น่าขัดใจนัก เมื่อใดก็ตามที่เติบโตไปกว่านี้นางสัญญากับตัวเองว่าจะต้องฝึกอย่างหนักแน่
หมูป่าเขี้ยวยาวคำรามลั่น ฝูงนกกล้าบินแตกกระเจิง เป็นแบบนี้อีกไม่นานต้องมีคนสังเกตเห็นความผิดปกติแล้วเข้ามาดู ฉินหลิวซีต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้จบโดยเร็ว ถ้าหากมีอาวุธที่เหมาะมือกว่านี้ละก็ นางคงจัดการหมูป่าตัวนี้ไปได้นานแล้วเด็กหญิงรีดเค้นพลังปราณในกายสุดกำลัง ห่อหุ้มร่างกายตนเองไว้ทั่วตัวประหนึ่งเกราะอ่อนนางกำมีดอีกเล่มขนาดเหมาะมือออกมาจากใต้แขนเสื้อ พุ่งเข้าใส่มันแล้วอาศัยจุดอับสายตาสังหารสัตว์อสูรตนนั้นในคมมีดเดียว หมูป่าเขี้ยวยาวล้มตึงหน้านิ่งไปฉินหลิวซียืนหอบก่อนรีบจับมันโยนเข้าไปในมิติแล้วกลับออกมาจากป่าทันที ไม่รู้ว่าเสียงคำรามเมื่อครู่นี้ไปเรียกตัวอะไรมาหรือเปล่า รีบออกมาจากบริเวณนั้นเป็นการดีที่สุด เพราะหากมีสัตว์อสูรมาเพิ่มนางคงรับมือไม่ไหว เด็กหญิงไม่ได้กลับไปบ้านในทันที แต่นางเดินสำรวจไปอีกทางหนึ่งหากมาครั้งนี้จัดการแค่หมูป่าก็รู้สึกว่าไม่คุ้ม นางต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง ฉินหลิวซีเดินมาเรื่อย ๆ ก็เจอสมุนไพรระหว่างทางหลายต้น นางเก็บใส่ในม“อาหยวนน่ารักจริง ๆ เลย กลับไปก็ขอรบกวนเจ้าหน่อยละ” นางบีบแก้มน้องชายด้วยความมันเขี้ยว ไม่นึกว่าตัวเองในวัยห้าขวบจะต้องมาปวดเมื่อยเนื้อตัวให้เด็กอายุอ่อนกว่านวดให้หลังกลับมาถึงบ้านฉินซือหยวนก็นวดให้พี่สาวตามที่ได้เอ่ยไว้ วันนั้นนางไม่ได้ไปร่วมมื้อเย็น ด้วยความเหนื่อยจึงเผลอหลับไป และนอนยาวจนถึงเช้าของอีกวัน ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรที่ห้องอาหารบ้างวันนี้ครอบครัวไม่ได้พร้อมหน้าพร้อมตากินข้าว ย่าฉินเห็นคนไม่ครบก็รู้สึกขุ่นเคือง“ฉินหลิวซีไปไหน” นางถามเสียงหงุดหงิดฉินก่วงก็ตอบไม่ได้ เขาเพิ่งกลับมาถึงบ้านก่อนเวลามื้อเย็นไม่นานจึงยังไม่ได้ไปดูลูกเลย มีก็แต่บุตรชายที่มานั่งรอตามเวลา เขามองภรรยาส่งสายตาแทนคำถาม แต่หญิงสาวก็ส่ายหน้า เพราะนางก็ไม่รู้เช่นกัน“กินข้าวพร้อมหน้าข้ามันทำให้ความอยากอาหารลดลงหรืออย่างไร ช่างไร้มารยาทจริง ๆ” ย่าฉินนำความไม่พอใจระบายออกมา ป้าสะใภ้ได้ยินก็หัวเราะคิกคักชอบใจอยู่กับสะใภ้สาม โดยที่ย่าฉินก็ไม่ได้คิดห้ามปรามฉินก่วงขมวดคิ้วมุ่นตลอดมื้ออาหาร ไม่มีใครสนใจถามไถ่ความเป็นไปของบุตรสาวเขา จนกระทั่งทุ
เด็กหญิงจับจ้องไปยังไก่ป่าตัวหนึ่งที่บังเอิญเจอระหว่างทาง หลังจากฟุ้งซ่านด้วยการต่อว่าคนในครอบครัวของท่านลุงไปแล้วก็กลับมาควบคุมสติตัวเองดังเดิม นางจ้องเหยื่อเอาไว้ รอจังหวะที่ดีที่สุดจึงค่อยลงมือพริบตาที่เปิดช่องว่างนั้น ตัวของมันก็ถูกคว้าเอาไว้ ไก่ป่าร้องกะต๊ากเสียงดังก่อนจะเงียบลง ตะกร้าที่นำสะพายหลังขึ้นมาด้วยเต็มไปด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติชั้นเลิศ“ก็ไม่เท่าไรนี่” เด็กหญิงยิ้มยินดีกับฝีมือตัวเองที่พัฒนาขึ้นมากจากสามเดือนก่อน พอชำนาญแล้วก็ใช้เวลาน้อยลงไปตั้งครึ่งฉินหลิวซีกลับมาบ้านในตอนบ่ายแก่ ๆ ซึ่งคนรับหน้าที่ทำอาหารแต่ละวันจะเริ่มเตรียมวัตถุดิบกันตั้งแต่ช่วงนี้ นางหิ้วไก่ป่ามาสองตัว และมีพวกมันที่ล่าได้วันนี้เก็บไว้ในมิติอีก ไก่ป่าสองตัวนั้นถูกโยนเข้าไปกลางห้องท่านป้ากับอาสะใภ้ที่หั่นผักอยู่พากันอึ้ง ฉินหลิวซีเดินเลยไปไม่สน กลับห้องตัวเองก็แบ่งที่ย่างเก็บไว้ให้น้องกินเพราะโอกาสที่นางกับครอบครัวจะได้กินเนื้อ ต่อให้ล่ามาเองก็ใช่ว่าจะมี เจอแบบนี้คนปกติคงละอายใจบ้าง แต่ไม่ใช่กับสกุลฉิน เพราะวันนี้ตรงหน้านางก็ยังมีน้ำแกงเปล่ากับ
เด็กหญิงย่อตัวลงหลบหลังต้นไม้ใกล้พงหญ้า นางหยิบธนูและลูกศรออกมา ง้างสุดแขนเตรียมจะยิง สมาธิแน่วแน่นิ่งสงบ“อ๊ะ! ตรงนั้นมีนกสีแปลก ๆ ด้วย มันคือนกอะไรอย่างนั้นหรือ”กระต่ายกลมนั้นโดดกระเจิงหนีหายไปเพราะตกใจเสียงเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง เด็กหญิงเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจหันมามองตาขวาง เหยื่อที่นางอุตส่าห์หาเจอหนีรอดไปได้แล้ว พอถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้นหลี่เจิ้นหัวก็เงียบปาก สีหน้าหงอยลงอย่างรู้สึกผิดนางอยากจะตำหนิ แต่พอเห็นสีหน้าเช่นนี้แล้วก็พูดไม่ออก ถึงจะไม่พอใจ แต่เขาก็แค่อยากได้สหายคุย นางยังหาโอกาสมาล่าอีกได้ ในมิติก็มีเนื้อเก็บไว้อีก จะเอาความร้อนใจไปลงที่เด็กคนหนึ่งก็ใช่เรื่อง“ข้าจะไปล่ามันใหม่ เจ้าสงบปากสงบคำซะเดี๋ยวพวกมันก็หนีไปอีกหรอก”หลี่เจิ้นหัวพยักหน้าหงึก ๆ ยอมยืนรออยู่กับที่แต่โดยดี ฉินหลิวซีวิ่งไปอีกทาง แม้หลี่เจิ้นหัวจะกลัวว่าเด็กหญิงคนนั้นอาจทิ้งเขาไว้ด้วยความรำคาญ แต่หากดันทุรังตามไปก็จะถูกนางโกรธอีก เขาจึงยอมรออยู่ตรงนี้แม้จะรู้สึกกลัวก็ตามฉินหลิวซีหายไปได้ไม่นานก็กลับมาพร้อมไก่ป่าตัวหนึ่ง“วันนี้ข
“นั่นอะไรน่ะ” หลี่เจิ้นหัวเดินมาถามด้วยความสงสัย“สมุนไพร”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันคือสมุนไพร” เด็กชายเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ หน้าตาพืชที่อยู่ตรงหน้ามองอย่างไรก็เหมือนต้นหญ้าธรรมดา น้อยคนนักจะมองออกว่ามันคือสมุนไพร ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ก็เพิ่งเคยเจอคนใช้พลังธาตุนอกจากตัวเอง เด็กหญิงตรงหน้าทำได้ทั้งสองอย่างที่ชวนตะลึงสำหรับเขา หลี่เจิ้นหัวจึงรู้สึกสนใจเป็นอย่างมากฉินหลิวซีไม่ตอบคำถามแต่มองเมินเขาไปเฉย ๆ เมื่อนางไม่เต็มใจตอบเขาก็ไม่คาดหวังเด็กทั้งสามคนเดินเข้ามาในป่าลึกอีกนิด จนกระทั่งหางตามองเห็นสัตว์ป่าตัวหนึ่ง เด็กหญิงหันไปมองหลี่เจิ้นหัวที่เดินตามมา“เจ้าไปจับเจ้าตัวนั้นมาได้หรือเปล่า”เขามองตามสายตานาง เห็นกวางอยู่ตัวหนึ่ง คิดว่านางอยากเห็นฝีมือของคนประเภทเดียวกันจึงยอมพยักหน้า แค่แสดงฝีมือเล็กน้อยเท่านี้เขาทำให้ได้อยู่แล้ว“ได้สิ” เขาตอบรับต้องรอยยิ้ม หลี่เจิ้นหัวทำได้ตามที่คาด ใช้เวลาไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับกวางตัวนั้น ผู้มีก่อเกิดลมปราณขั้นที่สองไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริ
“โอ๊ะโอ ใครกันนี่ ใช่หลานรักของลุงหรือเปล่า” ชายหนุ่มคนนั้นแย้มยิ้ม น้องชายที่หลบอยู่หลังพี่สาวเพราะประหม่าในตอนแรกจึงยื่นหน้าออกมาดูด้วย“ข้าเองเจ้าค่ะ”หลังจากที่น้าหญิงเล็กได้รับแบ่งเนื้อจากหลานสาว ก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนในครอบครัวฟัง พวกเขาจึงได้รับรู้การไปมาหาสู่ของนาง แม้จะไม่เคยพบหน้าด้วยตัวเองตั้งแต่นั้นก็ตาม เพราะต่างคนต่างมีงานต้องทำระหว่างวัน จะมีบางครั้งบางคราวที่บังเอิญเจอกันบ้างเท่านั้น“คราวนี้ก็เอาเนื้อมาแบ่งให้อีกแล้วสินะ ขอบใจมาก”“ท่านลุง นอกจากเนื้อที่นำมาแบ่งให้ไปปรุงอาหาร ข้าอยากรบกวนท่านลุงอีกสักเรื่องเจ้าค่ะ”“อะไรหรือ”“ท่านลุงมักจะไปที่ตลาดบ่อยครั้ง ข้าจึงอยากนำเนื้อไปฝากขายด้วย”เด็กอย่างนางเดินเข้าไปแถวเขียงหมูคงดูประหลาด ยิ่งกับการนำเนื้อจำนวนมากไปขายลำพัง คงถูกจับตามองแน่ ไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้คงรู้ถึงหูครอบครัวบิดา และก็จะทำให้นางทำงานยากขึ้นอีกท่านลุงใหญ่ได้ยินว่าหลานสาวคนนี้ล่าสัตว์เป็นจึงไม่ได้แปลกใจอะไรกับคำขอของนาง แต่ก็อดทึ่งในความสามา
หลี่เจิ้นหัวยังเป็นลูกมือให้นางอย่างดีโดยไม่บ่นสักคำ มีแต่นิสัยช่างซักช่างถามเสียงเจื้อยเสียงแจ้วอยู่ข้าง ๆ นี่เท่านั้นที่ทำอย่างไรก็ไม่ชินเสียที ไม่รู้ที่ผ่านมาโดนเลี้ยงอยู่แต่ในบ้านหรืออย่างไรจึงเหมือนไม่เคยออกมาเผชิญโลกภายนอกเลย แม้แต่เห็ดต้นเล็ก ๆ ที่เห็นได้ทั่วไปก็ไม่รู้จักอย่างว่า ถ้ารู้จักพืชชาวบ้านบ้างคงไม่หลงทางในป่า“ท่านลุง วันนี้ก็ขอฝากด้วยนะเจ้าคะ”“โอ้! เชื่อใจได้เลย!” หลังจากแยกทางกับหลี่เจิ้นหัวนางก็นำเนื้อส่วนที่ล่าได้มาฝากท่านลุงอีกวัน“หลังจากนี้คงไม่ได้มาบ่อยแล้วนะเจ้าคะ นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายของเดือนที่ข้าจะรบกวนท่านลุง”“ล่าเยอะไปก็ไม่ดีจริง ๆ นั่นแหละนะ ทั้งเสี่ยงที่คนจะสงสัย แล้วในป่าก็จะเสียสมดุลเอาได้ ช่างเป็นเด็กที่รู้ความจริง ๆ” ชิวหลานเอ่ยชม ลูบศีรษะสองพี่น้องที่จูงมือกันมาด้วยความเอ็นดู“อันนี้เป็นส่วนที่เจ้าฝากไว้เมื่อวาน” ลุงใหญ่ยื่นถุงเงินให้นาง ฉินหลิวซีรับไปนับแล้วแบ่งให้ญาติผู้ใหญ่ตามเดิม กล่าวขอบคุณเสร็จนางก็ตรงกลับบ้านชิวเหรินหลังจากแย
“เจ้ามาแล้ว!” พอหลี่เจิ้นหัวเห็นหน้านางก็ร้องขึ้นด้วยความดีใจ วันนี้น้องชายตื่นยากกว่าทุกที กว่าจะออกจากบ้านได้ก็สายแล้ว หลี่เจิ้นหัวใจฝ่อนึกว่าสองพี่น้องจะไม่มา“ดีใจอะไรขนาดนั้นเล่า”“ข้ากลัววันนี้ต้องกลับคนเดียวเสียแล้ว”“แถวบ้านเจ้าไม่มีสหายอื่นนอกจากพวกข้าเลยหรือ ทำหน้าเหงาขนาดนั้น”“จริง ๆ ก็ไม่มี” หลี่เจิ้นหัวหัวเราะแห้ง เพราะเอาแต่ฝึกฝนอยู่ตลอด และเดินทางตามบิดาบ่อยครั้ง เขาเลยไม่มีสหายที่สนิทสนมด้วยถึงขั้นนั้น พอมาเจอฉินหลิวซีที่มีอะไรเหมือน ๆ กันเลยพลอยติดนางไปด้วย“วันนี้ข้าจะเก็บเห็ด เจ้าแยกพวกมันออกหรือเปล่า”“เรื่องเห็ดนี่ข้ายอมแพ้เลยจริง ๆ วัตถุดิบปราบเซียนชัด ๆ” เด็กชายยกมือยอมแพ้แต่เนิ่น ๆ นางอย่าได้คาดหวังกับเขาเรื่องนี้เลย“พี่หลี่” หลังจากเกาะติดพี่สาวมาตลอดทาง พอเห็นหลี่เจิ้นหัวก็เปลี่ยนท่าทีขี้อายขี้กลัวไปเกาะเด็กคนนั้นพอมีเด็กอายุน้อยกว่ามาออดอ้อนหลี่เจิ้นหัวก็เอาขนมที่พกมาด้วยออกมาโดยง่ายน้องชายข้า...ร้ายกาจเกินไปแล้ว
เด็กหญิงรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย เพราะแต่ในแต่ไรมาก็ไปไหนด้วยกันตลอด แต่เรื่องนี้มีเหตุจำเป็น พอสหายเข้าใจโดยง่ายก็ทำให้นางโล่งใจขึ้น หลังจากมาบอกข่าวกับสหายแซ่หลี่ ฉินหลิวซีก็ตรงกลับบ้านทันที ข้ออ้างที่บอกว่าจะไปบ้านท่านน้าอะไรนั่นไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว ถึงปกตินางมักจะไปขอยืมตะกร้าเพิ่มก่อนเข้าป่าก็ตาม แต่วันนี้ไม่จำเป็นหลังกลับถึงบ้านนางก็เข้าไปในห้องนอนของครอบครัว ทำเนียนช่วยน้องชายแต่งตัวก่อนจะเอ่ยกำชับกับเขา“อาหยวน เรื่องพี่ชายหลี่หรือเรื่องที่เคยเข้าป่าไปด้วยกัน ห้ามพูดให้ท่านพ่อได้ยินเป็นเด็ดขาด เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราคนนะ”ฉินซือหยวนพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้จึงถามขึ้น“วันนี้ท่านพ่อจะไปกับเราหรือ?”“จากที่ฟังมาน่ะนะ” นางไม่รู้ว่าบิดาจะมาไม้ไหนหรือนึกระแวงสงสัยอะไร แต่กันไว้ก่อนดีกว่าไปแก้ปัญหาเอาดาบหน้า“เอาละ เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ” นางจูงมือน้องชายออกมาหน้าบ้าน นอกจากบิดาแล้วยังมีมารดายืนอยู่ด้วย“ท่านแม่ก็จะไปด้วยหรือเจ้าคะ?”“จะตามไปสมทบ
“วันนี้ท่านพี่ไม่ต้องไปทำงาน อยู่บ้านแล้วพักผ่อนเสีย ห้ามปรุงยาหลอมโอสถด้วยล่ะ” ฉินซือหยวนยืนขวางหน้านางไว้ ไม่ยอมให้ก้าวออกไปพ้นจากระเบียงบ้าน“จะทำอะไรของเจ้ากันล่ะเนี่ย”สิ่งที่นางได้รับกลับมาคือรอยยิ้มและแขนที่อ้าออกจนสุด“วันนี้ท่านต้องพักผ่อน ท่านพี่ทำงานทุกวัน วันหยุดของคนงานมี แต่ท่านกลับทำงานไม่หยุดหย่อนเลย”“โถ น้องชายสุดที่รักเป็นห่วงข้าอย่างนั้นหรือ” นางยกแขนกอดอก เชิดหน้ามองเขาด้วยท่าทางอวดดี สองพี่น้องเล่นกันเช่นนี้ประจำ“เอาละ ถ้าเจ้าอยากให้ข้าหยุดงานขนาดนั้น ข้าจะใจดีอยู่บ้านเฉย ๆ ให้ก็ได้ แต่งานที่ร้านต้องดูแลให้ดีล่ะ”“เห็นแก่ที่ท่านยอมหยุดพัก ข้าจะสนองความต้องการให้” ฉินซือหยวนพยักหน้าให้กับความถือดีของตัวเองที่เขาแอบไปดูหุ่นละครข้างถนนมาไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ ฉินซือหยวนต่อปากต่อคำกับพี่สาวของตนสนุกขึ้นเยอะในเมื่อทุกคนอยากให้นางหยุด นางก็จะหยุด หลังจากทุกคนออกไปทำงานฉินหลิวซีก็กลับไปที่ห้องนอนของตัวเองนึกแล้วนางก็แทบไม่ค่อยได้ใช้เวลา
หลังจากเปิดร้านได้ไม่กี่วัน ก็พบว่าลูกค้ามาที่ร้านของนางอยู่เรื่อย ๆ บางส่วนมาเพราะสนใจว่ามีร้านโอสถเปิดใหม่ บางส่วนก็มาดูคู่แข่งทางการตลาด บ้างก็มาหาซื้อยาจริง ๆ ช่วงแรกของธุรกิจก็แบบนี้ คนกำลังสนใจสิ่งที่ไม่เคยมีจะตัดสินว่าร้านของนางอยู่รอดไปได้ยาวนานหรือไม่ก็ต้องผ่านพ้นช่วงสามเดือนแรกไปก่อน หลังจากนั้นจึงจะบอกได้ว่า ใครที่เป็นกลุ่มลูกค้าจริง ๆเรื่องหน้าร้านนางให้ทาสที่ซื้อมาจัดการไป ส่วนการปรุงยาต่าง ๆ ที่วางขายเป็นหน้าที่ของนาง รวมถึงจนกว่าจะหาคนครัวได้ นางจะเป็นคนทำอาหารให้พวกเขาด้วยตัวเองแท้จริงนั่นก็เป็นเพียงข้ออ้าง ฉินหลิวซีเวลานี้มีอาชีพเป็นผู้ปรุงโอสถ นางผสมยาพิษชนิดอ่อนลงไปในชามอาหารของพวกเขาทุกมื้อติดต่อกันวันละครั้ง สัดส่วนและปริมาณที่ใช้ไม่ทำให้ถึงตายในทันที ถ้าหากไม่ได้รับยารักษาภายในหนึ่งเดือนอาการจะแย่ลงจนกว่าพวกเขาจะพิสูจน์ตัวเอง และทำให้นางเชื่อใจได้ การวางอุบายเช่นนี้ก็จะยังดำเนินต่อไป หากไม่แล้วก็อย่าได้คิดฝันถึงการใช้ยาถอนพิษอย่างถาวรเลยฉินหลิวซีย้อนกลับมาในภายหลัง และเข้าทางด้านหลังของร้าน นางขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อฟัง
“ซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนั้น เหมือนฝันอยู่เลย” ชิวย่าหนานยกมือกุมใบหน้าตัวเอง ดวงตาของนางเบิกกว้างหันไปมองสามีก็ทำตัวไม่ถูกเช่นเดียวกัน“ข้าคิดว่าจะให้พวกเราย้ายไปอยู่ที่นั่น แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้เจ้าค่ะ ระหว่างนี้ให้ไปสร้างข่าวลือว่า คฤหาสน์หลังนั้นเป็นของคหบดีที่จะย้ายมาใหม่ จนกว่าทุกคนจะแข็งแกร่งกว่านี้เราจะยังไม่ย้ายไปที่นั่น” “ทำไมต้องสร้างชื่อว่าเป็นคหบดีด้วยเล่า” “เพื่อความน่าเชื่อถือเจ้าค่ะ อย่างไรเรื่องที่มีเงินทองมากมายก็เป็นความจริง การทำการค้าก็กำลังดำเนินอยู่ ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงเลย”นางอธิบายให้ฟังอย่างง่าย ๆ ทุกคนก็เข้าใจได้หลังจากวันนั้น ตอนเช้านางจะเข้าไปดูร้านที่ตกแต่งใหม่ ส่วนทางบ้านของนาง หลังจากที่ได้รู้แล้วว่าหลานสาวตั้งใจจะทำอะไรพวกเขาก็ฝึกซ้อมอย่างหนัก โดยเฉพาะลุงใหญ่ ลุงรอง น้าใหญ่ น้ารองเวลาผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่โอสถทะลวงลมปราณสัมฤทธิ์ผล พวกเขากลายเป็นผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดลมปราณขั้นที่ห้า ขณะที่ท่านตาท่านยายของฉินหลิวซีอยู่ในระดับก่อเกิดลมปราณขั้นที่หนึ่ง และน้าเล็กก่อเกิดลมปราณขั้นที่สองเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าพวกเขามีความเหนือกว่าด้านพละกำล
โลกที่ทาสสามารถซื้อขายเป็นแรงงานได้ มีตลาดเฉพาะอยู่ตามเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งเมืองของนางไม่มี ต้องไปยังเมืองข้าง ๆ ที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายที่ใกล้ที่สุด ทำให้ต้องนั่งรถม้าไปไหน ๆ ก็อาจจะได้รับทาสกลับมาด้วย นางจึงยอมจ่ายเพื่อพาหนะที่สะดวกการซื้อขายทาสไม่ได้ผิดกฎหมาย เพียงแต่ต้องทำกันอย่างเป็นระเบียบภายใต้กฎที่ผู้ครองแผ่นดินเป็นผู้กำหนดฉินหลิวซีเดินดูทาสเหล่านั้นตั้งแต่หัวแถวไปจนถึงท้ายแถว พวกเขายืนอยู่สองฝั่งทางเดินโดยมีตัวแทนเป็นผู้โฆษณาคุณสมบัติของทาสคนนั้นคอยชักชวนให้คนซื้อ กฎของที่นี่คือห้ามระรานและบังคับผู้เป็นลูกค้าให้ซื้อตามคำชักชวน พวกเขาจะไม่พุ่งเข้ามาเพื่ออวดอ้างคุณสมบัติหากผู้ซื้อไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าไปถามหลังจากเดินดูอยู่รอบหนึ่งนางก็เลือกคนที่ต้องการได้ฉินหลิวซีได้ชายฉกรรจ์ที่เคยเป็นองครักษ์ และเป็นแฝดกันมาสองคน อดีตเถ้าแก่ร้านยาที่ล้มละลายก่อนขายตัวเป็นทาสหนึ่งคน บ่าวกับสาวใช้อีกสี่คนที่ถูกเลือก และบ่าวแม่ลูกคู่หนึ่งที่บุตรสาวของนางอายุเท่ากันกับฉินหลิวซีนางมองดูด้วยตาเปล่าก็เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เจ็บป่วยร้ายแรงหรือเป็นโรคเรื้อรัง มีเพียงแค่ความซูบผอมที่เห็นภายนอกเพราะสภาพแวดล้
“พ่อเห็นด้วย แต่ที่หมู่บ้านเรามีคนน้อย คงมีลูกค้าเวียนมาไม่มาก”“เรื่องนั้นข้าคิดไว้แล้วเจ้าค่ะ พวกเราเริ่มเช่าร้านเล็ก ๆ ในเมืองได้ พอมีกำไรมากและมีลูกค้าประจำจึงค่อยขยับขยายออกมาก็ได้”การรักษาครั้งหนึ่งเสียเงินไม่ใช่น้อยจึงไม่มีใครอยากป่วยไข้กัน บางครั้งก็ไม่สะดวกที่จะรอผู้มีวิชาความรู้เฉพาะทางมาตรวจทุกครั้งไป หากเป็นหวัดเล็กน้อยและซื้อยากินเองได้ก็ประหยัดเวลาทั้งหมอและคนไข้ไปได้มากฟังความคิดของบุตรสาวแล้วทั้งสองคนก็รู้สึกเห็นด้วย ร้านโอสถเล็ก ๆ ที่มียาหลากหลาย ดูแล้วความต้องการค่อนข้างสูง และในเมืองนี้ก็ยังไม่มีร้านโอสถเป็นหลักแหล่ง“พ่อเห็นด้วยที่เจ้าจะทำแบบนั้น ท่านลุงรู้จักหลายคนในเมือง อาจจะพอแนะนำที่ทางให้ได้”“ไว้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากันอีกที แต่แม่เห็นด้วยนะที่เจ้าจะทำ”“แค่ท่านพ่อท่านแม่เห็นด้วยก็รู้สึกเหมือนว่าสำเร็จไปแล้วละเจ้าค่ะ” นางจูงมือท่านพ่อท่านแม่คนละข้าง แย้มยิ้มไปตลอดทางมาถึงตัวเมืองที่มีความเจริญแล้ว พวกเขาจึงพานางไปดูร้านที่กำลังปล่อยให้เช่าหลังจากซื้อของที่ต้องการเสร็จแล้วด้วย ได้ดูทำเลที่ตั้งเสียทีเดียว ดูไว้หลาย ๆ ที่จะได้นำไปเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจที่ทาง
“เอาโอสถไปให้พวกเขา” ฉินหลิวซีฝากน้องชายนำยาไปแจกจ่าย ส่วนตัวเองไปต้มยาสมุนไพรเพิ่ม “หลังจากนี้ฝากท่านพ่อท่านแม่ช่วยข้าเป็นหูเป็นตาด้วยนะเจ้าคะ หากพวกเขาเริ่มมีความรู้สึกทรมานหรือเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว ก็นำยาในหม้อนี้ไปให้พวกเขาดื่มหนึ่งถ้วย เว้นช่วงสองชั่วยาม” ฉินหลิวซีเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ครั้งนี้ไม่มีอาจารย์คอยช่วย แต่สมุนไพรที่นางเตรียมไว้และโอสถล้ำค่าก็สามารถทดแทนได้“เข้าใจแล้ว” บิดามารดาเอ่ยรับพร้อมกันนางเตรียมทุกอย่างเอาไว้หมดแล้วรวมถึงผ้าที่ซับเหงื่อจากความร้อนที่จะแผ่ออกมาด้วย หลังจากแต่ละคนกินโอสถเข้าไปก็เริ่มแสดงสีหน้าไม่สู้ดีออกมา เพียงแต่ว่ายังอยู่ในระดับที่ทนได้คนอายุน้อยทนความเจ็บปวดได้ ที่นางห่วงจริง ๆ จึงเป็นท่านตาท่านยาย ความเจ็บปวดทำให้พวกเขาเผลอหลุดเสียงร้องด้วยความทรมานออกมาฉินหลิวซีมองพวกเขาแล้วก็รู้สึกลังเลอยู่หลายครั้งเกิดคำถามในใจไม่หยุดหย่อนว่า ควรยกเลิกตั้งแต่ตอนนี้ดีหรือไม่ เสียงภายในใจและเสียงในหัวทะเลาะกันไปมาว่าควรหยุดหรือไปต่อ เสียงหนึ่งห้ามเสียงหนึ่งเห็นด้วย จนกระทั่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ที่นางต้องหักห้ามตัวเองอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามวันถัดมาก็สัม
“ถ้าเรื่องนั้นละก็ พวกน้าตัดสินใจแล้ว แต่ว่าท่านตาท่านยายยังมีเรื่องที่ห่วงอยู่”“อะไรหรือเจ้าคะ”“อย่างที่เห็นว่าพวกท่านอายุมากแล้ว ต่อให้ใช้ยาวิเศษของเจ้าก็รู้สึกว่ามีความเสี่ยงอยู่ดี แม้ว่าน้าจะรบเร้าไปหลายครั้งแล้ว แต่พวกท่านก็ไม่ยอม”ฉินหลิวซีพยักหน้าอย่างเข้าใจ เรื่องนี้ก็สมเหตุสมผลที่พวกท่านจะกังวล เป็นนางเองอยู่ในจุดนั้นก็คงมองเรื่องนี้ว่ามีความเสี่ยงเลวร้ายมากกว่าดี“ท่านแม่ ข้าเองก็เคยกลัวเหมือนท่าน” ชิวย่าหนาน เป็นคนเดินเข้าไปหามารดาของนางก่อนใครหลังจากได้ฟัง นางเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เพราะในตอนที่ตนเองต้องตัดสินใจ ก็ห่วงเรื่องเดียวกันนี้ว่าอายุมากแล้ว“ข้าเข้าใจว่าท่านกังวล แต่หากมองย้อนกลับไป ข้าก็หวังว่าท่านจะตอบรับคำขอของหลาน”“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ” สตรีอาวุโสกุมมือบุตรสาวตอบ ถามด้วยเสียงอ่อนโยน“เพราะสถานะทางการเงินของบ้านเราไม่เคยดี สิ่งที่ควรจะได้มีจะได้ใช้ร่วมกันอย่างเช่นเวลาครอบครัวไม่เคยมาถึง และเพราะร่างกายอ่อนแอ ความเป็นอยู่ส่งผลเช่นนั้น พวกเขาจึงรังแกเราได้ง่าย หากกลายเป็นคนที่สมเป็นมนุษย์ยิ่งกว่านั้น ทั้งความแข็งแกร่งของร่างกายและจิตใจที่ได้มา ข้าเชื่อว่าเรา
ชิวหลานนั่งนิ่งอึ้ง สีหน้าทุกคนประหลาดใจพอ ๆ กันตั้งแต่ที่เด็ก ๆ ออกจากเมืองไป พวกเขาก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมฉินก่วงถึงล่าสัตว์ได้มากกว่าแต่ก่อน เดิมทีก็ล่าสัตว์เก่งอยู่แล้ว แต่พักหลังมานั้นดูเหมือนว่าจะใช้เวลาน้อยลงไปมากจนน่าแปลกใจพอเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจึงได้ลองถามดู ถึงได้รู้ว่าทั้งสองคนกลายเป็นผู้ฝึกตนแล้ว พอรู้อย่างนี้ก็ไม่กล้าถามรายละเอียดอื่น ๆ อีก ในตอนนั้นรู้สึกเหมือนไม่ควรจะถาม หากทั้งสองคนต้องการบอกก็คงบอกออกมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ก็ยังเก็บเงียบมาจนถึงเดี๋ยวนี้พอฉินหลิวซีพูดเรื่องนี้ขึ้นมาพวกเขาคิดว่าคงจะเกี่ยวข้องกัน“ดูจากสีหน้าพวกท่านยายไม่ได้ประหลาดใจเท่าไร ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่อธิบายเกินความจำเป็น พวกท่านยายท่านลุงท่านน้า ช่วยกลับไปคิดสิ่งที่ข้าจะพูดสักหน่อยเถอะนะ...”ฉินซือหยวนล้างชามเสร็จออกมาจากหลังบ้านพอดีจึงนั่งฟังกับพี่สาวด้วย เด็กหญิงแย้มยิ้มพลางบอกเล่าความคิดของตนไป รอยยิ้มของนางสะกดคนให้มองค้างก่อนจะถ่ายทอดความรู้สึกผ่านดวงตาความปรารถนานี้อาจยากที่จะเข้าใจ สำหรับคนที่เคยมองโลกในแง่ร้ายและไม่ปรารถนาจะเห็นใจผู้อื่น ความรู้สึกชิงชังความเป็นจริงที่ตนได้เผชิญ และ
“แม่เตรียมเอาไว้ให้ เผื่อวันใดเจ้ากลับมาจะได้ไม่ยุ่งยากซื้อใหม่ นับวันราคาข้าวของมีแต่จะสูงขึ้น บางอย่างที่ซื้อก่อนได้ อย่างพวกของใช้ทั่วไปก็จะซื้อไว้ให้เจ้าก่อน หากเจ้าไม่ชอบก็ค่อยนำไปขายแล้วซื้อใหม่”“ข้าไม่จุกจิกกับเรื่องพวกนั้นเท่าไรหรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่เสียอีกคงลำบากมากที่ต้องเตรียมของให้ข้ามากมายขนาดนี้ การเงินบ้านเราก็ไม่ค่อยดีและมีปัญหามาตลอด”“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ เงินที่นำมาซื้อหาของใช้เข้าบ้านก็เอาจากการที่พ่อเจ้าไปล่าสัตว์มาได้ บางวันก็ออกไปรับงานช่วยคนอื่นอีกที บ้างก็เป็นบ้านเศรษฐีที่ไม่ได้สนใจว่าเราเป็นใคร หรือทำอะไรได้มากกว่านี้หรือเปล่า”ต้องบอกว่ามารดาของนางมองออก หรืออาจเป็นที่ทั้งสองปรึกษากัน แต่การทำแบบนั้นดีแล้ว เรื่องพลังที่นางสอนให้ไว้ป้องกันตัวก็ควรรู้แค่คนที่จะได้ลองมัน บางอย่างคนรู้น้อยยิ่งดี เพราะขึ้นกับนิสัยคนพูดด้วยว่าจะบอกอย่างไรท่านแม่ของนางหัวอ่อนมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้แก้ไม่ได้ ดังนั้นต้องหาวิธีสื่อสารที่จะให้แน่ใจว่า นางจะมองมันเป็นความลับแสนสำคัญ“ล่าสัตว์คงไม่พอประทังมากขนาดนี้ คงเน้นไปที่การทำงานให้ท่านเศรษฐีสินะเจ้าคะ”“ก็อย่างที่เจ้