“โอ๊ะโอ ใครกันนี่ ใช่หลานรักของลุงหรือเปล่า” ชายหนุ่มคนนั้นแย้มยิ้ม น้องชายที่หลบอยู่หลังพี่สาวเพราะประหม่าในตอนแรกจึงยื่นหน้าออกมาดูด้วย
“ข้าเองเจ้าค่ะ”หลังจากที่น้าหญิงเล็กได้รับแบ่งเนื้อจากหลานสาว ก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนในครอบครัวฟัง พวกเขาจึงได้รับรู้การไปมาหาสู่ของนาง แม้จะไม่เคยพบหน้าด้วยตัวเองตั้งแต่นั้นก็ตาม เพราะต่างคนต่างมีงานต้องทำระหว่างวัน จะมีบางครั้งบางคราวที่บังเอิญเจอกันบ้างเท่านั้น“คราวนี้ก็เอาเนื้อมาแบ่งให้อีกแล้วสินะ ขอบใจมาก”“ท่านลุง นอกจากเนื้อที่นำมาแบ่งให้ไปปรุงอาหาร ข้าอยากรบกวนท่านลุงอีกสักเรื่องเจ้าค่ะ”“อะไรหรือ”“ท่านลุงมักจะไปที่ตลาดบ่อยครั้ง ข้าจึงอยากนำเนื้อไปฝากขายด้วย”เด็กอย่างนางเดินเข้าไปแถวเขียงหมูคงดูประหลาด ยิ่งกับการนำเนื้อจำนวนมากไปขายลำพัง คงถูกจับตามองแน่ ไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้คงรู้ถึงหูครอบครัวบิดา และก็จะทำให้นางทำงานยากขึ้นอีกท่านลุงใหญ่ได้ยินว่าหลานสาวคนนี้ล่าสัตว์เป็นจึงไม่ได้แปลกใจอะไรกับคำขอของนาง แต่ก็อดทึ่งในความสามาหลี่เจิ้นหัวยังเป็นลูกมือให้นางอย่างดีโดยไม่บ่นสักคำ มีแต่นิสัยช่างซักช่างถามเสียงเจื้อยเสียงแจ้วอยู่ข้าง ๆ นี่เท่านั้นที่ทำอย่างไรก็ไม่ชินเสียที ไม่รู้ที่ผ่านมาโดนเลี้ยงอยู่แต่ในบ้านหรืออย่างไรจึงเหมือนไม่เคยออกมาเผชิญโลกภายนอกเลย แม้แต่เห็ดต้นเล็ก ๆ ที่เห็นได้ทั่วไปก็ไม่รู้จักอย่างว่า ถ้ารู้จักพืชชาวบ้านบ้างคงไม่หลงทางในป่า“ท่านลุง วันนี้ก็ขอฝากด้วยนะเจ้าคะ”“โอ้! เชื่อใจได้เลย!” หลังจากแยกทางกับหลี่เจิ้นหัวนางก็นำเนื้อส่วนที่ล่าได้มาฝากท่านลุงอีกวัน“หลังจากนี้คงไม่ได้มาบ่อยแล้วนะเจ้าคะ นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายของเดือนที่ข้าจะรบกวนท่านลุง”“ล่าเยอะไปก็ไม่ดีจริง ๆ นั่นแหละนะ ทั้งเสี่ยงที่คนจะสงสัย แล้วในป่าก็จะเสียสมดุลเอาได้ ช่างเป็นเด็กที่รู้ความจริง ๆ” ชิวหลานเอ่ยชม ลูบศีรษะสองพี่น้องที่จูงมือกันมาด้วยความเอ็นดู“อันนี้เป็นส่วนที่เจ้าฝากไว้เมื่อวาน” ลุงใหญ่ยื่นถุงเงินให้นาง ฉินหลิวซีรับไปนับแล้วแบ่งให้ญาติผู้ใหญ่ตามเดิม กล่าวขอบคุณเสร็จนางก็ตรงกลับบ้านชิวเหรินหลังจากแย
“เจ้ามาแล้ว!” พอหลี่เจิ้นหัวเห็นหน้านางก็ร้องขึ้นด้วยความดีใจ วันนี้น้องชายตื่นยากกว่าทุกที กว่าจะออกจากบ้านได้ก็สายแล้ว หลี่เจิ้นหัวใจฝ่อนึกว่าสองพี่น้องจะไม่มา“ดีใจอะไรขนาดนั้นเล่า”“ข้ากลัววันนี้ต้องกลับคนเดียวเสียแล้ว”“แถวบ้านเจ้าไม่มีสหายอื่นนอกจากพวกข้าเลยหรือ ทำหน้าเหงาขนาดนั้น”“จริง ๆ ก็ไม่มี” หลี่เจิ้นหัวหัวเราะแห้ง เพราะเอาแต่ฝึกฝนอยู่ตลอด และเดินทางตามบิดาบ่อยครั้ง เขาเลยไม่มีสหายที่สนิทสนมด้วยถึงขั้นนั้น พอมาเจอฉินหลิวซีที่มีอะไรเหมือน ๆ กันเลยพลอยติดนางไปด้วย“วันนี้ข้าจะเก็บเห็ด เจ้าแยกพวกมันออกหรือเปล่า”“เรื่องเห็ดนี่ข้ายอมแพ้เลยจริง ๆ วัตถุดิบปราบเซียนชัด ๆ” เด็กชายยกมือยอมแพ้แต่เนิ่น ๆ นางอย่าได้คาดหวังกับเขาเรื่องนี้เลย“พี่หลี่” หลังจากเกาะติดพี่สาวมาตลอดทาง พอเห็นหลี่เจิ้นหัวก็เปลี่ยนท่าทีขี้อายขี้กลัวไปเกาะเด็กคนนั้นพอมีเด็กอายุน้อยกว่ามาออดอ้อนหลี่เจิ้นหัวก็เอาขนมที่พกมาด้วยออกมาโดยง่ายน้องชายข้า...ร้ายกาจเกินไปแล้ว
เด็กหญิงรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย เพราะแต่ในแต่ไรมาก็ไปไหนด้วยกันตลอด แต่เรื่องนี้มีเหตุจำเป็น พอสหายเข้าใจโดยง่ายก็ทำให้นางโล่งใจขึ้น หลังจากมาบอกข่าวกับสหายแซ่หลี่ ฉินหลิวซีก็ตรงกลับบ้านทันที ข้ออ้างที่บอกว่าจะไปบ้านท่านน้าอะไรนั่นไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว ถึงปกตินางมักจะไปขอยืมตะกร้าเพิ่มก่อนเข้าป่าก็ตาม แต่วันนี้ไม่จำเป็นหลังกลับถึงบ้านนางก็เข้าไปในห้องนอนของครอบครัว ทำเนียนช่วยน้องชายแต่งตัวก่อนจะเอ่ยกำชับกับเขา“อาหยวน เรื่องพี่ชายหลี่หรือเรื่องที่เคยเข้าป่าไปด้วยกัน ห้ามพูดให้ท่านพ่อได้ยินเป็นเด็ดขาด เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราคนนะ”ฉินซือหยวนพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้จึงถามขึ้น“วันนี้ท่านพ่อจะไปกับเราหรือ?”“จากที่ฟังมาน่ะนะ” นางไม่รู้ว่าบิดาจะมาไม้ไหนหรือนึกระแวงสงสัยอะไร แต่กันไว้ก่อนดีกว่าไปแก้ปัญหาเอาดาบหน้า“เอาละ เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ” นางจูงมือน้องชายออกมาหน้าบ้าน นอกจากบิดาแล้วยังมีมารดายืนอยู่ด้วย“ท่านแม่ก็จะไปด้วยหรือเจ้าคะ?”“จะตามไปสมทบ
ไม่ผิดจากที่บุตรสาวกล่าวไว้ว่า วันนี้พวกเขาได้กินแต่น้ำแกงเปล่าจริง ๆ มีแค่แผ่นแป้งบาง ๆ แข็ง ๆ แทนข้าวเพราะกินเนื้อมาตั้งแต่ในป่าแล้วนางจึงไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจอะไร แต่ก็แอบค่อนขอดในใจคนในครอบครัวนี้ไปหลายประโยค จนป่านนี้คนสกุลฉินก็ยังไม่สำนึกบุญคุณหรือเห็นคุณค่าในสิ่งที่นางกระทำ ตลอดมื้อเย็นเหน็บแนมนางว่าหาอาหารได้มาน้อย เผลอ ๆ ก็แค่ได้รับน้ำใจแบ่งปันจากคนอื่นเรื่องนี้ฉินหลิวซีฟังมาจนเบื่อ แทบจะท่องตามได้ทุกประโยค เพราะก็ไม่พ้นเรื่องเดิม ๆ“จนตอนนี้ยังไม่สำนึกผิด ลอยหน้าลอยตากินอยู่ได้”เด็กหญิงกลอกตาด้วยความระอา จางอี้เชียนเห็นท่าทางแบบนั้นก็ยิ่งโกรธ เตรียมจะต่อว่านางหนักข้อขึ้น“เด็กคนนี้นี่!”“เจ้าหุบปากเสียที พูดอยู่ได้ทั้งวัน อาหารเสียรสชาติหมด” ปู่ฉินเอ่ยตำหนิเสียงดังจนคนถูกต่อว่าอ้าปากค้างเพราะตนเองก็ไม่ทันตั้งตัว ไม่คิดว่าจะถูกพ่อสามีตำหนิ“ต้องให้ข้าขึ้นเสียงถึงจะหุบปากได้หรือ หยุดแล้วก็ดี กินข้าวกันต่อ” เพราะผู้นำสูงสุดของบ้านแสดงตัวเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรให้เดือดร้อนถึงตัวเองอีก
ฉินซือหยวนชี้ไปยังหุ่นไม้ตัวหนึ่งที่อยู่กลางห้องอีกฝั่ง ห้องที่นางเคยแอบเข้าไปฝึกระหว่างให้น้องชายรอที่ห้องนี้ หุ่นตัวนั้นอยู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นราวกับมิติต้องการให้นางได้ใช้ฝึก มิตินี้นางเป็นเจ้าของ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันมีสำนึกรู้คิดหรือไม่ จะไปถามใครก็ไม่ได้ เพราะแม้แต่ต้นตอหรือต้นกำเนิดของมันนางก็ไม่รู้ ในเมื่อเป็นสิ่งที่มอบให้มาก็คงเป็นประโยชน์ต่อนางแน่ฉินหลิวซีจึงยินดีจะรับไว้“มันมีมาได้สักพักแล้วน่ะ เจ้าเล่นที่นี่รอไปก่อนระหว่างรอข้าอีกสักเดี๋ยวก็แล้วกัน”น้องชายนางฉลาดและรู้ความ ทั้งเชื่อฟังพี่สาวเป็นอย่างดี ในเมื่อคำตอบมีเท่านั้นเขาก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ ฉินหลิวซี ปล่อยให้น้องชายอยู่ลำพังแล้วข้ามไปฝึกที่ห้องนั้น จนกระทั่งถึงเวลาที่เคยนัดหมายไว้กับสหายจึงค่อยออกจากบ้านชีวิตดำเนินไปแบบนี้ในทุกวัน อาหารเช้าที่บ้านตระกูลฉินนางกับน้องชายไม่เคยได้กินอิ่ม แต่เขาเริ่มมีน้ำมีนวลมากขึ้นเพราะนางเลี้ยงดูอย่างดี ตั้งแต่จับเหยื่อเองได้ก็ไม่เคยปล่อยให้เขาอด จากเด็กชายผอมแห้งคนหนึ่งก็เริ่มมีรูปร่างสมบูรณ์ขึ้นมาจนดูแปลกตาไปจางอี้เชียนที่ปะทะคารมกับหลานสาวเก
เมื่อเดินมาถึงถนนเส้นหนึ่งก็พบว่าอาหญิงเล็กกำลังเดินสวนมา นางเบี่ยงตัวมาเดินชิดอีกฝั่งหนึ่ง เพราะไม่อยากเสวนาด้วย แต่ฉินเสี่ยวหรานก็ยังเดินมาเบียดจนชนฉินซือหยวนเข้า นางเดินเลยไปไม่ขอโทษสักคำ และไม่คิดจะหยุดเหลียวหลังมาดูแม้แต่นิดทำตัวเช่นนี้อย่าหวังว่า วันนี้จะได้กินเนื้อเป็นมื้อเย็นจากข้าเลย ไปขอแบ่งสันปันส่วนจากครอบครัวพี่สะใภ้คนโปรดของเจ้าเถอะ“อาหยวนเจ็บตรงไหนหรือไม่” นางจับน้องหมุนตัวดูว่าไม่ได้มีตรงไหนบุบสลายเด็กหญิงคิดจะเก็บความไม่พอใจนี้ไว้จัดการทีหลัง หากนางไม่ได้สัมผัสถึงตัวตนของคนที่พึ่งเดินผ่านไปว่ากำลังเดินตามมาอยู่ฉินหลิวซีหรี่ตาลง ไม่รู้ว่าอาหญิงเล็กตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ แต่นางจะไม่ปล่อยให้เป็นไปตามความตั้งใจของเจ้าตัวหรอก เมื่อมาถึงบ้านสกุลชิวนางก็เข้าไปด้านใน“อ้าว ทำไมวันนี้พวกเจ้ามาเร็วจัง” ชิวหลานเห็นหลานทั้งสองมาไวกว่าปกติจึงถามขึ้น“ท่านน้าทำอาหารให้พวกข้ากินได้หรือไม่ เพราะข้ารีบออกมามากไปหน่อย ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยเจ้าค่ะ”ชิวหลานเห็นว่าหลานมาพึ่งพิงก็รู้สึกดีใจ ทั
“ขอบใจมาก ข้าจะรักษามันอย่างดี”เห็นนางยิ้มเขาก็ดีใจ หลังจากฉินหลิวซีเก็บมันเข้ากระเป๋า พวกเขาก็เดินทางต่อ วันนี้นางให้เขาเป็นคนกำหนดสิ่งที่จะทำ หลี่เจิ้นหัวมองเห็นว่าสมุนไพรพร้อมเก็บเกี่ยวแล้วหลายต้นจึงเสนอให้เก็บพวกมันเป็นงานที่จะทำวันนี้หลังจากฉินซือหยวนเริ่มคุ้นชินกับการทำงานด้วยการเฝ้ามองพี่ชายพี่สาวมาหลายสัปดาห์ ก็เริ่มลงมือช่วยด้วยตัวเอง เขาจดจำรูปลักษณ์ของต้นไม้ใบหญ้าที่ทั้งสองมักจะเก็บเป็นประจำไว้ได้ เห็นต้นไหนคุ้นตาก็จะเก็บมันไปให้ฉินหลิวซี บางครั้งเขาก็พบเจอต้นไม้ใหม่ ๆ ที่ไม่รู้จัก นำไปถามพี่สาวก็ได้คำตอบทุกครั้งจนเขานับถือนางมากขึ้นไปอีก“ท่านพี่รอบรู้มากจริง ๆ ข้าจะเป็นได้อย่างท่านหรือไม่”“น้องชายของข้าเก่งออกขนาดนี้ เป็นอย่างที่ใจเจ้าต้องการได้อยู่แล้ว” นางลูบศีรษะเขาด้วยความเอ็นดูคำพูดนั้นไม่ได้ยกยอเกินเลยไปแม้สักนิด เพราะฉินหลิวซีเชื่อแบบนั้นจริง ๆ นางเฝ้ามองการเติบโตของน้องชายอยู่ตลอด ไม่ว่าในกาลข้างหน้าเขาอยากจะเป็นอะไรนางก็จะสนับสนุนทั้งนั้นและจากการที่ได้เฝ้ามองความทรงจำของ
วันเวลาที่เลยผ่านทำให้สถานที่นี้ต่างจากวันแรกที่นางมาถึง จากเดิมที่มีแค่กระท่อมหนึ่งหลังกับน้ำพุวิญญาณบ่อเล็ก ๆตอนนี้มีทั้งสมุนไพร ทั้งผลไม้ และยังมีซากสัตว์ที่เคยล่าอีกหลายอย่าง หลังจากที่นางค้นพบว่า ในมิติมีพลังที่สามารถคงสภาพซากต่าง ๆ ได้ นางก็สบายขึ้น เพราะมีซากสัตว์เยอะมากในช่วงหลัง ต่อให้แบ่งไปขายโดยฝากทางท่านลุงใหญ่แล้ว จะนำไปฝากคราวละมาก ๆ ก็ดูน่าสงสัย จะนำไปทุกวันก็น่าสงสัยพอกัน นางจึงต้องเว้นช่วงไปบ้างจึงจะนำซากสัตว์ไปฝากขายได้พลังวิญญาณที่ช่วยคงสภาพทำให้ซากของพวกมันยังดูเหมือนใหม่ ทำให้ตบตาได้ว่า นางพึ่งล่าพวกมันมา ค่าตอบแทนหลังจากแบ่งให้ท่านลุงก็ได้ฝากเขาซื้อของใช้ต่าง ๆ มาให้ทีละเล็กทีละน้อย เอามาใช้ในมิติบ้าง ใช้ในห้องของครอบครัวบ้าง จนตอนนี้การดำเนินชีวิตของนางสะดวกขึ้นพอสมควร“ท่านพี่ ตอนนี้ในนี้ดูน่าอัศจรรย์กว่าแต่ก่อนเสียอีก”“เจ้าชอบไหม”“ข้าชอบมากเลย” ฉินซือหยวนเห็นภาพมันมาตั้งแต่วันแรก ๆ จนตอนนี้เปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้ เขาจึงรู้สึกว่าตนได้ผ่านเรื่องราวอะไรมามากมายเหลือเกิน ที่เป็นแ
เขาเห็นว่าพี่สาวเหนื่อยมากแล้ว เวลาจะพักผ่อนเต็มที่ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็ไม่มี เขาจึงอยากให้พี่สาวได้พักผ่อนมาก ๆ ฉินซือหยวนรู้ว่าพี่ตนเองเก่งกาจ แต่หากไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ จอมยุทธ์คนไหนก็เป็นต้องล้มลงทั้งนั้น จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง “ข้าซื้อวัตถุดิบมาไว้แล้ว อยู่ในครัวนั่นละ เอามาใช้ตามสบายเถอะ” ซุนเป่ยฉีเอ่ยบอก หลังจากลูกศิษย์หญิงตัวน้อยขึ้นไปพักผ่อนบนชั้นสองรออาหารเสร็จ เขาก็ลุกไปจัดการหลอมยาในหม้อต่อจากที่ทำค้างไว้ฉินซือหยวนเข้าครัวไปทำอาหารอย่างง่าย สับมีดลงบนเขียงดังโป๊ก ๆ ไปถึงชั้นสอง แต่มันไม่ได้รบกวนฉินหลิวซีที่ใช้ความคิดอยู่แต่อย่างใดจากที่นางจำได้ สัตว์ในตำนานทั้งหกมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างกัน หากนางพบหงส์แดงเพลิงที่นี่ก็เป็นไปได้ว่า จะมีคนพบสัตว์ในตำนานตัวอื่นในยุคนี้เช่นเดียวกัน จะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ไม่อาจรู้ได้จนกว่าจะได้เจอ หากมีการปะทะกันเกิดขึ้นจริงในอนาคตข้างหน้า นางก็ควรต้องหาวิธีรับมือไว้ก่อนดูจากโชคชะตาที่พานางรวนเรไปเรื่อย โอกาสได้พบไม่ใช่ศูนย์เลยขอข้านึกก่อนนะเด็กหญิงนั่งเท้าคางกับโต๊ะระหว่างลากพู่กันลงบนแผ่นกระดาษหงส์แดงเพลิงคือสัตว์ในพันธะวิญญาณข
“ตามหาข้าจะใช้เวลาสักเท่าไรกันเชียว แผนที่ก็ให้ไปแล้ว มัวแต่เดินเล่นกันอยู่ละสิพวกเจ้าน่ะ”“ท่านอาจารย์สงสารศิษย์เถอะนะ ลำพังแค่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ เป็นเดือนก็อึดอัดจะเป็นจะตายอยู่แล้ว คนที่ถูกขังคุกยังอิสระกว่าพวกข้าก่อนหน้านี้อีก ข้าแทบจะอาเจียนออกมาได้ทันทีที่เห็นหมอกควันอยู่แล้ว”“เอาละ ๆ ไม่ต้องบรรยายให้ข้าเห็นภาพนักก็ได้ พานจะกินข้าวไม่ลงเสียเปล่า ๆ”“ท่านอาจารย์ ข้ามีคำถามเจ้าค่ะ”“เรื่องที่เจ้าเพิ่งเจอมาสินะ”ฉินซือหยวนไม่ได้ออกไปกับพี่สาวจึงไม่รู้ว่านางได้อะไรมา แต่พอพี่สาวพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเขาก็สนใจอยู่ไม่น้อย ทำสายตาตื่นเต้นมองตามนางตาไม่กะพริบ“ข้าได้ไข่มาใบหนึ่ง ท่านอาจารย์พอรู้หรือไม่หากได้เห็นว่า มันจะฟักออกมาเป็นตัวอะไร”ซุนเป่ยฉีขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าไม่แน่ใจ หากเป็นไข่ที่ข้าเคยได้อ่านได้เจอมาบ้างก็คงรู้ อย่าคาดหวังมากนักล่ะ”ทั้งสามคนมานั่งล้อมวงที่โต๊ะกลมขนาดเล็ก ฉินหลิวซีนำไข่สัตว์อสูรที่นางได้มาวางตรงกลาง ขนาดของมันใหญ่กว่าศีรษะของผู้ใหญ่หนึ่งคน หมอเทวดาเพ่งมองแล้วก็ลูบเคราที่มีอยู่นิดหน่อยของตัวเอง ฉินหลิวซีไม่รู้ว่าอาจารย์ตั้งใจไว้หนวดเคราเพื่ออำพรา
นางถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สามของวัน ยิ่งกว่านั้นทันทีที่เปิดประตูมิติพาน้องชายออกมาพอดีกับที่กำแพงโปร่งแสงที่ขวางกั้นตัวเมืองกับภายนอกออกจากกันหายไปจนสิ้น รอบกายของนางก็พลันปรากฏร่างชาวบ้านขึ้นมาพวกเขาเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ขณะหนึ่ง แต่ละคนเคลื่อนไหวต่อจากที่ทำท่าทางค้างเอาไว้ทั้งแบบนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนไม่รับรู้ว่า ก่อนหน้านี้มีอะไรเกิดขึ้น แต่ละคนไม่มีท่าทีเอะใจถึงความผิดปกติก่อนหน้านี้เลยตอนนี้สองพี่น้องยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าเมืองพอดี เห็นกลุ่มคนที่เดินเข้ามาก่อนหน้านางกับอาจารย์ พวกเขาเองก็เหมือนไม่รับรู้อะไรเช่นกัน“แค่กระเทียมไม่กี่หัวจำต้องถ่อมาถึงในเมืองขนาดนี้ด้วยหรือ”“ก็ถ้าในสัมภาระมันยังเหลืออยู่ จะต้องถ่อออกมาทำไมเล่า ใครใช้ให้เจ้าอุตริเอาพวกมันไปให้น้องเจ้าเล่นหมดล่ะ”“ก็ได้ เรื่องนี้ข้าผิดเอง”คนกลุ่มนั้นเดินผ่านหน้านางไป เด็กหญิงไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่เหมือนเดิมแต่ก็โล่งอก คิดว่าดีแล้วที่ไม่มีใครบาดเจ็บ“คงไม่มีอะไรแล้วละซือหยวน เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ”เพราะไม่ได้เจอผู้คนมานานเด็กชายข้างกายนางก็ตาเป็นประกาย ยามเดินทางผ่านเมืองมองผู้คนอย่างตื่นเต้
ระหว่างที่พูดกับน้องชายอยู่นั้นก็ทำให้นางนึกถึงวันแรกที่เข้ามา โชคดีที่มีมิติลับไม่อย่างนั้นคงได้ตายตั้งแต่มีบางอย่างพุ่งเข้าใส่แล้ว หลังจากสายฟ้าสองสายระลอกแรกหลังจากนั้นก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับตัวอะไรบางอย่างที่นางมองไม่เห็นเหมือนเป็นสัตว์ร้ายที่มีเล็บมีเขี้ยว แต่กลับไม่อาจเห็นรูปร่างของมันได้อย่างชัดเจน มีเพียงสัมผัสระวังภัยเท่านั้นที่ตื่นตัวถึงขีดสุดฉินหลิวซีเข้ามาในเมืองนี้ได้หนึ่งเดือนแล้ว และตอนนี้นางกำลังหลบหนีบางอย่างที่ตามติดมาหลายวัน คงต้องบอกว่ามีหลายอย่างเปลี่ยนไป จากจิตสังหารที่สัมผัสได้แค่วันแรก หลังจากนั้นมันก็ยังจู่โจมนาง เพียงแต่ว่าสัมผัสถึงอันตรายไม่ได้แล้ว ความรู้สึกเหมือนสุนัขตัวโตกำลังวิ่งเล่นไล่จับกับเจ้าของถึงจะรู้สึกว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะทำอันตรายอะไรต่อนาง แต่ฉินหลิวซีก็รู้สึกกลัวอยู่ดีจึงยังวิ่งหนีต่อไป โผล่ไปที่ไหนมันก็สามารถตามไปได้ และพอได้จังหวะฉินหลิวซีจะเข้าไปหลบในมิติ“เฮ้อ...”หลังจากเข้ามาในมิตินางก็ถอนหายใจเฮือก เป็นภาพที่เห็นจนชินตาแล้วสำหรับฉินซือหยวน“เจอเจ้าตัวนั้นอีกแล้วหรือ”“ใช่ ไล่ตามไม่หยุดเลย ไม่รู้ทำไมมันถึงตามข้าขน
นางเล่าสถานการณ์ให้น้องชายฟังอย่างคร่าว ๆ ตอนนี้พวกเขาติดอยู่ในเมือง โดยที่อาจารย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ และยังต้องตามหาไอ้วาสนาอะไรนั่นที่นางก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเหมือนกัน แต่คำสั่งของอาจารย์คือต้องหาให้เจอ และต้องรักษาชีวิตตัวเองไว้ให้ได้ด้วยพูดน่ะมันง่ายอยู่หรอก แต่เมืองนี้นอกจากสายฟ้าที่ไล่ผ่าข้าไม่หยุดจะต้องมีกลไกอะไรอีกแน่ แค่คิดก็เหนื่อยไปล่วงหน้าแล้วเด็กหญิงพรูหายใจออกมา เอ่ยกำชับน้องชาย “ซือหยวน เจ้าอยู่ในนี้ก่อน พี่ไม่แน่ใจว่าข้างนอกอันตรายมากแค่ไหน พี่คงปกป้องเจ้าไม่ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยบอกอย่างจริงจัง ลำพังนางสามารถหลบหนีอันตรายได้ หากสู้ไม่ไหวก็หนีเข้ามิติสวรรค์แทน แต่น้องชายนางไม่สามารถหนีไปไหนได้“แล้วท่านพี่ล่ะ”“ข้ามีภารกิจต้องทำ หากเจ้าออกไปด้วยข้าจะห่วงหน้าพะวงหลังไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี เพราะฉะนั้นอยู่เป็นเด็กดีในนี้นะ”ฉินซือหยวนเบะหน้าราวกับคนจะร้องไห้ เขาก็กลัวพี่สาวเป็นอันตรายเหมือนกัน แต่รู้ดีว่าตอนนี้ฝีมือตัวเองยังไม่ถึงขั้นพอที่จะปกป้องภัยได้ กับศัตรูที่ไม่รู้ว่าต้องการอะไร เขาออกไปตอนนี้ก็เป็นตัวถ่วง เผลอ ๆ จะกลายเป็นตัวประกันเข้าให้ด้วย“ท่านพี่ ท่านต้องกลับมาร
หมอเทวดารวมปราณเอาไว้ที่ดวงตาของตน เงยหน้าขึ้นมองเหนือกำแพง เห็นเป็นแสงสะท้อนบางอย่างคล้ายว่ามีหลังคาทรงกลมครอบทั้งเมืองเอาไว้ คล้ายว่าเมืองนี้ถูกห่อหุ้มเอาไว้ในฟองอากาศใบหน้าของเขาฉายแววเคร่งเครียด ระหว่างที่ลูกศิษย์ตัวน้อยของเขากำลังหาทางออกมา ซุนเป่ยฉีก็ทำการวิเคราะห์กำแพงล่องหนนี้อยู่ด้านนอก พอเขาตั้งใจจะตรวจสอบจริง ๆ มันกลับไม่ดีดเขาออก สร้างความประหลาดใจให้หมอเทวดาเป็นอย่างมากหรือว่ามันจะเลือกที่เจตนา?เขาลองดูอีกครั้งโดยครั้งนี้ตั้งใจว่า จะเข้าไปให้ได้ ผลคือร่างของเขาถูกดีดกลับมาที่เดิมไม่ถูกสิ ถ้าอย่างนั้นทำไมลูกศิษย์ข้าถึงเข้าไปอยู่ภายในล่ะซุนเป่ยฉีทำการตรวจสอบกำแพงตรงหน้าต่อ มีกลิ่นอายของสัตว์อสูรที่รวมเป็นส่วนหนึ่งของกำแพง ราวกับว่ากำแพงนี้เป็นสัตว์อสูรมาก่อน เรื่องนี้มีบางอย่างน่าสงสัย ที่สายฟ้าฟาดลงมาเมื่อครู่ก็เพราะไม่อยากให้ฉินหลิวซีออกมาหรือว่ามันตั้งใจจะเลือกนาง?มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่นานครั้งจึงจะพบเจอสักหน เรียกได้ว่าเป็นแค่นิทานก็ยังไม่มีใครเชื่อ เรื่องแบบนี้ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ พันปีจะพบคนที่ประสบสักคนก็ว่ายากแล้ว กว่าจะเล่าขานต่อกันมาให
ฉินหลิวซีมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร และใช้พลังธาตุในการปลูกสมุนไพรได้ หากนำไปปรุงในมิติประสิทธิภาพยิ่งสูง และพลังของนางก็จะทำงานได้ดีกว่าอยู่ข้างนอก เพราะข้างในนั้นนับว่ามีพลังทิพย์บริสุทธิ์วนเวียนอยู่อย่างหนาแน่น ต้นท้อมรกตของนางเติบโตได้ดีก็เป็นเพราะสิ่งนี้ด้วยเช่นกันขั้นตอนแรกของการฝึกปรุงยา น้องชายของนางเงอะงะมากจนอาจารย์ต้องจับมือทำเลยทีเดียว ส่วนตัวนางที่เชี่ยวชาญในระดับหนึ่งแล้วสามารถทำไปได้เลย แค่รอให้อาจารย์มาประเมินผลลัพธ์ในภายหลังเท่านั้นสมุนไพรในตำรามากกว่าหมื่นชนิด ส่วนผสมในการปรุงโอสถ ฉินหลิวซีจำได้ทั้งหมดแล้ว แต่ยาบางตัวนางไม่สามารถทำได้ เพราะยังขาดวัตถุดิบอีกหลายอย่าง ระหว่างเดินทางนี้ก็เก็บพวกมันมาได้ไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ครบเป็นการเรียนรู้ที่ยาวนานเหลือเกิน แต่แค่นี้ไม่ทำให้นางท้อใจได้หรอกครึ่งปีให้หลังทั้งสามก็ยังไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้าน การเดินทางของนางกับท่านอาจารย์ไร้จุดหมายแน่นอน บทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนโดยง่าย ปัจจัยภายนอกส่งผลต่อการเดินทางของพวกนางไม่น้อย บ้างก็เป็นเพราะใจอาจารย์อยากเปลี่ยนเอง บ้างก็เป็นเพราะมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนจุดหมายกะทันหันเช่นวันนี้ที่ซุนเป่ย
ฉินซือหยวนวิ่งหนีจนเหนื่อย เขาไม่ชอบการต่อสู้ ชอบใช้สมองมากกว่ากำลัง ไม่รู้ทำไมพี่สาวต้องบังคับขู่เข็ญให้เขาออกแรงขนาดนี้ด้วย การใช้กำลังต่อสู้ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ แต่นางเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว มองจากสีหน้าก็รู้ หากเขาไม่ลงมือทำอะไรเสียที นางคงกวาดหุ่นไม้พวกนี้ทิ้งแล้วลงสนามเองเป็นแน่ไม่ ๆ แบบนั้นน่ากลัวกว่าเดิมอีก!นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกเคี่ยวเข็ญให้เอาชนะด้านพละกำลัง แต่ไม่ว่าจะถูกสั่งให้ทำแบบนี้กี่ครั้ง เขาก็ยังไม่ชินอยู่ดี แต่เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็จำใจต้องตอบโต้ แม้ใจจะไม่ชอบ แต่เขาก็เข้าใจว่าพี่สาวปรารถนาดีต่อตน เพียงแต่วิธีการของนางบางครั้งก็หนักมือเสียเหลือเกิน“เอาละ ๆ ข้ายอมแล้ว”ฉินซือหยวนหมุนตัวกลับมาประจันหน้ากับหุ่นไม้ทั้งห้าตนอย่างไรเสียเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินก็ห่างไกลจากเด็กบ้านนอกธรรมดามาไกลแล้ว อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเขาไม่อยากจะคิด คิดไปก็เท่านั้นทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้เขาก็รู้สึกชอบมันไม่น้อย และที่ทำอยู่ก็เพื่อให้สามารถปกป้องตนเองได้แม้ว่าฉินซือหยวนจะอิดออดและเอาแต่วิ่งหนีท่าเดียวมาหลายชั่วยาม แต่ตอนนี้
โอสถทะลวงลมปราณ ฉินหลิวซีเคยคิดจะใช้มันให้พ่อแม่ได้กลายเป็นผู้ฝึกตน แต่ด้วยข้อจำกัดด้านอายุทำให้นางต้องล้มเลิกที่จะใช้ยาตัวนี้ไป โอสถทะลวงลมปราณหนึ่งเม็ดราคาเป็นหมื่นตำลึงทอง หายากยิ่งกว่าตัวยาที่นางเคยให้อาจารย์ช่วยปรุง สมุนไพรที่ต้องใช้ก็มีหลายชนิดมาก ๆ จนยาห้ามเลือดของนางยังต้องอายหลังจากเช็ดคราบเลือดออกจากกระบี่อ่อนนางก็จัดการลากชายผู้นั้นไปทิ้งไว้มุมถ้ำ ส่วนตัวเองก็มาจัดการกับสมุนไพรที่เหลือ สมุนไพรทั้งหมดที่ต้องใช้มีถึงเก้าสิบเก้าชนิด ตอนนี้นางได้ชนิดที่เจ็ดสิบสองในรายการมาแล้ว ตั้งแต่ได้เรียนรู้ และฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหมอเทวดานางก็เก็บสมุนไพรสะสมไว้มาโดยตลอดตำรับตำราเกี่ยวกับยาเป็นของอาจารย์นางที่เขียนขึ้นเอง นางได้เรียนรู้มันตั้งแต่ตอนที่พึ่งเจอเขาเหตุแห่งความบังเอิญที่นำพามาพบกัน ทำให้ปัจจุบันนางลงเอยที่ฝากตัวเป็นศิษย์เขา และเพราะตำราที่เขียนขึ้นเองไม่ใช่ของที่ใครจะได้รับอนุญาตให้เปิดอ่านก็ได้ ในนั้นมีทั้งข้อมูลที่เป็นทั้งคุณและโทษ หากถูกคนเจตนาไม่ดีนำไปใช้งานอาจกลายเป็นความโกลาหล ฉินหลิวซีจึงไม่เคยวางใจให้ผู้อื่นปรุง“เท่านี้พอแล้วหรือไม่เจ้าคะ”ซุนเป่ยฉีเหลือบมองในย่ามน