เมื่อเข้าไปมองใกล้ ๆ จึงรู้ว่าเป็นสมุนไพรวิญญาณ รูปร่างภายนอกเหมือนหญ้าทั่วไป คนธรรมดาที่ไม่มีพลังยุทธ์จะมองเห็นเป็นแค่หญ้าไร้ประโยชน์ แต่สิ่งนี้มีบอกอยู่ในคัมภีร์ฝึกฝนของนาง นับเป็นโชคดี สมุนไพรชนิดนี้เมื่อกินเข้าไปจะเพิ่มพลังวิญญาณได้อย่างก้าวกระโดด
ฉินหลิวซีแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความสุขใจ พบต้นแบบนี้นางสามารถเก็บเข้าไปปลูกในมิติเพิ่มได้ทั้งราก ถือเป็นลาภโดยแท้เมื่อได้ของที่คาดไม่ถึงมาไว้ในมือ นางก็อารมณ์ดี เด็กหญิงเปลี่ยนทิศทางเดินไปยังแม่น้ำพลางหันมองน้องชายไปด้วย เมื่อใดก็ตามที่พอมีเวลาว่างหรือคนในบ้านหลับสนิทจนหมดแล้ว นางจะเข้าไปในมิติพิเศษของตนเอง และทำการต่อเติมมัน จนตอนนี้สามารถสร้างบ่อปลาข้างน้ำพุวิญญาณให้เป็นรูปเป็นร่างอย่างสวยงามได้แล้วอีกอย่างคือแม้จะรู้ว่าเป็นน้ำพุวิญญาณที่แสนวิเศษ แต่นางก็ทำใจดื่มน้ำคาวปลาในสระเดียวกันไม่ได้จริง ๆหลังจากต้อนปลาเข้าไปในสระได้หลายตัว นางก็หันไปมองน้องชายอีกหนทำแบบนี้ไม่สะดวกกับข้าเท่าไรเลย เอาเถอะ อย่างไรน้องชายข้าก็เป็นคนรู้ความเมื่อตัดสินใจบางอย่างได้นางก็เดินไปหาฉินซือหยวนฉินหลิวซีนำปลาย่างห่อใบไม้ซ่อนไว้ในห้องนอนรอกินหลังมื้อเย็น อาหารวันนั้นก็ยังคงเป็นน้ำแกงที่แสนคุ้นเคย แต่นางกับน้องแอบกินมาก่อนแล้วจึงไม่แสดงอาการไม่พอใจออกมาเหมือนครั้งก่อน เด็กหญิงรอจนพ่อกับแม่ทำงานบ้านเสร็จ เมื่อพวกเขากลับเข้ามาในห้องก็ยื่นห่อปลาที่เก็บไว้ให้ชิวย่าหนานยืนนิ่งทันทีหลังเปิดออกมาเห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างใน เมื่อวานยังพอเข้าใจได้ว่า นางจับไก่ป่าได้อาจจะแอบเก็บจากห้องครัวมาไว้ชิ้นสองชิ้นระหว่างที่ยังไม่ถูกนำจัดใส่สำรับ แต่วันนี้เป็นเนื้อปลาแล้วมันมาได้อย่างไร“เจ้าเอาของพวกนี้มาจากไหน” มารดาถาม ผู้เป็นบิดาก็สงสัยเช่นกันฉินหลิวซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบตามจริง “เอามาจากป่าเจ้าค่ะ”ทั้งพ่อทั้งแม่พากันเบิกตากว้าง ชิวย่าหนานรีบสั่งห้ามทันที“ห้ามเข้าไปอีกนะ ที่อันตรายอย่างนั้นเด็กเล็ก ๆ จะเข้าไปลำพังได้อย่างไร”ฉินหลิวซียืนฟังมารดาบ่นจนจบโดยไม่ตอบโต้ แต่ก็หาได้คิดทำตาม ถ้าเป็นเด็กจริง ๆ เด็กธรรมดาก็เห็นควรให้เป็นไปเช่นนั้น เพราะในป่าไม่ใช่ที่ที่เด็ก ๆ ควรจะไปอยู่แต่บังเอิญข้า
เรื่องที่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาเก็บของป่าที่นี่ เพราะคิดว่าหาของที่มีประโยชน์ต่อปากท้องไม่ค่อยได้แล้ว ก็ทำให้ช่วงเวลาที่มนุษย์ห่างหายไปนั้นทำให้ผืนป่าได้ฟื้นฟูตนเอง และมีสัตว์บางฝูงมาอาศัย วันนี้ฉินหลิวซีจึงโชคดีพบไก่ป่าฝูงหนึ่งชิวหลานตามมาดูแลหลานทั้งสองก็ไม่คิดว่าจะได้พบฝูงไก่ป่าเข้าจริง ๆ“เจ้าจะจับมันหรือ” นางมองเด็กหญิงห้าขวบอย่างไม่อยากเชื่อสายตา พี่สาวของนางเลี้ยงลูกด้วยอะไร ทำไมจึงมีความคิดโตกว่าวัยได้ขนาดนี้ นึกไปถึงตอนนางห้าขวบยังต้อนไก่ไม่เป็นด้วยซ้ำนางพยักหน้าให้น้าหญิงเล็ก ฝากน้องชายไว้กับคนโตกว่าส่วนตัวเองก็เดินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่งที่ฝูงไก่อยู่ ไก่ป่าวิ่งเร็วกว่าไก่บ้านต้องหาจังหวะจับให้ดี ทว่าก็ไม่เป็นไปตามใจหวังเมื่อวิ่งวนมาระยะหนึ่งแล้วนางก็ยังจับไก่ไม่ได้สักตัวครั้งก่อนนางคงโชคดีที่จับได้ง่ายแถมได้มาตั้งสองตัว พละกำลังกายของเด็กวัยนี้ไม่สู้ตอนนางเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉินหลิวซีเริ่มหงุดหงิดจึงแอบใช้พลังปราณเพิ่มความเร็วให้ตัวเอง ความเร็วที่เพิ่มขึ้นมากะทันหันทำให้น้าหญิงเล็กที่มองดูนางอยู่รู้สึกทึ่งมาก หลังจากนั้นฉินหลิวซีก็
ส่วนเรื่องมิตินั้นแน่นอนว่าไม่มีทางบอกใครนอกจากน้องชาย ต่อให้เป็นคนดีและน่าเชื่อถืออย่างไรข้อมูลก็อาจหลุดรอดออกไปได้ เรื่องเช่นนี้เก็บไว้เป็นความลับกับตัวดีที่สุดแล้ว ความจริงการบอกน้องชายก็เป็นความเสี่ยงแต่เป็นความเสี่ยงที่นางรับได้ เพราะต้องไปไหนมาไหนกับเขาบ่อยครั้ง และซือหยวนก็เชื่อฟังอย่างดีมากหลังจากน้าหญิงเล็กมาถึงบ้านตนเองฉินหลิวซีก็ยืนยันจะเดินกลับต่อเอง ชิวหลานจึงไม่ได้เดินไปส่งต่อหลังจากนั้น แต่ก็ยืนมองดูหลาน ๆ จนเดินไปไกลพอสมควร จนลับสายตาจึงยอมกลับเข้าบ้านตนเองหลังพ้นสายตาน้าหญิงเล็กมาได้ ฉินหลิวซีก็นำไก่ที่ย่างไว้โยนเข้าไปในมิติผ่านมุมอับสายตาระหว่างเดินถนน กระทั่งมาถึงบ้านของตนทั้งพ่อและแม่ก็ยังไม่กลับ นางพาน้องชายเข้าห้องและลงกลอนประตูไว้กันคนมารบกวน สองพี่น้องสงบเสงี่ยมจนกระทั่งถึงยามเย็น ระหว่างวันจึงไม่มีใครรู้ว่า พวกเขายังอยู่ในบ้าน“ท่านพี่ เนื้อไก่วันนี้อร่อยมากเลย” น้องชายของนางชมไม่หยุดปาก ต้องขอบคุณฝีมือการย่างไก่ของน้าหญิงเล็กจริง ๆ ถึงฉินหลิวซีจะทำอาหารได้ แต่เรื่องปรุงรสชาตินั้นนางทำได้แค่ระดับธรรมดา สู้คนที่ฝึกมาเพื่อเป็นแม่
น่าขัดใจนัก เมื่อใดก็ตามที่เติบโตไปกว่านี้นางสัญญากับตัวเองว่าจะต้องฝึกอย่างหนักแน่หมูป่าเขี้ยวยาวคำรามลั่น ฝูงนกกล้าบินแตกกระเจิง เป็นแบบนี้อีกไม่นานต้องมีคนสังเกตเห็นความผิดปกติแล้วเข้ามาดู ฉินหลิวซีต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้จบโดยเร็ว ถ้าหากมีอาวุธที่เหมาะมือกว่านี้ละก็ นางคงจัดการหมูป่าตัวนี้ไปได้นานแล้วเด็กหญิงรีดเค้นพลังปราณในกายสุดกำลัง ห่อหุ้มร่างกายตนเองไว้ทั่วตัวประหนึ่งเกราะอ่อนนางกำมีดอีกเล่มขนาดเหมาะมือออกมาจากใต้แขนเสื้อ พุ่งเข้าใส่มันแล้วอาศัยจุดอับสายตาสังหารสัตว์อสูรตนนั้นในคมมีดเดียว หมูป่าเขี้ยวยาวล้มตึงหน้านิ่งไปฉินหลิวซียืนหอบก่อนรีบจับมันโยนเข้าไปในมิติแล้วกลับออกมาจากป่าทันที ไม่รู้ว่าเสียงคำรามเมื่อครู่นี้ไปเรียกตัวอะไรมาหรือเปล่า รีบออกมาจากบริเวณนั้นเป็นการดีที่สุด เพราะหากมีสัตว์อสูรมาเพิ่มนางคงรับมือไม่ไหว เด็กหญิงไม่ได้กลับไปบ้านในทันที แต่นางเดินสำรวจไปอีกทางหนึ่งหากมาครั้งนี้จัดการแค่หมูป่าก็รู้สึกว่าไม่คุ้ม นางต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง ฉินหลิวซีเดินมาเรื่อย ๆ ก็เจอสมุนไพรระหว่างทางหลายต้น นางเก็บใส่ในม
“อาหยวนน่ารักจริง ๆ เลย กลับไปก็ขอรบกวนเจ้าหน่อยละ” นางบีบแก้มน้องชายด้วยความมันเขี้ยว ไม่นึกว่าตัวเองในวัยห้าขวบจะต้องมาปวดเมื่อยเนื้อตัวให้เด็กอายุอ่อนกว่านวดให้หลังกลับมาถึงบ้านฉินซือหยวนก็นวดให้พี่สาวตามที่ได้เอ่ยไว้ วันนั้นนางไม่ได้ไปร่วมมื้อเย็น ด้วยความเหนื่อยจึงเผลอหลับไป และนอนยาวจนถึงเช้าของอีกวัน ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรที่ห้องอาหารบ้างวันนี้ครอบครัวไม่ได้พร้อมหน้าพร้อมตากินข้าว ย่าฉินเห็นคนไม่ครบก็รู้สึกขุ่นเคือง“ฉินหลิวซีไปไหน” นางถามเสียงหงุดหงิดฉินก่วงก็ตอบไม่ได้ เขาเพิ่งกลับมาถึงบ้านก่อนเวลามื้อเย็นไม่นานจึงยังไม่ได้ไปดูลูกเลย มีก็แต่บุตรชายที่มานั่งรอตามเวลา เขามองภรรยาส่งสายตาแทนคำถาม แต่หญิงสาวก็ส่ายหน้า เพราะนางก็ไม่รู้เช่นกัน“กินข้าวพร้อมหน้าข้ามันทำให้ความอยากอาหารลดลงหรืออย่างไร ช่างไร้มารยาทจริง ๆ” ย่าฉินนำความไม่พอใจระบายออกมา ป้าสะใภ้ได้ยินก็หัวเราะคิกคักชอบใจอยู่กับสะใภ้สาม โดยที่ย่าฉินก็ไม่ได้คิดห้ามปรามฉินก่วงขมวดคิ้วมุ่นตลอดมื้ออาหาร ไม่มีใครสนใจถามไถ่ความเป็นไปของบุตรสาวเขา จนกระทั่งทุ
เด็กหญิงจับจ้องไปยังไก่ป่าตัวหนึ่งที่บังเอิญเจอระหว่างทาง หลังจากฟุ้งซ่านด้วยการต่อว่าคนในครอบครัวของท่านลุงไปแล้วก็กลับมาควบคุมสติตัวเองดังเดิม นางจ้องเหยื่อเอาไว้ รอจังหวะที่ดีที่สุดจึงค่อยลงมือพริบตาที่เปิดช่องว่างนั้น ตัวของมันก็ถูกคว้าเอาไว้ ไก่ป่าร้องกะต๊ากเสียงดังก่อนจะเงียบลง ตะกร้าที่นำสะพายหลังขึ้นมาด้วยเต็มไปด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติชั้นเลิศ“ก็ไม่เท่าไรนี่” เด็กหญิงยิ้มยินดีกับฝีมือตัวเองที่พัฒนาขึ้นมากจากสามเดือนก่อน พอชำนาญแล้วก็ใช้เวลาน้อยลงไปตั้งครึ่งฉินหลิวซีกลับมาบ้านในตอนบ่ายแก่ ๆ ซึ่งคนรับหน้าที่ทำอาหารแต่ละวันจะเริ่มเตรียมวัตถุดิบกันตั้งแต่ช่วงนี้ นางหิ้วไก่ป่ามาสองตัว และมีพวกมันที่ล่าได้วันนี้เก็บไว้ในมิติอีก ไก่ป่าสองตัวนั้นถูกโยนเข้าไปกลางห้องท่านป้ากับอาสะใภ้ที่หั่นผักอยู่พากันอึ้ง ฉินหลิวซีเดินเลยไปไม่สน กลับห้องตัวเองก็แบ่งที่ย่างเก็บไว้ให้น้องกินเพราะโอกาสที่นางกับครอบครัวจะได้กินเนื้อ ต่อให้ล่ามาเองก็ใช่ว่าจะมี เจอแบบนี้คนปกติคงละอายใจบ้าง แต่ไม่ใช่กับสกุลฉิน เพราะวันนี้ตรงหน้านางก็ยังมีน้ำแกงเปล่ากับ
เด็กหญิงย่อตัวลงหลบหลังต้นไม้ใกล้พงหญ้า นางหยิบธนูและลูกศรออกมา ง้างสุดแขนเตรียมจะยิง สมาธิแน่วแน่นิ่งสงบ“อ๊ะ! ตรงนั้นมีนกสีแปลก ๆ ด้วย มันคือนกอะไรอย่างนั้นหรือ”กระต่ายกลมนั้นโดดกระเจิงหนีหายไปเพราะตกใจเสียงเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง เด็กหญิงเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจหันมามองตาขวาง เหยื่อที่นางอุตส่าห์หาเจอหนีรอดไปได้แล้ว พอถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้นหลี่เจิ้นหัวก็เงียบปาก สีหน้าหงอยลงอย่างรู้สึกผิดนางอยากจะตำหนิ แต่พอเห็นสีหน้าเช่นนี้แล้วก็พูดไม่ออก ถึงจะไม่พอใจ แต่เขาก็แค่อยากได้สหายคุย นางยังหาโอกาสมาล่าอีกได้ ในมิติก็มีเนื้อเก็บไว้อีก จะเอาความร้อนใจไปลงที่เด็กคนหนึ่งก็ใช่เรื่อง“ข้าจะไปล่ามันใหม่ เจ้าสงบปากสงบคำซะเดี๋ยวพวกมันก็หนีไปอีกหรอก”หลี่เจิ้นหัวพยักหน้าหงึก ๆ ยอมยืนรออยู่กับที่แต่โดยดี ฉินหลิวซีวิ่งไปอีกทาง แม้หลี่เจิ้นหัวจะกลัวว่าเด็กหญิงคนนั้นอาจทิ้งเขาไว้ด้วยความรำคาญ แต่หากดันทุรังตามไปก็จะถูกนางโกรธอีก เขาจึงยอมรออยู่ตรงนี้แม้จะรู้สึกกลัวก็ตามฉินหลิวซีหายไปได้ไม่นานก็กลับมาพร้อมไก่ป่าตัวหนึ่ง“วันนี้ข
“นั่นอะไรน่ะ” หลี่เจิ้นหัวเดินมาถามด้วยความสงสัย“สมุนไพร”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันคือสมุนไพร” เด็กชายเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ หน้าตาพืชที่อยู่ตรงหน้ามองอย่างไรก็เหมือนต้นหญ้าธรรมดา น้อยคนนักจะมองออกว่ามันคือสมุนไพร ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ก็เพิ่งเคยเจอคนใช้พลังธาตุนอกจากตัวเอง เด็กหญิงตรงหน้าทำได้ทั้งสองอย่างที่ชวนตะลึงสำหรับเขา หลี่เจิ้นหัวจึงรู้สึกสนใจเป็นอย่างมากฉินหลิวซีไม่ตอบคำถามแต่มองเมินเขาไปเฉย ๆ เมื่อนางไม่เต็มใจตอบเขาก็ไม่คาดหวังเด็กทั้งสามคนเดินเข้ามาในป่าลึกอีกนิด จนกระทั่งหางตามองเห็นสัตว์ป่าตัวหนึ่ง เด็กหญิงหันไปมองหลี่เจิ้นหัวที่เดินตามมา“เจ้าไปจับเจ้าตัวนั้นมาได้หรือเปล่า”เขามองตามสายตานาง เห็นกวางอยู่ตัวหนึ่ง คิดว่านางอยากเห็นฝีมือของคนประเภทเดียวกันจึงยอมพยักหน้า แค่แสดงฝีมือเล็กน้อยเท่านี้เขาทำให้ได้อยู่แล้ว“ได้สิ” เขาตอบรับต้องรอยยิ้ม หลี่เจิ้นหัวทำได้ตามที่คาด ใช้เวลาไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับกวางตัวนั้น ผู้มีก่อเกิดลมปราณขั้นที่สองไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริ
มิติทับซ้อนของสำนักอุดมสมบูรณ์มากเพราะเปิดใช้งานเพียงสิบปีครั้ง อีกทั้งยังไม่เปิดให้ใครเข้ามาระหว่างนั้น สมุนไพรและพืชผลเติบโตได้อย่างเต็มที่ สิบปีที่ไม่มีใครบุกรุกนี้คงมีแต่แมลงที่จะรบกวนพวกมันได้"ข้าขอไปดูทางนั้นสักครู่เผื่อว่ามีสมุนไพรอื่นอีก" ฉินหลิวซีขอแยกตัวออกมาหลังจากพักร่างกายเสร็จแล้ว เพราะนางไม่ได้ออกมาไกลมาก ยังอยู่ในระยะที่พวกเขาเห็นได้หลี่เจิ้นหัวจึงไม่ได้ว่าอะไรฉินหลิวซีเดินเลี่ยงออกมาจากกลุ่มเพื่อนำสมุนไพรบางส่วนเก็บเข้าไปในมิติของตัวเอง สมุนไพรที่หามาได้ต้องแบ่งให้กับคนอื่นเท่า ๆ กัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการนับคะแนนแบบกลุ่ม สมุนไพรหายากเหล่านี้นางก็อยากเก็บไว้เอง เพราะมิตินี้สิบปีจะเข้ามาได้สักครั้งข้าก็ไม่ใช่คนดีเป็นพระโพธิสัตว์อะไรอยู่แล้ว ขอเก็บไว้นิด ๆ หน่อย ๆ ก็แล้วกันฉินหลิวซีแบ่งสมุนไพรทีละเล็กละน้อยเก็บเข้าไปในมิติของตัวเอง ในโลกของผู้ฝึกตนจะมีเครื่องมือชนิดหนึ่งใช้หาสมุนไพรที่ต้องการ ผู้เข้าแข่งขันในวันนี้ล้วนมีมันอยู่ในมือ เป็นอุปกรณ์คล้าย ๆ กับที่คนเป็นครูในโรงเรียนมักจะมีปากกาเหน็บไว้กับเสื้ออุปกรณ์ธรรมดาระดับนั้นนางไม่ใส่ใจมันเลย จนกระทั่งพึ่งมาส
พิกัดเริ่มต้นแต่ละกลุ่มถูกส่งไปแบบสุ่ม หลังจากที่จัดการกับกอสมุนไพรที่บังเอิญพบแห่งแรกนั้นเสร็จพวกเขาก็เดินต่อไปทางทิศตะวันออกระหว่างทางนั้นฉินหลิวซีก็ยังเก็บสมุนไพรมาได้อีกหลายต้น เดินต่อมาได้อีกระยะหนึ่งก็พบเข้ากับกอสมุนไพรใหม่ อีกทั้งกอนี้ยังเป็นสมุนไพรที่มีอายุสิบปีขึ้นไปทั้งนั้นอีกด้วย เมื่อเห็นของหายากพวกเขาก็ตั้งท่าระแวดระวังทันที และยกหน้าที่เก็บสมุนไพรเหล่านี้ให้ฉินหลิวซีดูแลระหว่างที่กำลังเดินหาและเฝ้ายามไปด้วย หัวหน้ากลุ่มอย่างหลี่เจิ้นหัวก็ส่งสัญญาณมือให้พวกเขาหยุด ยังไม่ทันได้ถามคำตอบก็ดังลั่นมาจากข้างหน้า"ส่งสมุนไพรในมือเจ้ามา!"ผู้ใช้โอสถที่กำลังเก็บสมุนไพรอย่างขะมักเขม้นลุกพรวดขึ้นมาจากพื้น มือหนึ่งจับด้ามกระบี่อ่อนของตนเอาไว้ ในมืออีกข้างยังเหลือต้นสมุนไพรที่พึ่งเก็บขึ้นมา"พวกดาราจักรนี่เอง" หนึ่งในศิษย์ของสำนักเซียนกระบี่เอ่ยขึ้นฉินหลิวซีประเมินด้วยสายตาแล้วก็คิดว่านางคงไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่มย่ามให้ศึกครั้งนี้ นางปล่อยมือจากด้ามกระบี่ของตนแล้วยกหน้าที่คุ้มกันให้หลี่เจิ้นหัว เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีเมินเฉยต่อตัวตนของพวกเขา ลูกศิษย์กลุ่มนั้นก็เข้ามาจู่โจมทันทีดาราจ
ศิษย์ในสำนักต่างเห็นด้วยกับคำพูดของคนเหล่านี้ เว้นก็แต่หลี่เจิ้นหัวและน้องชายสุดรักของนาง ฉินซือหยวนจากที่หลบหลังหมอเทวดาอยู่ก็ออกมายืนข้าง ๆ ให้เห็นหน้าได้ชัด ตอนนี้เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อใครไปทั่วเสียงประท้วงดังได้อยู่ไม่นานท่านเจ้าสำนักก็ยกมือขึ้นให้พวกเขาหยุด“เรื่องที่สตรีผู้นี้ไม่ใช่คนใน ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปาก เพราะนางเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสท่านหนึ่งซึ่งก็เคยร่ำเรียนที่สำนักของเรา ส่วนเรื่องฝีมือของนาง แม้ข้าจะกล่าวไปก็ไม่อาจทำให้พวกเจ้าเชื่อได้นอกจากเห็นด้วยตา ผู้ที่รู้แจ้งคงมีไม่กี่หยิบมือ เช่นนั้นก็ให้โอกาสนางได้แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์เถิด”คำแถลงไขของท่านเจ้าสำนักเว่ย แม้ไม่ได้เปลี่ยนการตัดสินใจ แต่ก็ทำให้พวกเขายอมรับได้มากขึ้น พวกเขาจึงได้สงบปากสงบคำลงดังเดิม แต่สถานการณ์ก็ยังไม่สงบลงเสียทีเดียว“เช่นนั้นท่านเจ้าสำนักโปรดช่วยแถลงไขความข้องใจให้ข้าที แท้จริงแล้วนางผู้นั้นเป็นใครกันแน่”นางจำได้ว่า คนผู้นั้นคือหว่านเล่อ ยอดฝีมือคนหนึ่งของสำนักเซียนกระบี่ที่กำลังเอ่ยถึงกัน ดูเหมือนเขาเองก็รู้สึกแคลงใจในเรื่องนี้จากที่หลี่เจิ้นหัวเล่าเรื่องของที่
เช้าวันรุ่งขึ้นผู้ใช้โอสถแซ่ฉินตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง วันนี้นางตั้งใจจะไปให้ทันส่งหลี่เจิ้นหัวก่อนเริ่มการแข่งให้ได้ฉินหลิวซีดูตัวเองอยู่หน้ากระจกจนพอใจจึงค่อยออกจากเรือนพัก นางเผื่อเวลาเอาไว้มาก ทำให้มาทันช่วงผู้เข้าแข่งขันกำลังเตรียมตัวในตอนที่ยังไม่มาเด็กชายก็มองหาสหายอยู่ก่อนแล้ว พอนางปรากฏตัวเขาจึงมองเห็นได้โดยง่าย และดูเหมือนทั้งคู่จะมีเรื่องอยากพูดคุยกันก่อนเข้าสู่สนามประลองวันที่สอง เพียงมองตาก็รับรู้ได้ทันทีว่าครั้งนี้ใจตรงกัน หลี่เจิ้นหัวลังเลที่จะเดินออกไป แล้วนี่ก็ใกล้ได้เวลาเปิดประตูแล้วฉินหลิวซีรู้ว่าเขามาไม่ได้จึงยัดของบางอย่างใส่มือน้องชาย“ซือหยวนน้อย เอาสิ่งนี้ไปให้พี่ชายหลี่ของเจ้าที”ฉินซือหยวนพยักหน้าก่อนจะเดินฝ่าฝูงชน หลี่เจิ้นหัวไม่อยากให้น้องชายเข้ามาถึงกลางสนามให้เป็นเป้าสายตาจึงเดินออกมาพบด้วยตัวเองครึ่งทาง“พี่สาวข้าฝากสิ่งนี้มาให้ท่าน”เขารับมาก็พบว่าเป็นเครื่องราง ฉินหลิวซีใส่ยันต์ที่นำพาความโชคดีเอาไว้ในถุงปักลายบุปผา หลี่เจิ้นหัวฝากคำขอบคุณกลับมาส่วนตัวเองก็ไปรวมตัวกับกลุ่มศิษย์สำนักเดียวกัน เขาเก็บสิ่งนั้นลงอกเสื้ออย่างทะนุถนอมพื้นที่ทับซ้อนนี้ถูก
และอีกสารพัดข้อห้ามเพื่อความปลอดภัยของลูกศิษย์จากแต่ละสำนัก ฉินหลิวซีปิดปากหาว กว่าจะร่ายกฎทุกข้อจบก็ทำเอานางง่วงแล้ว กติกาพื้นฐานในการแข่งขันก็เหมือนทั่ว ๆ ไป แต่ถึงจะออกกฎมาแบบนี้ก็ยังมีคนเจ้าคิดเจ้าแค้นในการแข่งขันอยู่เลย การแข่งขันล่าสัตว์อสูรเมื่อหลายปีก่อนที่นางเข้าร่วม มันต่างกับเรื่องนี้ตรงไหนจากมุมมองของผู้ใช้โอสถตัวน้อย คนกลุ่มนั้นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต โตก็โตแค่ตัว ไม่มีน้ำใจนักกีฬาเอาเสียเลยหากยังยึดติดกับความคิดแบบนั้นไม่น่าอายุยืนได้หรอกผู้ชนะในการแข่งขันจะได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป เมื่อให้ผู้เข้าแข่งขันลงจากสนามไปเตรียมตัวแล้วบรรยากาศรอบด้านก็เปลี่ยนไปฉินหลิวซีเฝ้ารอสิ่งนี้มาตลอดหลายวัน ในที่สุดก็ได้เห็นการต่อสู้ของสำนักอื่นเสียทีผู้ทำหน้าที่ดำเนินรายการประกาศให้ผู้เข้าแข่งขันคู่แรกมาประจำที่ ตัวแทนจากดาราจักรและศาสตราพิทักษ์ก้าวลงสู่สนามประลองโดยมีเสียงจากพยัคฆ์ทองและเซียนกระบี่คอยส่งกำลังใจ แต่เสียงที่มาจากสำนักเดียวกันย่อมดังก้องกว่าใครความถนัดของพวกเขาเป็นดังชื่อเรียก แม้แต่ละสำนักจะมีแตกแยกย่อยไปหลายแขนง แต่เรื่องโดดเด่นของพวกเขาย่อมเป็นหนึ่งเดียวกับนามเรียกขานก
หลังจากความแตกวันนั้น ฉินหลิวซีก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องเพื่อหลบหน้าคนกลุ่มนั้นไปจนถึงวันประลอง ถึงแม้จะน่าหงุดหงิดไปบ้างที่นางต้องมาซ่อนตัวแค่เพราะคนเจ้าคิดเจ้าแค้นนั่น แต่เพื่อชีวิตสงบสุขของตัวเอง นางจะยอมกลืนศักดิ์ศรีลงไปก็ได้ด้วยความที่นางเป็นศิษย์เอกของหมอเทวดาพวกเขาจึงยังเกรงใจ และไว้หน้านางอยู่บ้าง ไม่มีใครบอกคนนอกว่านางพักอยู่ที่ไหน และที่พักของนางก็อยู่ใกล้กับท่านอาจารย์ หากใครคิดจะมาหาเรื่องฉินหลิวซีก็เท่ากับว่ามีเรื่องกับหมอเทวดาด้วยแต่จนแล้วจนรอดวันชุมนุมนางก็ต้องมา เพราะรับปากกับท่านเจ้าสำนักเอาไว้แล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ร่วมลงสนามแต่นางก็มาดูในฐานะผู้ชมได้ ตามจริงแล้วคนนอกจะไม่ได้รับอนุญาต แต่อาจารย์ของนางได้รับเชิญ นางจึงได้สิทธิ์เข้ามานี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันตั้งแต่มาที่นี่ที่ฉินหลิวซีได้พบหน้าน้องชาย“ท่านพี่!”“ซือหยวน” ฉินหลิวซีอ้าแขนรับเจ้าตัวดีที่พุ่งเข้ามาหานางโดยไม่คิดจะยั้งแรง เด็กหญิงถึงกับเซไปข้างหลังหลายก้าว“ข้าคิดถึงท่านจังเลย”“ข้าก็คิดถึงเจ้า” สองพี่น้องกอดกันกลม สนิทสนมจนเป็นที่น่าอิจฉา มีไม่มากที่พี่น้องจะรักใคร่กลมเกลียวกันปานนี้ฉินซือหยวนเพิ่งเข้าสำนั
เด็กหญิงแซ่ฉินนั่งเท้าคางอยู่บนก้อนหิน มองดูเหล่าศิษย์สำนักวัยเดียวกันออกเพลงหมัดมวยตามในตำรา บางช่วงก็ผลัดกันถือกระบี่ประลองฝีมือฉินหลิวซีรู้สึกเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็ดีกว่าให้นางอุดอู้อยู่แต่ในห้องพัก สำนักเซียนกระบี่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่รวมตัวของผู้มากพรสวรรค์โดยแท้เมื่อวานมีแต่เรื่องรีบร้อนให้นางทำจนไม่มีเวลาสนใจทักษะของแต่ละคนหลายคนหน่วยก้านไม่เลวเลย ถ้าน้องข้าได้ฝึกแบบเดียวกันฝีมือคงพัฒนาไปไกลฉินหลิวซีกวาดสายตามองทิวทัศน์รอบกาย สายลมอุ่นพัดผ่านก่อนจากไป ตอกย้ำว่าเข้าใกล้ฤดูหนาเข้าไปทุกทีไม่รู้ตอนนี้ที่บ้านนางเป็นอย่างไร จะอยู่สุขสบายดีหรือไม่ มีใครมารังแกหรือเปล่า พอได้คิดถึงพวกเขาครั้งหนึ่งแล้วก็คิดซ้ำไปซ้ำมา ฉินหลิวซีคิดว่าคืนนี้คงต้องเขียนจดหมายหาท่านพ่อท่านแม่เสียหน่อยระหว่างที่เด็กหญิงกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ สายตาของผู้ใช้โอสถก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่ชวนให้หวั่นใจเข้าเด็กน้อยผู้นั่งอยู่บนโขดหินถึงกับลมหายใจสะดุด ความรู้สึกกังวลจนใจหายเป็นอย่างนี้นี่เอง ทั้ง ๆ ที่นางไม่ได้ทำอะไรร้ายแรง แต่ความรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลังไปได้รู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลยฉินหลิวซีร
เด็กชายทำหน้าลังเลทันที เรื่องคัมภีร์ฝึกวิชาเป็นความลับของสำนัก ไม่ว่าที่ใดก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่วันนี้เขาก็พานางไปแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะให้ไปเรียนรู้ แต่เขาไม่อยากห่างจากนาง และตั้งใจจะพามากินข้าวต่ออยู่แล้วจึงไม่ได้ให้นางกลับเห็นสีหน้าลำบากใจของเขานางก็เข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร“ข้าจะลองถามท่านเจ้าสำนักดูเอง เจ้าสบายใจเถอะ ข้าไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนหรอก”หลี่เจิ้นหัวไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักเท่าไร แต่การไปขออนุญาตท่านเจ้านักเป็นเรื่องถูกต้องแล้วพวกเขาไม่ได้พูดกันเรื่องนี้อีก ทั้งสองกินอาหารกลางวันด้วยกันเสร็จฉินหลิวซีก็ตั้งใจจะไปขออนุญาตกับท่านเจ้าสำนักด้วยตัวเองทันทีนางมาที่เรือนด้านหลังที่เคยมาเมื่อวาน นอกจากท่านเจ้าสำนักแล้วนางยังพบว่าอาจารย์ท่านอื่น ๆ ก็อยู่ด้วยฉินหลิวซีค้อมกายประสานมือคารวะอาวุโสกว่า หลี่เจิ้นหัวที่ตามหลังมาติด ๆ พอเห็นว่าอาจารย์อยู่กันเกือบทุกคนก็รีบทำความเคารพทันที“มีธุระอะไรล่ะ” เจ้าสำนักเว่ยหันมาถามนางเด็กหญิงไม่รอช้าที่จะบอกความต้องการของตัวเอง “ข้าจะมาขออนุญาตติดตามสหายผู้นี้ไปดูเขาฝึกศิษย์คนอื่นเจ้าค่ะ”“สามหาวยิ่งนัก! เป็นใครมาจากไหนไม่รู้หัวนอนปลาย
เขาพานางเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนพ้นออกมาจากบรรยากาศเงียบสงบ แทนที่ด้วยเสียงจอแจของผู้คน นางเปรียบเทียบอยู่แล้วเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนว่าที่แห่งใดคนนอกเข้าออกได้สะดวก และที่แห่งใดอย่าได้นึกย่างกรายเข้าไป“เขตหวงห้ามของสำนักเซียนถ้าไม่มีคนในพาเข้าไป คนนอกย่อมเข้าไปไม่ได้ ยามที่มีการชุมนุมกับสำนักอื่นก็จะมีการเฝ้ายามบริเวณนี้เป็นพิเศษ”“ข้าเข้าใจแล้ว ต่อไปจะระวังนะ”“เจ้าออกมาเพราะเบื่ออยู่ในห้องสินะ ตามที่ข้ารับปากไว้เมื่อวาน วันนี้ข้าจะพาเจ้าเที่ยวชมรอบ ๆ ก็แล้วกัน”“ต้องรบกวนแล้วเจ้าค่ะ”นางประสานมือโค้งคำนับให้เขาคล้ายจะล้อเลียน หลี่เจิ้นหัวทั้งยิ้มทั้งหัวเราะคล้ายว่าจะชอบใจอย่างมากกับสิ่งที่นางทำ หลังจากนั้นเด็กชายก็นำทางนางไปยังสถานที่ต่าง ๆสำนักเซียนกระบี่มีขนาดใหญ่โต นางยังเดินดูได้ไม่หมดหลี่เจิ้นหัวก็ถูกเรียกตัวอีกครั้งแล้ว“ศิษย์น้องหลี่ ที่ลานฝึกมีคนเรียกหาเจ้าน่ะ”ศิษย์พี่คนหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านมาเอ่ยเรียกทั้งสองไว้ ดูเหมือนว่าเขาก็เพิ่งกลับมาจากลานฝึกเช่นกัน“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ รบกวนท่านแล้ว ขอบคุณศิษย์พี่”หลังจากศิษย์คนนั้นเดินจากไป ฉินหลิวซีก็เอ่ยขึ้น“ดูเหมือนว่าต้องล