บทที่ 3
อารามเป่าซาน
หลังจากนั้นบรรยากาศภายในจวนตระกูลอวี้ก็เปลี่ยนไป บ่าวรับใช้ที่เคยดูหมิ่นอวี้หลันไม่กล้าแม้แต่จะสบตาด้วย เมื่อได้เห็นอวี้หลันเดินผ่านมา พวกนางเป็นต้องก้มหัวจนปลายคางชิดหน้าอก ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาด้วย ขนาดบ่าวรับใช้อย่างหลี่อี้ยังถูกลงโทษ จนตอนนี้ขาของนางยังไม่สามารถกลับมาเดินได้ปกติ พวกนางที่เป็นเพียงบ่าวรับใช้ต่ำต้อยจะกล้าอาจหาญไปหาเรื่องคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรกัน
ฮูหยินรองและคุณรองเองก็อยู่กันอย่างสงบเงียบกันมาก ทุกทีจะต้องมีคำสั่งจากทั้งสองให้ไปเรียกคุณหนูใหญ่มาพบ และไม่นานพวกนางก็จะเห็นว่าคุณหนูใหญ่กำลังถูกลงโทษ
อย่างครานั้นที่คุณหนูใหญ่ล้มป่วยอยู่สามวัน นั่นก็เป็นเพราะคุณหนูรองเข้ามาหยิบปิ่นปักผมของคุณหนูใหญ่ไป แต่รั่วซีกลับเอ่ยทักท้วง ทำให้คุณหนูรองโมโหเป็นอย่างมาก เมื่อเรื่องรู้ไปถึงหูฮูหยินรอง นางกลับสั่งลงโทษให้คุณหนูใหญ่คุกเข่าสำนึกผิดหน้าเรือน โทษฐานที่เป็นพี่สาวแล้วไม่เสียสละให้แก่น้องสาว วันนั้นเป็นวันที่แดดแรงราวกับจะแผดเผาทุกสิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนบ่ายคล้อย ฝนกลับตกลงมาอย่างหนักราวกับฟ้าพิโรธ นั่นจึงทำให้คุณหนูใหญ่ต้องคุกเข่าตากฝนกว่าหนึ่งชั่วยาม กว่าจะได้กลับจวนคุณหนูใหญ่ก็ไข้ขึ้นจนแทบไม่ได้สติ
นี่คือการแสดงอำนาจข่มบุตรีฮูหยินใหญ่ของฮูหยินรองนั่นเอง!!
แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อคุณหนูใหญ่ได้ลุกขึ้นมาแสดงอำนาจของตน ดูท่าว่าจวนตระกูลอวี้จะไม่ได้สงบสุขอีกต่อไปเสียแล้ว!
อวี้หลันเดินเข้ามาลาอวี้เฉินฟู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม วันนี้นางสวมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ซึ่งทำให้อวี้หลันดูคล้ายกับเซียนสาวที่กำลังหลุดพ้น หญิงสาวเดินเข้ามานั่งข้างบิดาพลางพูดจาออดอ้อนอ่อนหวาน จนหัวใจของผู้เป็นพ่อฟูฟ่องด้วยความสุข
"ท่านพ่อเจ้าคะ วันนี้ลูกจะไปอารามเป่าซานแล้วนะเจ้าคะ ลูกไม่อยู่หลายวันคงคิดถึงท่านพ่อมากเลยเจ้าค่ะ"
"เดี๋ยวนี้หลันเอ๋อร์ของพ่อรู้จักออดอ้อนพ่อด้วยเช่นนั้นหรือ ฮ่ะฮ่าฮ่า"
"ลูกอ้อนท่านพ่อไม่ได้หรือเจ้าคะ?"
หญิงสาวยู่ปากลงอย่างแง่งอน นั่นยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อเอ็นดูบุตรสาวผู้นี้มากขึ้นไปอีก
"ย่อมได้อยู่แล้ว ว่าแต่เตรียมของไปครบหรือไม่ แค่รถม้าสองคันพอแล้วหรือ?"
"รถม้าสองคันก็เกินพอแล้วเจ้าค่ะ ลูกไปอยู่แค่เจ็ดวันเองนะเจ้าคะ"
"เฮ้อ...พ่อคงเหงาเป็นแน่ ทั้งหลันเอ๋อร์ และอาอันก็ไม่อยู่ด้วยกันทั้งคู่"
เสียงพูดคุยที่สนิทสนม และคำพูดของอวี้เฉินฟู่ยิ่งทำให้สองแม่ลูกรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก
"ท่านพ่อลืมเยว่เอ๋อร์แล้วหรือเจ้าคะ"
อวี้ซูเยว่ไม่อาจจะทนฟังได้อีกต่อไป นางหันมาออดอ้อนผู้เป็นบิดาบ้าง
"ฮ่าฮ่าฮ่า พ่อจะลืมเยว่เอ๋อร์ที่แสนอ่อนหวานของพ่อได้อย่างไรกันเล่า พ่อแค่รู้สึกว่าที่จวนมันดูเงียบเหงาลงไปเท่านั้นเอง เอาล่ะรีบออกเดินทางกันเถิด หากชักช้าจะไปถึงอารามสายเอาได้"
"ลูกลานะเจ้าคะท่านพ่อ"
อวี้หลันตรงเข้ามาสวมกอดบิดาแน่น หัวใจของนางพลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาชั่วครู่ ก่อนที่มันจะเลือนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นางจดจำความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนี้ได้ดี เพราะต้องเสียมารดาไปตั้งแต่อายุยังน้อย บิดาต้องออกไปทำงานตั้งแต่รุ่งสาง กว่าจะกลับก็มืดค่ำเสียแล้ว ทำให้เวลาส่วนใหญ่ต้องอยู่กับสองแม่ลูกอสรพิษภายในจวนหลังนี้
คราแรกก็ไม่มีสิ่งใดที่เปลี่ยนไปนักหรอก แต่ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปโจวลี่เฟยก็ได้เริ่มสับเปลี่ยนบ่าวรับใช้ เอาคนของตนมาแทนคนของมารดานาง ผู้ใดที่จงรักภักดีกับนางเป็นต้องถูกขับไล่ออกไปจนหมด ที่เหลืออยู่ตอนนี้ล้วนเป็นคนของโจวลี่เฟยทั้งนั้น จะมีเพียงส่วนน้อยที่ไม่ข้องเกี่ยวกับผู้ใด โดยทำราวกับไม่รู้ไม่เห็นว่าที่ผ่านมานั้น คุณหนูใหญ่ต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอดสูเพียงใดในจวนแห่งนี้
ข้อนี้ส่วนหนึ่งต้องโทษอวี้เฉินฟู่ที่ไม่สนใจความเป็นไปในจวน แม้เขาจะรักใคร่อวี้หลันและอวี้เวยอัน แต่เขากลับไม่สนใจความเป็นอยู่ของบุตรสาวและบุตรชายเลย อวี้หลันต้องการปกป้องน้องชาย จึงได้ร้องขอให้อวี้เฉินฟู่ส่งเขาไปเรียนที่สำนักศึกษาหลวง ทำให้อวี้เวยอันไม่ต้องมามีชีวิตในจวนอย่างน่าสังเวช แต่ความไม่พอใจทั้งหมดของโจวลี่เฟยได้เอามาลงกับอวี้หลันทั้งหมด นางต้องก้มหัวยอมรับอย่างจำนน ไม่อาจปริปากบอกกับผู้ใดได้ อันเนื่องมาจากอวี้หลันถูกโจวลี่เฟยเลี้ยงดูมาราวกับลูกนกในกรง ที่ไม่อาจกางปีกปกป้องตัวเองได้
นกน้อยที่ถูกเลี้ยงดูในกรงมานานหลายปี ต่อให้เจ้าของจะยอมปล่อยให้มันได้รับอิสรภาพ แต่มันก็มิอาจจะอยู่รอดได้ด้วยตัวเอง และสุดท้ายมันก็จะต้องบินกลับมาหาเจ้าของอย่างเชื่อฟัง นั่นเพราะมันได้ถูกสอนให้เชื่องไปเสียแล้ว
นี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดอวี้หลันคนเก่า ถึงได้ยอมก้มหัวให้กับสองแม่ลูกด้วยความจำยอมเช่นนี้!
รถม้าที่มีตราประทับของตระกูลอวี้ได้เคลื่อนเข้าสู่อาณาเขตของอารามเป่าซาน เสียงล้อรถบดเบียดไปกับถนนที่แสนจะขรุขระ ตัวรถม้าโยกคลอนไปมาเป็นระยะ ๆ จนคนด้านในรู้สึกเวียนหัวยิ่งนัก ระยะทางจากเมืองหลวงสู่อารามเป่าซานใช้เวลากว่าสามชั่วยาม
อวี้หลันที่เพิ่งได้นั่งรถม้าเป็นครั้งแรกถึงกับวิงเวียนศีรษะเป็นอย่างมาก นางรู้สึกพะอืดพะอมจนแทบจะอาเจียนออกมา โชคดีที่มีรั่วซีอยู่ข้างกายทำให้อวี้หลันรู้สึกดีขึ้นมาก
"ถึงแล้วขอรับคุณหนูใหญ่"
สารภีเอ่ยบอกคนด้านในด้วยความนอบน้อม
"เข้าใจแล้ว"
อวี้หลันเอ่ยตอบเสียงเรียบ ก่อนจะก้าวลงมาจากรถม้าด้วยความช่วยเหลือของรั่วซี ทั้งสองยืนอยู่ข้างตัวรถม้าพลางกวาดสายตามองอารามเป่าซานด้วยความสนใจ
'เหมือนหลุดออกมาจากในซีรีส์จีนที่เคยดูเลย'
อวี้หลันพึมพำเสียงเบากับตนเอง
เบื้องหน้าของทุกคนคืออารามขนาดใหญ่ซึ่งก่อสร้างจากไม้เนื้อดีที่ส่องประกายเงางาม แสงแดดที่ตกกระทบลงมายิ่งทำให้อารามเป่าซานส่องประกายเจิดจ้าสว่างไสว โดยรอบของอารามล้อมรอบไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่ให้ความร่มรื่นต่อผู้ที่มายังสถานที่แห่งนี้ อวี้หลันเหม่อมองด้วยหัวใจที่รู้สึกสงบ นางสูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ ก่อนจะเดินขึ้นไปยังบันไดสูงชันที่ทอดตัวลงมาเบื้องล่างสองคนนายบ่าวเดินขึ้นไปพร้อมกัน โดยด้านหลังมีบ่าวรับใช้และสารภีช่วยกันยกของขึ้นมาด้านบน กว่าจะเดินมาถึงด้านบนก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่หอบกระชั้นเพราะความเหนื่อย เมื่อทั้งหมดเดินขึ้นมาถึงตัวอารามเป่าซาน ด้านหน้าก็ได้มีหลวงจีนรูปหนึ่งที่ออกมายืนต้อนรับด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง"คุณหนูใหญ่อวี้ เดินทางมาถึงที่นี่ลำบากหรือไม่"น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามด้วยความโอบอ้อมอารี"คารวะท่านหลวงจีน ข้าน้อยมีนามว่าอวี้หลันเจ้าค่ะ การเดินทางมาที่อารามเป่าซานไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะ คงจะเป็นเพราะความตั้งใจจริงของข้ากระมังเจ้าคะ ทำให้ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้งเลยเจ้าค่ะ"อวี้หลันเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นางยอบการคารวะหลวงจีนรูปนี้ด้วยความนอบน้อม แต่ภายในใจกลับนึกสงสัยว่าผู้
บทที่ 4ตัวประกอบรถม้ากลางเก่ากลางใหม่ได้เคลื่อนเข้ามายังหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากอารามเป่าซานมากนัก ตั้งแต่รถม้าที่เคลื่อนเข้ามาก็ได้ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในหมู่บ้าน เพราะไม่บ่อยมากนักที่ในหมู่บ้านจะมีรถม้าขับเข้ามาเช่นนี้ รถม้ายังคงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดพัก จนกระทั่งรถม้าได้จอดสนิทหน้าบ้านไม้หลังหนึ่งที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน "ท่านพี่ขอรับมีรถม้ามาที่บ้านเราขอรับ"เด็กชายที่อายุน่าจะเท่ากับน้องชายของอวี้หลันเอ่ยเรียกคนในบ้าน ด้วยตอนนี้เขากำลังนั่งถอนผักอยู่ที่แปลงหน้าบ้าน เด็กชายชะเง้อมองรถม้าหน้าบ้านด้วยความสนใจใคร่รู้"ใครมากันอาหวง"น้ำเสียงแว่วหวานที่ฟังเปล่งหูเอ่ยถามมาจากในบ้าน พร้อมกับร่างของสตรีนางหนึ่งที่หน้าตามอมแมมเดินออกมาจากในบ้าน นางมองอวี้หลันที่ก้าวลงมาจากรถม้าด้วยความประหลาดใจ"คุณหนูใหญ่อวี้?" หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ "ไม่ได้พบกันนานเลยนะคุณหนูหลัน""ได้โปรดอย่าเรียกข้าว่าคุณหนูเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าหาใช่ชนชั้นสูงแล้วไม่ เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น"ในน้ำเสียงของ 'หลันหนิงเหมย' มีความเศร้าซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยเย็นชา จากคุณหนูสูงศักดิ์ที่มีพร้
หลันหนิงเหมยออกจากภวังค์ความคิดของตน นางกลับมาสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า"เจ้าคงไม่รู้ว่าข้าเองก็ถูกโจวลี่เฟยทำร้ายมาเช่นเดียวกัน ซึ่งข้าย่อมไม่คิดจะยอมให้ศัตรูเสวยสุขอยู่บนความทุกข์ของข้าหรอกนะ"หลันหนิงเหมยหันกลับมามองทันที นางเริ่มสนใจในสิ่งที่อวี้หลันต้องการจะเอ่ย"ท่านต้องการสิ่งใดก็พูดมาตรง ๆ เถิด อย่าได้อ้อมค้อมอีกเลย""ข้าจะช่วยให้เจ้าได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหมือนเมื่อก่อน น้องชายของเจ้าจะได้เข้าเรียนสำนักศึกษาหลวง และเจ้าจะได้แก้แค้นคนที่ทำกับครอบครัวของเจ้าด้วย""แลกกับอะไร?""ชีวิตของเจ้า...เจ้าจะต้องเข้ามาเป็นฮูหยินรองของบิดาข้า เพื่อแลกกับการแก้แค้นเอาคืนโจวลี่เฟย ข้าให้สัญญาว่าคนที่ทำให้ครอบครัวเจ้าต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ จะต้องมีจุดจบที่เลวร้ายยิ่งกว่าอย่างแน่นอน ""อะไรนะ!! ท่านบ้าไปแล้วหรือคุณหนูใหญ่อวี้ บิดาของท่านอายุเกือบเท่าบิดาของข้าเลยนะ""แต่บิดาของข้าหนุ่มกว่า และหล่อเหลากว่าบิดาของเจ้านะ บิดาของข้าเพิ่งจะอายุ 40 เอง ยังหนุ่มยังแน่น ทั้งยังมีอำนาจที่เจ้าต้องการ และการที่เจ้าเข้ามาเป็นฮูหยินรองของบิดาข้า โจวลี่เฟยย่อมต้องโกรธแค้นจนแทบกระอักเลือดเป็นแน่
บทที่ 5สร้างเรื่อง อวี้หลันกลับมาที่จวนตระกูลอวี้พร้อมกับรั่วซี โดยนางได้ให้หลันหนิงเหมยและหลันหนิงหวงพักอยู่ที่อารามเป่าซานก่อน เมื่อถึงเวลาทั้งสองจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่จวนตระกูลอวี้อย่างแน่นอน ตอนนี้นางจะต้องลับไปพูดคุยกับบิดาเสียก่อน"ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ"อวี้หลันตรงเข้ามาหาอวี้เฉินฟู่ยังห้องหนังสือ ทันทีที่นางกลับมาถึงจวนก็ตรงมาที่นี่ทันที"โอ้ กลับมาแล้วหรือเป็นอย่างไรบ้างเล่า?""ท่านไต้ซือดีกับลูกมากเลยเจ้าค่ะ ท่านไต้ซือยังกล่าวกับลูกอีกนะเจ้าคะ เพราะผลบุญที่ลูกทำในครั้งนี้ ทำให้ท่านแม่สามารถปล่อยวางได้ จนสามารถเดินทางเข้าสู่แดนเซียนได้แล้ว แต่ก่อนไปท่านแม่ได้ทิ้งดวงจิตหนึ่งเสี้ยวไว้ให้คอยดูแลท่านพ่อด้วยเจ้าค่ะ"อวี้เฉินฟู่ที่กำลังนั่งอ่านรายงานรีบลุกขึ้นมาจับแขนของบุตรสาวแน่น แววตาที่ผ่านโลกมามากมองมาด้วยความกังขา"หมายความว่าอย่างไรหลันเอ๋อร์ ท่านไต้ซือว่าอย่างไรนะ?"
ท้องพระโรง'ฮ่องเต้เจิ้งชุนฟง' ได้ออกว่าราชกิจช่วงเช้าตามปกติ แต่ครานี้กลับมีเรื่องที่พระองค์คิดไม่ตก และต้องการให้เหล่าขุนนางช่วยแก้ปัญหานี้ด้วย"เจิ้นมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้พวกเจ้าช่วยเจิ้นคิดเสียหน่อย"พระสุรเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นเสียงดัง หลังจากการประชุมเรื่องงานราชกิจช่วงเช้าจบลง เหล่าขุนนางที่ยืนกันเต็มท้องพระโรงต่างยืดแผ่นหลังตรง เพื่อตั้งใจฟังในสิ่งที่ฮ่องเต้กำลังจะตรัส เรื่องใดหนอที่ฮ่องเต้ถึงกลับทรงคิดไม่ตก"ฝ่าบาททรงตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทเองพ่ะย่ะค่ะ"เสนาบดีกู้แห่งกรมยุติธรรมเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางกระตือรือร้น"ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่เจิ้นต้องการหาสตรีที่จะมาเป็นพระชายาองค์ชายสามเท่านั้นเอง"ทั่วท้องพระโรงพลันเงียบเสียงลงทันใด แค่ได้ยินชื่อขององค์ชายสามทุกคนก็อยากจะรีบถอยหนี ไม่มีผู้ใดอยากจะไปข้องเกี่ยวกับองค์ชายสามที่ได้ชื่อว่า 'เป็นจอมเสเพลแห่งเมืองหลวงหรอก'"เอ่อ...องค์ชายสามทรงมีสตรีที่พึงใจอยู่แล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ""ไม่มี แต่องค์
บทที่ 6รนหาเรื่อง จวนตระกูลอวี้อวี้เฉินฟู่กลับมาถึงจวนก็เรียกให้โจวลี่เฟยมาพบที่ห้องหนังสือทันที ใบหน้าของเขาอึมครึมด้วยความไม่พอใจในตัวภรรยาและครอบครัวของนาง รองเสนาบดีโจวคิดจะกำจัดบุตรสาวของเขาให้พ้นทางใช่หรือไม่ กลอุบายขลาดเขลาเช่นนี้เขาจะดูไม่ออกเลยหรือ ดูท่าว่าหลังจวนของเขาคงจะไม่ได้เงียบง่าย และสุขสงบอย่างที่ตาของเขาเห็นไม่"ท่านพี่เรียกหาข้าหรือเจ้าคะ"โจวลี่เฟยเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวาน นางคิดว่าสามีคงจะคิดถึงนางเป็นแน่ แต่หารู้ไม่ว่าบิดาของนางได้สร้างเรื่องเสียแล้ว "ใช่ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าได้พบบิดาของเจ้าหรือไม่ ข้าอยากจะมอบของขวัญให้ท่านพ่อตาเสียหน่อย"อวี้เฉินฟู่ปั้นสีหน้าให้กลับมาสุขุมดังเดิม"ข้าเพิ่งพบท่านพ่อเมื่อสองวันก่อนเจ้าค่ะ ท่านพ่อยังบ่นคิดถึงหลันเอ๋อร์อยู่เลยเจ้าค่ะ และท่านพ่อยังกล่าวว่าหลันเอ๋อร์อายุไม่น้อยแล้ว เราสมควรหาสามีดี ๆ ให้กับนาง เรื่องนี้ข้าเองก็เห็นดีด้วย อยากจะมาปรึกษ
การสมรสระหว่างองค์ชายสามเจิ้งจื่อห้าวและคุณหนูใหญ่อวี้หลันถูกประกาศออกมาในสามวันให้หลัง ทุกคนที่ได้ทราบข่าวนี้ต่างพากันสงสารคุณหนูใหญ่ผู้นี้เป็นอย่างมาก แม้ว่าหลายคนจะไม่เคยเห็นหน้าอวี้หลัน แต่ต่างพากันเทใจว่านางช่างโชคร้ายนัก เป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่แต่กลับต้องมาแต่งงานกับองค์ชายจอมเสเพลเสียได้ ช่างน่าสงสารนัก!นอกจากจะมีคนสงสารก็ยังมีคนที่รู้สึกสาสมใจด้วย อย่างเช่นอวี้ซูเยว่ และโจวลี่เฟยที่ต่างหัวเราะขบขันด้วยความสะใจ หลังจากที่ขันทีข้างกายของฮ่องเต้มาประกาศราชโองการที่จวนเมื่อวันก่อน โดยนับจากนี้อีกสองเดือนอวี้หลันจะต้องแต่งงานกับองค์ชายสาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทั้งสองวาดฝันไว้ล้วนเป็นไปอย่างราบรื่น"ท่านแม่กับท่านตาเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ ในที่สุดนังอวี้หลันก็จะได้ออกไปจากจวนนี้เสียที ฮ่าฮ่าฮ่า""เยว่เอ๋อร์ รักษากิริยาด้วยสิลูก ถึงเจ้าจะดีใจแค่ไหนแต่ก็อย่าได้หัวเราะจนเห็นไรฟันเช่นนี้"อวี้ซูเยว่ฉีกยิ้มกว้าง พลางยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างสงวนท่าที"ก็ลูกดีใจนี่เจ้าคะท่านแม่""เด็กคนนี้นี่"โจวลี่เฟยคลี่ยิ้มหวาน พลางยก
บทที่ 7ร่วมมือกัน หลายวันที่ผ่านมาอวี้เฉินฟู่แทบจะไม่ได้นอนเลย ยิ่งได้เห็นเทียบเชิญจากวังเจียวจินเขายิ่งนอนไม่หลับ เขารู้สึกแย่ที่ตัวเองไม่สามารถหาบุรุษดี ๆ ให้กับบุตรสาวได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหพ่อตาของตนที่สอดไม่เข้าเรื่อง ทำให้ตอนนี้เขายังคงไม่พอใจโจวลี่เฟยอยู่มาก ไม่แม้แต่จะไปนอนค้างที่เรือนของนางเลย"ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกขอเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ?""เข้ามาสิหลันเอ๋อร์"อวี้หลันเดินเข้ามาพร้อมกับถือถ้วยยาบำรุงเข้ามาด้วย นางส่งยิ้มอ่อนหวานให้กับบิดา ก่อนจะเอ่ยธุระที่นางมาหาเขาถึงห้องหนังสือ"ท่านพ่อเจ้าคะ มีเรื่องหนึ่งที่ลูกอยากมาขอร้องท่านพ่อเจ้าค่ะ""เรื่องแต่งงานของเจ้าหรือ""ไม่ใช่เจ้าค่ะ เรื่องของหลันหนิงเหมย ลูกอยากให้ท่านพ่อรับนางกับน้องชายมาอยู่ที่จวนอวี้ของเราเจ้าค่ะ""เรื่องนั้น...มันก็ได้อยู่หรอก แต่ชื่อเสียงของนางจะไม่มัวหมองหรือหลันเอ๋อร์ อย่างไรนางก็เคยเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่มาก
"ส่วนเรื่องหอเดือนดับ คราวหลังพาพี่ไปด้วยได้หรือไม่ พี่อยากจะไปศึกษาอะไรเพิ่มเสียหน่อย"น้ำเสียงที่แผ่วเบาอยู่แล้วยิ่งเบาลงไปอีก แต่กระนั้นเจิ้งจื่อห้าวที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็คอยเงี่ยหูฟังตลอดว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แม้ว่าตรงหน้าเขากำลังพูดคุยกับเจิ้งลู่เหอเกี่ยวกับการสร้างถนนก็ตาม"ศึกษาอะไรหรือเพคะ?""ท่วงท่าการร่วมรักของหญิงคณิกาอย่างไรเล่า"พรวด!!"แค่ก ๆ"เจิ้งจื่อห้าวที่กำลังดื่มน้ำชาพลันสำลักน้ำชาออกมาทันที"เป็นอะไรเจ้าสาม เหตุใดถึงได้สำลักน้ำชาได้เล่า""เสด็จพี่อย่าได้ทรงกังวลเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว"ขณะตอบเจิ้งไห่ถัง สายตาของเขาก็ได้สบประสานกับสายตาของอวี้หลันเข้าพอดี นางยกยิ้มมุมปากพลางแสร้งเลียริมฝีปากของตนช้า ๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เจิ้งจื่อห้าวที่เห็นเช่นนั้น แทบอยากจะอุ้มพระชายาของตนกลับไปลงโทษที่วังเจียวจินเสียเดี๋ยวนี้เลยนางรู้ว่าเขาแอบฟังอยู่สินะ!"เสด็จพี่สามนี่ไม่ไหวเลยนะเจ้าคะ แค่ดื่มน้ำชาก็สำลักขึ้นมาเสียได้ ดีที่ข้าไม่ได้นั่งอยู่ใกล้ ๆ หากน้ำชา
บทที่ 15บุรุษผู้นี้คือสามีของข้า ในวันที่สามหลังจากวันแต่งงาน เจิ้งจื่อห้าวได้พาอวี้หลันมายกน้ำชาที่ท้องพระโรง โดยด้านในมีฮองเฮา องค์รัชทายาท องค์ชายสี่ และองค์หญิงห้ามารออยู่ก่อนแล้ว การแต่งงานเข้าราชวงศ์ของอวี้หลันได้รับความสนใจจากเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงทุกคน โดยเฉพาะองค์หญิงห้าซึ่งเป็นพระขนิษฐาร่วมอุดรขององค์ชายสาม"พี่สามมาแล้วเพคะเสด็จพ่อ เอ๋...ทำไมท่าทางการเดินของพี่สะใภ้ถึงได้แปลกพิกลจังเลยล่ะเพคะ"องค์หญิงห้าผู้พระนามว่า 'เจิ้งไป๋ฮวา' หันไปเอ่ยถามเจิ้งชุนฟงด้วยความสงสัย คำถามของนางได้ยินไปทั่วทุกคน พวกเขาทำได้แค่กลั้นเสียงหัวเราะแล้วหันหน้าไปทางอื่นเสีย ส่วนเจิ้งชุนฟงได้แต่นึกขันกับความไร้เดียงสาของพระธิดาองค์โปรดเพราะนางเพิ่งจะอายุแค่ 15 หนาวจึงยังไม่ประสีประสาเรื่องระหว่างชายหญิงนัก เห็นทีพระองค์จะต้องให้หมัวมามาอาวุโสมาสั่งสอนนางในเรื่องนี้เสียแล้ว"พี่สะใภ้ของเจ้าคงจะเจ็บขา เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลยรีบไปนั่งที่เถิด""เพคะ"เจิ้งไป๋ฮวาแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน รอยยิ้มของนางเกลื่อนไปทั่วใบหน้าอันงดงามห
เจิ้งจื่อห้าวตื่นขึ้นมาหลังจากที่เขาหลับไปเพียงหนึ่งชั่วยาม เพราะเสียงดังด้านนอกของหลีกงกงทำให้เขาไม่อาจจะฝืนข่มตาหลับลงได้ ยิ่งมองหญิงสาวในอ้อมแขนที่นอนหลับตาพริ้ม แต่คิ้วเรียวกลับขมวดมุ่นเพราะรำคาญใจ เขาจึงต้องรีบลุกจากเตียงนอนไปจัดการประเดี๋ยวนี้"ข้าจะไปดูหลีกงกงเสียหน่อย เจ้านอนต่อเถิด"ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาจุมพิตที่หน้าผากมน แล้วไล้ริมฝีปากลงมาที่จมูกโด่งเล็ก ก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากอวบอิ่มอย่างแผ่วเบาราวกับปีกผีเสื้ออวี้หลันอมยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปอีกครั้ง ราตรีที่ผ่านมาเจิ้งจื่อห้าวสูบพลังชีวิตของนางไปจนหมด แค่จะลืมตาขึ้นมานางยังไม่มีแรงเลย พิธียกน้ำชาของวันนี้คงจะต้องเลื่อนเสียแล้ว ประตูห้องหอถูกผลักออกอย่างเบามือ ตามด้วยร่างกายสูงใหญ่ที่มีผ้าคลุมตัวปกปิดร่างกายเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ ทำให้ปรากฏร่องรอยฝากรักสีเข้มทั่วลำคอหนาลามไปจนถึงหน้าอกแกร่งอย่างชัดเจน เหล่านางกำนัลและรั่วซีพากันก้มหน้าลงต่ำด้วยความเขินอายส่วนหลีกงกงได้แต่มองบนกับการกระทำของผู้เป็นนาย เขาเลี้ยงดูองคืชายสามมาตั้งแต่แบเบาะจะด
บทที่ 14สำลักความสุข เจิ้งจื่อห้าวรู้สึกร่างกายของเขามันเบาโหวงราวกับขนนก เพียงแค่การปลดปล่อยแค่ครั้งแรกเขาก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก หากว่าได้ปลดปล่อยอีกสักหลาย ๆ ครั้ง ร่างกายของเขาคงจะมีกำลังวังชาเป็นแน่ เลือดลมที่เคยติดขัดเพราะไม่เคยถึงจุดสุดยอดได้ถูกขจัดไปจนสิ้นเพราะอวี้หลันเพียงคนเดียว"ท่านี้หม่อมฉันขอเรียกว่าขย่มมังกรนะเพคะ""อ่า..."เจิ้งจื่อห้าวสบสายตาเข้ากับดวงตากลมโตที่มองมาของอวี้หลันด้วยความระทึกใจ แค่ชื่อท่าก็ทำเอากึ่งกลางกายของเขากลับมาแข็งขืนขึ้นอีกครั้งอวี้หลันจัดท่าทางของตนเอง ในตอนนี้ร่างกายของนางเองก็พร้อมจะลงสนามจริงแล้ว หยาดน้ำหวานสีใสได้เริ่มไหลปริ่มออกมาจากร่องรักของนางราวกับเขื่อนแตก สะโพกกลมกลึงค่อย ๆ บดลงมาที่ท่อนเอ็นอันร้อนผ่าวของเจิ้งจื่อห้าว เพียงแค่ปลายหัวหยักเข้าไปจ่ออยู่หน้าปากถ้ำ ร่างกายของนางพลันสะดุ้งเฮือกด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ"อึก..."สีหน้าของอวี้หลันที่แสดงออก
"ต้องการหรือเพคะ?"อวี้หลันหยุดชะงักตรงหลุมสะดือของเขา นางเงยใบหน้าขึ้นมาถามเขา พลางชี้นิ้วไปทางแท่งหยกที่กำลังตั้งเด่มาทางใบหน้าของนาง รอยยิ้มหวานปรากฏที่มุมปากเล็กด้วยความเจ้าเล่ห์"อ่า...ใช่""เช่นนั้นก็ตอบคำถามของหม่อมฉันมาก่อนสิเพคะ""คำถามอะไร"อารมณ์ที่กำลังพวยพุ่งพลันหยุดชะงัก เจิ้งจื่อห้าวยันกายขึ้นมามองหน้าคนช่างยั่ว เขาทั้งรู้สึกฉุนและหัวเสียนางจงใจกลั่นแกล้งเขา ให้เขาทรมานเพราะไฟราคานี้!"อนุขององค์ชาย พวกนางเป็นใครเพคะ""แค่สตรีที่ข้าสงสารแล้วรับเลี้ยงไว้""หอเดือนดับใช่ขององค์ชายไหมเพคะ"เจิ้งจื่อห้าวหรี่ตามองพระชายาของตนนิ่ง ความสงสัยและความหวาดระแวงก่อตัวขึ้นมาในใจของชายหนุ่ม"...""ถ้ามันตอบยากไป เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอกเพคะ"อวี้หลันไม่คิดจะไล่ต้อนเจิ้งจื่อห้าว นางแค่หยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินกรีดกรายไปหยิบผ้าคลุมขึ้นมาคลุมกาย แล้วเดินกลับมาล้มตัวลงนอนด้านข้างของเขา ทำราวกับเรื่องเมื่อครู่นี้พวกเขาไม่ได้กำลังจะใช้ค่ำคืนอันร้อนแรงด้วยกัน
บทที่ 13ค่ำคืนวสันต์อันร้อนแรง "อื้อ...อ่า เจ็บนะเพคะ"อวี้หลันร้องครางเสียงสั่น เมื่อถูกเจิ้งจื่อห้าวดูดดึงที่ยอดอกของนาง ไรฟันของเขามันขบกัดที่ผิวเนื้ออ่อนนุ่ม จนอวี้หลันรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วเนินอกขาวผ่อง ความเสียวกระสันพวยพุ่งเข้ามาไม่ขาดสาย ปลุกเร้าให้นางรู้สึกทรมาน อยากจะให้เขาสัมผัสร่างกายของนางมากกว่านี้เจิ้งจื่อห้าวผละใบหน้าออกมาเล็กน้อย เขายกยิ้มด้วยความพึงพอใจเมื่อได้ยินเสียงร้องครางของอวี้หลัน นั่นหมายความว่าถึงแม้เขาจะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่เพราะอ่านตำราวสันต์มามาก เมื่อได้ลงสนามจริงเขาก็สามารถทำให้หญิงสาวในอ้อมกอดสุขสมไปกับบทรักของเขาได้"อ๊ะ! หนาวเพคะ"เพราะอวี้หลันแช่ตัวอยู่ในถังอาบน้ำนาน เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายของนางก็เริ่มหนาวสั่นขึ้นมา ด้วยร่างกายนี้ไม่สามารถแช่ในน้ำเย็นนานได้ คงสืบผลมาจากเรื่องเมื่อคราวก่อนนั้น ทำให้ตั้งแต่นั้นมาร่างกายของนางจะไวต่ออากาศเย็นมากเป็นพิเศษ"อ่า ไปที่เตียงเถิด"
อวี้หลันที่แช่น้ำไปทั้งตัวลุกพรวดขึ้นมา เป็นผลให้ผ้าคลุมที่บางอยู่แล้วแทบจะไม่ปกปิดร่างกายของนางเลย เจิ้งจื่อห้าวที่หันมาเห็นเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเลือดบุรุษพลันร้อนรุ่มขึ้นมาทันที กึ่งกลางกายที่เพิ่งสงบไปพลันตั้งตระหง่านขึ้นมาอีกครั้ง"จะ เจ้ารีบนั่งลงไปเดี๋ยวนี้เลย"เจิ้งจื่อห้าวเอ่ยสั่งเสียงสั่น เขารีบหันหลังกลับไปมองทางอื่นทันที"องค์ชายสามเพคะ ได้โปรด...ช่วยหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ"น้ำเสียงแว่วหวานเอ่ยขอร้องอย่างน่าสงสาร แต่เจิ้งจื่อห้าวไม่ได้สงสารนางเลยสักนิด เขาสงสารตัวเองมากกว่าที่ต้องมาเจอสถานการณ์เช่นนี้"ไม่ได้ ในข้อตกลงของเราไม่ได้มีเรื่องนี้นะอวี้หลัน เจ้าสงบสติอารมณ์เสียก่อนเถิด""เช่นนั้นก็เพิ่มเข้าไปสิเพคะ"จบประโยคเสียงของน้ำที่กระเพื่อมทำให้เจิ้งจื่อห้าวหันกลับไปมอง เขาได้แต่นึกเสียใจที่ทำเช่นนั้น เพราะความหวังดีของตัวเองแท้ ๆ เชียวร่างกายที่เปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำถาโถมเข้ามายังร่างกายของบุรุษอันแสนอบอุ่น อวี้หลันที่มีสติอันน้อยนิด และเพราะต้องการจะกลั่นแกล้งเจิ้งจื่อห้าวเป
บทที่ 12จุมพิตครั้งแรก อวี้หลันยืนยิ้มด้วยความเจ้าเล่ห์ คราแรกนางก็คิดว่าเขาคือเสือผู้หญิงแห่งยุคนี้เสียอีก ที่ไหนได้...ก็แค่ชายหนุ่มที่ไม่ประสีประสา แค่เห็นเรือนร่างที่นางตั้งใจให้เห็นวับ ๆ แวม ๆ เขาก็แทบจะทำสิ่งใดไม่ถูกเสียแล้วใบหน้าที่แดงก่ำราวกับจะคั้นออกมาเป็นน้ำได้ และสายตาที่มองมาด้วยความตกตะลึง นั่นยิ่งทำให้อวี้หลันมั่นใจเต็มสิบส่วนองค์ชายสามผู้นี้ไม่เคยหลับนอนกับสตรี!!อะไรที่ทำให้มั่นใจน่ะหรือ เพราะถ้าหากข่าวลือนั้นคือเรื่องจริงว่าเขามีอนุกว่ายี่สิบนาง เมื่อเขาได้เห็นเรือนร่างนี้แล้ว เขาจะต้องเกิดอาการอยากจะถาโถมเข้ามาจู่โจมนางทันที เสือที่เห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้าจะยอมปล่อยให้หลุดรอดไปได้อย่างไรเล่าแต่นี่เขากลับยืนมองนิ่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ทั้งสายตาที่หลบเลี่ยงนั่นด้วย เช่นนี้แล้วอนุที่อยู่ในเรือนหลังของเขาจะต้องเป็นสตรีที่เขาคอยดูแลไม่ผิดแน่ อาจจะให้ที่พำนักและคอยคุ้มครองอย่างลับ ๆ ก็เป็นได้ เหมือนในซีรีส์จีนที่นางเคยดูมาก่อน ค
ทันทีที่เจิ้งชุนฟงเห็นบุตรชายอุ้มเจ้าสาวเข้ามา พระองค์ก็สรวลขึ้นด้วยความชอบใจ"ฮ่ะฮ่า เจ้าสามคงจะร้อนใจแย่แล้ว ฮองเฮาคิดเช่นเดียวกับเจิ้นหรือไม่""หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเพคะฝ่าบาท หากรู้เช่นนี้หม่อมฉันคงจะรีบจัดงานแต่งงานให้กับลูกสามนานแล้วเพคะ"'ฮองเฮาโจวซูหลิ่ง' ทรงผินพระพักตร์มาแย้มสรวลกับฮ่องเต้ พระนางเองก็อยากจะให้เจ้งจื่อห้าวรีบแต่งงานเสียที อวี้หลันผู้นี้ก็ถือว่าพอใช้ได้ แม้ว่าใจจริงพระนางต้องการให้เขาแต่งกับคุณหนูตระกูลรองซุนมากกว่า"เวลานี้ก็ถือว่าเหมาะสมแล้วล่ะ ฮ่ะฮ่า"เจิ้งชุนฟงยังคงสรวลออกมาไม่ขาดสายเมื่อเจ้าบ่าวและเจ้าสาวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของทั้งสองพระองค์ แม่สื่อผู้เป็นผู้ทำพิธีก็ได้ก้าวขึ้นมาด้านหน้า นางเอ่ยนำทั้งสองให้ทำตามพิธีอย่างเคร่งครัดต่อไป... พิธีช่วงเช้าได้เสร็จสิ้นลงด้วยดี ลำดับถัดไปแม่สื่อก็ได้นำตัวเจ้าสาวให้ไปรอเจ้าบ่าวที่ห้องหอ ส่วนเจ้าบ่าวก็มีหน้าที่ที่ต้องรับแขกต่อไปภายในห้องหอนั้น อวี้หลันที่รู้สึกปวดเมื่อยต้นคอจนแทบจะทนไม่ไหว จึงได้เรียกรั่วซีที่อยู่ในห้อง