“ขอบใจมาก ข้าจะรักษามันอย่างดี”
เห็นนางยิ้มเขาก็ดีใจ หลังจากฉินหลิวซีเก็บมันเข้ากระเป๋า พวกเขาก็เดินทางต่อ วันนี้นางให้เขาเป็นคนกำหนดสิ่งที่จะทำ หลี่เจิ้นหัวมองเห็นว่าสมุนไพรพร้อมเก็บเกี่ยวแล้วหลายต้นจึงเสนอให้เก็บพวกมันเป็นงานที่จะทำวันนี้หลังจากฉินซือหยวนเริ่มคุ้นชินกับการทำงานด้วยการเฝ้ามองพี่ชายพี่สาวมาหลายสัปดาห์ ก็เริ่มลงมือช่วยด้วยตัวเอง เขาจดจำรูปลักษณ์ของต้นไม้ใบหญ้าที่ทั้งสองมักจะเก็บเป็นประจำไว้ได้ เห็นต้นไหนคุ้นตาก็จะเก็บมันไปให้ฉินหลิวซี บางครั้งเขาก็พบเจอต้นไม้ใหม่ ๆ ที่ไม่รู้จัก นำไปถามพี่สาวก็ได้คำตอบทุกครั้งจนเขานับถือนางมากขึ้นไปอีก“ท่านพี่รอบรู้มากจริง ๆ ข้าจะเป็นได้อย่างท่านหรือไม่”“น้องชายของข้าเก่งออกขนาดนี้ เป็นอย่างที่ใจเจ้าต้องการได้อยู่แล้ว” นางลูบศีรษะเขาด้วยความเอ็นดูคำพูดนั้นไม่ได้ยกยอเกินเลยไปแม้สักนิด เพราะฉินหลิวซีเชื่อแบบนั้นจริง ๆ นางเฝ้ามองการเติบโตของน้องชายอยู่ตลอด ไม่ว่าในกาลข้างหน้าเขาอยากจะเป็นอะไรนางก็จะสนับสนุนทั้งนั้นและจากการที่ได้เฝ้ามองความทรงจำของวันเวลาที่เลยผ่านทำให้สถานที่นี้ต่างจากวันแรกที่นางมาถึง จากเดิมที่มีแค่กระท่อมหนึ่งหลังกับน้ำพุวิญญาณบ่อเล็ก ๆตอนนี้มีทั้งสมุนไพร ทั้งผลไม้ และยังมีซากสัตว์ที่เคยล่าอีกหลายอย่าง หลังจากที่นางค้นพบว่า ในมิติมีพลังที่สามารถคงสภาพซากต่าง ๆ ได้ นางก็สบายขึ้น เพราะมีซากสัตว์เยอะมากในช่วงหลัง ต่อให้แบ่งไปขายโดยฝากทางท่านลุงใหญ่แล้ว จะนำไปฝากคราวละมาก ๆ ก็ดูน่าสงสัย จะนำไปทุกวันก็น่าสงสัยพอกัน นางจึงต้องเว้นช่วงไปบ้างจึงจะนำซากสัตว์ไปฝากขายได้พลังวิญญาณที่ช่วยคงสภาพทำให้ซากของพวกมันยังดูเหมือนใหม่ ทำให้ตบตาได้ว่า นางพึ่งล่าพวกมันมา ค่าตอบแทนหลังจากแบ่งให้ท่านลุงก็ได้ฝากเขาซื้อของใช้ต่าง ๆ มาให้ทีละเล็กทีละน้อย เอามาใช้ในมิติบ้าง ใช้ในห้องของครอบครัวบ้าง จนตอนนี้การดำเนินชีวิตของนางสะดวกขึ้นพอสมควร“ท่านพี่ ตอนนี้ในนี้ดูน่าอัศจรรย์กว่าแต่ก่อนเสียอีก”“เจ้าชอบไหม”“ข้าชอบมากเลย” ฉินซือหยวนเห็นภาพมันมาตั้งแต่วันแรก ๆ จนตอนนี้เปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้ เขาจึงรู้สึกว่าตนได้ผ่านเรื่องราวอะไรมามากมายเหลือเกิน ที่เป็นแ
หลังจากปล่อยให้น้องชายอยู่คนเดียว เจ้าของมิติมหัศจรรย์นี้ก็ออกมาใช้พลังธาตุไม้ที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ของตัวเองทำให้ต้นผลไม้เติบโตเมื่อใช้พลังธาตุข้างนอก ผลข้างเคียงคือหิว แต่เข้ามาข้างในนางยืมพลังปราณที่มีในมิติมาใช้ ความหิวจึงไม่ค่อยส่งผลอะไรมากนัก ถึงหิวก็กินผลไม้ในมิติได้วิถีชีวิตเช่นนี้ช่างสุขสบาย จนนางอยากให้มันยืนยาวออกไป แต่ต้องเป็นหลังจากครอบครัวของนางแยกตัวออกไปจากบ้านใหญ่ได้แล้ว นั่นจึงจะเป็นความสงบสุขอย่างแท้จริงที่นางเฝ้ารอ หลังจากนั้นต่อให้ต้องเจออุปสรรคอะไรนางก็จะผ่านไปให้ได้ ขอเพียงรอเวลาให้หลุดพ้นจากที่นี่ไปเท่านั้นเมื่อฝีมือเพิ่มขึ้นระดับหนึ่งจนชำนาญ จนถึงขั้นที่ว่ารับรู้ว่าคนใกล้ตัวฝึกตนถึงขั้นไหนแล้ว เพราะเหตุนั้นเองหลี่เจิ้นหัวจึงรู้ขั้นลำดับฝึกตนของฉินหลิวซี“นี่ฉินหลิวซี ไม่ใช่ว่าเจ้าน่ะ...อยู่ก่อเกิดลมปราณขั้นสามมาตลอดหรอกหรือ”มือที่กำลังถอนหัวมันหยุดชะงัก เพราะมีเรื่องให้ทำหลายอย่าง ฉินหลิวซีจึงยังอยู่ระดับเดิมมาตลอดหลายเดือน ที่ทำได้ก็แค่ฝึกด้านกำลังกายเท่านั้น พอถูกเจิ้นหลี่หัวทักนางก็กังวลจนออก
สุดท้ายเด็กหญิงก็ถอนหายใจออกมา เพราะถูกทักเรื่องระดับฝึกตนที่ดูไปไม่ถึงไหน ทำให้วันนี้นางไม่มีสมาธิแม้แต่จะจับไก่ป่า ทำปลาหลุดมือก็หลายที จนตอนนี้ก็เหมือนจะทำลายพืชป่าด้วยการถอนมันทั้งรากอีก“วันนี้เจ้าใจลอยบ่อยนะ มีเรื่องกังวลอย่างนั้นหรือ” หลี่เจิ้นหัวทนความอยากรู้ไม่ไหว สุดท้ายก็ถามออกมานางส่ายหน้า แต่เขาคิดว่ามันเป็นเพราะเรื่องเมื่อเช้านั่นจริง ๆ หลี่เจิ้นหัวตบปากตัวเอง เพราะความไม่ได้คิดของเขาทำให้นางกังวลสินะ“วันนี้ข้าขอตัวกลับก่อนนะ”ฉินหลิวซีเอ่ยจบก็พาน้องชายออกมาจากตรงนั้นทันทีโดยไม่รอให้หลี่เจิ้นหัวได้ลา ทิ้งให้เด็กชายคนนั้นยืนเคว้งคว้างอยู่ตามลำพังนางเดินจ้ำเท้ากลับบ้านด้วยสีหน้าเหม่อลอย เข้าบ้านมาก็พบอาสี่และอาหญิงเล็กที่วัน ๆ ไม่ทำอะไร นางไม่อยากปะทะคารมกับใครตอนนี้จึงเลี่ยงแล้วพาน้องชายเข้าห้องโดยเร็ว ทว่าเพียงเปิดประตูมาก็พบว่าห้องถูกรื้อค้นไม่มีของมีค่าอะไรหายไป เพราะทุกอย่างนางเก็บไว้ในมิติลับ ส่วนทรัพย์สินของท่านพ่อท่านแม่นั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากเสื้อผ้าใช้เปลี่ยนและเงินไม่กี่อีแปะที่ใส่ถุงเงินพกติดตัวไว้ใช้แบบ
ทุกอย่างปกติจนถึงมื้อเย็น วันนี้นางไม่มีเนื้อกลับมา เมื่อคนที่ไม่ชอบหน้านางรู้เช่นนั้นก็พากันจับมือกันพูดจาถากถาง“นั่นปะไร ทำอวดดีได้ไม่กี่วันเท่านั้นละ พอไม่ใช่ความสามารถของตัวเองหามาก็จวนตัวยามเขาไม่ให้ละสิ”จนตอนนี้จางอี้เชียนก็ยังเข้าใจว่า เนื้อที่ฉินหลิวซีนำกลับบ้าน มาจากการที่ลุงของนางทางฝั่งแม่แบ่งให้ และแน่นอนว่านางก็นำเรื่องนี้ไปบอกกับสะใภ้สาม“ใช้น้ำใจผู้อื่นเช่นนี้มาทวงบุญคุณช่างหน้าไม่อาย คิดว่าตัวเองเป็นเด็กแล้วคนอื่นเขาจะทำอะไรไม่ได้หรือยังไง ที่ยอมให้ต่อปากต่อคำมาจนถึงตอนนี้ก็เพราะเมตตาหรอก”เมื่อมีคนช่วยเสริม จางอี้เชียนก็ไม่รอช้าจะเอ่ยต่อ แต่ทุกถ้อยคำหลังจากนั้นล้วนถูกเมินเฉย จนคนทั้งหลายแปลกใจ แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ของนางเองไม่มีใครล่วงรู้ความคิดของนางว่า ที่เงียบอยู่นั้นเพราะกำลังหาวิธีจัดการกับคนเหล่านี้เมื่อพูดไปก็เหมือนต่อยปุยนุ่น พวกเขาจึงเงียบลงในเวลาต่อมา เมื่อนางไม่ตอบโต้ก็มีแต่จะถูกพ่อสามีมองด้วยหางตาอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้นฉินหลิวซีรู้ว่านางให้น้องกินดีอยู่ดี จนเริ่มมีเนื้อหนั
แต่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านไม่เข้ามาอย่างที่รับรู้กันเป็นอย่างดีว่า พวกสัตว์อสูรชอบมาทำรัง ต่อให้เป็นสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยหรือเป็นสัตว์อสูรชั้นต่ำ แต่สำหรับชาวบ้านที่เป็นเพียงคนธรรมดา พวกมันก็สร้างอันตรายให้ได้มากกว่าสัตว์ป่าทั่วไปอยู่ดี นี่จึงเป็นข้อดีของผู้ฝึกวิชาอีกข้อหนึ่งที่ฉินหลิวซีรู้สึกชอบใจ“ถึงจะดูเงียบเหงาและวังเวงไปหน่อย แต่ก็มีเสียงนกร้องนะ” เขาชี้ให้สองพี่น้องเงยหน้ามองขึ้นบน ต้นไม้บางต้นแถวนี้มีนกมาทำรัง ทำให้รู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาได้อยู่ไม่ได้เป็นพื้นที่พิศวงน่ากลัวแต่อย่างใด“แต่ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่ข้าบอกหรอกนะ” หลี่เจิ้นหัวยิ้มกว้าง ทำให้เด็กหญิงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ“ไม่ใช่ที่ตรงนี้หรอกหรือ”“ไม่ นี่แค่ทางเข้าเท่านั้น แต่มันก็สวยขนาดนี้ พอเข้าไปถึงที่นั่นข้ามั่นใจเลยว่าเจ้าต้องชอบแน่ แต่ข้างในลึกไปกว่านี้ค่อนข้างร้อน ระวังด้วย”ได้ยินเช่นนั้นนางก็พยักหน้าเข้าใจ และหันไปกำชับน้องชายว่า ถ้าหากรู้สึกร้อนเกินไป หรืออาการไม่ดีต้องรีบบอกนางหลี่เจิ้นหัวเดินนำทั้งสอ
“งั้นวันนี้เอาเป็นเนื้อก็แล้วกัน”ทั้งสามคนเดินเข้าไปสำรวจ แต่ก็ยังระวังไว้ไม่ให้ห่างซุ้มไผ่ที่เป็นทางเข้ามากเกินไป เพราะหากไปไกลเกินกว่านี้โดยไม่ไตร่ตรองให้ดีอาจจะหลงทางได้ พวกเขายังไม่ชินพื้นที่ และฉินซือหยวนก็ยังน่าเป็นห่วง หากคลาดสายตาไปจะแย่เอาหลี่เจิ้นหัวมองหาจนเจอเข้ากับอสูรก่อเกิดขั้นสองตนหนึ่ง รูปร่างภายนอกของมันคล้ายกระต่าย แต่มีเขาเหมือนกวาง และหางเหมือนหนู ขณะเดียวกันใกล้ ๆ นั้นก็มีสัตว์อสูรก่อเกิดขั้นสามและขั้นสี่ ฉินหลิวซีอยากให้น้องชายได้เริ่มสั่งสมประสบการณ์ในสถานการณ์จริงจึงเสนอแผนขึ้น“เจ้าตัวที่อยู่ขั้นสองกับขั้นสามข้าจะล่อมันมาจัดการเอง ส่วนเจ้าตัวที่อยู่ขั้นหนึ่ง เจ้ารับไปก็แล้วกัน”“เอาตามนั้นก็ได้”หลังจากตกลงกันได้เรียบร้อย นางก็พาน้องชายเดินอ้อมมาอีกฝั่ง ให้น้องชายรออยู่ในจุดที่นัดกันไว้ หลังจากที่นางก่อกวนจนล่อมันทั้งสองตัวมาได้ ฉินซือหยวนก็โดดลงมาจากก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง พี่สาวตรึงเหยื่อไว้ให้และลองให้เขาเป็นผู้ลงมือ“ให้เกียรติชีวิต แต่อย่าได้สงสาร” นางเอ่ยย้ำ ได้ยินเช่นนั้นฉิน
“อันนี้ฝากข้าเก็บใช่ไหม” เด็กชายถามด้วยความไม่แน่ใจ “แค่ฝากเจ้าเก็บไว้ ถุงข้าใหญ่ไม่พอ” “ก็คิดไว้อยู่แล้ว” เขายิ้มแห้ง สิ่งที่เด็กหญิงข้างกายเคยแบ่งให้เขาคงมีแต่เนื้อจากเหยื่อที่ล่าได้ นางหวงสมุนไพรมากกว่าพวกสัตว์ที่เคยล่าด้วยซ้ำไป แต่เขาก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้หรอก ที่บ้านของตนมีสมุนไพรเก็บไว้ตั้งมาก นางจำเป็นต้องใช้มากกว่าเขาแน่นอน “เจ้าจะเก็บไปสักกี่ต้นกันล่ะ” “อย่างน้อยก็ชนิดละหนึ่งกำละมั้ง” นางไม่รู้ว่าที่นี่จะสามารถเข้าออกได้ตลอดเวลาถึงเมื่อไหร่ การมีสำรองไว้ย่อมดีกว่า อย่างน้อยหากวันหนึ่งเกิดเข้ามาไม่ได้จริง ๆ นางก็ยังมีตัวอย่างเพื่อไปเสาะหาจากคนอื่นได้อีก “ท่านพี่ ๆ ข้าเจอต้นไม้สวย ๆ ด้วยละ” น้องชายที่วิ่งไปสำรวจอีกทางวิ่งกลับมา ฉินหลิวซีละมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ยืนขึ้นเต็มความสูง อ้าแขนรอน้องที่วิ่งพุ่งเข้ามาหา “เจออะไรอย่างนั้นหรือ ถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้” ฉินซือหยวนตื่นเต้นออกนอกหน้านอกตา เขารีบจูงมือพี่สาวไปดูสิ่งที่ตนพึ่งค้นพบ โดยมีหลี่เจิ้นหัวเดินตามหลัง ไกลออกมาจากที่ที่นางเก็บสมุนไพรอยู่เมื่อครู่เล็กน้อย
“แต่คนล่อคงตึงมือใช่ย่อยเลยนะ”“เดี๋ยวข้าทำเอง”“เช่นนั้นเจ้าล่อพวกมันไปอีกทาง ข้าจะเก็บผลของมันเท่าที่ทำได้แล้วตามไปช่วยสมทบ”เมื่อตกลงกันได้ดังนั้น ฉินหลิวซีก็โดดขึ้นไปซ่อนบนต้นไม้ ส่วนหลี่เจิ้นหัวก็เดินเข้าไปยั่วโมโหสัตว์อสูรพวกนั้น แค่เขาทำเสียงดัง และจะเข้าไปใกล้ต้นไม้พวกมันก็คำรามลั่น และไล่กวดเด็กชายไปทั้งกลุ่มฉินหลิวซีอาศัยจังหวะนั้นไปเก็บผลของมันมา นางโยนเข้าไปในมิติ และแบ่งใส่ถุงเฉียนคุนไว้ส่วนหนึ่งเมื่อจัดการผลท้อมรกตเสร็จก็ได้ยินเสียงสัตว์อสูรคำรามลั่นดังแต่ไกล ฉินหลิวซีดวงตาเบิกกว้าง วิ่งตามไปทางต้นเสียงนั้นหลังจากล่อพวกมันออกมาไกลประมาณหนึ่งแล้ว เขาก็หันไปประจันหน้า สัตว์อสูรร่างกายสูงใหญ่ใช้กรงเล็บตะปบผู้บุกรุก เมื่อหลบตัวหนึ่งได้ อีกตัวก็ฟาดลงมา ทำให้ต้องรีดเค้นประสาทสัมผัสทั่วร่างให้เปิดออกถึงขีดสุด ด้วยพละกำลังของเด็ก เขาไม่สามารถต้านทานพลังของพวกมันได้ ทำได้แค่หลบไปหลบมาและสวนคืนได้พอเฉียด ๆ เท่านั้นหลี่เจิ้นหัวใช้กระบี่ของตนออกมาปัดกรงเล็บของพวกมันให้พ้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่
"ท่านแม่ทำยา""อุ๊บ! ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษด้วยนะ แต่แม่ไม่ได้เป็นกระต่ายหรอก" ฉินหลิวซีขำพรืดก่อนเอี้ยวตัวมาลูบศีรษะบุตรชายด้วยความเอ็นดู"ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เสี่ยวไป๋สามารถเป็นได้ทุกอย่างที่ลูกอยากเป็นเลย จะเป็นกระต่ายหรือดวงดาวก็ได้ แม้จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็อย่าได้ทิ้งสิ่งนี้ที่อยู่ในใจของลูกไปเลยนะ"เมื่อการเติบโตทำให้ความรับผิดชอบมากขึ้น ความสุขที่ไขว่คว้าได้ก็น้อยลง ต้องยอมปล่อยมือจากสิ่งที่รักและหวงแหน ต้องสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่อาจไม่ปรารถนาแต่จำเป็นต้องมี วัฏจักรของมนุษย์ดำเนินไปเช่นนั้นฉินหลิวซีปรารถนาให้ลูกของตนไม่ถูกกลืนกินจากมัน แต่สุดท้ายก็คงไม่มีใครรอดพ้นอยู่ดี ดังนั้นก็จงทนุถนอมเอาไว้ให้ยาวนานเท่าที่ได้เถิดหลังจากบินเล่นจนพอใจแล้วหงส์แดงเพลิงก็ร่อนลงตรงที่กว้างสักแห่ง เจ้านายเปิดมิติให้ทุกคนก็เข้าไปพักผ่อน แต่เจ้าตัวสีทองนั่นยังบินเพลินไม่ยอมกลับเข้ามา เดือดร้อนคนรักของเจ้านายต้องออกไปตามอีกรอบมันเดินเตาะแตะมานอนซุกตัวข้างตัวบ้าน มิตินี้ไม่เคยถูกคนนอกรุกล้ำเข้ามาได้ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผู้บุกรุกเหล่านั้นก็จะต้องรับมือมันก่อน
ทันทีที่มันลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้ มันก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าการต่อสู้คือความสามารถและวิถีของมันทุกครั้งที่ฟักออกจากไข่ ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายคนก่อนจะหายไป ไม่ว่าความผูกพันธ์นั้นจะมีหรือไม่มี ก็จะถูกลบหายไปอย่างเท่าเทียมตั้งแต่ครั้งที่สามหรือสี่ที่รู้ตัวว่าเป็นแบบนั้น มันจึงใช้เวลากับเจ้านายใหม่เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อถูกปลุกขึ้นมา หลังถวายความภักดีให้ก็จะถูกใช้ไปสู้กับตัวอื่น ๆ บ้างก็แพ้บ้างก็ชนะ เคยถูกล่าม ถูกขัง และถูกเลี้ยงปล่อยเป็นอิสระด้วยเช่นกันการต้องจดจำเรื่องเหล่านั้นทุกครั้งที่ตื่นก็ดูเหนื่อยเกินไปจริง ๆ มันเริ่มรู้สึกเห็นด้วยที่ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายถูกลบหาย เห็นเป็นเพียงเงาร่างเลือนที่นึกไม่ออกทั้งชื่อและหน้าเจ้านายแต่ละคนปฏิบัติกับมันและมอบบทบาทให้มันไม่เหมือนกันคิดว่าครั้งต่อไปจะให้มันทำอะไรก็ไม่เกินความสามารถ แต่ก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าสัตว์อสูรในตำนานอย่างมันต้องมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กแกว้ก!"เสี่ยวฮั่วเล่นกับ ๆ อยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปรดน้ำแปลงสมุนไพร" วางทารกกับเด็กเล็กหนึ่งคนพิงตัวมันเสร็จก็เดินหนีไปยุคสมัยท
"เจ้าค่ะ!""เรื่องนั้นไม่ต้องพูดก็ได้" ซือหยวนจะตะครุบปากภรรยาเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่ทันฉินหลิวซีประติดประต่อเรื่องราว ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปในใจตัวเอง เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มพลางปรายตามองน้องชายร่วมสายเลือด"อย่างนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว"อยากให้ยุคนี้มีกล้องจริง ๆ เลยเชียวเพราะเหยื่อล้วนไปที่หอนางโลมนั้น สาเหตุการตายมาจากพิษ คนร้ายต้องเป็นคนใน หากจะหาเบาะแสก็ต้องแฝงตัวเข้าไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หอนางโลมนั้นผู้ชายจะเข้าไปได้ก็ในฐานะลูกค้า ไม่สามารถเป็นคนที่ทำงานในหอนั้นได้ ขอบเขตของเบาะที่หามาย่อมเจอทางตัน สุดท้ายก็ต้องปลอมตัวไปเป็นคนในเสียเองในฐานะสตรีผู้หนึ่ง ฉินหลิวซีทั้งรู้สึกแย่และรู้สึกดีกับเรื่องนี้ในคนละมุมมอง แต่มันเป็นที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว จะไปคิดมากก็ดูใช้พลังชีวิตเกินความจำเป็นดูจากตอนนี้ทั้งคู่ก็มีความสุขดี นางคงไม่ยื่นมือไปทำอะไรทั้งนั้น ตั้งใจว่าจะกลับมาเยี่ยมแต่โดนทำให้ตกใจเสียได้"พี่หญิงจะค้างที่นี่กี่วันหรือคะ ข้าจะให้คนจัดห้องให้""ไม่ต้องค้าง กลับไปเลย""พี่สาวเจ้ามาหาทำไมทำตัวแบบนี้ นางอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้า
เมื่อหลายปีก่อนมีสำนักคุ้มภัยเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมืองที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้มักไม่ค่อยมีขุนนางน้ำดีแวะเวียนมาเพราะหาประโยชน์กอบโกยไม่ได้แต่แล้วก็มีเซียนโอสถน้อยผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นที่นี่ นางกับน้องชายจากบ้านเกิดไปหลายปีเพื่อร่ำเรียนกับหมอเทวดา ครานั้นผู้คนในเมืองยังคิดกันอยู่เลยว่ามันไม่จริง เหมือนฝันอันห่างไกลที่เมืองแห่งนี้จะเจริญขึ้นได้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย เริ่มมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในที่ดินใกล้ที่ว่าการซึ่งปล่อยทิ้งร้าง มีร้านโอสถที่ขายยาหายาก เครื่องประทินโฉมอันเลื่องชื่อที่โด่งดังไปถึงต่างแดน"และคนที่เป็นเจ้าของสามในสี่อย่างที่ว่ามานี้ก็คือ ข้าเอง!"เสียงวางไหเหล้ากระแทกโต๊ะดังโครม ทุกคนเงียบกริบ เบนสายตาจากคนที่กำลังอวดอ้างตนเองมายังคนพเนจรร่างผอมบาง ผู้ที่มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายเพราะสวมผ้าคลุมและหมวกสานปิดหน้าอาไว้"อะไร จะหาเรื่องกันรึ?" ผู้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องเล่ามองเขม็งไม่สบอารมณ์"ได้ข่าวว่าสามสถานที่นั้นเป็นของเจ้าเพียงหนึ่งมิใช่รึ จะอ้างของใครก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยคุณชายฉิน" เสียง
หลี่ไป๋ได้ยินก็หูผึ่ง ต้องเป็นคนของบิดาเขาแน่ เวลาขนาดนี้ท่านแม่ก็น่าจะกลับมาจากออกล่าแล้วเช่นกัน แถมยังกำลังตามหาพวกเขาอยู่ หลี่ไป๋เริ่มมีความหวัง"ย้ายที่กันก่อน รีบพาสินค้าไปจุดรับของ" แม้จะร้อนใจจากเรื่องที่พึ่งได้ยินแต่หัวหน้าคนชั่วก็สั่งด้วยความใจเย็นหลี่ไป๋ขมวดคิ้ว พวกนั้นรีบร้อนแบบนี้ที่นี่คงอยู่ใกล้ ๆ เมือง เขาต้องหาทางถ่วงเวลา"เสี่ยวหนิง" เขากระซิบเรียกน้องสาวที่ยังนอนกลิ้งหนีความจริงไม่เลิก"หือ?" เชือกมัดปากก็ไม่ยอมแกะทำเป็นเล่นจริง ๆ ให้ตายสิแต่ก็ดีกว่านางร้องไห้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้หูแตกแน่ แถมเหมืองยังจะถล่มแน่นอนอีกด้วย"ช่วยพี่ชายหน่อยสิ เดี๋ยวซื้อเปาจื่อให้สามลูก"พอเอาของกินมาล่อนางก็พยักหน้าทันทีพวกมันขนสัมภาระขึ้นเกวียนอย่างรวดเร็วแล้วออกเดินทางจากเมือง ผ่านอุโมงค์ทอดยาวจนมาถึงด้านนอกในที่สุด ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้วท้องฟ้าจึงเริ่มเปลี่ยนเวลาที่ใช้ไปกว่าจะออกมาข้างนอกไม่นาน หมายความว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้ลึกอย่างที่คิดหลี่หวานหนิงมองหน้าพี่ชาย พออีกฝ่ายพยักหน้านางก็กรีดร้องเสียงดัง"กร
"สามีที่รัก…การกลับมาอย่างรีบร้อนของข้าเหมือนจะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีเท่าไรเลยนะ"เหนืออาคารของหอกระจายข่าวคล้ายมีเมฆครึ้มทั้งที่ท้องฟ้าส่วนอื่นยังแจ่มใสถ้าไม่นับนายท่านที่พึ่งกลับมาได้จังหวะพอดิบพอดีคนอื่น ๆ ล้วนกำลังตามหาร่องรอยคนร้าย หัวหน้าหอแห่งอวิ๋นซีจึงเป็นผู้ร่วมชะตากรรมหนึ่งเดียวที่ต้องมานั่งคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าฮูหยินอยู่ตอนนี้แต่เป็นใครมาอยู่ตรงนี้เฟยหลางก็คิดว่ายอมศิโรราบกันหมดตั้งแต่นางเดินเข้ามาประตูมาอยู่ดี ลองเห็นภาพนางลากคอไก่ฟ้าตัวขนาดพอ ๆ หงส์แดงเพลิงเข้ามาใครจะไม่ผวาบ้างหลี่เจิ้นหัวหน้าซีดตัวหดเหลือสองชุ่น"ยะ ยอดรักจ๋า""ไม่เคยเห็นในเมืองวุ่นวายขนาดนี้ แถมยังเป็นคนของหอกระจายข่าวอีก คิดว่าจะปิดบังได้หรือไง""ก็…ไม่หรอก แต่ข้าอยากรีบหาตัวให้เจอก่อนเจ้ามา"ก่อนมาถึงอาคารนี้นางก็จับคนมาถามความแล้วจึงรู้เรื่อง ไม่ได้แปลกใจอะไร ปญหามันอยู่ต่อจากนี้ต่างหากฉินหลิวซีเอาอาวุธคู่กายทั้งสองออกมา โยนงานจิปาถะให้คนอื่นทำ"ไก่ฟ้านี่ฝากชำแหละหน่อย เดี๋ยวข้ากลับมา"ว่าแล้วก็โดดออกทางหน้าต่างข
"โฮ่ คุณหนูน้อยสองคนคุยเรื่องรูปสลักในร้านยายกันใหญ่เชียว ทำไมไม่เลือกมันเล่า""น้องข้ามีเยอะแล้ว ให้นางเท่านี้ก็พอขอรับ" หลี่ไป๋ตอบกลับอย่างสุภาพ หญิงชราเจ้าของร้านงึมงำอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่เข้าใจหลี่ไป๋เอาถุงเงินออกมาเตรียม แต่ลืมไปว่าฝากไว้ที่เฟยหลาง"พี่เฟย - ""ขอรับคุณชาย…คุณชาย?"เฟยหลางหันซ้ายหันขวา รอบตัวเขาไม่มีใครอยู่เลย แต่เมื่อครู่มั่นใจว่าคุณชายน้อยเรียกเขาแน่ ๆ ร้านแผงลอยก็ปราศจากเจ้าของ เฟยหลางหน้าซีด"ซวยแล้ว…"หลี่หวานหนิงร้องอู้อี้เพราะถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ ที่ปากก็มีเชือกผูกไม่ให้ส่งเสียง เพียงพริบตาเดียวที่สายตาหลุดจากหญิงชราตรงหน้าไป พวกเขาก็ถูกพามาที่ไหนสักแห่งด้วยยันต์เคลื่อนย้าย ทันทีที่ร่วงกระแทกพื้นพวกมันก็กรูกันเข้ามาจับมัดทันที แต่เพราะเห็นเป็นเด็กจึงไม่ได้มัดแน่นหนาอะไรหลี่หวานหนิงกระดึ๊บซ้ายทีขวาทีราวกับหนอนยักษ์ นางค่อนจะ…ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกินไปสำหรับเด็กที่ถูกขโมยตัวมา แต่จะว่านางก็เหมือนถ่มน้ำลายใส่หน้าตัวเอง เพราะคนที่สงบนิ่งยิ่งกว่าใครก็คือหลี่ไป๋เองนอกจากพวกเ
"หมายความว่าอย่างไรโดนลักพาตัว!""ขออภัยขอรับนายท่าน ข้าคลาดสายตาไปเพียงนิดเดียวพวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว"หลี่เจิ้นหัวตะโกนเสียงดัง "คิดว่าข้ออ้างแบบนั้นจะแก้ตัวขึ้นหรือไง รีบไปตามหาเดี๋ยวนี้เลย!"คนของหอกระจายข่าวสาขาประจำเมืองกระจายกำลังกันไปอย่างรวดเร็ว จะมีอะไรเป็นเรื่องเร่งด่วนไปกว่าเรื่องที่บุตรทั้งสองของนายท่านหายตัวไป แถมยังเป็นความสะเพร่าซึ่งเกิดขึ้นตอนฮูหยินไม่อยู่ หากจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยไม่ได้ ไม่แน่ว่าสิ่งที่อยู่ในหม้อต้มยาจะไม่ใช่วัตถุดิบสมุนไพรแต่เป็นกระดูกพวกเขาต่างหากเด็กเก้าขวบกับห้าขวบตัวไม่ใช่เล็ก ๆ จะหายไปทันทีได้อย่างไร อีกทั้งดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เพียงการเล่นสนุกของเด็ก ๆ คนที่ทำเรื่องอย่างนี้ต้องมีมากกว่าสอง หรืออาจจะทำกันเป็นกลุ่มใหญ่เลยก็ได้ ต้องรีบหาให้เจอภายใต้เงาของเมืองอันเงียบสงบคนของหอกระจายข่าวกำลังเคลื่อนไหว เกิดเรื่องที่ไหนไม่เกิดมาเกิดที่เมืองพวกเขาเสียได้ สาขาของหอกระจายข่าวมีตั้งมากดันเลือกมาเกิดที่เมืองที่สงบสุขที่สุดในแคว้นช่างน่าเวทนาผู้ไม่ประสงค์ดีกลุ่มนั้นเหลือเกิน…หลี่เจิ้นหั
นายท่านหอชิงขุยจัดการแยกงานที่ต้องทำด่วนจะทำทีหลังได้ออกจากกันเป็นสองกอง พอไม่ได้เข้ามาที่หอนานแบบนี้งานก็กองสุมการจนล้นมือไปหมด พอมีลูกสองคนแล้วเขาก็ยิ่งขยันทำงานมากขึ้นคงต้องเข้ามาที่หอชิงขุยบ่อยกว่านี้แล้วล่ะ"ฉินหลิวซีไม่อยู่แบบนี้คือช่วงเวลาพิสูจน์ฝีมือสินะ"เมื่อนางกลับมาจะต้องภูมิใจในตัวสามีร่วมงานคนนี้ ที่เขาเลี้ยงลูกได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง คิดแล้วก็เผลอยิ้มออกมา"ท่านพ่อ ทำหน้าตาพิลึกจัง""พิลึก!" พอโดนเด็กทักแบบนี้ทำเอาใจแป้วเลยทีเดียว นี่เขายิ้มแล้วหน้าตาพิลึกหรอกหรือ"หรือจริง ๆ แล้วข้าไม่ได้รูปงาม แต่หน้าตาแปลกพิสดาร?"ท่านแม่ รีบกลับมาทีขอรับ"เสี่ยวไป๋…ทำไมมองพ่อด้วยสายตาเย็นชาแบบนั้นล่ะลูก"คำถามของเขาไม่ได้รับคำตอบ บุตรชายเอียงคอมองหน้างง ๆ คล้ายไม่เข้าใจ ทำให้ยิ่งเกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่าหรือจริง ๆ แล้วเขาเอง เป็นเขาเองที่แปลก"อ้ะ แต่ถ้านางชอบ แปลกก็ดีแล้วนี่นา"ท่านแม่…ไม่รู้ด้วยเหตุใดแต่บุตรคนแรกของเขาดูจะมีความคิดที่โตเกินวัยไปสักหน่อย รวมถึงคำพูดคำจาที่เด็กวัยเดียวกันไม่น่าคิด