีพวกมันขนสัมภาระขึ้นเกวียนอย่างรวดเร็วแล้วออกเดินทางจากเมือง ผ่านอุโมงค์ทอดยาวจนมาถึงด้านนอกในที่สุด ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้วท้องฟ้าจึงเริ่มเปลี่ยนเวลาที่ใช้ไปกว่าจะออกมาข้างนอกไม่นาน หมายความว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้ลึกอย่างที่คิดหลี่หวานหนิงมองหน้าพี่ชาย พออีกฝ่ายพยักหน้านางก็กรีดร้องเสียงดัง"กร
"สามีที่รัก…การกลับมาอย่างรีบร้อนของข้าเหมือนจะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีเท่าไรเลยนะ"เหนืออาคารของหอกระจายข่าวคล้ายมีเมฆครึ้มทั้งที่ท้องฟ้าส่วนอื่นยังแจ่มใสถ้าไม่นับนายท่านที่พึ่งกลับมาได้จังหวะพอดิบพอดีคนอื่น ๆ ล้วนกำลังตามหาร่องรอยคนร้าย หัวหน้าหอแห่งอวิ๋นซีจึงเป็นผู้ร่วมชะตากรรมหนึ่งเดียวที่ต้องมานั่งคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าฮูหยินอยู่ตอนนี้แต่เป็นใครมาอยู่ตรงนี้เฟยหลางก็คิดว่ายอมศิโรราบกันหมดตั้งแต่นางเดินเข้ามาประตูมาอยู่ดี ลองเห็นภาพนางลากคอไก่ฟ้าตัวขนาดพอ ๆ หงส์แดงเพลิงเข้ามาใครจะไม่ผวาบ้างหลี่เจิ้นหัวหน้าซีดตัวหดเหลือสองชุ่น"ยะ ยอดรักจ๋า""ไม่เคยเห็นในเมืองวุ่นวายขนาดนี้ แถมยังเป็นคนของหอกระจายข่าวอีก คิดว่าจะปิดบังได้หรือไง""ก็…ไม่หรอก แต่ข้าอยากรีบหาตัวให้เจอก่อนเจ้ามา"ก่อนมาถึงอาคารนี้นางก็จับคนมาถามความแล้วจึงรู้เรื่อง ไม่ได้แปลกใจอะไร ปญหามันอยู่ต่อจากนี้ต่างหากฉินหลิวซีเอาอาวุธคู่กายทั้งสองออกมา โยนงานจิปาถะให้คนอื่นทำ"ไก่ฟ้านี่ฝากชำแหละหน่อย เดี๋ยวข้ากลับมา"ว่าแล้วก็โดดออกทางหน้าต่างข
"โฮ่ คุณหนูน้อยสองคนคุยเรื่องรูปสลักในร้านยายกันใหญ่เชียว ทำไมไม่เลือกมันเล่า""น้องข้ามีเยอะแล้ว ให้นางเท่านี้ก็พอขอรับ" หลี่ไป๋ตอบกลับอย่างสุภาพ หญิงชราเจ้าของร้านงึมงำอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่เข้าใจหลี่ไป๋เอาถุงเงินออกมาเตรียม แต่ลืมไปว่าฝากไว้ที่เฟยหลาง"พี่เฟย - ""ขอรับคุณชาย…คุณชาย?"เฟยหลางหันซ้ายหันขวา รอบตัวเขาไม่มีใครอยู่เลย แต่เมื่อครู่มั่นใจว่าคุณชายน้อยเรียกเขาแน่ ๆ ร้านแผงลอยก็ปราศจากเจ้าของ เฟยหลางหน้าซีด"ซวยแล้ว…"หลี่หวานหนิงร้องอู้อี้เพราะถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ ที่ปากก็มีเชือกผูกไม่ให้ส่งเสียง เพียงพริบตาเดียวที่สายตาหลุดจากหญิงชราตรงหน้าไป พวกเขาก็ถูกพามาที่ไหนสักแห่งด้วยยันต์เคลื่อนย้าย ทันทีที่ร่วงกระแทกพื้นพวกมันก็กรูกันเข้ามาจับมัดทันที แต่เพราะเห็นเป็นเด็กจึงไม่ได้มัดแน่นหนาอะไรหลี่หวานหนิงกระดึ๊บซ้ายทีขวาทีราวกับหนอนยักษ์ นางค่อนจะ…ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกินไปสำหรับเด็กที่ถูกขโมยตัวมา แต่จะว่านางก็เหมือนถ่มน้ำลายใส่หน้าตัวเอง เพราะคนที่สงบนิ่งยิ่งกว่าใครก็คือหลี่ไป๋เองนอกจากพวกเ
"หมายความว่าอย่างไรโดนลักพาตัว!""ขออภัยขอรับนายท่าน ข้าคลาดสายตาไปเพียงนิดเดียวพวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว"หลี่เจิ้นหัวตะโกนเสียงดัง "คิดว่าข้ออ้างแบบนั้นจะแก้ตัวขึ้นหรือไง รีบไปตามหาเดี๋ยวนี้เลย!"คนของหอกระจายข่าวสาขาประจำเมืองกระจายกำลังกันไปอย่างรวดเร็ว จะมีอะไรเป็นเรื่องเร่งด่วนไปกว่าเรื่องที่บุตรทั้งสองของนายท่านหายตัวไป แถมยังเป็นความสะเพร่าซึ่งเกิดขึ้นตอนฮูหยินไม่อยู่ หากจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยไม่ได้ ไม่แน่ว่าสิ่งที่อยู่ในหม้อต้มยาจะไม่ใช่วัตถุดิบสมุนไพรแต่เป็นกระดูกพวกเขาต่างหากเด็กเก้าขวบกับห้าขวบตัวไม่ใช่เล็ก ๆ จะหายไปทันทีได้อย่างไร อีกทั้งดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เพียงการเล่นสนุกของเด็ก ๆ คนที่ทำเรื่องอย่างนี้ต้องมีมากกว่าสอง หรืออาจจะทำกันเป็นกลุ่มใหญ่เลยก็ได้ ต้องรีบหาให้เจอภายใต้เงาของเมืองอันเงียบสงบคนของหอกระจายข่าวกำลังเคลื่อนไหว เกิดเรื่องที่ไหนไม่เกิดมาเกิดที่เมืองพวกเขาเสียได้ สาขาของหอกระจายข่าวมีตั้งมากดันเลือกมาเกิดที่เมืองที่สงบสุขที่สุดในแคว้นช่างน่าเวทนาผู้ไม่ประสงค์ดีกลุ่มนั้นเหลือเกิน…หลี่เจิ้นหั
นายท่านหอชิงขุยจัดการแยกงานที่ต้องทำด่วนจะทำทีหลังได้ออกจากกันเป็นสองกอง พอไม่ได้เข้ามาที่หอนานแบบนี้งานก็กองสุมการจนล้นมือไปหมด พอมีลูกสองคนแล้วเขาก็ยิ่งขยันทำงานมากขึ้นคงต้องเข้ามาที่หอชิงขุยบ่อยกว่านี้แล้วล่ะ"ฉินหลิวซีไม่อยู่แบบนี้คือช่วงเวลาพิสูจน์ฝีมือสินะ"เมื่อนางกลับมาจะต้องภูมิใจในตัวสามีร่วมงานคนนี้ ที่เขาเลี้ยงลูกได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง คิดแล้วก็เผลอยิ้มออกมา"ท่านพ่อ ทำหน้าตาพิลึกจัง""พิลึก!" พอโดนเด็กทักแบบนี้ทำเอาใจแป้วเลยทีเดียว นี่เขายิ้มแล้วหน้าตาพิลึกหรอกหรือ"หรือจริง ๆ แล้วข้าไม่ได้รูปงาม แต่หน้าตาแปลกพิสดาร?"ท่านแม่ รีบกลับมาทีขอรับ"เสี่ยวไป๋…ทำไมมองพ่อด้วยสายตาเย็นชาแบบนั้นล่ะลูก"คำถามของเขาไม่ได้รับคำตอบ บุตรชายเอียงคอมองหน้างง ๆ คล้ายไม่เข้าใจ ทำให้ยิ่งเกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่าหรือจริง ๆ แล้วเขาเอง เป็นเขาเองที่แปลก"อ้ะ แต่ถ้านางชอบ แปลกก็ดีแล้วนี่นา"ท่านแม่…ไม่รู้ด้วยเหตุใดแต่บุตรคนแรกของเขาดูจะมีความคิดที่โตเกินวัยไปสักหน่อย รวมถึงคำพูดคำจาที่เด็กวัยเดียวกันไม่น่าคิด