จนวันนี้อาหารของนางต่อหน้าครอบครัวก็ยังมีแต่แผ่นแป้งแห้ง ๆ ในแต่ละวันนางจะพาน้องชายเข้าป่าเพื่อหาของกิน สองสามวันมานี้มารดาชอบถามพวกนางว่าไปเล่นกับใครที่ไหน ไม่รู้ว่าด้วยความเป็นห่วงเพียงอย่างเดียวหรืออยากรู้อยากเห็นเรื่องของลูกด้วยกันแน่ แต่เพื่อไม่ให้ระแคะระคายไปมากกว่านี้ ฉินหลิวซีจึงไม่ได้พาน้องชายออกไปอีก แล้วอีกปัญหาหนึ่งที่ตามมาก็คือท่านย่าเริ่มระแคะระคายที่มีฟืนหายไปวันละสี่ห้าท่อนจึงอยู่บ้านเพื่อหาทางจับผิด
วันนี้นางตามมารดาออกมาซักผ้า หลังจากช่วยจนผ้าใกล้หมดตะกร้าแล้วนางก็ทำทีขอไปเดินเล่น ผู้เป็นแม่เห็นว่านางช่วยซักผ้าจนมือเปื่อยมือเย็นจึงพยักหน้าอนุญาต หากผ้าไม่ใช่ตะกร้าใหญ่อย่างวันนี้นางทำคนเดียวก็ได้ แต่เมื่อไหร่ที่ได้ผ้ามาจนล้น นางทำจนเย็นก็ยังซักไม่เสร็จบุตรสาวจึงต้องมาช่วย ฉินหลิวซีมุดเข้าไปหลังม่านเถาวัลย์เหมือนครั้งก่อน โชคดีที่นางตัวเล็กจึงไม่มีปัญหา แต่หากโตไปกว่านี้คงต้องมองหาที่ลับตาคนใหม่แล้ว เด็กหญิงเข้าไปในห้วงมิติของตน นางยังไม่มีเวลาสำรวจกระท่อมนี้เลยจนกระทั่งวันนี้ หลังจากเข้ามาได้นางก็เริ่มทำการสำรวจภายในกระท่อม ด้านในกระท่อมมีตั่งไม้ยกสูงขึ้นมาสำหรับเป็นที่นอนมีชั้นวางของ โต๊ะและเก้าอี้หนึ่งชุด บนชั้นวางยังมีหนังสือจำนวนหนึ่งวางกอง ๆ กันไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ หลังจากหยิบหนังสือพวกนั้นขึ้นมาดูดวงตาของนางก็เบิกกว้าง ด้านในเขียนวิธีการฝึกฝนวิชาเพื่อเลื่อนระดับพลังปราณเอาไว้ หมายความว่านางมีหนทางที่จะเก่งกาจมากขึ้นไปกว่านี้ เด็กหญิงยกยิ้มอย่างพอใจ ไม่เสียแรงที่นางสู้อุตส่าห์อดทนพยายามมาตั้งนาน ฉินหลิวซีจดจำวิธีการฝึกขั้นแรกเอาไว้ในหัว ท่องจำไว้ขึ้นใจแล้วเริ่มสำรวจกระท่อมส่วนอื่น ๆ ต่อ นางใช้เวลาไม่นานก่อนจะกลับออกมา เพราะกลัวมารดาผิดสังเกต เย็นวันนั้นนางก็ช่วยมารดายกผ้ากลับบ้านเหมือนทุกครั้ง ไม่ซักชุดก็เป็นม่าน เป็นพรม เป็นฟูก วน ๆ อยู่ไม่กี่อย่าง ไม่รู้บ้านใหญ่จะอยากกลั่นแกล้งอะไรนักหนา ทั่วทั้งแคว้นนี้คงมีแต่ครอบครัวนางที่มีผ้าให้ซักเกือบทุกวัน “วันนี้กลับมาเสียเย็นเลยนะ ผ้ามันจะสักกี่ผืนถึงใช้เวลานานนัก” “ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าของท่านป้าส่วนใหญ่เลยนะเจ้าคะ” ฉินหลิวซีพูดขึ้นทันควัน “หลิวเอ๋อร์” มารดาเรียกชื่อนางเป็นการเอ่ยปรามไม่ให้ต่อปากต่อคำกลับไป “สั่งสอนลูกอย่างไรเถียงคำไม่ตกฟาก” ป้าสะใภ้พูดเสียงฮึดฮัดแล้วก็เดินไป ชิวย่าหนานมองบุตรสาวอย่างนึกสงสัย เมื่อครู่นางตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่ แต่ไม่เคยเห็นบุตรสาวต่อปากต่อคำกับผู้ใหญ่เช่นนี้มาก่อน ชิวย่าหนานยืนเหม่อจนกระทั่งบุตรสาวเดินนำไปไกลจึงค่อยได้สติกลับมา นางเดินตามหลังลูกมาจนถึงห้องเก็บผ้าก็จัดการพับใส่ชั้นไว้แม้จะอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว แต่เมื่อมีสายตาท่านย่าจับตาดูอยู่นางจึงทำอะไรไม่สะดวกนัก ฉินหลิวซีทำทีพาน้องชายมานอนพักกลางวัน ส่วนตัวเองแอบเข้าไปในมิติและฝึกซ้อมเพื่อเลื่อนขั้นระดับพลัง
พออยู่ในห้องกันตลอด คนเป็นย่าก็ไม่ได้สงสัยในตัวพวกนางมากนัก สตรีผู้นั้นเป็นคนตระหนี่ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ต้องจับผิดให้ได้ แล้วยิ่งมารดาของนางที่เป็นคนหัวอ่อนไม่ชอบมีปากเสียง ฉินหลิวซีคนใหม่จึงค่อนข้างรู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่นางก็เข้าใจว่าสภาพแวดล้อมบีบบังคับจึงไม่ได้กล่าวโทษครอบครัวของตน ถึงแม้นางจะไม่พอใจอยู่บ้างก็ตาม ตามที่ในคัมภีร์บอกมา ขั้นที่หนึ่งเป็นขั้นก่อเกิด เป็นก้าวแรกของการฝึกฝนที่หากนางเข้าใจก็จะไปถึงขั้น อื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น ฉินหลิวซีใช้เวลาครึ่งวันทำความเข้าใจการโคจรของปราณในร่าง และเริ่มลงมือปฏิบัติจริง เพราะใช้เวลาทำความเข้าใจเงื่อนไขนานไปหน่อย วันนี้การฝึกของนางจึงไม่คืบหน้าเท่าไรนัก กว่าจะออกมาจากมิติก็เป็นเวลาเกือบเย็นแล้ว โชคดีที่ไม่มีใครกลับมาระหว่างวัน ฉินซือหยวนเห็นพี่สาวชอบทำตัวประหลาดตั้งแต่วันที่พาเขาออกไปข้างนอก และเด็กชายรู้ว่านั่นมีความเกี่ยวข้องกับการที่ทำให้เขาได้กินปลาหรือผลไม้ ได้กินอะไรที่มากกว่าแผ่นแป้งแข็ง ๆ เด็กชายวัยสามขวบจึงตัดสินใจที่จะไม่บอกกล่าวความพิเศษนี้ออกไปหากพี่สาวไม่สั่ง ด้วยความเฉลียวฉลาดฉินซือหยวนจึงรู้แน่ชัดว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่จะได้กิน แต่ก็เป็นส่วนใหญ่ เขาจึงไม่เรื่องมากและรอคอยเป็นเด็กดี วันต่อ ๆ มาหากพอมีเวลาว่างฉินหลิวซีก็จะแอบเข้าไปในมิติเพื่อฝึกฝน จนปัจจุบันนี้นางได้เลื่อนขั้นก่อเกิดเป็นปรานขั้นที่สามแล้ว หัวใจเด็กหญิงพองโต รับรู้ได้เลยว่าร่างกายของฉินหลิวซีมีพรสวรรค์ในการฝึกตนเป็นอย่างมาก หลังจากเลื่อนขั้นปราณสำเร็จนางก็เดินยิ้มออกมาจากมิติ “อยากลองดีกับข้างั้นเรอะ!” ทั้งนางทั้งน้องชายพากันสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นมาไม่ทันตั้งตัว พึ่งออกมาก็เจอเรื่องอะไรอีกแล้วเนี่ยฉินหลิวซีแง้มประตูยื่นหน้าออกไป ห้องนอนของนางอยู่ไม่ห่างจากห้องใช้งานส่วนอื่น ๆ ของบ้านเท่าไรนัก จึงได้ยินเสียงป้ากับมารดาพูดคุยกันชัดเจน“ผ้า เป็นหน้าที่ของเจ้าต้องซัก ทำไมจึงไม่ยอมเอาเสื้อผ้าของข้าไปซัก!”“แต่พี่หญิงไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาให้ข้านี่เจ้าคะ”“ไม่ได้เอามาก็ไม่รู้จักถามอย่างนั้นหรือ เป็นหน้าที่ของเจ้าแท้ ๆ”ชิวย่าหนานถูกตะคอกใส่ก็ยิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสู้ ที่ตรงนั้นยังมีท่านย่าของนางอีกคนที่ยืนอยู่ด้วย อยู่ต่อหน้าแม่สามีชิวย่าหนานยิ่งไม่กล้ามีปากมีเสียง เพราะรู้ว่าแม่สามีไม่ชอบตนเป็นทุนเดิม“ท่านแม่ดูสิเจ้าคะ นางไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง” ป้าสะใภ้เดินเข้าไปเอาอกเอาใจท่านย่าเขา บีบนวดไปพลาง ฟ้องเรื่องมารดาของนางไปด้วยประจบประแจงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ขั้นเซียนเลยนะนั่น“ท่านแม่ คนแบบนี้เลี้ยงไปก็เสียข้าวสุก หน้าที่ตัวเองไม่ยอมทำ ต้องให้คอยสั่งอยู่ตลอดทั้ง ๆ ที่ทำมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เย็นนี้ไม่ต้องทำอาหารสำหรับพวกนางหรอกเจ้าค่ะ”“เดี๋ยวสิเจ้าคะ&rd
“ท่านแม่ทำงานหนัก ซักผ้าเกือบทุกวัน ไม่เสื้อผ้าก็เป็นที่นอนปลอกหมอนมุ้ง ไม่มีวันไหนที่นางได้หยุดพัก ข้าเห็นพี่น้องบ้านใหญ่อาหารการกินมีเนื้อไข่ ข้ากับน้องได้กินแต่แผ่นแป้งแข็ง ๆ ทั้งที่ข้าก็ทำงาน น้องก็ทำงานจะเล็กน้อยอย่างไรก็ทำ ท่านพ่อไม่รู้สึกว่าแปลกหรือเจ้าคะ”เด็กหญิงทำหน้าตาใสซื่อตั้งคำถามเหมือนไม่รู้ความหมายจริง ๆ ดวงตากลมโตบริสุทธิ์จ้องมองไปยังบุรุษตรงหน้า“ข้าน้อยใจเหลือเกินเจ้าค่ะ วันนี้ท่านแม่ก็จะเอาผ้าไปซักตามปกติ แต่ท่านป้าไม่ยอมเอาผ้าของนางมาให้ กลายเป็นว่าท่านแม่ของข้าเป็นคนผิด หรือนี่เป็นความถูกต้องเจ้าคะ”ยิ่งฟังบุตรสาวพูด ผู้เป็นพ่อยิ่งรู้สึกหนักอึ้งในใจมีความไม่พอใจคุกรุ่นอยู่ในนั้น“ท่านพ่อเจ้าคะ หากวันนี้ข้าไม่เชื่อฟัง ข้าไม่ไปซักผ้า ไม่ทำอย่างที่ข้าเคยทำ ท่านจะผิดหวังในตัวข้าหรือไม่”นางกล่าวถามเสียงใส ปั้นหน้าดุจเทพธิดาตัวน้อยนั่นทำให้ฉินก่วงนึกย้อนไปถึงวัยเด็กของตัวเองขึ้นมา เขาเคยเชื่อว่าหากทำตามที่มารดาบอก นางก็จะรักเขาบ้าง ตั้งแต่เกิดมามีเพียงบิดาให้ความอบอุ่น&n
“ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้าเจอต้นพลับด้วย ตากผ้าแล้วข้าจะไปหามาให้ท่านนะเจ้าคะ”“ต้นพลับหรือ ไปเจอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”“ก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นในป่าบังเอิญเจอเข้าน่ะเจ้าค่ะ” นางบอกไม่ได้หรอกว่า พาน้องชายมาเล่นแถวนี้ ไม่อย่างนั้นคงโดนซักไซ้มากกว่านี้เป็นแน่หลังจากนำผ้าขึ้นตากจนหมดแล้ว ชิวย่าหนานก็ได้พักหายใจหายคอบ้าง นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาเดียวที่นางได้พักผ่อนนอกจากตอนนอน เมื่อมีเวลาผ่อนคลายฉินหลิวซีก็รีบมาบีบนวดให้มารดา เอาอกเอาใจสารพัดให้รู้สึกสบายเวลาที่ได้พักผ่อนจริง ๆก่อนหน้านี้ชิวย่าหนานไม่เคยถูกทำแบบนี้ให้ทั้งประหลาดใจและเข้าใจเวลาเดียวกัน นางยอมเออออตามใจลูกไม่เอาผ้าของบ้านใหญ่มานอกจากของพ่อแม่สามี คิดดูแล้วนี่อาจเป็นผลดีกว่าที่คิดก็ได้เมื่อผึ่งลมผึ่งแดดจนแห้งแล้วก็ได้เวลากลับชิวย่าหนานรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยที่ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับคนในบ้าน รู้สึกได้เลยว่าจะต้องโดนต่อว่าอย่างหนักแน่พอคิดถึงตอนนั้นตัวก็สั่นขึ้นมา สีหน้าของนางดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด กระทั่ง
นับแต่นั้นฉินหลิวซีก็ยืนกรานจะไม่ยอมให้นางกับมารดาซักผ้าให้ครอบครัวฝั่งพี่น้องของบิดาอีก ทะเลาะกันทุกวันจนทำลายความสงบสิ้น ปู่ฉินทนไม่ไหวจึงสั่งให้ครอบครัวแต่ละบ้านรับผิดชอบซักเสื้อผ้าของตัวเองแต่ชิวย่าหนานยังต้องดูแลเสื้อผ้าของปู่กับย่าอยู่ฉินเสี่ยวหรานรับรู้เช่นนี้ก็รู้สึกไม่พอใจมาก ไม่เคยมีอะไรที่นางอยากได้แล้วไม่ได้ ท่านพ่อท่านแม่รักและเอ็นดูนางที่สุด ทำไมซักผ้าแค่นี้นางยังต้องมาทำเอง บ้านพี่รองทำมาตั้งกี่ปี ทำไมจะมาล้มเลิกเอาตอนนี้หญิงสาววัยสิบหกปีผู้นี้มีพี่ชายฝาแฝดที่กำลังสอบบัณฑิต เพราะเป็นลูกคนเล็กปู่กับย่าของฉินหลิวซีจึงค่อนข้างตามใจ ขออะไรไม่เคยมีที่ไม่ได้ ถึงไม่ได้ก็จะเอามาให้ได้ในภายหลัง หลังได้ยินบิดาว่าเช่นนั้นก็ฮึดฮัดไม่พอใจ แต่ในเมื่อบิดาตัดสินใจมาแล้วนางก็ทำอะไรไม่ได้ฉินเสี่ยวหรานเลือกจะไปหาพี่สะใภ้สามแทนแฝดหญิงคนที่สี่ของบ้านอายุสิบหกปีแล้ว หญิงสาวกำลังมองหาชายหนุ่มที่คู่ควรมาแต่งงานด้วย“เถอะนะเจ้าคะพี่สะใภ้ ข้างดงามออกปานนี้ต้องมีชายผู้ดีมาขอแต่งด้วยแน่ แค่พี่สะใภ้อดใจรอหน่อย ข้านี้จะไม่ลืมน้ำใจท
“ไก่ป่าของข้าล่ะเจ้าคะ” ฉินหลิวซีถามขึ้นทันทีทุกคนที่กำลังจะเริ่มกินมื้อเย็นพากันชะงักค้าง เป็นย่าฉินที่ถามแทน“ไก่ของเจ้าทำไมหรือ”“เมื่อวานนี้บ้านท่านลุงหาเนื้อมาได้ก็ได้ส่วนแบ่งไม่ใช่หรือเจ้าคะ”“ก็เพราะเป็นบ้านท่านลุงไงเล่า”ฉินหลิวซีกำตะเกียบแน่น นางข่มอารมณ์ที่ใกล้จะระเบิดเต็มทีเอาไว้ก่อน แล้วตั้งหน้าตั้งตากินมื้อเย็นต่อให้จบ ๆ ไป เมื่อไม่เห็นหลานสาวคนนี้ถามอะไรอีกก็ไม่มีใครสนใจนาง มีแต่พ่อกับแม่ที่ลอบมองท่าทีของฉินหลิวซีเป็นระยะเมื่อกลับมาถึงห้องเด็กหญิงก็แบ่งเนื้อไก่ป่าที่ย่างเก็บไว้น้องชายกิน ฉินซือหยวนเห็นดังนั้นก็เชื่อว่าพี่สาวทำอะไรน่าทึ่งอีกแล้ว เขารับเนื้อไก่ป่ามากินโดยไม่พูดสักคำ มีแต่ดวงตากลมโตนั่นที่มองนางอย่างนับถือฉินหลิวซีลูบศีรษะน้องชายด้วยความเอ็นดูเพราะเขาตัวเล็กมากจึงได้แต่เล่นอยู่ในห้องเท่านั้น ออกไปก็โดนเด็กคนอื่นกลั้นแกล้ง จึงได้แต่อยู่ในห้องอย่างเชื่อฟังแต่ถ้าวันไหนพี่สาวพาเขาออกไปข้างนอกด้วยจะตื่นเต้นดีใจมาก ๆเมื่อรู้ว่าต่อให้นำ
เมื่อเข้าไปมองใกล้ ๆ จึงรู้ว่าเป็นสมุนไพรวิญญาณ รูปร่างภายนอกเหมือนหญ้าทั่วไป คนธรรมดาที่ไม่มีพลังยุทธ์จะมองเห็นเป็นแค่หญ้าไร้ประโยชน์ แต่สิ่งนี้มีบอกอยู่ในคัมภีร์ฝึกฝนของนาง นับเป็นโชคดี สมุนไพรชนิดนี้เมื่อกินเข้าไปจะเพิ่มพลังวิญญาณได้อย่างก้าวกระโดดฉินหลิวซีแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความสุขใจพบต้นแบบนี้นางสามารถเก็บเข้าไปปลูกในมิติเพิ่มได้ทั้งราก ถือเป็นลาภโดยแท้เมื่อได้ของที่คาดไม่ถึงมาไว้ในมือ นางก็อารมณ์ดี เด็กหญิงเปลี่ยนทิศทางเดินไปยังแม่น้ำพลางหันมองน้องชายไปด้วย เมื่อใดก็ตามที่พอมีเวลาว่างหรือคนในบ้านหลับสนิทจนหมดแล้ว นางจะเข้าไปในมิติพิเศษของตนเอง และทำการต่อเติมมัน จนตอนนี้สามารถสร้างบ่อปลาข้างน้ำพุวิญญาณให้เป็นรูปเป็นร่างอย่างสวยงามได้แล้วอีกอย่างคือแม้จะรู้ว่าเป็นน้ำพุวิญญาณที่แสนวิเศษ แต่นางก็ทำใจดื่มน้ำคาวปลาในสระเดียวกันไม่ได้จริง ๆหลังจากต้อนปลาเข้าไปในสระได้หลายตัว นางก็หันไปมองน้องชายอีกหนทำแบบนี้ไม่สะดวกกับข้าเท่าไรเลย เอาเถอะ อย่างไรน้องชายข้าก็เป็นคนรู้ความเมื่อตัดสินใจบางอย่างได้นางก็เดินไปหาฉินซือหยวน
ฉินหลิวซีนำปลาย่างห่อใบไม้ซ่อนไว้ในห้องนอนรอกินหลังมื้อเย็น อาหารวันนั้นก็ยังคงเป็นน้ำแกงที่แสนคุ้นเคย แต่นางกับน้องแอบกินมาก่อนแล้วจึงไม่แสดงอาการไม่พอใจออกมาเหมือนครั้งก่อน เด็กหญิงรอจนพ่อกับแม่ทำงานบ้านเสร็จ เมื่อพวกเขากลับเข้ามาในห้องก็ยื่นห่อปลาที่เก็บไว้ให้ชิวย่าหนานยืนนิ่งทันทีหลังเปิดออกมาเห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างใน เมื่อวานยังพอเข้าใจได้ว่า นางจับไก่ป่าได้อาจจะแอบเก็บจากห้องครัวมาไว้ชิ้นสองชิ้นระหว่างที่ยังไม่ถูกนำจัดใส่สำรับ แต่วันนี้เป็นเนื้อปลาแล้วมันมาได้อย่างไร“เจ้าเอาของพวกนี้มาจากไหน” มารดาถาม ผู้เป็นบิดาก็สงสัยเช่นกันฉินหลิวซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบตามจริง “เอามาจากป่าเจ้าค่ะ”ทั้งพ่อทั้งแม่พากันเบิกตากว้าง ชิวย่าหนานรีบสั่งห้ามทันที“ห้ามเข้าไปอีกนะ ที่อันตรายอย่างนั้นเด็กเล็ก ๆ จะเข้าไปลำพังได้อย่างไร”ฉินหลิวซียืนฟังมารดาบ่นจนจบโดยไม่ตอบโต้ แต่ก็หาได้คิดทำตาม ถ้าเป็นเด็กจริง ๆ เด็กธรรมดาก็เห็นควรให้เป็นไปเช่นนั้น เพราะในป่าไม่ใช่ที่ที่เด็ก ๆ ควรจะไปอยู่แต่บังเอิญข้า
เรื่องที่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาเก็บของป่าที่นี่ เพราะคิดว่าหาของที่มีประโยชน์ต่อปากท้องไม่ค่อยได้แล้ว ก็ทำให้ช่วงเวลาที่มนุษย์ห่างหายไปนั้นทำให้ผืนป่าได้ฟื้นฟูตนเอง และมีสัตว์บางฝูงมาอาศัย วันนี้ฉินหลิวซีจึงโชคดีพบไก่ป่าฝูงหนึ่งชิวหลานตามมาดูแลหลานทั้งสองก็ไม่คิดว่าจะได้พบฝูงไก่ป่าเข้าจริง ๆ“เจ้าจะจับมันหรือ” นางมองเด็กหญิงห้าขวบอย่างไม่อยากเชื่อสายตา พี่สาวของนางเลี้ยงลูกด้วยอะไร ทำไมจึงมีความคิดโตกว่าวัยได้ขนาดนี้ นึกไปถึงตอนนางห้าขวบยังต้อนไก่ไม่เป็นด้วยซ้ำนางพยักหน้าให้น้าหญิงเล็ก ฝากน้องชายไว้กับคนโตกว่าส่วนตัวเองก็เดินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่งที่ฝูงไก่อยู่ ไก่ป่าวิ่งเร็วกว่าไก่บ้านต้องหาจังหวะจับให้ดี ทว่าก็ไม่เป็นไปตามใจหวังเมื่อวิ่งวนมาระยะหนึ่งแล้วนางก็ยังจับไก่ไม่ได้สักตัวครั้งก่อนนางคงโชคดีที่จับได้ง่ายแถมได้มาตั้งสองตัว พละกำลังกายของเด็กวัยนี้ไม่สู้ตอนนางเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉินหลิวซีเริ่มหงุดหงิดจึงแอบใช้พลังปราณเพิ่มความเร็วให้ตัวเอง ความเร็วที่เพิ่มขึ้นมากะทันหันทำให้น้าหญิงเล็กที่มองดูนางอยู่รู้สึกทึ่งมาก หลังจากนั้นฉินหลิวซีก็
"ท่านแม่ทำยา""อุ๊บ! ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษด้วยนะ แต่แม่ไม่ได้เป็นกระต่ายหรอก" ฉินหลิวซีขำพรืดก่อนเอี้ยวตัวมาลูบศีรษะบุตรชายด้วยความเอ็นดู"ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เสี่ยวไป๋สามารถเป็นได้ทุกอย่างที่ลูกอยากเป็นเลย จะเป็นกระต่ายหรือดวงดาวก็ได้ แม้จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็อย่าได้ทิ้งสิ่งนี้ที่อยู่ในใจของลูกไปเลยนะ"เมื่อการเติบโตทำให้ความรับผิดชอบมากขึ้น ความสุขที่ไขว่คว้าได้ก็น้อยลง ต้องยอมปล่อยมือจากสิ่งที่รักและหวงแหน ต้องสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่อาจไม่ปรารถนาแต่จำเป็นต้องมี วัฏจักรของมนุษย์ดำเนินไปเช่นนั้นฉินหลิวซีปรารถนาให้ลูกของตนไม่ถูกกลืนกินจากมัน แต่สุดท้ายก็คงไม่มีใครรอดพ้นอยู่ดี ดังนั้นก็จงทนุถนอมเอาไว้ให้ยาวนานเท่าที่ได้เถิดหลังจากบินเล่นจนพอใจแล้วหงส์แดงเพลิงก็ร่อนลงตรงที่กว้างสักแห่ง เจ้านายเปิดมิติให้ทุกคนก็เข้าไปพักผ่อน แต่เจ้าตัวสีทองนั่นยังบินเพลินไม่ยอมกลับเข้ามา เดือดร้อนคนรักของเจ้านายต้องออกไปตามอีกรอบมันเดินเตาะแตะมานอนซุกตัวข้างตัวบ้าน มิตินี้ไม่เคยถูกคนนอกรุกล้ำเข้ามาได้ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผู้บุกรุกเหล่านั้นก็จะต้องรับมือมันก่อน
ทันทีที่มันลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้ มันก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าการต่อสู้คือความสามารถและวิถีของมันทุกครั้งที่ฟักออกจากไข่ ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายคนก่อนจะหายไป ไม่ว่าความผูกพันธ์นั้นจะมีหรือไม่มี ก็จะถูกลบหายไปอย่างเท่าเทียมตั้งแต่ครั้งที่สามหรือสี่ที่รู้ตัวว่าเป็นแบบนั้น มันจึงใช้เวลากับเจ้านายใหม่เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อถูกปลุกขึ้นมา หลังถวายความภักดีให้ก็จะถูกใช้ไปสู้กับตัวอื่น ๆ บ้างก็แพ้บ้างก็ชนะ เคยถูกล่าม ถูกขัง และถูกเลี้ยงปล่อยเป็นอิสระด้วยเช่นกันการต้องจดจำเรื่องเหล่านั้นทุกครั้งที่ตื่นก็ดูเหนื่อยเกินไปจริง ๆ มันเริ่มรู้สึกเห็นด้วยที่ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายถูกลบหาย เห็นเป็นเพียงเงาร่างเลือนที่นึกไม่ออกทั้งชื่อและหน้าเจ้านายแต่ละคนปฏิบัติกับมันและมอบบทบาทให้มันไม่เหมือนกันคิดว่าครั้งต่อไปจะให้มันทำอะไรก็ไม่เกินความสามารถ แต่ก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าสัตว์อสูรในตำนานอย่างมันต้องมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กแกว้ก!"เสี่ยวฮั่วเล่นกับ ๆ อยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปรดน้ำแปลงสมุนไพร" วางทารกกับเด็กเล็กหนึ่งคนพิงตัวมันเสร็จก็เดินหนีไปยุคสมัยท
"เจ้าค่ะ!""เรื่องนั้นไม่ต้องพูดก็ได้" ซือหยวนจะตะครุบปากภรรยาเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่ทันฉินหลิวซีประติดประต่อเรื่องราว ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปในใจตัวเอง เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มพลางปรายตามองน้องชายร่วมสายเลือด"อย่างนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว"อยากให้ยุคนี้มีกล้องจริง ๆ เลยเชียวเพราะเหยื่อล้วนไปที่หอนางโลมนั้น สาเหตุการตายมาจากพิษ คนร้ายต้องเป็นคนใน หากจะหาเบาะแสก็ต้องแฝงตัวเข้าไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หอนางโลมนั้นผู้ชายจะเข้าไปได้ก็ในฐานะลูกค้า ไม่สามารถเป็นคนที่ทำงานในหอนั้นได้ ขอบเขตของเบาะที่หามาย่อมเจอทางตัน สุดท้ายก็ต้องปลอมตัวไปเป็นคนในเสียเองในฐานะสตรีผู้หนึ่ง ฉินหลิวซีทั้งรู้สึกแย่และรู้สึกดีกับเรื่องนี้ในคนละมุมมอง แต่มันเป็นที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว จะไปคิดมากก็ดูใช้พลังชีวิตเกินความจำเป็นดูจากตอนนี้ทั้งคู่ก็มีความสุขดี นางคงไม่ยื่นมือไปทำอะไรทั้งนั้น ตั้งใจว่าจะกลับมาเยี่ยมแต่โดนทำให้ตกใจเสียได้"พี่หญิงจะค้างที่นี่กี่วันหรือคะ ข้าจะให้คนจัดห้องให้""ไม่ต้องค้าง กลับไปเลย""พี่สาวเจ้ามาหาทำไมทำตัวแบบนี้ นางอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้า
เมื่อหลายปีก่อนมีสำนักคุ้มภัยเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมืองที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้มักไม่ค่อยมีขุนนางน้ำดีแวะเวียนมาเพราะหาประโยชน์กอบโกยไม่ได้แต่แล้วก็มีเซียนโอสถน้อยผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นที่นี่ นางกับน้องชายจากบ้านเกิดไปหลายปีเพื่อร่ำเรียนกับหมอเทวดา ครานั้นผู้คนในเมืองยังคิดกันอยู่เลยว่ามันไม่จริง เหมือนฝันอันห่างไกลที่เมืองแห่งนี้จะเจริญขึ้นได้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย เริ่มมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในที่ดินใกล้ที่ว่าการซึ่งปล่อยทิ้งร้าง มีร้านโอสถที่ขายยาหายาก เครื่องประทินโฉมอันเลื่องชื่อที่โด่งดังไปถึงต่างแดน"และคนที่เป็นเจ้าของสามในสี่อย่างที่ว่ามานี้ก็คือ ข้าเอง!"เสียงวางไหเหล้ากระแทกโต๊ะดังโครม ทุกคนเงียบกริบ เบนสายตาจากคนที่กำลังอวดอ้างตนเองมายังคนพเนจรร่างผอมบาง ผู้ที่มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายเพราะสวมผ้าคลุมและหมวกสานปิดหน้าอาไว้"อะไร จะหาเรื่องกันรึ?" ผู้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องเล่ามองเขม็งไม่สบอารมณ์"ได้ข่าวว่าสามสถานที่นั้นเป็นของเจ้าเพียงหนึ่งมิใช่รึ จะอ้างของใครก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยคุณชายฉิน" เสียง
หลี่ไป๋ได้ยินก็หูผึ่ง ต้องเป็นคนของบิดาเขาแน่ เวลาขนาดนี้ท่านแม่ก็น่าจะกลับมาจากออกล่าแล้วเช่นกัน แถมยังกำลังตามหาพวกเขาอยู่ หลี่ไป๋เริ่มมีความหวัง"ย้ายที่กันก่อน รีบพาสินค้าไปจุดรับของ" แม้จะร้อนใจจากเรื่องที่พึ่งได้ยินแต่หัวหน้าคนชั่วก็สั่งด้วยความใจเย็นหลี่ไป๋ขมวดคิ้ว พวกนั้นรีบร้อนแบบนี้ที่นี่คงอยู่ใกล้ ๆ เมือง เขาต้องหาทางถ่วงเวลา"เสี่ยวหนิง" เขากระซิบเรียกน้องสาวที่ยังนอนกลิ้งหนีความจริงไม่เลิก"หือ?" เชือกมัดปากก็ไม่ยอมแกะทำเป็นเล่นจริง ๆ ให้ตายสิแต่ก็ดีกว่านางร้องไห้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้หูแตกแน่ แถมเหมืองยังจะถล่มแน่นอนอีกด้วย"ช่วยพี่ชายหน่อยสิ เดี๋ยวซื้อเปาจื่อให้สามลูก"พอเอาของกินมาล่อนางก็พยักหน้าทันทีพวกมันขนสัมภาระขึ้นเกวียนอย่างรวดเร็วแล้วออกเดินทางจากเมือง ผ่านอุโมงค์ทอดยาวจนมาถึงด้านนอกในที่สุด ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้วท้องฟ้าจึงเริ่มเปลี่ยนเวลาที่ใช้ไปกว่าจะออกมาข้างนอกไม่นาน หมายความว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้ลึกอย่างที่คิดหลี่หวานหนิงมองหน้าพี่ชาย พออีกฝ่ายพยักหน้านางก็กรีดร้องเสียงดัง"กร
"สามีที่รัก…การกลับมาอย่างรีบร้อนของข้าเหมือนจะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีเท่าไรเลยนะ"เหนืออาคารของหอกระจายข่าวคล้ายมีเมฆครึ้มทั้งที่ท้องฟ้าส่วนอื่นยังแจ่มใสถ้าไม่นับนายท่านที่พึ่งกลับมาได้จังหวะพอดิบพอดีคนอื่น ๆ ล้วนกำลังตามหาร่องรอยคนร้าย หัวหน้าหอแห่งอวิ๋นซีจึงเป็นผู้ร่วมชะตากรรมหนึ่งเดียวที่ต้องมานั่งคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าฮูหยินอยู่ตอนนี้แต่เป็นใครมาอยู่ตรงนี้เฟยหลางก็คิดว่ายอมศิโรราบกันหมดตั้งแต่นางเดินเข้ามาประตูมาอยู่ดี ลองเห็นภาพนางลากคอไก่ฟ้าตัวขนาดพอ ๆ หงส์แดงเพลิงเข้ามาใครจะไม่ผวาบ้างหลี่เจิ้นหัวหน้าซีดตัวหดเหลือสองชุ่น"ยะ ยอดรักจ๋า""ไม่เคยเห็นในเมืองวุ่นวายขนาดนี้ แถมยังเป็นคนของหอกระจายข่าวอีก คิดว่าจะปิดบังได้หรือไง""ก็…ไม่หรอก แต่ข้าอยากรีบหาตัวให้เจอก่อนเจ้ามา"ก่อนมาถึงอาคารนี้นางก็จับคนมาถามความแล้วจึงรู้เรื่อง ไม่ได้แปลกใจอะไร ปญหามันอยู่ต่อจากนี้ต่างหากฉินหลิวซีเอาอาวุธคู่กายทั้งสองออกมา โยนงานจิปาถะให้คนอื่นทำ"ไก่ฟ้านี่ฝากชำแหละหน่อย เดี๋ยวข้ากลับมา"ว่าแล้วก็โดดออกทางหน้าต่างข
"โฮ่ คุณหนูน้อยสองคนคุยเรื่องรูปสลักในร้านยายกันใหญ่เชียว ทำไมไม่เลือกมันเล่า""น้องข้ามีเยอะแล้ว ให้นางเท่านี้ก็พอขอรับ" หลี่ไป๋ตอบกลับอย่างสุภาพ หญิงชราเจ้าของร้านงึมงำอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่เข้าใจหลี่ไป๋เอาถุงเงินออกมาเตรียม แต่ลืมไปว่าฝากไว้ที่เฟยหลาง"พี่เฟย - ""ขอรับคุณชาย…คุณชาย?"เฟยหลางหันซ้ายหันขวา รอบตัวเขาไม่มีใครอยู่เลย แต่เมื่อครู่มั่นใจว่าคุณชายน้อยเรียกเขาแน่ ๆ ร้านแผงลอยก็ปราศจากเจ้าของ เฟยหลางหน้าซีด"ซวยแล้ว…"หลี่หวานหนิงร้องอู้อี้เพราะถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ ที่ปากก็มีเชือกผูกไม่ให้ส่งเสียง เพียงพริบตาเดียวที่สายตาหลุดจากหญิงชราตรงหน้าไป พวกเขาก็ถูกพามาที่ไหนสักแห่งด้วยยันต์เคลื่อนย้าย ทันทีที่ร่วงกระแทกพื้นพวกมันก็กรูกันเข้ามาจับมัดทันที แต่เพราะเห็นเป็นเด็กจึงไม่ได้มัดแน่นหนาอะไรหลี่หวานหนิงกระดึ๊บซ้ายทีขวาทีราวกับหนอนยักษ์ นางค่อนจะ…ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกินไปสำหรับเด็กที่ถูกขโมยตัวมา แต่จะว่านางก็เหมือนถ่มน้ำลายใส่หน้าตัวเอง เพราะคนที่สงบนิ่งยิ่งกว่าใครก็คือหลี่ไป๋เองนอกจากพวกเ
"หมายความว่าอย่างไรโดนลักพาตัว!""ขออภัยขอรับนายท่าน ข้าคลาดสายตาไปเพียงนิดเดียวพวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว"หลี่เจิ้นหัวตะโกนเสียงดัง "คิดว่าข้ออ้างแบบนั้นจะแก้ตัวขึ้นหรือไง รีบไปตามหาเดี๋ยวนี้เลย!"คนของหอกระจายข่าวสาขาประจำเมืองกระจายกำลังกันไปอย่างรวดเร็ว จะมีอะไรเป็นเรื่องเร่งด่วนไปกว่าเรื่องที่บุตรทั้งสองของนายท่านหายตัวไป แถมยังเป็นความสะเพร่าซึ่งเกิดขึ้นตอนฮูหยินไม่อยู่ หากจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยไม่ได้ ไม่แน่ว่าสิ่งที่อยู่ในหม้อต้มยาจะไม่ใช่วัตถุดิบสมุนไพรแต่เป็นกระดูกพวกเขาต่างหากเด็กเก้าขวบกับห้าขวบตัวไม่ใช่เล็ก ๆ จะหายไปทันทีได้อย่างไร อีกทั้งดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เพียงการเล่นสนุกของเด็ก ๆ คนที่ทำเรื่องอย่างนี้ต้องมีมากกว่าสอง หรืออาจจะทำกันเป็นกลุ่มใหญ่เลยก็ได้ ต้องรีบหาให้เจอภายใต้เงาของเมืองอันเงียบสงบคนของหอกระจายข่าวกำลังเคลื่อนไหว เกิดเรื่องที่ไหนไม่เกิดมาเกิดที่เมืองพวกเขาเสียได้ สาขาของหอกระจายข่าวมีตั้งมากดันเลือกมาเกิดที่เมืองที่สงบสุขที่สุดในแคว้นช่างน่าเวทนาผู้ไม่ประสงค์ดีกลุ่มนั้นเหลือเกิน…หลี่เจิ้นหั
นายท่านหอชิงขุยจัดการแยกงานที่ต้องทำด่วนจะทำทีหลังได้ออกจากกันเป็นสองกอง พอไม่ได้เข้ามาที่หอนานแบบนี้งานก็กองสุมการจนล้นมือไปหมด พอมีลูกสองคนแล้วเขาก็ยิ่งขยันทำงานมากขึ้นคงต้องเข้ามาที่หอชิงขุยบ่อยกว่านี้แล้วล่ะ"ฉินหลิวซีไม่อยู่แบบนี้คือช่วงเวลาพิสูจน์ฝีมือสินะ"เมื่อนางกลับมาจะต้องภูมิใจในตัวสามีร่วมงานคนนี้ ที่เขาเลี้ยงลูกได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง คิดแล้วก็เผลอยิ้มออกมา"ท่านพ่อ ทำหน้าตาพิลึกจัง""พิลึก!" พอโดนเด็กทักแบบนี้ทำเอาใจแป้วเลยทีเดียว นี่เขายิ้มแล้วหน้าตาพิลึกหรอกหรือ"หรือจริง ๆ แล้วข้าไม่ได้รูปงาม แต่หน้าตาแปลกพิสดาร?"ท่านแม่ รีบกลับมาทีขอรับ"เสี่ยวไป๋…ทำไมมองพ่อด้วยสายตาเย็นชาแบบนั้นล่ะลูก"คำถามของเขาไม่ได้รับคำตอบ บุตรชายเอียงคอมองหน้างง ๆ คล้ายไม่เข้าใจ ทำให้ยิ่งเกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่าหรือจริง ๆ แล้วเขาเอง เป็นเขาเองที่แปลก"อ้ะ แต่ถ้านางชอบ แปลกก็ดีแล้วนี่นา"ท่านแม่…ไม่รู้ด้วยเหตุใดแต่บุตรคนแรกของเขาดูจะมีความคิดที่โตเกินวัยไปสักหน่อย รวมถึงคำพูดคำจาที่เด็กวัยเดียวกันไม่น่าคิด