หลันหนิงเหมยออกจากภวังค์ความคิดของตน นางกลับมาสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
"เจ้าคงไม่รู้ว่าข้าเองก็ถูกโจวลี่เฟยทำร้ายมาเช่นเดียวกัน ซึ่งข้าย่อมไม่คิดจะยอมให้ศัตรูเสวยสุขอยู่บนความทุกข์ของข้าหรอกนะ"
หลันหนิงเหมยหันกลับมามองทันที นางเริ่มสนใจในสิ่งที่อวี้หลันต้องการจะเอ่ย
"ท่านต้องการสิ่งใดก็พูดมาตรง ๆ เถิด อย่าได้อ้อมค้อมอีกเลย"
"ข้าจะช่วยให้เจ้าได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหมือนเมื่อก่อน น้องชายของเจ้าจะได้เข้าเรียนสำนักศึกษาหลวง และเจ้าจะได้แก้แค้นคนที่ทำกับครอบครัวของเจ้าด้วย"
"แลกกับอะไร?"
"ชีวิตของเจ้า...เจ้าจะต้องเข้ามาเป็นฮูหยินรองของบิดาข้า เพื่อแลกกับการแก้แค้นเอาคืนโจวลี่เฟย ข้าให้สัญญาว่าคนที่ทำให้ครอบครัวเจ้าต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ จะต้องมีจุดจบที่เลวร้ายยิ่งกว่าอย่างแน่นอน "
"อะไรนะ!! ท่านบ้าไปแล้วหรือคุณหนูใหญ่อวี้ บิดาของท่านอายุเกือบเท่าบิดาของข้าเลยนะ"
"แต่บิดาของข้าหนุ่มกว่า และหล่อเหลากว่าบิดาของเจ้านะ บิดาของข้าเพิ่งจะอายุ 40 เอง ยังหนุ่มยังแน่น ทั้งยังมีอำนาจที่เจ้าต้องการ และการที่เจ้าเข้ามาเป็นฮูหยินรองของบิดาข้า โจวลี่เฟยย่อมต้องโกรธแค้นจนแทบกระอักเลือดเป็นแน่ ด้วยความสาวและความสวยของเจ้าจะทำให้นางอยู่ไม่สุขเลยล่ะ เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?"
"ไม่ นี่มัน..."
"บิดาข้าเป็นคนที่ใช้ได้เลยนะ เจ้าเอากลับไปคิดแล้วกันว่าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ นี้ หรือจะกลับไปผงาดอีกครั้งในวงสังคมชั้นสูง แต่ข้าคงให้เวลาเจ้าคิดหนึ่งคืนเท่านั้น เพราะข้าจะต้องกลับจวนวันพรุ่งยามซื่อนี้แล้ว ถ้าเจ้าตกลงก็มาหาข้าที่อารามเป่าซานได้เลย แล้วข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง!"
อวี้หลันส่งยิ้มมาให้กับหลันหนิงเหมยก่อนจะเดินจากไป...
หลังจากที่อวี้หลันได้จากไปไกลแล้ว หลันหนิงเหมยยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม นางกำลังคิดทบทวนคำพูดของอวี้หลันด้วยความรู้สึกหลากหลาย
"ท่านพี่เป็นอะไรไปขอรับ สหายของท่านพี่เอาเรื่องไม่สบายใจมาให้ท่านพี่หรือขอรับ" หลันหนิงหวงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่ใช่หรอก นางแค่มามอบทางเลือกให้พี่เท่านั้น อาหวง...เจ้าอยากเข้าสำนักศึกษาหลวงหรือไม่?"
"ข้า...ข้าไม่อยากเข้าขอรับท่านพี่"
หลันหนิงหวงเอ่ยตอบน้ำเสียงแผ่วเบา ในแววตาของเขาวูบไหวไปมา เขารู้ดีว่าด้วยฐานะของพวกเขาตอนนี้ไม่สามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวงได้หรอก แม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่เขาอยากจะทำมากที่สุดก็ตาม...
"เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปเก็บเสื้อผ้าเถิด พรุ่งนี้เราจะต้องไปอารามเป่าซานแต่เช้า ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม"
หลันหนิงเหมยพลันตัดสินใจได้ในทันที นางเข้ามาโอบกอดน้องชายที่แสนดีของตนเอาไว้แน่น แม้ว่านางจะต้องขายวิญญาณ ถ้าทำให้น้องชายของนางมีความสุขได้ นางก็ยอม!!
วังเจียวจิน
บุรุษที่มีเครื่องหน้าหล่อเหลาดั่งหยกสลักกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนตั่งไม้ยวี่มู่ เบื้องหน้าของเขามีหญิงงามกว่าสามสิบนางกำลังร่ายรำกันอย่างอ่อนช้อยตามจังหวะดนตรี ทางด้านข้างของเขามีหญิงงามที่คอยป้อนผลผูเถา (องุ่น) และเมื่อเขายื่นจอกสุราที่หมดลงไปด้านหน้า หญิงสาวอีกนางก็รีบรินสุราผลท้อราคาแพงให้แก่เขาทันที
ชีวิตของบุรุษผู้นี้ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก เพียงแค่เอ่ยปากคำเดียวก็มีสตรีมากมายพร้อมจะทอดกายและถวายการรับใช้ด้วยความเต็มใจยิ่ง เพราะเขาคือบุรุษที่มีทั้งรูปโฉมงดงามราวกับสตรี และอำนาจเงินทองที่พวกนางต่างเฝ้าฝันถึง ขอแค่ได้ปรนนิบัติเขาแค่ครั้งเดียว ชีวิตของพวกนางก็สุขสบายแล้ว
"องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นรูปวาดของสาวงามที่ฝ่าบาททรงประทานให้พ่ะย่ะค่ะ"
หลีกงกงเดินเข้ามาพร้อมกับภาพวาดที่อยู่ในมือของเขากว่า 50 ภาพ ใบหน้าของขันทีชรามีแต่ความหนักใจในตัวเจ้านายของตน เมื่อไหร่หนอองค์ชายของเขาจะเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที วัน ๆ เอาแต่ร่ำสุรานารีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บางวันก็ออกไปละเล่นกระพนันที่หอเดือนดับ
"ข้าไม่อยากดู" เขาเอ่ยตอบอย่างเฉยชา แล้วหันไปอ้าปากกว้างเพื่อรับผลผูเถาจากหญิงงาม
"แต่นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรองค์ชายก็ต้องเลือกสตรีในนี้มาเป็นพระชายานะพ่ะย่ะค่ะ"
'เจิ้งจื่อห้าว' องค์ชายสามที่ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความรำคาญใจ เขาโบกมือให้เหล่านางรำ และสตรีที่อยู่รับใช้ให้ออกไปก่อน
"เอามานี่"
หลีกงกงยกยิ้มกว้างด้วยความยินดี เขารีบนำภาพวาดทั้ง 50 นางมามอบให้แก่องค์ชายสามทันที เจิ้งจื่อห้าวรับมาเปิดดูทีละภาพช้า ๆ แล้วตำหนิหญิงสาวแต่ละนางไปทีละข้อ
"ดวงตาของนางเล็กเกินไป ข้าชอบสตรีที่มีดวงตากลมโต อืม...คนนี้มีไฝที่ปาก นางจะต้องบ่นข้าเก่งแน่ ๆ ไม่ดี ๆ ส่วนคนนี้มาจากตระกูลแม่ทัพ ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับตระกูลแม่ทัพ และคนนี้อายุน้อยเกินไป ข้าชอบสตรีที่อายุสักสิบแปดสิบเก้า คนนี้ก็อายุมากเกินไป ส่วนคนนี้ก็..."
"พอก่อนพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย องค์ชายทรงตรัสมาเลยดีกว่าว่าต้องการพระชายาแบบไหน กระหม่อมจะได้ไปแจ้งให้ฝ่าบาททรงทราบ"
ประโยคนี้แหละที่เขาอยากได้ยินมากที่สุด เขาไม่คิดว่าจะมีสตรีนางใดที่ตรงตามที่เขาต้องการหรอก
"สตรีที่อายุสิบแปดถึงสิบเก้าปี มีผิวกายขาวเนียนละเอียดดั่งหยก ดวงตากลมโตดั่งตากวาง จมูกโด่งเรียวสวย ริมฝีปากอวบอิ่มฉ่ำน้ำ ไม่มีไฝฝ้าตรงส่วนใดของใบหน้า ไม่ใช่บุตรสาวตระกูลแม่ทัพ ไม่มีพี่ชาย ไม่ต้องเก่งงานบ้านงานเรือน ไม่ต้องเก่งศาสตร์ทั้งสี่ เพราะข้าต้องการภรรยาไม่ได้ต้องการสตรีที่ต้องเก่งทุกด้าน ขอแค่มีรูปโฉมงดงามก็เพียงพอแล้ว"
หลีกงกงแทบจะล้มทั้งยืนกับคำพูดของเจิ้งจื่อห้าว สตรีที่ตรงกับคุณสมบัติทั้งหมดนี้จะหาได้จากที่ไหน ที่น่าหนักใจที่สุดก็คืออายุที่องค์ชายสามต้องการต่างหากเล่า ในแคว้นเจิ้งนี้จะหาสตรีที่อายุสิบแปดสิบเก้าที่ยังไม่ออกเรือน และไม่มีคู่หมายได้สักกี่คนกัน เดิมทีแล้วสตรีที่อายุสิบเจ็ดก็เริ่มมองหาคู่ครองกันแล้ว นี่องค์ชายสามคิดจะบ่ายเบี่ยงไม่ต้องการแต่งงานสินะ
เขารู้ทันหรอกน่า และฮ่องเต้ก็ต้องทรงรู้ทันพระโอรสของพระองค์อย่างแน่นอน!
บทที่ 5สร้างเรื่อง อวี้หลันกลับมาที่จวนตระกูลอวี้พร้อมกับรั่วซี โดยนางได้ให้หลันหนิงเหมยและหลันหนิงหวงพักอยู่ที่อารามเป่าซานก่อน เมื่อถึงเวลาทั้งสองจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่จวนตระกูลอวี้อย่างแน่นอน ตอนนี้นางจะต้องลับไปพูดคุยกับบิดาเสียก่อน"ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ"อวี้หลันตรงเข้ามาหาอวี้เฉินฟู่ยังห้องหนังสือ ทันทีที่นางกลับมาถึงจวนก็ตรงมาที่นี่ทันที"โอ้ กลับมาแล้วหรือเป็นอย่างไรบ้างเล่า?""ท่านไต้ซือดีกับลูกมากเลยเจ้าค่ะ ท่านไต้ซือยังกล่าวกับลูกอีกนะเจ้าคะ เพราะผลบุญที่ลูกทำในครั้งนี้ ทำให้ท่านแม่สามารถปล่อยวางได้ จนสามารถเดินทางเข้าสู่แดนเซียนได้แล้ว แต่ก่อนไปท่านแม่ได้ทิ้งดวงจิตหนึ่งเสี้ยวไว้ให้คอยดูแลท่านพ่อด้วยเจ้าค่ะ"อวี้เฉินฟู่ที่กำลังนั่งอ่านรายงานรีบลุกขึ้นมาจับแขนของบุตรสาวแน่น แววตาที่ผ่านโลกมามากมองมาด้วยความกังขา"หมายความว่าอย่างไรหลันเอ๋อร์ ท่านไต้ซือว่าอย่างไรนะ?"
ท้องพระโรง'ฮ่องเต้เจิ้งชุนฟง' ได้ออกว่าราชกิจช่วงเช้าตามปกติ แต่ครานี้กลับมีเรื่องที่พระองค์คิดไม่ตก และต้องการให้เหล่าขุนนางช่วยแก้ปัญหานี้ด้วย"เจิ้นมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้พวกเจ้าช่วยเจิ้นคิดเสียหน่อย"พระสุรเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นเสียงดัง หลังจากการประชุมเรื่องงานราชกิจช่วงเช้าจบลง เหล่าขุนนางที่ยืนกันเต็มท้องพระโรงต่างยืดแผ่นหลังตรง เพื่อตั้งใจฟังในสิ่งที่ฮ่องเต้กำลังจะตรัส เรื่องใดหนอที่ฮ่องเต้ถึงกลับทรงคิดไม่ตก"ฝ่าบาททรงตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทเองพ่ะย่ะค่ะ"เสนาบดีกู้แห่งกรมยุติธรรมเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางกระตือรือร้น"ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่เจิ้นต้องการหาสตรีที่จะมาเป็นพระชายาองค์ชายสามเท่านั้นเอง"ทั่วท้องพระโรงพลันเงียบเสียงลงทันใด แค่ได้ยินชื่อขององค์ชายสามทุกคนก็อยากจะรีบถอยหนี ไม่มีผู้ใดอยากจะไปข้องเกี่ยวกับองค์ชายสามที่ได้ชื่อว่า 'เป็นจอมเสเพลแห่งเมืองหลวงหรอก'"เอ่อ...องค์ชายสามทรงมีสตรีที่พึงใจอยู่แล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ""ไม่มี แต่องค์
บทที่ 6รนหาเรื่อง จวนตระกูลอวี้อวี้เฉินฟู่กลับมาถึงจวนก็เรียกให้โจวลี่เฟยมาพบที่ห้องหนังสือทันที ใบหน้าของเขาอึมครึมด้วยความไม่พอใจในตัวภรรยาและครอบครัวของนาง รองเสนาบดีโจวคิดจะกำจัดบุตรสาวของเขาให้พ้นทางใช่หรือไม่ กลอุบายขลาดเขลาเช่นนี้เขาจะดูไม่ออกเลยหรือ ดูท่าว่าหลังจวนของเขาคงจะไม่ได้เงียบง่าย และสุขสงบอย่างที่ตาของเขาเห็นไม่"ท่านพี่เรียกหาข้าหรือเจ้าคะ"โจวลี่เฟยเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวาน นางคิดว่าสามีคงจะคิดถึงนางเป็นแน่ แต่หารู้ไม่ว่าบิดาของนางได้สร้างเรื่องเสียแล้ว "ใช่ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าได้พบบิดาของเจ้าหรือไม่ ข้าอยากจะมอบของขวัญให้ท่านพ่อตาเสียหน่อย"อวี้เฉินฟู่ปั้นสีหน้าให้กลับมาสุขุมดังเดิม"ข้าเพิ่งพบท่านพ่อเมื่อสองวันก่อนเจ้าค่ะ ท่านพ่อยังบ่นคิดถึงหลันเอ๋อร์อยู่เลยเจ้าค่ะ และท่านพ่อยังกล่าวว่าหลันเอ๋อร์อายุไม่น้อยแล้ว เราสมควรหาสามีดี ๆ ให้กับนาง เรื่องนี้ข้าเองก็เห็นดีด้วย อยากจะมาปรึกษ
การสมรสระหว่างองค์ชายสามเจิ้งจื่อห้าวและคุณหนูใหญ่อวี้หลันถูกประกาศออกมาในสามวันให้หลัง ทุกคนที่ได้ทราบข่าวนี้ต่างพากันสงสารคุณหนูใหญ่ผู้นี้เป็นอย่างมาก แม้ว่าหลายคนจะไม่เคยเห็นหน้าอวี้หลัน แต่ต่างพากันเทใจว่านางช่างโชคร้ายนัก เป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่แต่กลับต้องมาแต่งงานกับองค์ชายจอมเสเพลเสียได้ ช่างน่าสงสารนัก!นอกจากจะมีคนสงสารก็ยังมีคนที่รู้สึกสาสมใจด้วย อย่างเช่นอวี้ซูเยว่ และโจวลี่เฟยที่ต่างหัวเราะขบขันด้วยความสะใจ หลังจากที่ขันทีข้างกายของฮ่องเต้มาประกาศราชโองการที่จวนเมื่อวันก่อน โดยนับจากนี้อีกสองเดือนอวี้หลันจะต้องแต่งงานกับองค์ชายสาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทั้งสองวาดฝันไว้ล้วนเป็นไปอย่างราบรื่น"ท่านแม่กับท่านตาเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ ในที่สุดนังอวี้หลันก็จะได้ออกไปจากจวนนี้เสียที ฮ่าฮ่าฮ่า""เยว่เอ๋อร์ รักษากิริยาด้วยสิลูก ถึงเจ้าจะดีใจแค่ไหนแต่ก็อย่าได้หัวเราะจนเห็นไรฟันเช่นนี้"อวี้ซูเยว่ฉีกยิ้มกว้าง พลางยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างสงวนท่าที"ก็ลูกดีใจนี่เจ้าคะท่านแม่""เด็กคนนี้นี่"โจวลี่เฟยคลี่ยิ้มหวาน พลางยก
บทที่ 7ร่วมมือกัน หลายวันที่ผ่านมาอวี้เฉินฟู่แทบจะไม่ได้นอนเลย ยิ่งได้เห็นเทียบเชิญจากวังเจียวจินเขายิ่งนอนไม่หลับ เขารู้สึกแย่ที่ตัวเองไม่สามารถหาบุรุษดี ๆ ให้กับบุตรสาวได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหพ่อตาของตนที่สอดไม่เข้าเรื่อง ทำให้ตอนนี้เขายังคงไม่พอใจโจวลี่เฟยอยู่มาก ไม่แม้แต่จะไปนอนค้างที่เรือนของนางเลย"ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกขอเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ?""เข้ามาสิหลันเอ๋อร์"อวี้หลันเดินเข้ามาพร้อมกับถือถ้วยยาบำรุงเข้ามาด้วย นางส่งยิ้มอ่อนหวานให้กับบิดา ก่อนจะเอ่ยธุระที่นางมาหาเขาถึงห้องหนังสือ"ท่านพ่อเจ้าคะ มีเรื่องหนึ่งที่ลูกอยากมาขอร้องท่านพ่อเจ้าค่ะ""เรื่องแต่งงานของเจ้าหรือ""ไม่ใช่เจ้าค่ะ เรื่องของหลันหนิงเหมย ลูกอยากให้ท่านพ่อรับนางกับน้องชายมาอยู่ที่จวนอวี้ของเราเจ้าค่ะ""เรื่องนั้น...มันก็ได้อยู่หรอก แต่ชื่อเสียงของนางจะไม่มัวหมองหรือหลันเอ๋อร์ อย่างไรนางก็เคยเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่มาก
"เชิญเสด็จทางด้านนี้เพคะ"อวี้หลันผายมือไปทิศทางที่ตั้งของสวนด้านหลัง ที่นั่นมีศาลาไม้ตั้งอยู่ตรงกลางสวน โดยรอบมีดอกไม้นานาพันธุ์ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งเต็มไปหมด ชวนให้รู้สึกสดชื่น"คุณหนูใหญ่อวี้ยินดีหรือไม่ที่จะต้องแต่งงานกับข้า"ระหว่างที่เดินไปยังศาลา เจิ้งจื่อห้าวเอ่ยปากขึ้นมาทันที เขาอยากจะรู้ความคิดของอวี้หลันว่าคิดเห็นอย่างไรกับการแต่งงานของพวกเขา"ยินดีหรือไม่นี่ก็เป็นสมรสพระราชทาน หม่อมฉันมิอาจจะขัดราชโองการได้หรอกเพคะ"อวี้หลันหยุดเดินแล้วหันไปมองเจิ้งจื่อห้าว บุรุษผู้นี้กำลังหยั่งเชิงนางสินะ"หากเจ้าไม่ต้องการ ข้าสามารถทูลขอเสด็จพ่อได้นะ อย่างไรเสด็จพ่อก็คงไม่บังคับฝืนใจผู้ใดหรอก"อวี้หลันคลี่ยิ้มหวาน แค่ประโยคเดียวนางก็สามารถอ่านความคิดของเขาได้แล้ว"ไม่ต้องลำบากองค์ชายสามหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่ได้รู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้จะลำบากอะไร หม่อมฉันก็แค่ย้ายจากจวนตระกูลอวี้ไปวังเจียวจินเท่านั้นเอง"ท่าทีที่ไม่แยแสของอวี้หลัน ทำให้เจิ้งจื่อห้าวถึงกับพูดไม่ออกอะไรคือไม่ลำบาก? อะ
บทที่ 8ฮูหยินรองคนใหม่ หลังจากเจิ้งจื่อห้าวได้กลับไป อวี้หลันก็เก็บตัวอยู่แต่ในเรือน นางกำลังนึกทบทวนเรื่องราวในนิยายและความเป็นจริงของโลกใบนี้ แม้จะคิดว่านางได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของนิยายเรื่องนี้ แต่ก็มีหลายสิ่งที่เริ่มเปลี่ยนไป หากทบทวนจากในเนื้อเรื่องนั้น พระเอกซึ่งคือองค์รัชทายาทจะได้แต่งงานกับนางเอกซึ่งเป็นคนตระกูลกู้ และนางร้ายอย่างอวี้ซูเยว่ย่อมไม่มีวันยอม รวมถึงฮองเฮาที่แสนชิงชังนางเอกจนเกลียดแทบเข้ากระดูกดำด้วย ทำให้ความรักของคู่พระนางต้องพบเจออุปสรรคหลายอย่าง ในเมื่อนางไม่ต้องการให้ตระกูลอวี้ต้องถูกประหารทั้งตระกูล การที่จะเป็นมิตรกับพระเอกและนางเอกในนิยายก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เมื่อคิดได้เช่นนั้นอวี้หลันจึงตัดสินใจที่จะเป็นสหายกับนางเอก เผื่อว่าในอนาคตข้างหน้านางจะสามารถขอลดโทษทัณฑ์ที่เกิดจากอวี้ซูเยว่ได้"คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นายท่านให้มาตามไปพบเจ้าค่ะ"รั่วซีที่อยู่หน้าห้องเอ่ยบอกอวี้หลัน"ท่านพ่อหรือ?"
ในบ่ายวันนี้สองแม่ลูกจึงได้ตัดสินใจมาพบอวี้หลันที่เรือนด้วยตนเอง"แม่รองมาพบข้าถึงเรือนมีสิ่งใดหรือเจ้าคะ หรือว่าอยากมาช่วยข้าจัดงานแต่งงานให้ท่านพ่อด้วย"อวี้หลันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหวาน นางรู้สึกสะใจยิ่งนักที่ได้เห็นสีหน้าที่ร้อนรนของอีกฝ่าย"เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ คิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะทำอะไรข้าได้หรือ"โจวลี่เฟยเอ่ยปากเป็นคนแรก นางจ้องมองอวี้หลันเขม็ง"ข้ารู้เจ้าค่ะ เรื่องแค่นี้ไม่สามารถทำอะไรแม่รองผู้เก่งกาจไปได้หรอกเจ้าค่ะ""รู้ตัวก็ดีแล้ว เจ้ารีบไปอ้อนวอนบิดาของเจ้าซะ ว่าเจ้าไม่ต้องการให้เขารับฮูหยินรอง เจ้าไม่อยากให้สตรีอื่นเข้ามาอยู่ในจวนของเรา"อวี้หลันลุกขึ้นยืนเผชิญหน้าทั้งสอง โดยมีรั่วซียืนอยู่ทางด้านหลังของนางไม่ห่าง"เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้นด้วย ในเมื่อข้าไม่ได้เดือดร้อนที่ท่านพ่อจะรับฮูหยินอีกคนเข้ามา แต่เป็นแม่รองต่างหากเล่าที่จะต้องร้อนใจ อันสตรีเมื่อเวลาล่วงเลยไปความงามก็ร่วงโรยไปด้วย ความโปรดปรานที่ท่านครอบครองมานานหลายสิบปีจะยังคงอยู่ตลอดกาลหรือไม่นะ ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ""เจ้ามั
"ส่วนเรื่องหอเดือนดับ คราวหลังพาพี่ไปด้วยได้หรือไม่ พี่อยากจะไปศึกษาอะไรเพิ่มเสียหน่อย"น้ำเสียงที่แผ่วเบาอยู่แล้วยิ่งเบาลงไปอีก แต่กระนั้นเจิ้งจื่อห้าวที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็คอยเงี่ยหูฟังตลอดว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แม้ว่าตรงหน้าเขากำลังพูดคุยกับเจิ้งลู่เหอเกี่ยวกับการสร้างถนนก็ตาม"ศึกษาอะไรหรือเพคะ?""ท่วงท่าการร่วมรักของหญิงคณิกาอย่างไรเล่า"พรวด!!"แค่ก ๆ"เจิ้งจื่อห้าวที่กำลังดื่มน้ำชาพลันสำลักน้ำชาออกมาทันที"เป็นอะไรเจ้าสาม เหตุใดถึงได้สำลักน้ำชาได้เล่า""เสด็จพี่อย่าได้ทรงกังวลเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว"ขณะตอบเจิ้งไห่ถัง สายตาของเขาก็ได้สบประสานกับสายตาของอวี้หลันเข้าพอดี นางยกยิ้มมุมปากพลางแสร้งเลียริมฝีปากของตนช้า ๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เจิ้งจื่อห้าวที่เห็นเช่นนั้น แทบอยากจะอุ้มพระชายาของตนกลับไปลงโทษที่วังเจียวจินเสียเดี๋ยวนี้เลยนางรู้ว่าเขาแอบฟังอยู่สินะ!"เสด็จพี่สามนี่ไม่ไหวเลยนะเจ้าคะ แค่ดื่มน้ำชาก็สำลักขึ้นมาเสียได้ ดีที่ข้าไม่ได้นั่งอยู่ใกล้ ๆ หากน้ำชา
บทที่ 15บุรุษผู้นี้คือสามีของข้า ในวันที่สามหลังจากวันแต่งงาน เจิ้งจื่อห้าวได้พาอวี้หลันมายกน้ำชาที่ท้องพระโรง โดยด้านในมีฮองเฮา องค์รัชทายาท องค์ชายสี่ และองค์หญิงห้ามารออยู่ก่อนแล้ว การแต่งงานเข้าราชวงศ์ของอวี้หลันได้รับความสนใจจากเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงทุกคน โดยเฉพาะองค์หญิงห้าซึ่งเป็นพระขนิษฐาร่วมอุดรขององค์ชายสาม"พี่สามมาแล้วเพคะเสด็จพ่อ เอ๋...ทำไมท่าทางการเดินของพี่สะใภ้ถึงได้แปลกพิกลจังเลยล่ะเพคะ"องค์หญิงห้าผู้พระนามว่า 'เจิ้งไป๋ฮวา' หันไปเอ่ยถามเจิ้งชุนฟงด้วยความสงสัย คำถามของนางได้ยินไปทั่วทุกคน พวกเขาทำได้แค่กลั้นเสียงหัวเราะแล้วหันหน้าไปทางอื่นเสีย ส่วนเจิ้งชุนฟงได้แต่นึกขันกับความไร้เดียงสาของพระธิดาองค์โปรดเพราะนางเพิ่งจะอายุแค่ 15 หนาวจึงยังไม่ประสีประสาเรื่องระหว่างชายหญิงนัก เห็นทีพระองค์จะต้องให้หมัวมามาอาวุโสมาสั่งสอนนางในเรื่องนี้เสียแล้ว"พี่สะใภ้ของเจ้าคงจะเจ็บขา เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลยรีบไปนั่งที่เถิด""เพคะ"เจิ้งไป๋ฮวาแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน รอยยิ้มของนางเกลื่อนไปทั่วใบหน้าอันงดงามห
เจิ้งจื่อห้าวตื่นขึ้นมาหลังจากที่เขาหลับไปเพียงหนึ่งชั่วยาม เพราะเสียงดังด้านนอกของหลีกงกงทำให้เขาไม่อาจจะฝืนข่มตาหลับลงได้ ยิ่งมองหญิงสาวในอ้อมแขนที่นอนหลับตาพริ้ม แต่คิ้วเรียวกลับขมวดมุ่นเพราะรำคาญใจ เขาจึงต้องรีบลุกจากเตียงนอนไปจัดการประเดี๋ยวนี้"ข้าจะไปดูหลีกงกงเสียหน่อย เจ้านอนต่อเถิด"ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาจุมพิตที่หน้าผากมน แล้วไล้ริมฝีปากลงมาที่จมูกโด่งเล็ก ก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากอวบอิ่มอย่างแผ่วเบาราวกับปีกผีเสื้ออวี้หลันอมยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปอีกครั้ง ราตรีที่ผ่านมาเจิ้งจื่อห้าวสูบพลังชีวิตของนางไปจนหมด แค่จะลืมตาขึ้นมานางยังไม่มีแรงเลย พิธียกน้ำชาของวันนี้คงจะต้องเลื่อนเสียแล้ว ประตูห้องหอถูกผลักออกอย่างเบามือ ตามด้วยร่างกายสูงใหญ่ที่มีผ้าคลุมตัวปกปิดร่างกายเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ ทำให้ปรากฏร่องรอยฝากรักสีเข้มทั่วลำคอหนาลามไปจนถึงหน้าอกแกร่งอย่างชัดเจน เหล่านางกำนัลและรั่วซีพากันก้มหน้าลงต่ำด้วยความเขินอายส่วนหลีกงกงได้แต่มองบนกับการกระทำของผู้เป็นนาย เขาเลี้ยงดูองคืชายสามมาตั้งแต่แบเบาะจะด
บทที่ 14สำลักความสุข เจิ้งจื่อห้าวรู้สึกร่างกายของเขามันเบาโหวงราวกับขนนก เพียงแค่การปลดปล่อยแค่ครั้งแรกเขาก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก หากว่าได้ปลดปล่อยอีกสักหลาย ๆ ครั้ง ร่างกายของเขาคงจะมีกำลังวังชาเป็นแน่ เลือดลมที่เคยติดขัดเพราะไม่เคยถึงจุดสุดยอดได้ถูกขจัดไปจนสิ้นเพราะอวี้หลันเพียงคนเดียว"ท่านี้หม่อมฉันขอเรียกว่าขย่มมังกรนะเพคะ""อ่า..."เจิ้งจื่อห้าวสบสายตาเข้ากับดวงตากลมโตที่มองมาของอวี้หลันด้วยความระทึกใจ แค่ชื่อท่าก็ทำเอากึ่งกลางกายของเขากลับมาแข็งขืนขึ้นอีกครั้งอวี้หลันจัดท่าทางของตนเอง ในตอนนี้ร่างกายของนางเองก็พร้อมจะลงสนามจริงแล้ว หยาดน้ำหวานสีใสได้เริ่มไหลปริ่มออกมาจากร่องรักของนางราวกับเขื่อนแตก สะโพกกลมกลึงค่อย ๆ บดลงมาที่ท่อนเอ็นอันร้อนผ่าวของเจิ้งจื่อห้าว เพียงแค่ปลายหัวหยักเข้าไปจ่ออยู่หน้าปากถ้ำ ร่างกายของนางพลันสะดุ้งเฮือกด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ"อึก..."สีหน้าของอวี้หลันที่แสดงออก
"ต้องการหรือเพคะ?"อวี้หลันหยุดชะงักตรงหลุมสะดือของเขา นางเงยใบหน้าขึ้นมาถามเขา พลางชี้นิ้วไปทางแท่งหยกที่กำลังตั้งเด่มาทางใบหน้าของนาง รอยยิ้มหวานปรากฏที่มุมปากเล็กด้วยความเจ้าเล่ห์"อ่า...ใช่""เช่นนั้นก็ตอบคำถามของหม่อมฉันมาก่อนสิเพคะ""คำถามอะไร"อารมณ์ที่กำลังพวยพุ่งพลันหยุดชะงัก เจิ้งจื่อห้าวยันกายขึ้นมามองหน้าคนช่างยั่ว เขาทั้งรู้สึกฉุนและหัวเสียนางจงใจกลั่นแกล้งเขา ให้เขาทรมานเพราะไฟราคานี้!"อนุขององค์ชาย พวกนางเป็นใครเพคะ""แค่สตรีที่ข้าสงสารแล้วรับเลี้ยงไว้""หอเดือนดับใช่ขององค์ชายไหมเพคะ"เจิ้งจื่อห้าวหรี่ตามองพระชายาของตนนิ่ง ความสงสัยและความหวาดระแวงก่อตัวขึ้นมาในใจของชายหนุ่ม"...""ถ้ามันตอบยากไป เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอกเพคะ"อวี้หลันไม่คิดจะไล่ต้อนเจิ้งจื่อห้าว นางแค่หยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินกรีดกรายไปหยิบผ้าคลุมขึ้นมาคลุมกาย แล้วเดินกลับมาล้มตัวลงนอนด้านข้างของเขา ทำราวกับเรื่องเมื่อครู่นี้พวกเขาไม่ได้กำลังจะใช้ค่ำคืนอันร้อนแรงด้วยกัน
บทที่ 13ค่ำคืนวสันต์อันร้อนแรง "อื้อ...อ่า เจ็บนะเพคะ"อวี้หลันร้องครางเสียงสั่น เมื่อถูกเจิ้งจื่อห้าวดูดดึงที่ยอดอกของนาง ไรฟันของเขามันขบกัดที่ผิวเนื้ออ่อนนุ่ม จนอวี้หลันรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วเนินอกขาวผ่อง ความเสียวกระสันพวยพุ่งเข้ามาไม่ขาดสาย ปลุกเร้าให้นางรู้สึกทรมาน อยากจะให้เขาสัมผัสร่างกายของนางมากกว่านี้เจิ้งจื่อห้าวผละใบหน้าออกมาเล็กน้อย เขายกยิ้มด้วยความพึงพอใจเมื่อได้ยินเสียงร้องครางของอวี้หลัน นั่นหมายความว่าถึงแม้เขาจะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่เพราะอ่านตำราวสันต์มามาก เมื่อได้ลงสนามจริงเขาก็สามารถทำให้หญิงสาวในอ้อมกอดสุขสมไปกับบทรักของเขาได้"อ๊ะ! หนาวเพคะ"เพราะอวี้หลันแช่ตัวอยู่ในถังอาบน้ำนาน เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายของนางก็เริ่มหนาวสั่นขึ้นมา ด้วยร่างกายนี้ไม่สามารถแช่ในน้ำเย็นนานได้ คงสืบผลมาจากเรื่องเมื่อคราวก่อนนั้น ทำให้ตั้งแต่นั้นมาร่างกายของนางจะไวต่ออากาศเย็นมากเป็นพิเศษ"อ่า ไปที่เตียงเถิด"
อวี้หลันที่แช่น้ำไปทั้งตัวลุกพรวดขึ้นมา เป็นผลให้ผ้าคลุมที่บางอยู่แล้วแทบจะไม่ปกปิดร่างกายของนางเลย เจิ้งจื่อห้าวที่หันมาเห็นเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเลือดบุรุษพลันร้อนรุ่มขึ้นมาทันที กึ่งกลางกายที่เพิ่งสงบไปพลันตั้งตระหง่านขึ้นมาอีกครั้ง"จะ เจ้ารีบนั่งลงไปเดี๋ยวนี้เลย"เจิ้งจื่อห้าวเอ่ยสั่งเสียงสั่น เขารีบหันหลังกลับไปมองทางอื่นทันที"องค์ชายสามเพคะ ได้โปรด...ช่วยหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ"น้ำเสียงแว่วหวานเอ่ยขอร้องอย่างน่าสงสาร แต่เจิ้งจื่อห้าวไม่ได้สงสารนางเลยสักนิด เขาสงสารตัวเองมากกว่าที่ต้องมาเจอสถานการณ์เช่นนี้"ไม่ได้ ในข้อตกลงของเราไม่ได้มีเรื่องนี้นะอวี้หลัน เจ้าสงบสติอารมณ์เสียก่อนเถิด""เช่นนั้นก็เพิ่มเข้าไปสิเพคะ"จบประโยคเสียงของน้ำที่กระเพื่อมทำให้เจิ้งจื่อห้าวหันกลับไปมอง เขาได้แต่นึกเสียใจที่ทำเช่นนั้น เพราะความหวังดีของตัวเองแท้ ๆ เชียวร่างกายที่เปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำถาโถมเข้ามายังร่างกายของบุรุษอันแสนอบอุ่น อวี้หลันที่มีสติอันน้อยนิด และเพราะต้องการจะกลั่นแกล้งเจิ้งจื่อห้าวเป
บทที่ 12จุมพิตครั้งแรก อวี้หลันยืนยิ้มด้วยความเจ้าเล่ห์ คราแรกนางก็คิดว่าเขาคือเสือผู้หญิงแห่งยุคนี้เสียอีก ที่ไหนได้...ก็แค่ชายหนุ่มที่ไม่ประสีประสา แค่เห็นเรือนร่างที่นางตั้งใจให้เห็นวับ ๆ แวม ๆ เขาก็แทบจะทำสิ่งใดไม่ถูกเสียแล้วใบหน้าที่แดงก่ำราวกับจะคั้นออกมาเป็นน้ำได้ และสายตาที่มองมาด้วยความตกตะลึง นั่นยิ่งทำให้อวี้หลันมั่นใจเต็มสิบส่วนองค์ชายสามผู้นี้ไม่เคยหลับนอนกับสตรี!!อะไรที่ทำให้มั่นใจน่ะหรือ เพราะถ้าหากข่าวลือนั้นคือเรื่องจริงว่าเขามีอนุกว่ายี่สิบนาง เมื่อเขาได้เห็นเรือนร่างนี้แล้ว เขาจะต้องเกิดอาการอยากจะถาโถมเข้ามาจู่โจมนางทันที เสือที่เห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้าจะยอมปล่อยให้หลุดรอดไปได้อย่างไรเล่าแต่นี่เขากลับยืนมองนิ่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ทั้งสายตาที่หลบเลี่ยงนั่นด้วย เช่นนี้แล้วอนุที่อยู่ในเรือนหลังของเขาจะต้องเป็นสตรีที่เขาคอยดูแลไม่ผิดแน่ อาจจะให้ที่พำนักและคอยคุ้มครองอย่างลับ ๆ ก็เป็นได้ เหมือนในซีรีส์จีนที่นางเคยดูมาก่อน ค
ทันทีที่เจิ้งชุนฟงเห็นบุตรชายอุ้มเจ้าสาวเข้ามา พระองค์ก็สรวลขึ้นด้วยความชอบใจ"ฮ่ะฮ่า เจ้าสามคงจะร้อนใจแย่แล้ว ฮองเฮาคิดเช่นเดียวกับเจิ้นหรือไม่""หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเพคะฝ่าบาท หากรู้เช่นนี้หม่อมฉันคงจะรีบจัดงานแต่งงานให้กับลูกสามนานแล้วเพคะ"'ฮองเฮาโจวซูหลิ่ง' ทรงผินพระพักตร์มาแย้มสรวลกับฮ่องเต้ พระนางเองก็อยากจะให้เจ้งจื่อห้าวรีบแต่งงานเสียที อวี้หลันผู้นี้ก็ถือว่าพอใช้ได้ แม้ว่าใจจริงพระนางต้องการให้เขาแต่งกับคุณหนูตระกูลรองซุนมากกว่า"เวลานี้ก็ถือว่าเหมาะสมแล้วล่ะ ฮ่ะฮ่า"เจิ้งชุนฟงยังคงสรวลออกมาไม่ขาดสายเมื่อเจ้าบ่าวและเจ้าสาวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของทั้งสองพระองค์ แม่สื่อผู้เป็นผู้ทำพิธีก็ได้ก้าวขึ้นมาด้านหน้า นางเอ่ยนำทั้งสองให้ทำตามพิธีอย่างเคร่งครัดต่อไป... พิธีช่วงเช้าได้เสร็จสิ้นลงด้วยดี ลำดับถัดไปแม่สื่อก็ได้นำตัวเจ้าสาวให้ไปรอเจ้าบ่าวที่ห้องหอ ส่วนเจ้าบ่าวก็มีหน้าที่ที่ต้องรับแขกต่อไปภายในห้องหอนั้น อวี้หลันที่รู้สึกปวดเมื่อยต้นคอจนแทบจะทนไม่ไหว จึงได้เรียกรั่วซีที่อยู่ในห้อง