บทที่ 2
แสดงอำนาจ
อวี้เฉินฟู่ไปทำงานด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสเบิกบาน ทั้งก่อนที่จะไปเขาได้มอบตั๋วเงินกว่า 1,000 ตำลึงทองให้กับบุตรสาว เพื่อเอาไปซื้อของที่ต้องการนำไปยังอารามเป่าซานด้วย สองแม่ลูกจ้องมองตั๋วเงินตาแทบไม่กะพริบ โดยเฉพาะอวี้ซูเยว่ที่ไม่ต้องการให้อวี้หลันได้รับสิ่งดี ๆ ไป
เมื่ออวี้เฉินฟู่จากไปแล้ว และโจวลี่เฟยได้แยกตัวไปจัดการบัญชีร้านค้าของตระกูล อวี้ซูเยว่พลันตรงเข้ามาดึงตั๋วเงินจากมือของอวี้หลันทันที รั่วซีที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบออกมาเผชิญหน้า นางรู้สึกจะทนรับไหวกับนิสัยของคุณหนูรองแล้ว
"คุณหนูรองเจ้าคะ ตั๋วเงินนี้เป็นของคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ"
"แล้วอย่างไร เป็นบ่าวอย่าได้มาเสนอหน้า"
อวี้หลันมองน้องสาวด้วยความขบขัน แค่ตั๋วเงินเพียงเท่านี้ยังต้องมาแย่งชิงราวกับเป็นของมีค่ามากมายเช่นนั้นแหละ
"ช่างเถอะรั่วซี หากน้องรองอยากได้ก็เอาไปเถิด" อวี้หลันหันมายิ้มอ่อนหวาน "เงินของน้องรองมีไม่พอให้จับจ่ายซื้อของ พี่ใหญ่เช่นข้าย่อมต้องยินดีมอบเงินจำนวนเล็กน้อยให้กับน้องรองอยู่แล้วล่ะ"
อวี้ซูเยว่ได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนเสีย นังพี่สาวตัวดีกำลังด่าว่านางยากจนเป็นขอทานหรือ ถึงได้ต้องการตั๋วเงินเป็นเพียงแค่นี้ ช่างกล้าดีนักนะ!
"พี่ใหญ่เข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ ข้ามีเงินมากมายจนนับแทบไม่ไหวเลยล่ะ"
"เช่นนั้นหรือ...แล้วเหตุใดคนที่บอกว่ามีเงินมากมายถึงได้มาแย่งชิงเงินเพียงเท่านี้กันเล่า หรือว่าไม่มีใครสั่งสอนว่าการที่เจ้าทำเช่นนี้ มันเรียกว่าการขโมย ทำตัวราวหญิงที่ไร้การอบรมสั่งสอน ไม่รู้ว่าถ้าท่านพ่อรู้เข้าจะทำสีหน้าอย่างไร ที่บุตรสาวคนรองมาแย่งชิงตั๋วเงินจากบุตรสาวคนโตกันนะ"
อวี้หลันดึงตั๋วเงินกลับมา แล้วอมยิ้มพลางมองน้องสาวที่เวลานี้ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
"เจ้า!! กล้าดีอย่างไรมาว่าข้า นังคนชั้นต่ำ"
"ข้าหรือคนชั้นต่ำ น้องรอง...เจ้าควรรู้ฐานะของตัวเองนะ ข้าเกิดจากภรรยาเอก ส่วนเจ้าเกิดจากภรรยารอง เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าใครกันแน่ที่ฐานะต่ำกว่า!"
อวี้หลันหัวเราะขำ แล้วจึงเดินจากมาทิ้งให้อวี้ซูเยว่กรีดร้องอยู่เบื้องหลังด้วยความโกรธจัด
"กรี๊ดดดด!! กลับมานี่นะ นังแพศยา!"
อวี้ซูเยว่กระทืบขาด้วยความขัดใจ นางโกรธแค้นอวี้หลันเป็นอย่างมาก อยากจะฉีกทึ้งร่างของอวี้หลันให้แหลกเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นเลย คอยดูเถิดว่านางจะจัดการนังคนอวดดีนี้อย่างไร!
เรือนหลันหลัน
หลังจากที่ทั้งสองกลับมาที่เรือนแล้ว อวี้หลันมองตั๋วเงินที่อยู่ในมือด้วยความดีใจ ยกแรกที่ได้ปะทะกับอวี้ซูเยว่นั้นนางชนะ แต่นางจะย่ามใจตอนนี้ก็คงจะเร็วเกินไป เพราะคนที่ร้ายกาจที่สุดคือโจวลี่เฟยต่างหาก อวี้ซูเยว่ก็แค่นางร้ายฝึกหัดเท่านั้น นางไม่สามารถเทียบชั้นกับมารดาของนางได้อยู่แล้ว
"เมื่อครู่นี้คุณหนูใหญ่เก่งมากเลยเจ้าค่ะ บ่าวนี่หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอกอยู่แล้ว ครั้งแรกเลยนะเจ้าคะที่ได้เห็นคุณหนูรองร้องกรี๊ดเช่นนี้"
อวี้หลันหัวเราะขำพลางจับมือของรั่วซีเอาไว้แน่น
"นี่เพิ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้นนะรั่วซี ต่อไปเราสองคนอาจจะต้องตกที่นั่งลำบากก็ได้ เจ้ายอมที่จะอยู่เคียงข้างข้าเช่นนั้นหรือ"
"พูดอะไรเช่นนั้นเจ้าคะ คุณหนูมีบุญคุณกับบ่าวมากมายนัก ถ้าไม่ได้คุณหนูป่านนี้บ่าวคงกลายเป็นหญิงคณิกาไปแล้ว ไม่ว่าคุณหนูจะเดินไปยังเส้นทางไหน บ่าวจะขอติดตามรับใช้คุณหนูจนตัวตายเจ้าค่ะ"
อวี้หลันถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก คนในยุคนี้ถือเรื่องบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระสินะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็จะถือว่าสองแม่ลูกนั่นมีความแค้นกับนาง และนางย่อมต้องตอบแทนคืนเป็นเท่าทวีคูณเลย!!
"เข้าใจแล้ว ขอบใจเจ้ามากนะรั่วซี ก่อนอื่นเจ้าไปสั่งให้คนเตรียมรถม้าให้ข้าที ข้าอยากจะออกไปซื้อของสักหน่อย"
"เจ้าค่ะ"
รั่วซีส่งยิ้มละมุนแล้วจึงได้ปลีกตัวจากไปทำตามคำสั่งของเจ้านายสาว
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะก้าวขึ้นไปรถม้า สาวใช้คนสนิทของโจวลี่เฟยพลันเข้ามาขวางทางเสียก่อน นางเอ่ยเรียกทั้งสองด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก ทั้งยังไร้ความยำเกรงต่ออวี้หลันผู้เป็นเจ้านายด้วย
"คุณหนูใหญ่ ฮูหยินเรียกเจ้าค่ะ"
'หลี่อี้' บ่าวรับใช้คนสนิทของโจวลี่เฟยที่ติดตามมาตั้งแต่บ้านเดิม เดินนวยนาดเข้ามาหาทั้งสองคนอย่างถือดี นางเหยียดยิ้มมุมปากแล้วมองอวี้หลันด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เรื่องที่นางต่อปากต่อคำกับคุณหนูรองอวี้ซูเยว่ยังคงเป็นสิ่งที่นางกังขา เพราะที่ผ่านมาคุณหนูใหญ่มักเจียมตัวเสมอมา ขนาดนางที่เป็นบ่าวคุณหนูใหญ่ยังต้องนอบน้อมกับนางเลย
"แม่รองเรียกข้าเช่นนั้นหรือ"
อวี้หลันเน้นย้ำคำว่ารองเสียงดัง สายตาของนางมองประเมินสตรีสูงวัยตรงหน้าไปด้วย
"เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่รีบไปเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้ฮูหยินอารมณ์ไม่ใคร่จะดีนักด้วยรู้เรื่องที่คุณหนูใหญ่ทำเอาไว้หมดแล้ว"
"เจ้าคือหลี่อี้สินะ"
"เจ้าคะ?"
หลี่อี้ไม่เข้าใจคำถามของอีกฝ่าย
"หลี่อี้ ในฐานะที่เจ้าเป็นบ่าวอาวุโสและเป็นคนสนิทข้างกายของแม่รอง ข้าจะเอ่ยเตือนเจ้าสักครั้งหนึ่ง" อวี้หลันก้าวขึ้นมาเผชิญหน้ากับหลี่อี้ สายตาของนางจับจ้องหลี่อี้ไม่วางตา "ข้าคือคุณหนูใหญ่ที่เกิดจากภรรยาเอก บิดาคือเสนาบดีใหญ่แห่งราชสำนัก เจ้าที่เป็นบ่าวกล้ามาตีตนเสมอข้าหรือ ทั้งไม่เคารพและไม่แม้แต่จะทำความเคารพข้า ไม่รู้ว่าเจ้าใจกล้าหรือว่ามีใครให้ท้ายกันแน่ ช่างอวดดียิ่งนัก! ข้าควรจะทำโทษบ่าวที่มันเหิมเกริมอย่างไรดีนะ"
อวี้หลันปรายตามองหลี่อี้ราวกับมองมดปลวกที่แสนไร้ค่า
"คะ คุณหนูใหญ่"หลี่อี้ผงะถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก สายตาที่มุ่งร้ายของคุณหนูใหญ่ทำให้แผ่นหลังของนางเย็นเฉียบด้วยความหวาดกลัว"คุกเข่า!!""จะ เจ้าค่ะ"หลี่อี้ทรุดกายลงตรงหน้าของอวี้หลันทันที เนื้อตัวของนางสั่นเทาด้วยความขลาดกลัวอำนาจของคุณหนูใหญ่นางไม่ควรดูแคลนเลย หากเรื่องที่นางทำกิริยาไม่เหมาะสมล่วงรู้ไปถึงหูของท่านเสนาบดีแล้วละก็...นางคงถูกโบยจนหลังขาดเป็นแน่ มีใครไม่รู้บ้าง ท่านเสนาบดีรักและเอ็นดูคุณหนูใหญ่มากมายนัก ถ้าไม่ใช่เพราะฮูหยินรองและคุณหนูรองคอยกดข่มคุณหนูใหญ่ตั้งแต่ยังเด็กจนไม่กล้ามีปากมีเสียง ป่านนี้อำนาจในจวนคงตกเป็นของคุณหนูใหญ่ไปแล้ว แต่เพราะเหตุใดคุณหนูใหญ่ผู้ถึงได้ลุกขึ้นมาต่อกรกับพวกนางเล่า!เรื่องนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ค้างคาใจของหลี่อี้"เห็นแก่แม่รอง ข้าจะให้เจ้าคุกเข่าอยู่ตรงนี้สักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน ต่อไปอย่าได้มาท้าทายข้าอีกเล่า เพราะครั้งหน้าข้าจะไม่ใจดีแบบนี้อีก""จะ เจ้าค่ะ ขอบคุณคุณหนูใหญ่ที่เมตตาเจ้าค่ะ"หลี่อี้โขกศีรษะขอบคุณเป็นการใหญ่ แต่ใบหน้าของนางกลับซีดเผือดจนกลายเป็นสีขาว แค่คุกเข่าหนึ่งก้านธูปนางก็เกินจะทนไหวแล้ว แต่นี่นางกลับถูกสั่งให้คุกเข่านาน
บทที่ 3อารามเป่าซานหลังจากนั้นบรรยากาศภายในจวนตระกูลอวี้ก็เปลี่ยนไป บ่าวรับใช้ที่เคยดูหมิ่นอวี้หลันไม่กล้าแม้แต่จะสบตาด้วย เมื่อได้เห็นอวี้หลันเดินผ่านมา พวกนางเป็นต้องก้มหัวจนปลายคางชิดหน้าอก ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาด้วย ขนาดบ่าวรับใช้อย่างหลี่อี้ยังถูกลงโทษ จนตอนนี้ขาของนางยังไม่สามารถกลับมาเดินได้ปกติ พวกนางที่เป็นเพียงบ่าวรับใช้ต่ำต้อยจะกล้าอาจหาญไปหาเรื่องคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรกันฮูหยินรองและคุณรองเองก็อยู่กันอย่างสงบเงียบกันมาก ทุกทีจะต้องมีคำสั่งจากทั้งสองให้ไปเรียกคุณหนูใหญ่มาพบ และไม่นานพวกนางก็จะเห็นว่าคุณหนูใหญ่กำลังถูกลงโทษอย่างครานั้นที่คุณหนูใหญ่ล้มป่วยอยู่สามวัน นั่นก็เป็นเพราะคุณหนูรองเข้ามาหยิบปิ่นปักผมของคุณหนูใหญ่ไป แต่รั่วซีกลับเอ่ยทักท้วง ทำให้คุณหนูรองโมโหเป็นอย่างมาก เมื่อเรื่องรู้ไปถึงหูฮูหยินรอง นางกลับสั่งลงโทษให้คุณหนูใหญ่คุกเข่าสำนึกผิดหน้าเรือน โทษฐานที่เป็นพี่สาวแล้วไม่เสียสละให้แก่น้องสาว วันนั้นเป็นวันที่แดดแรงราวกับจะแผดเผาทุกสิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนบ่ายคล้อย ฝนกลับตกลงมาอย่างหนักราวกับฟ้าพิโรธ นั่นจึงทำให้คุณหนูใหญ่ต้องคุกเข่าตากฝนกว่าหนึ่งชั่วยาม กว่าจ
เบื้องหน้าของทุกคนคืออารามขนาดใหญ่ซึ่งก่อสร้างจากไม้เนื้อดีที่ส่องประกายเงางาม แสงแดดที่ตกกระทบลงมายิ่งทำให้อารามเป่าซานส่องประกายเจิดจ้าสว่างไสว โดยรอบของอารามล้อมรอบไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่ให้ความร่มรื่นต่อผู้ที่มายังสถานที่แห่งนี้ อวี้หลันเหม่อมองด้วยหัวใจที่รู้สึกสงบ นางสูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ ก่อนจะเดินขึ้นไปยังบันไดสูงชันที่ทอดตัวลงมาเบื้องล่างสองคนนายบ่าวเดินขึ้นไปพร้อมกัน โดยด้านหลังมีบ่าวรับใช้และสารภีช่วยกันยกของขึ้นมาด้านบน กว่าจะเดินมาถึงด้านบนก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่หอบกระชั้นเพราะความเหนื่อย เมื่อทั้งหมดเดินขึ้นมาถึงตัวอารามเป่าซาน ด้านหน้าก็ได้มีหลวงจีนรูปหนึ่งที่ออกมายืนต้อนรับด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง"คุณหนูใหญ่อวี้ เดินทางมาถึงที่นี่ลำบากหรือไม่"น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามด้วยความโอบอ้อมอารี"คารวะท่านหลวงจีน ข้าน้อยมีนามว่าอวี้หลันเจ้าค่ะ การเดินทางมาที่อารามเป่าซานไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะ คงจะเป็นเพราะความตั้งใจจริงของข้ากระมังเจ้าคะ ทำให้ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้งเลยเจ้าค่ะ"อวี้หลันเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นางยอบการคารวะหลวงจีนรูปนี้ด้วยความนอบน้อม แต่ภายในใจกลับนึกสงสัยว่าผู้
บทที่ 4ตัวประกอบรถม้ากลางเก่ากลางใหม่ได้เคลื่อนเข้ามายังหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากอารามเป่าซานมากนัก ตั้งแต่รถม้าที่เคลื่อนเข้ามาก็ได้ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในหมู่บ้าน เพราะไม่บ่อยมากนักที่ในหมู่บ้านจะมีรถม้าขับเข้ามาเช่นนี้ รถม้ายังคงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดพัก จนกระทั่งรถม้าได้จอดสนิทหน้าบ้านไม้หลังหนึ่งที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน "ท่านพี่ขอรับมีรถม้ามาที่บ้านเราขอรับ"เด็กชายที่อายุน่าจะเท่ากับน้องชายของอวี้หลันเอ่ยเรียกคนในบ้าน ด้วยตอนนี้เขากำลังนั่งถอนผักอยู่ที่แปลงหน้าบ้าน เด็กชายชะเง้อมองรถม้าหน้าบ้านด้วยความสนใจใคร่รู้"ใครมากันอาหวง"น้ำเสียงแว่วหวานที่ฟังเปล่งหูเอ่ยถามมาจากในบ้าน พร้อมกับร่างของสตรีนางหนึ่งที่หน้าตามอมแมมเดินออกมาจากในบ้าน นางมองอวี้หลันที่ก้าวลงมาจากรถม้าด้วยความประหลาดใจ"คุณหนูใหญ่อวี้?" หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ "ไม่ได้พบกันนานเลยนะคุณหนูหลัน""ได้โปรดอย่าเรียกข้าว่าคุณหนูเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าหาใช่ชนชั้นสูงแล้วไม่ เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น"ในน้ำเสียงของ 'หลันหนิงเหมย' มีความเศร้าซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยเย็นชา จากคุณหนูสูงศักดิ์ที่มีพร้
หลันหนิงเหมยออกจากภวังค์ความคิดของตน นางกลับมาสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า"เจ้าคงไม่รู้ว่าข้าเองก็ถูกโจวลี่เฟยทำร้ายมาเช่นเดียวกัน ซึ่งข้าย่อมไม่คิดจะยอมให้ศัตรูเสวยสุขอยู่บนความทุกข์ของข้าหรอกนะ"หลันหนิงเหมยหันกลับมามองทันที นางเริ่มสนใจในสิ่งที่อวี้หลันต้องการจะเอ่ย"ท่านต้องการสิ่งใดก็พูดมาตรง ๆ เถิด อย่าได้อ้อมค้อมอีกเลย""ข้าจะช่วยให้เจ้าได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหมือนเมื่อก่อน น้องชายของเจ้าจะได้เข้าเรียนสำนักศึกษาหลวง และเจ้าจะได้แก้แค้นคนที่ทำกับครอบครัวของเจ้าด้วย""แลกกับอะไร?""ชีวิตของเจ้า...เจ้าจะต้องเข้ามาเป็นฮูหยินรองของบิดาข้า เพื่อแลกกับการแก้แค้นเอาคืนโจวลี่เฟย ข้าให้สัญญาว่าคนที่ทำให้ครอบครัวเจ้าต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ จะต้องมีจุดจบที่เลวร้ายยิ่งกว่าอย่างแน่นอน ""อะไรนะ!! ท่านบ้าไปแล้วหรือคุณหนูใหญ่อวี้ บิดาของท่านอายุเกือบเท่าบิดาของข้าเลยนะ""แต่บิดาของข้าหนุ่มกว่า และหล่อเหลากว่าบิดาของเจ้านะ บิดาของข้าเพิ่งจะอายุ 40 เอง ยังหนุ่มยังแน่น ทั้งยังมีอำนาจที่เจ้าต้องการ และการที่เจ้าเข้ามาเป็นฮูหยินรองของบิดาข้า โจวลี่เฟยย่อมต้องโกรธแค้นจนแทบกระอักเลือดเป็นแน่
บทที่ 5สร้างเรื่อง อวี้หลันกลับมาที่จวนตระกูลอวี้พร้อมกับรั่วซี โดยนางได้ให้หลันหนิงเหมยและหลันหนิงหวงพักอยู่ที่อารามเป่าซานก่อน เมื่อถึงเวลาทั้งสองจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่จวนตระกูลอวี้อย่างแน่นอน ตอนนี้นางจะต้องลับไปพูดคุยกับบิดาเสียก่อน"ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ"อวี้หลันตรงเข้ามาหาอวี้เฉินฟู่ยังห้องหนังสือ ทันทีที่นางกลับมาถึงจวนก็ตรงมาที่นี่ทันที"โอ้ กลับมาแล้วหรือเป็นอย่างไรบ้างเล่า?""ท่านไต้ซือดีกับลูกมากเลยเจ้าค่ะ ท่านไต้ซือยังกล่าวกับลูกอีกนะเจ้าคะ เพราะผลบุญที่ลูกทำในครั้งนี้ ทำให้ท่านแม่สามารถปล่อยวางได้ จนสามารถเดินทางเข้าสู่แดนเซียนได้แล้ว แต่ก่อนไปท่านแม่ได้ทิ้งดวงจิตหนึ่งเสี้ยวไว้ให้คอยดูแลท่านพ่อด้วยเจ้าค่ะ"อวี้เฉินฟู่ที่กำลังนั่งอ่านรายงานรีบลุกขึ้นมาจับแขนของบุตรสาวแน่น แววตาที่ผ่านโลกมามากมองมาด้วยความกังขา"หมายความว่าอย่างไรหลันเอ๋อร์ ท่านไต้ซือว่าอย่างไรนะ?"
ท้องพระโรง'ฮ่องเต้เจิ้งชุนฟง' ได้ออกว่าราชกิจช่วงเช้าตามปกติ แต่ครานี้กลับมีเรื่องที่พระองค์คิดไม่ตก และต้องการให้เหล่าขุนนางช่วยแก้ปัญหานี้ด้วย"เจิ้นมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้พวกเจ้าช่วยเจิ้นคิดเสียหน่อย"พระสุรเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นเสียงดัง หลังจากการประชุมเรื่องงานราชกิจช่วงเช้าจบลง เหล่าขุนนางที่ยืนกันเต็มท้องพระโรงต่างยืดแผ่นหลังตรง เพื่อตั้งใจฟังในสิ่งที่ฮ่องเต้กำลังจะตรัส เรื่องใดหนอที่ฮ่องเต้ถึงกลับทรงคิดไม่ตก"ฝ่าบาททรงตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทเองพ่ะย่ะค่ะ"เสนาบดีกู้แห่งกรมยุติธรรมเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางกระตือรือร้น"ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่เจิ้นต้องการหาสตรีที่จะมาเป็นพระชายาองค์ชายสามเท่านั้นเอง"ทั่วท้องพระโรงพลันเงียบเสียงลงทันใด แค่ได้ยินชื่อขององค์ชายสามทุกคนก็อยากจะรีบถอยหนี ไม่มีผู้ใดอยากจะไปข้องเกี่ยวกับองค์ชายสามที่ได้ชื่อว่า 'เป็นจอมเสเพลแห่งเมืองหลวงหรอก'"เอ่อ...องค์ชายสามทรงมีสตรีที่พึงใจอยู่แล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ""ไม่มี แต่องค์
บทที่ 6รนหาเรื่อง จวนตระกูลอวี้อวี้เฉินฟู่กลับมาถึงจวนก็เรียกให้โจวลี่เฟยมาพบที่ห้องหนังสือทันที ใบหน้าของเขาอึมครึมด้วยความไม่พอใจในตัวภรรยาและครอบครัวของนาง รองเสนาบดีโจวคิดจะกำจัดบุตรสาวของเขาให้พ้นทางใช่หรือไม่ กลอุบายขลาดเขลาเช่นนี้เขาจะดูไม่ออกเลยหรือ ดูท่าว่าหลังจวนของเขาคงจะไม่ได้เงียบง่าย และสุขสงบอย่างที่ตาของเขาเห็นไม่"ท่านพี่เรียกหาข้าหรือเจ้าคะ"โจวลี่เฟยเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวาน นางคิดว่าสามีคงจะคิดถึงนางเป็นแน่ แต่หารู้ไม่ว่าบิดาของนางได้สร้างเรื่องเสียแล้ว "ใช่ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าได้พบบิดาของเจ้าหรือไม่ ข้าอยากจะมอบของขวัญให้ท่านพ่อตาเสียหน่อย"อวี้เฉินฟู่ปั้นสีหน้าให้กลับมาสุขุมดังเดิม"ข้าเพิ่งพบท่านพ่อเมื่อสองวันก่อนเจ้าค่ะ ท่านพ่อยังบ่นคิดถึงหลันเอ๋อร์อยู่เลยเจ้าค่ะ และท่านพ่อยังกล่าวว่าหลันเอ๋อร์อายุไม่น้อยแล้ว เราสมควรหาสามีดี ๆ ให้กับนาง เรื่องนี้ข้าเองก็เห็นดีด้วย อยากจะมาปรึกษ
ตอนพิเศษ 2ชุดนอนตัวใหม่ อวี้หลันเดินเข้าไปยังห้องนอนบุตรสาวเพื่อสั่งความแม่นมกับรั่วซี หลีกงกงที่อยู่ด้วยก็รู้ความนัก เขายังเอ่ยกับอวี้หลันด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกด้วย"พระชายาไม่ต้องเป็นห่วงท่านหญิงน้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกับรั่วซีจะช่วยดูแลท่านหญิงน้อยให้เอง พระชายาโปรดทรงวางใจได้เลยพ่ะย่ะค่ะ" หลีกงกงขยับเข้ามาใกล้อีกนิดเพื่อให้ได้ยินกันสองคน "ท่านหญิงน้อยคงจะเหงาน่าดูเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ทางที่ดีพระชายาน่าจะประทานน้องให้กับท่านหญิงน้อยสักหลาย ๆ คนก็ดีนะพ่ะย่ะค่ะ""หลีกงกง! เจ้านี่นะ"อวี้หลันทั้งขำทั้งฉุน หลีกงกงผู้นี้ช่างเจ้ากี้เจ้าการยิ่งนัก"โปรดเห็นใจคนแก่ขี้เหงาเช่นกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะพระชายา""เฮ้อ...เรื่องนี้หลีกงกงคงต้องไปกราบทูลองค์ชายสามแล้วล่ะว่าเขาจะมีความสามารถหรือไม่ ข้ามิอาจตอบได้หรอกนะ"อวี้หลันแสร้งถอนหายใจ ทั้งที่ใจจริงนางนั้นกำลังวางแผนเช่นกันว่าอยากจะมีบุตรอีกสัก 2 คนเพื่อให้เป็นเพื่อนเล่นกัน"เช่นนั้นข้าคงต้องออกแรงมากหน่อยเสียแล้วใช่หรือไม่"น้ำเสียงห้วนดุที่
ตอนพิเศษ 1เจิ้งลี่จิน เวลาล่วงเลยผ่านไปไวยิ่งนักในความรู้สึกของอวี้หลัน นับตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในร่างนี้ก็ร่วม 1 ปีกว่าแล้ว ตอนนี้ชีวิตของนางเปลี่ยนแปลงไปจนนางไม่นึกฝันเลย บัดนี้นางได้สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ขึ้นมาแล้ว บุตรสาวตัวน้อยผู้เป็นความสุขทั้งมวลให้กับนางกับเจิ้งจื่อห้าว เด็กน้อยที่น่าเอ็นดูนักในสายตาของผู้เป็นพ่อเป็นแม่'เจิ้งลี่จิน' บุตรสาวตัวน้อยที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากความรักของคนทั้งสอง เจ้าก้อนแป้งน้อยตัวขาวอวบอ้วน นางมีดวงตากลมโตสุกสกาวดั่งเช่นมารดา แต่จมูกโด่งรั้นกับริมฝีปากนั้นถอดแบบบิดามิมีผิดเพี้ยน ไม่ว่าผู้ใดต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าเจิ้งลี่จินช่างมีใบหน้าเหมือนกับบิดายิ่งนักคำพูดนี้เองที่ทำให้เจิ้งจื่อห้าวถึงกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความภาคภูมิใจ ตัวเขาเองก็รู้สึกดียิ่งนักที่บุตรสาวมีใบหน้าเหมือนกันกับเขา และยิ่งนางมีดวงตาเหมือนกับอวี้หลันเขายิ่งรู้สึกดีเพิ่มขึ้นไปอีกอวี้หลันจดจำความยากลำบากของการคลอดเจิ้งลี่จินได้ดี วันเวลากว่าจะผ่านมาได้ช่างแสนสาหัสยิ่งนัก แต่เมื่อคิดว่านี่คือการเสียสละของมารดาเพื่อให้เจ
บทส่งท้าย วังเจียวจินอวี้หลันนอนอยู่บนเตียงด้วยความเบื่อหน่าย นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วหลังจากที่นางถูกลอบสังหาร ตอนนี้นางได้หาเป็นอะไรมากที่บอกว่าตกใจก็เสแสร้งทั้งนั้น แต่กลายเป็นว่าเจิ้งจื่อห้าวนั้นตื่นตระหนกเกินไป เขาเป็นกังวลมากจนนางนึกเสียใจที่ใช้แผนการนี้ขึ้นมา สุดท้ายแล้วนางก็ต้องนอนอยู่นิ่ง ๆ บนเตียง โดยที่ไม่สามารถย่างกรายออกไปจากห้องได้เลย"ฮ่ะฮ่าเป็นอย่างไรบ้างเล่า ข้าล่ะนึกชอบใจนักที่องค์ชายสามทรงสั่งห้ามเจ้าลุกออกจากเตียงเช่นนี้ สมแล้วที่เจ้าใช้แผนการนี้หลอกล่อให้ฮองเฮาติดกับ ทั้งยังหลอกใช้ข้าอีกด้วย"กู้เฟยหนี่ว์ที่มาเยี่ยมอวี้หลันเอ่ยบ่นอีกฝ่าย นางยังคงรู้สึกไม่พอใจกับแผนการของอวี้หลันนัก แม้ผลลัพธ์จะดีที่สามารถกำจัดอำนาจของฮองเฮาไปได้ ทำให้องค์รัชทายาทรู้จักตัวตนอีกด้านหนึ่งของพระมารดาแต่มันก็เสี่ยงเกินไป"เจ้าไม่ต้องมาหัวเราะข้าเลย เจ้าเองก็ชอบไม่ใช่หรือที่ได้สังหารคน หึ!""ข้าชอบที่ได้ออกแรงก็จริง ข้อนี้ข้าไม่ปฏิเสธแต่ข้าไม่
"เสด็จพี่คงได้ยินทั้งหมดแล้ว ข้าคิดว่าท่านคงรู้แล้วว่าเป็นฝีมือของผู้ใดกันแน่ ฮองเฮาอาจจะทรงรักและหวังดีต่อเสด็จพี่ด้วยใจจริง แต่กลับผู้อื่นนั้นหาเป็นเช่นนั้นไม่ ผู้ใดก็ตามที่มาขวางทางอำนาจหรือหมดประโยชน์แล้ว ฮองเฮาก็สามารถกำจัดได้ทุกคนโดยไม่สนวิธีการ แม้มันจะโหดเหี้ยมเพียงใดก็ตาม ข้าหวังว่าเสด็จพี่จะไม่ช่วยคนผิดนะพ่ะย่ะค่ะ"เจิ้งจื่อห้าวเอ่ยทิ้งท้ายแล้วจึงได้เดินจากไป... หลักฐานทุกอย่างล้วนชี้ไปที่เสนาบดีโจว ปิ่นทองคำที่อยู่ในมือหัวหน้ามือสังหารก็คือของขวัญที่ฮองเฮาทรงได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ เพราะเหตุนี้เองโจวซูหลิ่งจึงไม่อาจหลีกหนีเอาตัวรอดไปได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็มีความผิด"หม่อมฉันถูกคนใส่ความเพคะฝ่าบาท นี่ต้อง...ต้องเป็นฝีมือของบ่าวทรยศเป็นแน่ มันผู้นั้นต้องแอบขโมยปิ่นของหม่อมฉันไปเพื่อเป็นหลักฐานมามัดตัวหม่อมฉันเพคะ นี่คือการใส่ความเพคะฝ่าบาท"โจวซูหลิ่งร่ำร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง หากนางไม่ยอมรับจะทำอะไรนางได้ หลักฐานเพียงแค่นี้มิอาจจะเอาผิดนางได้หรอก"เจ้ายอมรับความผิดซะเถิดฮองเฮา เห็นแก่องค์รัชทายาทอย่าให้ชื่อเสีย
บทที่ 32ล้มทั้งกระดาน "พระชายา พระชายาทรงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ"ฉีหมิงที่เพิ่งจัดการมือสังหารเสร็จรีบตรงเข้ามาถามไถ่อวี้หลันด้วยความเป็นห่วงทันที เขายังคงตกใจไม่หายที่ได้เห็นท่วงท่าการสังหารคนของคุณหนูกู้ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าคุณหนูกู้จะมีวรยุทธ์ที่ล้ำเลิศเช่นนี้ เพลงกระบี่ที่ใช้เมื่อครู่ก็งดงามอ่อนช้อยแต่เต็มไปด้วยความดุดัน คุณหนูกู้วาดกระบี่ไปทิศทางใดล้วนต้องได้อาบโลหิตทุกครั้งไป นอกจากองค์ชายสามผู้เป็นนายแล้วก็มีคุณหนูกู้นี่แหละที่เขานับถือเรื่องวรยุทธ์ด้วยใจจริง"ข้าไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกตกใจเล็กน้อยเท่านั้นเอง"น้ำเสียงอ่อนแรงที่ดังออกมาจากรถม้ายิ่งทำให้ฉีหมิงรู้สึกผิด กู้เฟยหนี่ว์ชำเลืองตามองมารยาของสหายแล้วเบะปากด้วยความหมั่นไส้'นางหรือที่ตกใจ ต้องเป็นข้าเสียมากกว่าที่ควรตกใจกับแผนการนี้ของนาง'"พระชายาทรงรู้สึกเจ็บท้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ให้ท่านหมอมาดูอาการก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" ในขบวนรถม้านี้ได้มีท่านหมอมาด้วย
"อาอันน้องพี่" สองพี่น้องต่างเดินเข้าไปสวมกอดกันด้วยความคิดถึง สายใยระหว่างพี่น้องเรียงร้อยถักทอเข้าด้วยกัน "ข้าคิดถึงท่านพี่มากเลยขอรับ แล้วนี่..." อวี้เวยอันหันไปมองบุรุษข้างกายของพี่สาว หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นสามีของพี่สาวของเขากัน "นี่คือองค์ชายสามเจิ้งจื่อห้าว พระสวามีของพี่เอง" "คารวะองค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว ขอองค์ชายสามได้โปรดอย่าได้ถือสาเลยพ่ะย่ะค่ะ" อวี้เวยอันรีบทำความเคารพเจิ้งจื่อห้าวทันที เพราะเขาดีใจที่ได้เจออวี้หลันมากเกินไปจึงได้เสียมารยาทกับองค์ชายสาม "ไม่ต้องมากพิธีรีตองหรอก เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว" เขาเอ่ยอย่างใจดี เรียกรอยยิ้มหวานจากคนข้างกายที่กำลังนึกหวั่นว่าเขาอาจจะเข้ากับน้องชายของนางไม่ได้ แต่เมื่อได้เห็นเช่นนี้ก็หมดห่วง "ขอบคุณองค์ชายสามที่เมตตาพ่ะย่ะค่ะ" อวี้เวยอันรู้สึกถูกชะตาพี่เขยผู้นี้ยิ่งนัก สายตาของเขาพลันมองไปเห็นหน้าท้องที่นูนเด่นของพี่สาว "ท่านพี่อ้วนขึ้นหรือขอรับ" แม้จะพยายามพูดเส
สองบุรุษยืนส่งสตรีอันเป็นที่รักด้วยหัวใจที่วูบโหวงแปลกประหลาด พวกเขารู้สึกว่าการจากลาเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ นี้ช่างยาวนานเสียเหลือก่อนเจิ้งจื่อห้าวสะบัดศีรษะไล่ความคิดออกไป ก่อนจะรีบกลับไปสะสางงานให้เสร็จ เขาอยากจะดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ภายใต้แสงจันทร์ที่บ่อน้ำพุร้อน ณ ตำหนักฤดูร้อนเสียแล้ว ที่นั่นขึ้นชื่อเรื่องความงดงามของธรรมชาติที่ถูกช่างฝีมือดีรังสรรค์เอาไว้ ยิ่งถ้าได้อยู่กับสตรีอันเป็นที่รัก ใช้ร่างกายอันแข็งแรงของตนโอบกอดนางตลอดทั้งคืนคงเป็นเรื่องที่ดีมาก"ข้าขอตัวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่""อืม ข้าเองก็จะไปหาเสด็จแม่ที่ตำหนักเสียหน่อย ช่วงนี้เสด็จแม่ทรงฝันร้ายอยู่บ่อยครั้งนัก""ข้าขอฝากแสดงความห่วงใยต่อฮองเฮาด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ หากเสร็จงานเมื่อใดข้าจะไปเยี่ยมฮองเฮาด้วยตนเอง แล้วจึงจะไปตำหนักฤดูร้อนต่อไป""เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปเถิด"สองพี่น้องส่งยิ้มให้แก่กัน แล้วจึงได้เดินแยกทางกันไปทำหน้าที่ของตน... รถม้าเคลื่อนออกมาจากนอกเมืองหลวงราวหนึ่งชั่วยามแล้ว หนทางข้างหน้าสะดวกสบายไม่ได้ลำบากอะไรนัก เนื่องจากเส้นทางนี้
บทที่ 31หมากตาสุดท้าย หลังจากที่เจิ้งไป๋ฮวากลับไป อวี้หลันก็หันมาเอ่ยถามรั่วซี"มีอะไร""จดหมายจากอารามเป่าซานเพคะ"อวี้หลันรับจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาเปิดอ่าน นางอ่านทวนอีกรอบก่อนจะยกยิ้มด้วยความพอใจแล้วทำลายจดหมายฉบับนั้นทิ้งเสีย"ท่านเจ้าอาวาสไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังเลย เขาทำงานได้ดีสมกับที่ข้าคาดหวังจริง ๆ""เอ่อ...บ่าวขอถามได้หรือไม่เพคะว่าเพราะเหตุใดท่านเจ้าอาวาสถึงยอมช่วยเหลือพระชายาถึงเพียงนี้ บ่าวคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก"อวี้หลันอมยิ้มกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของสาวใช้ตัวน้อย"ท่านเจ้าอาวาสผู้นี้เคยเป็นโจรป่ามาก่อน เขาสังหารผู้คนราวกับผักปลาที่ไร้ค่า หลังจากที่ถูกทางการไล่ล่าจนแทบเอาชีวิตไม่รอดก็ได้หนีไปบวช นานวันเข้าก็เกิดเลื่อมใสในรสพระธรรมขึ้นมาจึงได้เปลี่ยนตัวตนขึ้นมาใหม่ คราแรกก็เป็นเพียงนักบวชธรรมดาแต่เพราะมีความรอบรู้ในการคาดเดาธรรมชาติจึงทำให้ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธ
เจิ้งลู่เหอหัวเสียเป็นอย่างมากที่ในวังของเขามีคนฆ่ากันตาย เขาหาได้รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขารู้สึกดีใจมากกว่าที่ได้หลุดพ้นจากสองพี่น้องที่แสนเอาแต่ใจคู่นี้ หลังจากนี้เขาคงต้องหาพระชายาคนใหม่ที่จะมาช่วยหนุนหลังเขาต่อไป แต่จะเป็นคนจากตระกูลใดดีนะที่เหมาะสมกับองค์ชายเช่นเขา"เสด็จพี่สี่อย่าได้เศร้าเสียใจไปเลยนะเพคะ"เจิ้งไป๋ฮวาเอ่ยปลอบใจผู้เป็นพี่ชายด้วยความเป็นห่วง"ขอบใจเจ้ามากนะฮวาเอ๋อร์ที่มาร่วมงานศพ พี่พอทำใจได้บ้างแล้วล่ะ" เจิ้งลู่เหอหลุดจากภวังค์ความคิดของตน เขามองซ้ายมองขวาเมื่อไม่เห็นคนที่ต้องการพบหน้าจึงเอ่ยถามเจิ้งไป๋ฮวา "พี่ไม่เห็นเสด็จพี่สามกับพี่สะใภ้เลย"หญิงสาวขยับกายเข้ามาใกล้แล้วกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน"เสด็จพี่สี่อย่าเพิ่งไปพูดกับใครนะเพคะ ตอนนี้พี่สะใภ้กำลังตั้งครรภ์ เสด็จพี่สามก็คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง งานศพที่เอ่อ...ไม่เป็นมงคลเช่นนี้จึงมิอาจมาร่วมงานได้ เสด็จพี่สี่อย่าได้น้อยใจไปเลยนะเพคะ"เจิ้งลู่เหอที่กำลังรู้สึกหัวเสียพลันดีใจที่ได้ยินข่าวที่น่ายินดีนี้ เขาคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยกับเจิ้งไป๋ฮวาด้วยน้ำเ