เด็กหญิงจับจ้องไปยังไก่ป่าตัวหนึ่งที่บังเอิญเจอระหว่างทาง หลังจากฟุ้งซ่านด้วยการต่อว่าคนในครอบครัวของท่านลุงไปแล้วก็กลับมาควบคุมสติตัวเองดังเดิม นางจ้องเหยื่อเอาไว้ รอจังหวะที่ดีที่สุดจึงค่อยลงมือ
พริบตาที่เปิดช่องว่างนั้น ตัวของมันก็ถูกคว้าเอาไว้ ไก่ป่าร้องกะต๊ากเสียงดังก่อนจะเงียบลง ตะกร้าที่นำสะพายหลังขึ้นมาด้วยเต็มไปด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติชั้นเลิศ “ก็ไม่เท่าไรนี่” เด็กหญิงยิ้มยินดีกับฝีมือตัวเองที่พัฒนาขึ้นมากจากสามเดือนก่อน พอชำนาญแล้วก็ใช้เวลาน้อยลงไปตั้งครึ่งฉินหลิวซีกลับมาบ้านในตอนบ่ายแก่ ๆ ซึ่งคนรับหน้าที่ทำอาหารแต่ละวันจะเริ่มเตรียมวัตถุดิบกันตั้งแต่ช่วงนี้ นางหิ้วไก่ป่ามาสองตัว และมีพวกมันที่ล่าได้วันนี้เก็บไว้ในมิติอีก ไก่ป่าสองตัวนั้นถูกโยนเข้าไปกลางห้องท่านป้ากับอาสะใภ้ที่หั่นผักอยู่พากันอึ้ง ฉินหลิวซีเดินเลยไปไม่สน กลับห้องตัวเองก็แบ่งที่ย่างเก็บไว้ให้น้องกินเพราะโอกาสที่นางกับครอบครัวจะได้กินเนื้อ ต่อให้ล่ามาเองก็ใช่ว่าจะมี เจอแบบนี้คนปกติคงละอายใจบ้าง แต่ไม่ใช่กับสกุลฉิน เพราะวันนี้ตรงหน้านางก็ยังมีน้ำแกงเปล่ากับเด็กหญิงย่อตัวลงหลบหลังต้นไม้ใกล้พงหญ้า นางหยิบธนูและลูกศรออกมา ง้างสุดแขนเตรียมจะยิง สมาธิแน่วแน่นิ่งสงบ“อ๊ะ! ตรงนั้นมีนกสีแปลก ๆ ด้วย มันคือนกอะไรอย่างนั้นหรือ”กระต่ายกลมนั้นโดดกระเจิงหนีหายไปเพราะตกใจเสียงเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง เด็กหญิงเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจหันมามองตาขวาง เหยื่อที่นางอุตส่าห์หาเจอหนีรอดไปได้แล้ว พอถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้นหลี่เจิ้นหัวก็เงียบปาก สีหน้าหงอยลงอย่างรู้สึกผิดนางอยากจะตำหนิ แต่พอเห็นสีหน้าเช่นนี้แล้วก็พูดไม่ออก ถึงจะไม่พอใจ แต่เขาก็แค่อยากได้สหายคุย นางยังหาโอกาสมาล่าอีกได้ ในมิติก็มีเนื้อเก็บไว้อีก จะเอาความร้อนใจไปลงที่เด็กคนหนึ่งก็ใช่เรื่อง“ข้าจะไปล่ามันใหม่ เจ้าสงบปากสงบคำซะเดี๋ยวพวกมันก็หนีไปอีกหรอก”หลี่เจิ้นหัวพยักหน้าหงึก ๆ ยอมยืนรออยู่กับที่แต่โดยดี ฉินหลิวซีวิ่งไปอีกทาง แม้หลี่เจิ้นหัวจะกลัวว่าเด็กหญิงคนนั้นอาจทิ้งเขาไว้ด้วยความรำคาญ แต่หากดันทุรังตามไปก็จะถูกนางโกรธอีก เขาจึงยอมรออยู่ตรงนี้แม้จะรู้สึกกลัวก็ตามฉินหลิวซีหายไปได้ไม่นานก็กลับมาพร้อมไก่ป่าตัวหนึ่ง“วันนี้ข
“นั่นอะไรน่ะ” หลี่เจิ้นหัวเดินมาถามด้วยความสงสัย“สมุนไพร”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันคือสมุนไพร” เด็กชายเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ หน้าตาพืชที่อยู่ตรงหน้ามองอย่างไรก็เหมือนต้นหญ้าธรรมดา น้อยคนนักจะมองออกว่ามันคือสมุนไพร ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ก็เพิ่งเคยเจอคนใช้พลังธาตุนอกจากตัวเอง เด็กหญิงตรงหน้าทำได้ทั้งสองอย่างที่ชวนตะลึงสำหรับเขา หลี่เจิ้นหัวจึงรู้สึกสนใจเป็นอย่างมากฉินหลิวซีไม่ตอบคำถามแต่มองเมินเขาไปเฉย ๆ เมื่อนางไม่เต็มใจตอบเขาก็ไม่คาดหวังเด็กทั้งสามคนเดินเข้ามาในป่าลึกอีกนิด จนกระทั่งหางตามองเห็นสัตว์ป่าตัวหนึ่ง เด็กหญิงหันไปมองหลี่เจิ้นหัวที่เดินตามมา“เจ้าไปจับเจ้าตัวนั้นมาได้หรือเปล่า”เขามองตามสายตานาง เห็นกวางอยู่ตัวหนึ่ง คิดว่านางอยากเห็นฝีมือของคนประเภทเดียวกันจึงยอมพยักหน้า แค่แสดงฝีมือเล็กน้อยเท่านี้เขาทำให้ได้อยู่แล้ว“ได้สิ” เขาตอบรับต้องรอยยิ้ม หลี่เจิ้นหัวทำได้ตามที่คาด ใช้เวลาไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับกวางตัวนั้น ผู้มีก่อเกิดลมปราณขั้นที่สองไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริ
“โอ๊ะโอ ใครกันนี่ ใช่หลานรักของลุงหรือเปล่า” ชายหนุ่มคนนั้นแย้มยิ้ม น้องชายที่หลบอยู่หลังพี่สาวเพราะประหม่าในตอนแรกจึงยื่นหน้าออกมาดูด้วย“ข้าเองเจ้าค่ะ”หลังจากที่น้าหญิงเล็กได้รับแบ่งเนื้อจากหลานสาว ก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนในครอบครัวฟัง พวกเขาจึงได้รับรู้การไปมาหาสู่ของนาง แม้จะไม่เคยพบหน้าด้วยตัวเองตั้งแต่นั้นก็ตาม เพราะต่างคนต่างมีงานต้องทำระหว่างวัน จะมีบางครั้งบางคราวที่บังเอิญเจอกันบ้างเท่านั้น“คราวนี้ก็เอาเนื้อมาแบ่งให้อีกแล้วสินะ ขอบใจมาก”“ท่านลุง นอกจากเนื้อที่นำมาแบ่งให้ไปปรุงอาหาร ข้าอยากรบกวนท่านลุงอีกสักเรื่องเจ้าค่ะ”“อะไรหรือ”“ท่านลุงมักจะไปที่ตลาดบ่อยครั้ง ข้าจึงอยากนำเนื้อไปฝากขายด้วย”เด็กอย่างนางเดินเข้าไปแถวเขียงหมูคงดูประหลาด ยิ่งกับการนำเนื้อจำนวนมากไปขายลำพัง คงถูกจับตามองแน่ ไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้คงรู้ถึงหูครอบครัวบิดา และก็จะทำให้นางทำงานยากขึ้นอีกท่านลุงใหญ่ได้ยินว่าหลานสาวคนนี้ล่าสัตว์เป็นจึงไม่ได้แปลกใจอะไรกับคำขอของนาง แต่ก็อดทึ่งในความสามา
หลี่เจิ้นหัวยังเป็นลูกมือให้นางอย่างดีโดยไม่บ่นสักคำ มีแต่นิสัยช่างซักช่างถามเสียงเจื้อยเสียงแจ้วอยู่ข้าง ๆ นี่เท่านั้นที่ทำอย่างไรก็ไม่ชินเสียที ไม่รู้ที่ผ่านมาโดนเลี้ยงอยู่แต่ในบ้านหรืออย่างไรจึงเหมือนไม่เคยออกมาเผชิญโลกภายนอกเลย แม้แต่เห็ดต้นเล็ก ๆ ที่เห็นได้ทั่วไปก็ไม่รู้จักอย่างว่า ถ้ารู้จักพืชชาวบ้านบ้างคงไม่หลงทางในป่า“ท่านลุง วันนี้ก็ขอฝากด้วยนะเจ้าคะ”“โอ้! เชื่อใจได้เลย!” หลังจากแยกทางกับหลี่เจิ้นหัวนางก็นำเนื้อส่วนที่ล่าได้มาฝากท่านลุงอีกวัน“หลังจากนี้คงไม่ได้มาบ่อยแล้วนะเจ้าคะ นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายของเดือนที่ข้าจะรบกวนท่านลุง”“ล่าเยอะไปก็ไม่ดีจริง ๆ นั่นแหละนะ ทั้งเสี่ยงที่คนจะสงสัย แล้วในป่าก็จะเสียสมดุลเอาได้ ช่างเป็นเด็กที่รู้ความจริง ๆ” ชิวหลานเอ่ยชม ลูบศีรษะสองพี่น้องที่จูงมือกันมาด้วยความเอ็นดู“อันนี้เป็นส่วนที่เจ้าฝากไว้เมื่อวาน” ลุงใหญ่ยื่นถุงเงินให้นาง ฉินหลิวซีรับไปนับแล้วแบ่งให้ญาติผู้ใหญ่ตามเดิม กล่าวขอบคุณเสร็จนางก็ตรงกลับบ้านชิวเหรินหลังจากแย
“เจ้ามาแล้ว!” พอหลี่เจิ้นหัวเห็นหน้านางก็ร้องขึ้นด้วยความดีใจ วันนี้น้องชายตื่นยากกว่าทุกที กว่าจะออกจากบ้านได้ก็สายแล้ว หลี่เจิ้นหัวใจฝ่อนึกว่าสองพี่น้องจะไม่มา“ดีใจอะไรขนาดนั้นเล่า”“ข้ากลัววันนี้ต้องกลับคนเดียวเสียแล้ว”“แถวบ้านเจ้าไม่มีสหายอื่นนอกจากพวกข้าเลยหรือ ทำหน้าเหงาขนาดนั้น”“จริง ๆ ก็ไม่มี” หลี่เจิ้นหัวหัวเราะแห้ง เพราะเอาแต่ฝึกฝนอยู่ตลอด และเดินทางตามบิดาบ่อยครั้ง เขาเลยไม่มีสหายที่สนิทสนมด้วยถึงขั้นนั้น พอมาเจอฉินหลิวซีที่มีอะไรเหมือน ๆ กันเลยพลอยติดนางไปด้วย“วันนี้ข้าจะเก็บเห็ด เจ้าแยกพวกมันออกหรือเปล่า”“เรื่องเห็ดนี่ข้ายอมแพ้เลยจริง ๆ วัตถุดิบปราบเซียนชัด ๆ” เด็กชายยกมือยอมแพ้แต่เนิ่น ๆ นางอย่าได้คาดหวังกับเขาเรื่องนี้เลย“พี่หลี่” หลังจากเกาะติดพี่สาวมาตลอดทาง พอเห็นหลี่เจิ้นหัวก็เปลี่ยนท่าทีขี้อายขี้กลัวไปเกาะเด็กคนนั้นพอมีเด็กอายุน้อยกว่ามาออดอ้อนหลี่เจิ้นหัวก็เอาขนมที่พกมาด้วยออกมาโดยง่ายน้องชายข้า...ร้ายกาจเกินไปแล้ว
เด็กหญิงรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย เพราะแต่ในแต่ไรมาก็ไปไหนด้วยกันตลอด แต่เรื่องนี้มีเหตุจำเป็น พอสหายเข้าใจโดยง่ายก็ทำให้นางโล่งใจขึ้น หลังจากมาบอกข่าวกับสหายแซ่หลี่ ฉินหลิวซีก็ตรงกลับบ้านทันที ข้ออ้างที่บอกว่าจะไปบ้านท่านน้าอะไรนั่นไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว ถึงปกตินางมักจะไปขอยืมตะกร้าเพิ่มก่อนเข้าป่าก็ตาม แต่วันนี้ไม่จำเป็นหลังกลับถึงบ้านนางก็เข้าไปในห้องนอนของครอบครัว ทำเนียนช่วยน้องชายแต่งตัวก่อนจะเอ่ยกำชับกับเขา“อาหยวน เรื่องพี่ชายหลี่หรือเรื่องที่เคยเข้าป่าไปด้วยกัน ห้ามพูดให้ท่านพ่อได้ยินเป็นเด็ดขาด เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราคนนะ”ฉินซือหยวนพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้จึงถามขึ้น“วันนี้ท่านพ่อจะไปกับเราหรือ?”“จากที่ฟังมาน่ะนะ” นางไม่รู้ว่าบิดาจะมาไม้ไหนหรือนึกระแวงสงสัยอะไร แต่กันไว้ก่อนดีกว่าไปแก้ปัญหาเอาดาบหน้า“เอาละ เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ” นางจูงมือน้องชายออกมาหน้าบ้าน นอกจากบิดาแล้วยังมีมารดายืนอยู่ด้วย“ท่านแม่ก็จะไปด้วยหรือเจ้าคะ?”“จะตามไปสมทบ
ไม่ผิดจากที่บุตรสาวกล่าวไว้ว่า วันนี้พวกเขาได้กินแต่น้ำแกงเปล่าจริง ๆ มีแค่แผ่นแป้งบาง ๆ แข็ง ๆ แทนข้าวเพราะกินเนื้อมาตั้งแต่ในป่าแล้วนางจึงไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจอะไร แต่ก็แอบค่อนขอดในใจคนในครอบครัวนี้ไปหลายประโยค จนป่านนี้คนสกุลฉินก็ยังไม่สำนึกบุญคุณหรือเห็นคุณค่าในสิ่งที่นางกระทำ ตลอดมื้อเย็นเหน็บแนมนางว่าหาอาหารได้มาน้อย เผลอ ๆ ก็แค่ได้รับน้ำใจแบ่งปันจากคนอื่นเรื่องนี้ฉินหลิวซีฟังมาจนเบื่อ แทบจะท่องตามได้ทุกประโยค เพราะก็ไม่พ้นเรื่องเดิม ๆ“จนตอนนี้ยังไม่สำนึกผิด ลอยหน้าลอยตากินอยู่ได้”เด็กหญิงกลอกตาด้วยความระอา จางอี้เชียนเห็นท่าทางแบบนั้นก็ยิ่งโกรธ เตรียมจะต่อว่านางหนักข้อขึ้น“เด็กคนนี้นี่!”“เจ้าหุบปากเสียที พูดอยู่ได้ทั้งวัน อาหารเสียรสชาติหมด” ปู่ฉินเอ่ยตำหนิเสียงดังจนคนถูกต่อว่าอ้าปากค้างเพราะตนเองก็ไม่ทันตั้งตัว ไม่คิดว่าจะถูกพ่อสามีตำหนิ“ต้องให้ข้าขึ้นเสียงถึงจะหุบปากได้หรือ หยุดแล้วก็ดี กินข้าวกันต่อ” เพราะผู้นำสูงสุดของบ้านแสดงตัวเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรให้เดือดร้อนถึงตัวเองอีก
ฉินซือหยวนชี้ไปยังหุ่นไม้ตัวหนึ่งที่อยู่กลางห้องอีกฝั่ง ห้องที่นางเคยแอบเข้าไปฝึกระหว่างให้น้องชายรอที่ห้องนี้ หุ่นตัวนั้นอยู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นราวกับมิติต้องการให้นางได้ใช้ฝึก มิตินี้นางเป็นเจ้าของ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันมีสำนึกรู้คิดหรือไม่ จะไปถามใครก็ไม่ได้ เพราะแม้แต่ต้นตอหรือต้นกำเนิดของมันนางก็ไม่รู้ ในเมื่อเป็นสิ่งที่มอบให้มาก็คงเป็นประโยชน์ต่อนางแน่ฉินหลิวซีจึงยินดีจะรับไว้“มันมีมาได้สักพักแล้วน่ะ เจ้าเล่นที่นี่รอไปก่อนระหว่างรอข้าอีกสักเดี๋ยวก็แล้วกัน”น้องชายนางฉลาดและรู้ความ ทั้งเชื่อฟังพี่สาวเป็นอย่างดี ในเมื่อคำตอบมีเท่านั้นเขาก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ ฉินหลิวซี ปล่อยให้น้องชายอยู่ลำพังแล้วข้ามไปฝึกที่ห้องนั้น จนกระทั่งถึงเวลาที่เคยนัดหมายไว้กับสหายจึงค่อยออกจากบ้านชีวิตดำเนินไปแบบนี้ในทุกวัน อาหารเช้าที่บ้านตระกูลฉินนางกับน้องชายไม่เคยได้กินอิ่ม แต่เขาเริ่มมีน้ำมีนวลมากขึ้นเพราะนางเลี้ยงดูอย่างดี ตั้งแต่จับเหยื่อเองได้ก็ไม่เคยปล่อยให้เขาอด จากเด็กชายผอมแห้งคนหนึ่งก็เริ่มมีรูปร่างสมบูรณ์ขึ้นมาจนดูแปลกตาไปจางอี้เชียนที่ปะทะคารมกับหลานสาวเก
“ถ้าเรื่องนั้นละก็ พวกน้าตัดสินใจแล้ว แต่ว่าท่านตาท่านยายยังมีเรื่องที่ห่วงอยู่”“อะไรหรือเจ้าคะ”“อย่างที่เห็นว่าพวกท่านอายุมากแล้ว ต่อให้ใช้ยาวิเศษของเจ้าก็รู้สึกว่ามีความเสี่ยงอยู่ดี แม้ว่าน้าจะรบเร้าไปหลายครั้งแล้ว แต่พวกท่านก็ไม่ยอม”ฉินหลิวซีพยักหน้าอย่างเข้าใจ เรื่องนี้ก็สมเหตุสมผลที่พวกท่านจะกังวล เป็นนางเองอยู่ในจุดนั้นก็คงมองเรื่องนี้ว่ามีความเสี่ยงเลวร้ายมากกว่าดี“ท่านแม่ ข้าเองก็เคยกลัวเหมือนท่าน” ชิวย่าหนาน เป็นคนเดินเข้าไปหามารดาของนางก่อนใครหลังจากได้ฟัง นางเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เพราะในตอนที่ตนเองต้องตัดสินใจ ก็ห่วงเรื่องเดียวกันนี้ว่าอายุมากแล้ว“ข้าเข้าใจว่าท่านกังวล แต่หากมองย้อนกลับไป ข้าก็หวังว่าท่านจะตอบรับคำขอของหลาน”“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ” สตรีอาวุโสกุมมือบุตรสาวตอบ ถามด้วยเสียงอ่อนโยน“เพราะสถานะทางการเงินของบ้านเราไม่เคยดี สิ่งที่ควรจะได้มีจะได้ใช้ร่วมกันอย่างเช่นเวลาครอบครัวไม่เคยมาถึง และเพราะร่างกายอ่อนแอ ความเป็นอยู่ส่งผลเช่นนั้น พวกเขาจึงรังแกเราได้ง่าย หากกลายเป็นคนที่สมเป็นมนุษย์ยิ่งกว่านั้น ทั้งความแข็งแกร่งของร่างกายและจิตใจที่ได้มา ข้าเชื่อว่าเรา
ชิวหลานนั่งนิ่งอึ้ง สีหน้าทุกคนประหลาดใจพอ ๆ กันตั้งแต่ที่เด็ก ๆ ออกจากเมืองไป พวกเขาก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมฉินก่วงถึงล่าสัตว์ได้มากกว่าแต่ก่อน เดิมทีก็ล่าสัตว์เก่งอยู่แล้ว แต่พักหลังมานั้นดูเหมือนว่าจะใช้เวลาน้อยลงไปมากจนน่าแปลกใจพอเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจึงได้ลองถามดู ถึงได้รู้ว่าทั้งสองคนกลายเป็นผู้ฝึกตนแล้ว พอรู้อย่างนี้ก็ไม่กล้าถามรายละเอียดอื่น ๆ อีก ในตอนนั้นรู้สึกเหมือนไม่ควรจะถาม หากทั้งสองคนต้องการบอกก็คงบอกออกมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ก็ยังเก็บเงียบมาจนถึงเดี๋ยวนี้พอฉินหลิวซีพูดเรื่องนี้ขึ้นมาพวกเขาคิดว่าคงจะเกี่ยวข้องกัน“ดูจากสีหน้าพวกท่านยายไม่ได้ประหลาดใจเท่าไร ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่อธิบายเกินความจำเป็น พวกท่านยายท่านลุงท่านน้า ช่วยกลับไปคิดสิ่งที่ข้าจะพูดสักหน่อยเถอะนะ...”ฉินซือหยวนล้างชามเสร็จออกมาจากหลังบ้านพอดีจึงนั่งฟังกับพี่สาวด้วย เด็กหญิงแย้มยิ้มพลางบอกเล่าความคิดของตนไป รอยยิ้มของนางสะกดคนให้มองค้างก่อนจะถ่ายทอดความรู้สึกผ่านดวงตาความปรารถนานี้อาจยากที่จะเข้าใจ สำหรับคนที่เคยมองโลกในแง่ร้ายและไม่ปรารถนาจะเห็นใจผู้อื่น ความรู้สึกชิงชังความเป็นจริงที่ตนได้เผชิญ และ
“แม่เตรียมเอาไว้ให้ เผื่อวันใดเจ้ากลับมาจะได้ไม่ยุ่งยากซื้อใหม่ นับวันราคาข้าวของมีแต่จะสูงขึ้น บางอย่างที่ซื้อก่อนได้ อย่างพวกของใช้ทั่วไปก็จะซื้อไว้ให้เจ้าก่อน หากเจ้าไม่ชอบก็ค่อยนำไปขายแล้วซื้อใหม่”“ข้าไม่จุกจิกกับเรื่องพวกนั้นเท่าไรหรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่เสียอีกคงลำบากมากที่ต้องเตรียมของให้ข้ามากมายขนาดนี้ การเงินบ้านเราก็ไม่ค่อยดีและมีปัญหามาตลอด”“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ เงินที่นำมาซื้อหาของใช้เข้าบ้านก็เอาจากการที่พ่อเจ้าไปล่าสัตว์มาได้ บางวันก็ออกไปรับงานช่วยคนอื่นอีกที บ้างก็เป็นบ้านเศรษฐีที่ไม่ได้สนใจว่าเราเป็นใคร หรือทำอะไรได้มากกว่านี้หรือเปล่า”ต้องบอกว่ามารดาของนางมองออก หรืออาจเป็นที่ทั้งสองปรึกษากัน แต่การทำแบบนั้นดีแล้ว เรื่องพลังที่นางสอนให้ไว้ป้องกันตัวก็ควรรู้แค่คนที่จะได้ลองมัน บางอย่างคนรู้น้อยยิ่งดี เพราะขึ้นกับนิสัยคนพูดด้วยว่าจะบอกอย่างไรท่านแม่ของนางหัวอ่อนมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้แก้ไม่ได้ ดังนั้นต้องหาวิธีสื่อสารที่จะให้แน่ใจว่า นางจะมองมันเป็นความลับแสนสำคัญ“ล่าสัตว์คงไม่พอประทังมากขนาดนี้ คงเน้นไปที่การทำงานให้ท่านเศรษฐีสินะเจ้าคะ”“ก็อย่างที่เจ้
ครอบครัวสกุลฉินมายืนส่งหมอเทวดาที่ทางออกหมู่บ้าน ใครผ่านไปผ่านมาก็เห็นแล้วว่าสองพี่น้องสกุลฉินที่เกิดจากลูกคนรองกลับมาแล้วบนบ่าของฉินหลิวซีมีย่ามอยู่หนึ่งใบ เป็นของที่หมอเทวดาทิ้งไว้ให้ก่อนออกจากหมู่บ้านไป ในนั้นมีโอสถทะลวงลมปราณและโอสถอื่น ๆ อีกมากมายที่ตั้งใจมอบให้แก่ลูกศิษย์เอาไว้ใช้งานอาจารย์บอกระหว่างทางมาที่นี่แล้วว่า การดูแลคนไข้ช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องให้นางหรือน้องชายติดตามไปเป็นผู้ช่วยอีกแล้ว การเดินทางระหว่างพวกเขาสิ้นสุดลงตามที่ซุนเป่ยฉีเคยได้บอกไว้หลังจากนี้จะพบกันหรือไม่ ก็แล้วแต่วาสนาจะนำพา หลังจากส่งอาจารย์เรียบร้อยแล้วบิดามารดาก็พาสองพี่น้องเข้าไปพักในบ้าน เดินทางยาวนานครั้งนี้คงเหนื่อยไม่ใช่น้อย ชิวย่าหนานเข้าครัวทำอาหารฉลองแต่หัววัน ผู้เป็นพ่อก็ออกไปหาวัตถุดิบมาเพิ่ม เพราะแน่ใจว่าวันนี้คงเป็นอาหารมื้อใหญ่ในรอบหลายปี“เดินทางครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้แม่ฟังหน่อยสิ” ชิวย่าหนานยิ้มบานถามสองพี่น้องฉินก่วงได้ยินสิ่งที่ภรรยาพูดก็หูกระดิกอยากรู้ด้วย จากครั้งแรกที่ตั้งใจว่าจะไปหาวัตถุดิบมาเพิ่มจากป่าหรือไม่ก็เข้าไปซื้อของในตัวหมู่บ้านก็เป็นอันต้องเลื่อนออกไป เรื่องของบ
“เช่นนั้นข้าเก็บของเลยนะเจ้าคะ” นักเดินทางเดิมทีก็ไม่ได้พกของมากมายอะไรในกรณีของฉินหลิวซีก็มีมิติที่ใช้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ของใช้น้อยกว่านักเดินทางคนอื่นเข้าไปอีก ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็เดินทางต่อได้ทันทีสามศิษย์อาจารย์มุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้าน คล้อยหลังทั้งสามคนมีคนกลุ่มหนึ่งเฝ้าคอยติดตาม หมอเทวดารู้ว่ามีคนแอบลอบสังเกตการณ์พวกตนอยู่ แต่คนเหล่านั้นไม่ได้แสดงเจตนาร้ายเขาจึงปล่อยไป ตราบใดที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เขากับลูกศิษย์ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องออกหน้าความเคลื่อนไหวของฉินหลิวซีและฉินซือหยวน ถูกรายงานไปยังสถานที่หนึ่งโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้เรื่องซุนเป่ยฉีพิจารณาดูแล้วพวกเขาไม่ได้ต้องการจะทำอันตราย จึงไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ลูกศิษย์ของตน หรือหากภายหลังพวกเขาเปลี่ยนใจอยากจะลงมือขึ้นมา ลำพังแค่ตัวฉินหลิวซีก็น่าจะรับมือได้สบาย หมอเทวดาชั้นเซียนฝึกฝนลูกศิษย์ของเขามาอย่างดี จึงไม่ได้ห่วงอะไรกับสองพี่น้องอีกหอกระจายข่าวประจำเมืองหลวงสถานที่แห่งนี้บริหารงานได้อย่างสงบเรียบร้อยดีนับตั้งแต่วันที่ก่อตั้งมา ไม่เคยมีศัตรูหน้าไหนทำให้สั่น
“ในเมื่อเจ้าพูดลำบากนัก ข้าจะบอกแล้วกัน เมื่อวานนี้เจ้าสามคนนั้นบุกรุกเข้าไปในห้องนอนของลูกศิษย์ข้า ตั้งใจจะสังหารนาง แต่ก็โดนเล่นงานกลับ เราพบกันครั้งแรกคือเมื่อวาน และข้ามั่นใจว่านางไม่ไปหาเรื่องใครก่อนแน่”“เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยแทนบุตรสาวด้วย” เขาจับศีรษะลูกของตนให้ก้มลงมาพร้อมกันเป็นการขออภัยอย่างสุดซึ้ง“ข้ายังไม่พอใจ” ซุนเป่ยฉีบอกออกมาทันที“เช่นนั้นข้าจะทำให้สมเกียรติของลูกศิษย์หมอเทวดา ท่านขัดข้องหรือไม่”“ไม่ขัดข้องอยู่แล้ว” ไม่ต้องสาวความให้มากมายทั้งสามคนก็หลบออกไปจากห้องตามด้วยเจ้าสำนักและบุตรสาวคนในสำนักคุ้มภัยหันมองพวกเขาเป็นตาเดียว“ทำสิ่งที่เจ้าควรทำ ไม่อย่างนั้นเจ้าโดนดีแน่” ท่านเจ้าสำนักยื่นคำขาด บุตรสาวจากที่มีท่าทางอวดดีก่อนหน้านี้เริ่มหน้าซีดตัวสั่นนางคุกเข่าลงไปกับพื้น หมอบจนหน้าผากแนบชิดลงไป“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้าริษยาความงามของท่านจึงเผลอล่วงเกินไป ข้าต้องขออภัยด้วยจริง ๆ” นางคุกเข่าลงต่อหน้
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสามคนลงมากินอาหารที่โรงเตี๊ยมอย่างสบายอารมณ์ ทำเหมือนว่าเมื่อคืนไม่มีเหตุการณ์อะไร ฉินซือหยวนไม่พูดถึงด้วยซ้ำ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินไก่ต้มและกอบโกยข้าวลงท้อง“อร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอ”“นาน ๆ ครั้งจะได้กินอาหารรสมือคนอื่นบ้างนี่นา”“เจ้าเด็กคนนี้ จะบอกว่าเบื่อรสมือพี่อย่างนั้นหรือ”“ท่านพี่กินรสมือตัวเองทุกวันยังบ่นว่าเบื่อเลย”ฉินหลิวซีกะพริบตาปริบ ๆ อ้าปากค้างด้วยความอึ้ง นี่น้องชายของนางซึมซับอะไรไม่ดีจากนางไปเยอะเลยใช่ไหมนี่ กระทั่งวาจาก็ยังทำให้คนฟังรู้สึกโมโหได้ถึงขนาดนี้ หากโตไปกว่านี้เขาคงได้ต่อว่าใครต่อใครที่ทำให้ตนไม่พอใจจนกระอักเลือดแน่แบบนี้จะเรียกว่าดีหรือแย่กันล่ะเนี่ยมื้ออาหารผ่านไปโดยมีเสียงพี่น้องจิกกัดกันตลอดเวลา ซุนเป่ยฉีทำหูทวนลม เพราะเริ่มชินชาเสียแล้ว หลังจากกินข้าวจนหมดและจ่ายค่าห้องส่วนที่เหลือ พวกเขาก็ออกเดินทางหมอเทวดานำทางไปยังสถานที่หนึ่งที่เคยได้บอกไว้ว่าจะพาร่างของคนพวกนั้นไปส่งคืน ฉินหลิวซีก็นึกอยู่ว่าเป็นที่ไหน ชวนแปลกใจยิ่งนักที่
“ไม่มีอะไรหรอก อาจจะเป็นแค่คนขี้อิจฉาก็ได้”“ขอรับ?”“นางแอบตามพวกเรามาตั้งนานแล้ว”คำตอบของพี่สาวยิ่งทำให้เขางุนงงมากกว่าเดิมเป็นคนของสำนักคุ้มภัยทั้งที ก็น่าจะลบกลิ่นอายสักหน่อยสิ ไม่ไหวเลยดูจากป้ายแล้ว คุณหนูคนนั้นเป็นคนของสำนักคุ้มภัยขึ้นชื่อของเมือง หลังจากที่อยู่ที่นี่มาระยะหนึ่ง นางฟังคำที่ชาวบ้านคุยกันก็พอรู้เรื่องบ้าง สำนักคุ้มภัยของที่นี่เป็นสำนักที่มีอำนาจขนาดที่เจ้าเมืองยังเกรงใจ เพราะเป็นแบบนั้นชาวบ้านธรรมดาก็ไม่มีใครกล้าต่อต้านส่วนจุดประสงค์ที่เข้ามาแย่งซื้อเครื่องประดับกับนาง ไม่แน่ใจว่าเป็นความริษยาแบบไหน ฝีมือหรือรูปโฉมหากเป็นอย่างหลังนางก็ไม่แปลกใจ เพราะได้ฝึกหลอมโอสถกับอาจารย์ แน่นอนว่านางต้องเป็นหนูลองยาให้เขาไม่น้อย ยาที่กินเข้าไปก็ล้วนเป็นสมุนไพรบำรุงเสียมากกว่าเป็นพิษ ผลของการกินยาเหล่านั้นอาจารย์ของนางก็แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อยู่บนใบหน้าของเขาแล้ว ต่อให้ไว้หนวดเคราก็ไม่ช่วยอะไรเมื่อไม่มีใครคอยจับตาดูอีก ฉินหลิวซีถึงได้เลือกหยิบเครื่องประดับทำจากหยกที่ตนต้องการจร
สมุนไพรที่หามามีทั้งหายากและง่าย เก็บมาได้มากน้อยต่างกัน ตัวยาใดที่หายากแต่ต้องใช้ในปริมาณมาก ทั้งที่เจอก็จะเก็บตุนเอาไว้เท่าที่หาได้ แต่ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่ใครจะอยากพบเจอฉินซือหยวนนั่งนอนมองแผ่นหลังของคนทั้งคู่ตั้งแต่ตื่นยันหลับ เวลาล่วงเลยผ่านไปถึงเจ็ดทิวาเจ็ดราตรี กว่าจะได้โอสถทะลวงลมปราณมาสิบเม็ด เม็ดยาสีเหลืองทองเปล่งประกายอยู่ตรงหน้า ต่อให้ไม่ใช่นักปรุงยาหรือหมอประจำโรงแพทย์ที่ไหนก็คงจะดูออกได้ว่ามันมีราคาสูงมากยิ่งความบริสุทธิ์ของยาสูงประสิทธิภาพก็ยิ่งดี ดูความบริสุทธิ์ได้จากสีของเม็ดยาหลังจากที่หลอมออกมาแล้วนางเข้าใจแล้วว่า ทำไมมันถึงได้มีราคาสูงนัก ในตระกูลที่มีเงินอยู่บ้าง ส่วนมากจะใช้โอสถสร้างแก่นปราณที่ราคาไม่กี่ตำลึงและหาได้ทั่วไปในตอนที่ตามหามันก็รู้สึกว่ายากลำบากแล้ว ใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้ขนาดนี้ ไหนจะขั้นตอนการปรุงที่ผิดพลาดไม่ได้อีก หากมันไม่สำเร็จช่วงเวลาหลายปีที่ตามหาวัตถุดิบเท่ากับความสูญเปล่า ส่วนที่ผิดพลาดมีค่าไม่ได้ถึงครึ่งหนึ่งของตัวมันเองหากสำเร็จด้วยซ้ำหลังจากที่ชั่งน้ำหนักความยากลำบากของตนเอง นางเห็นด้วยมาก ๆ ที่จะตั้งราคา