บ้านใหญ่ตระกูลหยาง
หลังจากที่บ้านสายรองได้ทำการแยกบ้านออกไปแล้วนอกจากนี้นางหลินยังต้องคืนสินเดิมให้กับหวังฉีหลินกลับไปและยังมีที่ดินที่เป็นสินเดิมของนางฟางด้วย เรื่องนี้ทำให้นางหลินไม่พอใจเป็นอย่างมาก คนพวกนี้มีความกล้าตั้งแต่เมื่อไหร่กันเรื่องสินเดิมของนางฟางนั้นถูกแม่สามีของนางนำไปใช้จ่ายจนหมดตั้งแต่สมัยแม่สามีของนางยังมีชีวิตอยู่
พอหวังฉีหลินแต่งเข้ามานางจึงลอกเลียนแบบแม่สามีของตนเองโดยทำการยึดเอาสินเดิมของหวังฉีหลินมาเก็บเอาไว้โดยอ้างว่าสินเดิมของทุกคนต้องนำมาเก็บรวมกันที่บ้านใหญ่ถึงแม้ว่าหวังฉีหลินจะไม่ได้เป็นลูกสะใภ้ของนางก็ตาม
แล้วตอนนี้นางจะทำยังเช่นไรล่ะนอกจากจะต้องคืนของแล้วนางยังต้องมาเจ็บตัวเองไม่รู้ว่านังฉีหลินถูกวิญญาณร้ายที่ไหนเข้าสิงมาถึงได้กล้าลงมือกับนางขนาดนี้ ไม่ใช่แค่นางยังมีลูกสะใภ้และลูกชายของนางด้วยต่อไปนี้คงรังแกคนพวกนั้นไม่ได้อีกแล้ว
แต่ด้วยนิสัยของนางหลินย่อมต้องหาโอกาสแก้แค้นอยู่แล้วแต่จะแก้แค้นสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูด้วยว่านางหลินมีความสามารถที่จะแก้แค้นหรือให้สำเร็จหรือไม่
“เจ็บใจจริง ๆ แล้วแบบนี้สินเดิมของข้าล่ะท่านแม่จะทำยังไง ของก็คืนให้นังฉีหลินไปหมดแล้ว แล้วข้าล่ะข้าจะทำยังไง”
“เจ้าจะแหกปากโวยวายอะไร ถ้าเจ้ามีความสามารถก็ไปแย่งกลับมาสิ”
“ท่านแม่ ทำไมท่านพูดแบบนี้เจ้าคะ” หยางฮุ่ยเหม่ยตะคอกถามมารดา
“จะแหกปากให้ได้อะไรขึ้นมา ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ข้าจะไม่ยอมให้จบแค่นี้แน่ แยกบ้านแล้วยังไงสัญญาตัดขาดแล้วยังไง อย่าให้ข้าได้มีโอกาสก็แล้วกันข้าจะจับลูกสาวของมันไปขายเป็นทาส หลานของมันด้วย”
“ดีเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะดูน้ำหน้าของพวกมันว่าจะทำอะไรเราได้หรือไม่หากถึงเวลานั้น”
สองแม่ลูกที่ยังไม่รู้จักเข็ดหลาบนั้นลืมไปเสียสนิทว่าสัญญาแยกบ้านถูกส่งให้ทางการอีก 1ฉบับและทั้งสองครอบครัวตัดขาดกันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก อีกทั้งหากคนจากบ้านใหญ่บุกรุกเข้าไปในพื้นที่ของบ้านสายรองหวังฉีหลินสามารถทุบตีพวกเขาได้โดยไร้ซึ่งความผิด
“พวกเจ้าสองแม่ลูกหุบปากกันสักทีได้หรือไม่ ยังไม่รีบไปหายาทาอีก หน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้ออกไปให้พ้น ๆ หน้าข้า ไม่ได้เรื่อง นอกจากจะต้องคืนสินเดิมให้พวกมันแล้วยังโดนทุบตีขนาดนี้ ไร้ประโยชน์จริง ๆ” หยางฮุ่ยเหอระเบิดอารมณ์ใส่ลูกสาวและภรรยา
“ท่านพ่อทำไมท่านพูดแบบนี้เจ้าคะ ท่านเก่งนักทำไมท่านไม่ไปทุบตีนังฉีหลินล่ะ ท่านจะมาพาลเอากับข้าและท่านแม่ได้ยังไง”
“นั่นสิเจ้าคะท่านพี่ ทำไมท่านถึงได้พูดแบบนี้ ที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าท่านพี่ไร้ความสามารถหรือเจ้าคะ”
“หุบปาก ข้าบอกให้หุบปาก ไสหัวไปให้หมด”
หลังจากลูกและภรรยาออกไปหมดแล้วหยางฮุ่ยเหอได้แต่นึกเจ็บใจที่ไม่สามารถยึดเอาทรัพย์สมบัติของบ้านสายรองมาได้ ตามหลักความเป็นจริงแล้วคนที่เป็นพี่ชายเช่นเขาจะต้องไม่รังแกน้องชายของตัวเองอยู่แล้ว
แต่ทว่าในความเป็นจริง เขาไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ ของหยางเทียนฉี เรื่องนี้ไม่มีใครรู้นอกจากบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว เพราะมารดารู้สึกผิดต่อแม่ของเทียนฉีที่เป็นคนรักของบิดาเขา หากแต่ต้องโดนบังคับมาแต่งงานกับนางแต่ต่อมาพ่อแม้แท้ ๆ ของเทียนฉีได้ตกตายลงเพราะป่วยเป็นไข้ป่า
อีกทั้งท่านแม่ได้คลอดน้องชายของเขาออกมาในเวลาใกล้เคียงกันแต่น้องชายแท้ ๆ ของเขากลับป่วยตายท่านพ่อที่แอบเลี้ยงเทียนฉีอยู่จึงได้พากลับมาแทนน้องชายของเขาที่ตายไป เรื่องนี้เขาบังเอิญรู้เข้าก่อนที่ท่านพ่อจะเสียชีวิต
เรื่องนี้เขายอมรับไม่ได้จริง ๆ ถึงท่านแม่จะรักเขาแต่เขารู้สึกว่าท่านแม่รักน้องชายมากกว่าเขายิ่งพอมารู้ว่าไม่ใช่น้องชายแท้ ๆ แต่ท่านแม่ยังให้ความรักกับเทียนฉีมากมายเขาก็ยิ่งเกลียดชังและแค้นใจแต่สิ่งที่ฮุ่ยเหอไม่รู้ก็คือความจริงในใจของมารดา ถึงจะบอกว่ารู้สึกผิดต่อมารดาแท้ ๆ ของเทียนฉี แต่พอเวลาผ่านไปนางกลับเกลียดเทียนฉีเข้าไส้เพราะสามีของนางในใจไม่เคยมีนางเลย แต่กลับมีแม่แท้ ๆ ของเทียนฉีอยู่เต็มหัวใจ จากนั้นมานางจึงได้เริ่มร้ายกาจและเริ่มไม่เห็นว่าเทียนฉีเป็นลูกอีกต่อไป ถึงแม้ว่านางจะรักเทียนฉีมากแต่อีกใจนางก็รู้สึกเกลียดเขามาเช่นเดียวกัน
เขาอดทนวันแล้ววันเล่าในที่สุดบิดามารดาก็จากไปเขาจึงได้เริ่มเอาคืนและแก้แค้นให้น้องชายที่ตายไปของตัวเอง เขาคิดอยู่เสมอว่าหากไม่มีเทียนฉีน้องชายแท้ ๆ ของเขาคงไม่ตาย
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเหตุใดหยางฮุ่ยเหอถึงได้มีความคิดที่บิดเบี้ยวได้ขนาดนี้ ในส่วนลูกชายทั้งสองนั้นตอนนี้ก็ได้สั่งกำชับให้ภรรยาของตัวเองอย่าได้ไปข้องเกี่ยวกับบ้านท่านอาอีกหาไม่แล้วพวกเขาจะหย่ากับพวกนาง
“พวกเจ้าจำเอาไว้ว่าอย่าได้ไปข้องแวะและหาเรื่องบ้านอารองอีก หากยังอยากหาเรื่องโดนทุบตีอยู่อีกล่ะก็ข้าก็จะไม่เอาเจ้าไว้เช่นเดียวกัน ข้าจะหย่ากับเจ้าส่วนลูกข้าจะเลี้ยงเอง”
หยางฮุ่ยเจียงคาดโทษภรรยาของตัวเองเขาจะไม่ยอมเป็นเหมือนท่านพ่อเด็ดขาดที่ไม่ว่าท่านแม่จะทำร้ายกาจแค่ไหนตัวเองก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยเขาไม่อยากจะทำผิดไปมากกว่านี้แล้ว
“ส่วนเจ้าก็เหมือนกันหากเจ้ายังกล้าไปหาเรื่องให้ตัวเองโดนทุบตีอีก ข้าเองก็จะไม่เอาเจ้าไว้เช่นเดียวกัน ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี ดูแลลูกให้ดีอย่าให้นางมีนิสัยร้ายกาจเช่นน้องเล็กที่ท่านแม่สอนนางผิด ๆ หากว่าเจ้าไม่เต็มใจที่จะทำตัวเองให้ดีและหากเจ้าไม่พอใจข้ายินดีหย่ากับเจ้าตอนนี้” หยางฮุ่ยหมิน
“พวกข้าเข้าใจแล้ว ใครจะอยากรนหาที่กันเล่า รู้แบบนี้น่าจะผลักมันตกหน้าผาแทนร่องเขาแล้ว ถ้าข้ารู้ว่ามันจะฟื้นขึ้นมาแล้วร้ายกาจแบบนี้” สะใภ้ใหญ่เผลอพูดออกมา
“หลันเหลียนฮวา นี่เจ้าจงใจผลักนางตกร่องเขาจริง ๆ ใช่หรือไม่ แล้วโสมที่สะใภ้รองเอาไปขายวันนี้พวกเจ้าก็แย่งของนางมาใช่หรือไม่” หยางฮุ่ยเจียงที่ตอนนี้โมโหจนหน้าดำหน้าแดง
“ใช่แล้วท่านจะทำไมข้า เรื่องนี้ท่านแม่เห็นดีเห็นงามด้วยหากจะโทษก็โทษแม่ของท่านเถอะ” เหลียนฮวาเชิดหน้ามองสามีด้วยความไม่พอใจนางผิดอะไรแค่ทำตามคำสั่งของแม่สามี
“เจ้าทำคนเกือบตายแต่ยังไม่สำนึกผิด เช่นนั้นเราอย่าอยู่ด้วยกันอีกเลย ข้าจะไปขอให้หัวหน้าหมู่บ้านเขียนหนังสือหย่าให้เจ้า”
“ไม่นะท่านพี่ ข้าไม่หย่า ข้าทำตามคำสั่งของท่านแม่สามี ท่านจะมาโทษข้าคนเดียวไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านพี่ให้โอกาสข้าสักครั้งได้หรือไม่ ข้าจะกลับตัวเจ้าค่ะ”
“ย่อมได้ ข้าให้โอกาสเจ้าแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว หากว่าเจ้ายังทำตัวแบบเดิมอีก ต่อให้ท่านแม่ขอร้องข้าก็จะไม่ยินยอม ข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ น้องรองเจ้าเองก็ดูแลเมียของเจ้าให้ดี อย่าให้นางทำอะไรไม่ดีอีก ที่ผ่านมาพวกเราทำผิดต่อครอบครัวอารองมามากแล้ว”
“ขอรับพี่ใหญ่ เดิมทีข้าเองไม่ได้มีความแค้นอะไรกับอารองแต่ข้าเองก็ไม่สามารถทัดทานท่านพ่อท่านแม่ได้ จึงได้แต่หลับหูหลับตาทำเป็นไม่เห็น ข้าเองไม่เข้าใจว่าท่านพ่อมีความแค้นอะไรกับท่านอานักหนา ท่านแม่ก็อีกคน ข้าไม่เข้าใจทำไมถึงได้จงเกลียดจงชังอารองนักยิ่งกับอาสะใภ้ยิ่งแล้วไปใหญ่”
“ก็จะอะไรเสียอีกล่ะเจ้าคะท่านพี่ ท่านแม่ของข้าเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนท่านแม่ของท่านหลงรักท่านอารองแต่ท่านอารองมีใจรักอยู่กับอาสะใภ้ท่านแม่ของท่านเลยเข้าหาท่านพ่อของท่านแทนอย่างไรเล่า” สะใภ้รองหานเหยียนเอ๋อร์พูดออกมา
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ ใครจะมีบุญคุณความแค้นกับใครข้ายังไม่อยากโดนหวังฉีหลินทุบตี” หยางฮุ่ยหมินเหมือนจะกลัวหวังฉีหลินทุบตีมากจริง ๆ
ว่ากันว่าไม่เห็นประตูนรกไม่สำนึกยังดีที่ลูกชายทั้งสองกลับตัวทัน หากแต่ว่าลูกสาวอย่างหยางฮุ่ยเหม่ยนั้นยิ่งสะสมความแค้นเข้าไปในใจเรื่อย ๆ และรอวันที่จะได้แก้แค้น
ทางด้านบ้านสายรองไม่ได้สนใจว่าใครจะคิดยังไง ไม่ได้สนใจว่าบ้านใหญ่จะวุ่นวายกันหรือไม่ ทั้งครอบครัวยังคงเตรียมตัวพักผ่อนและจะพาหยางเฟยเทียนเข้าไปหาหมอในเมืองพรุ่งนี้
หวังฉีหลินเองนางก็ต้องการจะนำเห็ดหลินจือไปขายด้วย ถามว่าทำไมนางมียาที่สามารถรักษาสามีของตัวเองให้หายได้โดยไม่พึ่งพาหมอแต่จะทำแบบนั้นได้ยังไง เรื่องไปหาหมอเพราะเพียงแค่ต้องการปกปิดสิ่งที่นางมีอยู่เท่านั้นพูดง่าย ๆ คือพาไปหาหมอเพื่อบังหน้าเท่านั้น
ตอนนี้ครอบครัวยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้ ความลับที่นางมีนางจำเป็นจะต้องเก็บงำเอาไว้ ไม่ใช่ว่านางไม่มีเงิน เงินในมิติของนางมีหลายพันตำลึงทองเสียด้วยซ้ำแต่หากอยู่ดี ๆ บ้านของนางเกิดร่ำรวยขึ้นมานั่นนับว่าความยุ่งยากย่อมจะตามมาด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ทำได้เพียงแค่อดทนเอาไว้ก่อน รอให้ย้ายไปอยู่ที่ติดเชิงเขาเสียก่อนอย่างน้อย ๆ ก็อยู่อีกหมู่บ้านไม่ได้ขึ้นกับหมู่บ้านเหอมู่แห่งนี้
ที่ดินสินเดิมของมารดาสามีอยู่ติดเชิงเขาชายป่าของหมู่บ้านป่าหมอกซึ่งอยู่ใกล้กับป่าหมอกทมิฬ นับว่าเป็นที่ดินที่เหมาะแก่การสร้างบ้านและสร้างครอบครัวจริง ๆ
พอตอนย้ายบ้านไปนางต้องรีบขอตัวช่วยจากชายชราที่เคยบอกว่าจะส่งตัวช่วยมาให้ ชาวบ้านเล่าขานกันว่าป่าหมอกทมิฬนั้นอันตรายมาก มีชาวบ้านน้อยมากที่จะกล้าเข้าไปหาของป่าในป่าหมอกทมิฬเพราะสัตว์ป่าดุร้ายมาก
ในมิติแห่งนี้มีเพียงพวกชาวยุทธ์เท่านั้นที่จะหาญกล้าเข้าป่าหมอกทมิฬ ชาวบ้านธรรมดาไหนเลยจะกล้าสัตว์ป่าอันตรายและดุร้ายด้วยเหตุนี้ที่ดินสินเดิมจึงเหลืออยู่
“ท่านพ่อเจ้าคะ พรุ่งนี้ข้าจะพาท่านพี่ไปรักษาในเมืองและข้าจะเอาเห็ดหลินจือที่ข้ากับน้องเล็กเก็บได้วันนี้ไปขายด้วย ส่วนท่านพ่อพาท่านแม่ไปจัดการเรื่องทะเบียนบ้านให้เรียบร้อยและไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านป่าหมอกว่าเราจะย้ายไปอยู่ที่นั่น จากนั้นเราจะเริ่มสร้างบ้านทันทีเจ้าค่ะ”
“เราจะมีเงินพอหรือลูกสะใภ้”
“พอเจ้าค่ะ หากไม่พอข้าจะเข้าป่าไปหาสมุนไพรมาขาย อีกหน่อยอาการป่วยของท่านพี่หายแล้วเราก็ไม่ต้องใช้จ่ายอะไรมากแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นพ่อกับน้องรองของเข้าจะเข้าป่าล่าสัตว์อีกแรง”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นไปพักผ่อนกันเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้พวกเราจะเข้าเมืองทั้งหมด”
“ข้าก็จะไปด้วยนะขอรับท่านแม่” แฝดพี่
“ข้าด้วย ข้าจะไปด้วย” แฝดน้อง
“แม่ย่อมพาพวกเจ้าไปอยู่แล้ว แต่พวกลูกต้องเป็นเด็กดีห้ามดื้อกับท่านย่าเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ พวกข้าเข้าใจแล้ว”
“พี่ขอบใจเจ้านะหลินเอ๋อร์ ที่ทำทุกอย่างเพื่อพวกเรา” เฟยเทียนกล่าวขอบคุณภรรยาพร้อมส่งสายตารักใคร่มาให้
“ท่านพี่พูดอะไรพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านพ่อท่านแม่ของท่านก็เป็นเหมือนท่านพ่อท่านแม่ของข้า ข้าเองก็ไม่เหลือครอบครัวที่ไหนอีกแล้วนอกจากพวกท่านระหว่างเรายังต้องกล่าวขอบคุณกันอยู่อีกหรือเจ้าคะ”
“พี่รู้แต่พี่ยังอยากขอบคุณเจ้าอยู่ดี”
ฉีหลินถึงแม้จะรู้ว่านี่ร่างนี้เป็นร่างของนาง สามีก็สามีของนางแต่นางยังไม่เคยร่วมหอด้วยแต่อีตาบ้าหน้ามึนนี่ขนาดบาดเจ็บอยู่ยังส่งสายตามาให้นางช่างหน้าหนานัก
เช้าวันใหม่หลังจากกินมื้อเช้าแล้วครอบครัวหยางสายรองเข้าเมืองโดยอาศัยเกวียนของหัวหน้าหมู่บ้านที่จะเดินทางเข้าเมืองเพื่อนำหนังสือแยกบ้านไปยื่นให้กับทางการทำการลงบันทึก และหยางเทียนฉีเองก็ต้องยื่นขอทะเบียนบ้านใหม่และแจ้งย้ายที่อยู่ไปในเสียคราวเดียวกัน“เทียนฉีเจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะพาลูกเมียไปอยู่ที่ชายป่าหมอกทมิฬ”“ข้าคิดดีแล้วขอรับท่านลุงเมิ่ง มันอาจจะดีกว่าอยู่ที่นี่ขอรับ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้จะคิดทำอะไรอีก ที่ผ่านมาข้าทนมาพอแล้วขอรับ ทนแบกรับคำว่ากตัญญูเอาไว้บนบ่าจนลูกเมียต้องพลอยมาลำบากไปด้วย”“เจ้าคิดได้ก็ดีแล้วแต่ชายป่าหมอกทมิฬอันตรายมากนะ ข้ากลัวว่าสัตว์ป่าจะลงมาแล้วพวกเจ้าจะเป็นอันตราย”“ข้าคิดว่าจะทำกำแพงบ้านให้สูงหน่อยขอรับ”“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าก็เอาใจช่วยและดีใจด้วยที่เจ้าหลุดพ้นจากตรงนี้ไปได้เสียที”“ขอรับ ขอบคุณท่านมาก”“พวกเจ้าพี่น้องอย่าได้เอาลุงใหญ่ของเจ้ามาเป็นเยี่ยงอย่างรู้หรือไม่ พี่น้องกันย่อมต้องรักใครปรองดองกัน”“ขอรับ ท่านลุงเมิ่ง”"เจ้าค่ะ ท่านลุงเมิ่ง"“ถึงพวกเจ้าจะย้ายไปแล้วหากมีอะไรให้ข้าช่วยก็มาบอกกับข้าได้ทุกเมื่อนะ หากมีอะไรที่ข้าช่วยได้
ครอบครัวหยางสายรองกลับมาถึงบ้านก็พบว่าหยางฮุ่ยเหม่ยกำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าประตูบ้าน ก่อนออกจากบ้านฉีหลินได้ใส่กุญแจเอาไว้โดยปกติแล้วหากไม่มีคนอยู่ในบ้าน หยางฮุ่ยเหม่ยจะใช้โอกาสที่ทุกคนทำงานอยู่ในแปลงนาเข้ามาหยิบจับและฉกฉวยเอาสิ่งของที่มีในบ้านสายรองไป นางทำเช่นนี้หลายต่อหลายครั้งและมีปากเสียงกันก็บ่อยครั้งแต่พี่ชายของเขาอ้างว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแค่หยิบของมาเล็กน้อยจะเป็นอะไรได้ อีกทั้งยังกล่าวหาว่าเขาเป็นคนใจแคบอีกด้วยฉีหลินไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้ทุบตีคนให้หลุดมือไป ในเมื่อนางระบุเอาไว้ในสัญญาแยกบ้านชัดเจนแล้วแต่เหมือนว่าหยางฮุ่ยเหม่ยจะจำไม่ได้แบบนี้จะต้องมีการทุบตีเตือนสติกันเสียบ้างยังไม่ทันที่จะได้มีใครพูดอะไรหวังฉีหลินเดินเข้าไปด้านหลังของหยางฮุ่ยเหม่ยอย่างแผ่วเบา โดยที่ฮุ่ยเหม่ยไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าบ้านสายรองกลับมาแล้ว เพราะใจมัวแต่จดจ่อหาวิธีเข้าไปรื้อค้นของในบ้านจึงไม่รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองฉีหลินยกเท้าขึ้นถีบไปที่ก้นของนาง จนทำให้นางที่ไม่ทันได้ระวังตัวล้มหน้าทิ่มพื้นลงไปทันที และก็ตามมาด้วยเสียง ตุ๊บ ตั๊บ ๆ อยู่เป็นระยะ ฮุ่ยเหม่ยทำได้แค่กรีดร้อง
หลังจากที่ทุกคนเข้ามาในบ้านแล้วสองแฝดเพิ่งจะเห็นว่าในตะกร้าที่ท่านแม่ของพวกเขาสะพายอยู่นั้นมีก้อนอะไรกลม ๆ ขาว ๆ อยู่ ด้วยความสงสัยเจี้ยนเอ๋อร์จึงได้เอ่ยปากถามมารดาของตัวเองในสิ่งที่เขาสงสัยทันที“ท่านแม่ขอรับท่านแม่ อะไรอยู่ในตะกร้าของท่านแม่หรือขอรับ ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่ หรือว่าจะเป็นกระต่ายหรือขอรับ”“อ่อ เจ้านี่หรือ มันชื่อเสี่ยวหลาง แม่ไปเจอมันอยู่ตัวเดียวในป่าเลยพามันกลับมาด้วย ต่อไปนี้มันจะมาอยู่กับพวกเราเป็นสมาชิกในบ้านของเรา ลูกต้องช่วยกันดูแลและห้ามรังแกมันเด็ดขาด”“ว้าว หมาล่ะ ลูกหมาล่ะ เฉิงเอ๋อร์ชอบมันที่สุดเลยขอรับท่านแม่ ”“เอาล่ะ ๆ ถ้าลูกชอบก็ดูแลมันให้ดี ๆ ล่ะ ไปอาบน้ำกันได้แล้ว”“ขอรับ เสี่ยวหลางเจ้าก็ต้องอาบน้ำด้วยนะ ถ้าเจ้าไม่อาบน้ำเจ้าต้องไปนอนนอกบ้าน” เจี้ยนเอ๋อร์“พวกเจ้ารออารองด้วย อารองไปอาบด้วยคน”“ท่านแม่เจ้าคะวันนี้ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“เฟยเทียนอาการดีขึ้นไม่น้อย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ”“เจ้าค่ะท่านแม่ วันนี้ข้าคุยกับท่านพ่อแล้ว ให้ว่าจ้างช่างจากในเมืองมาช่วยสร้างบ้านให้พวกเราอยู่ชั่วคราวไปก่อน น้องรองเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ข้าเองก็ไม่วางใจหากข
หลังจากผ่านเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายไปแล้วทุกคนถึงได้เริ่มลงมือกินมื้อเช้า หลังจากจบมื้ออาหารเช้าวันนี้ฉีหลินจะเป็นคนไปเยี่ยมสามีของนางที่โรงหมอส่วนน้องชายน้องสาวทั้งสองคนจะอยู่ช่วยกันเก็บของที่จำเป็นใส่หีบ ถึงเวลาย้ายออกไปจะได้ง่ายขึ้นแม่สามีวันนี้จะอยู่เลี้ยงหลานที่บ้าน ตอนนี้บ้านสายรองไม่จำเป็นต้องไปทำงานในแปลงนา เพราะพวกเขาไม่ได้ส่วนแบ่งที่นา ส่วนข้าวที่ปลูกไปแล้วพอถึงเวลาเก็บเกี่ยวบ้านใหญ่ก็คงจะไม่แบ่งให้พวกเขาอยู่แล้วในเมื่อไม่มีส่วนแบ่งเป็นของตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องไปลงแรงให้เปล่าประโยชน์ ลูก ๆ ของนางวันนี้ดูพวกเขาจะมีความสุขมากในบ้านมีแต่เสียงหัวเราะเพราะมีเพื่อนใหม่ถึงสามตัวเสี่ยวเฮยนั้นทำตัวเองให้เป็นเก้าอี้เพื่อให้เฉิงเอ๋อร์นั่ง ส่วนเสี่ยวหู่นั้นนอนมองเจี้ยนเอ๋อร์ขี่หลังเสี่ยวหลาง บางครั้งมันก็ให้เจี้ยนเอ๋อร์ขี่หลังมันบ้าง แต่เพราะกลัวจะมีคนเห็นว่ามันเป็นเสือมันจึงได้เพียงย่อขนาดให้เท่ากับลูกแมวและไปตามออดอ้อนแม่สามีเพื่อขอของกิน“เสี่ยวเฮยเราไปหาท่านย่าที่ห้องครัวกันเถอะ” เสียงเล็ก ๆ ของเฉิงเอ๋อร์ชวนสหายตัวใหม่เพื่อไปขอขนมท่านย่ากิน“ใช่แล้ว เสี่ยวหลางเราเองก็ไปกันเถอะ เดี๋ย
ฉีหลินออกมาคุยกับท่านหมอที่รักษาสามีของนางเพื่อแจ้งแก่ท่านหมอว่านางจะพาสามีกลับไปพักฟื้นที่บ้าน เมื่อแจ้งความประสงค์กับท่านหมอแล้ว ฉีหลินได้รับเงินจากโรงหมอคืนเป็นเงิน 30 ตำลึง เมื่อจัดการเรื่องค่าหมอค่ายาเสร็จแล้ว ฉีหลินมุ่งหน้าไปเช่าเกวียนเพื่อมารับสามีนางกลับไปรักษาตัวที่บ้านทันที ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามีของนางฟื้นตัวได้เร็วนั้นเพราะน้ำพุวิญญาณที่นางแอบนำมาผสมน้ำให้สามีดื่มอยู่เป็นประจำอีกทั้งน้ำกินน้ำใช้ที่บ้านย่อมผสมน้ำพุวิญญาณลงไปด้วย ตอนนี้แม่สามีของนางเองดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นมาจากปกติร่างกายที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ ของนาง หลังจากได้ดื่มกินน้ำผสมน้ำพุวิญญาณทำให้ร่างกายของนางแข็งแรงขึ้นฉีหลินออกไปได้ไม่นาน นางก็กลับมาพร้อมเกวียนเพื่อมารับเฟยเทียนกลับบ้าน ตอนนี้เขาเดินได้แล้วแต่ไม่สามารถเดินนาน ๆ ได้ ตอนแรกเขาหมดหวังแล้วเพราะป้าสะใภ้ยึดเอาเงินไปและไม่ยอมให้หมอรักษาเขา เขาคิดว่าตัวเองคงจะกลายเป็นคนป่วยพิการนอนติดเตียง อยู่เป็นภาระลูกเมียและพ่อแม่เสียแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็สามารถมารักษาและหาหมอทัน เป็นเพราะภรรยาของเขาที่ต่อสู้เพื่อครอบครัว ในวันที่เขาเห็นน้องชายน้องสาวพาภรรยาที่บาดเจ็บก
ฉีหลินและเฟยจินกลับมาถึงบ้านทั้งสองคนนำปลาไปใส่ถังโอ่งดินใบเล็ก ๆ เอาไว้ก่อนจากนั้นฉีหลินก็นำใบบัวไปล้างให้สะอาดพักเอาไว้ ส่วนกุ้งนางกำลังคิดว่าจะทำอะไรกินดี กุ้งแม่น้ำตัวโตขนาดนี้ทำไมคนที่นี่เรียกปลาเปลือกแข็งกัน ถ้ากุ้งเรียกปลาเปลือกแข็งแล้วถ้าเป็นปูล่ะจะเรียกว่าอะไร คงไม่เรียกว่าปลากระดองแข็งหรอกใช่ไหม ฉีหลินหัวเราะคิกคักกับความคิดไร้สาระของตัวเองแต่เอาเข้าจริงคนที่นี่เรียกปูว่าปลากระดองแข็งจริง ๆ นี่คือสิ่งที่ฉีหลินรับรู้ในเวลาต่อมาฉีหลินจะทำข้าวห่อใบบัวแต่เครื่องปรุงอาจจะไม่ครบ เช่นนั้นก็มาดัดแปลงเอาตามของที่มีก็แล้วกัน นางเดินเข้าไปในครัวไม่รู้ว่าที่โลกแห่งนี้จะมีเผือกหรือยัง เพราะความทรงจำบางส่วนขาดหายนางจึงไม่แน่ใจว่ามีหรือยังถึงจะไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่มี แต่ในมิตินางมีในเมื่ออยากกินต้องได้กิน ฉีหลินเริ่มต้นด้วยการแกะกุ้งพักเอาไว้ จากนั้นก็ไปหุงข้าว นำเผือกออกมาหั่นเต๋าเอาไว้ ในห้องครัวมีแครอทพอดีนางนำมาหั่นเต๋าเอาไว้เช่นเดียวกัน“แล้วเราจะใส่กุนเชียงดีหรือไม่ ถ้าไม่ใส่ก็จะไม่อร่อยน่ะสิ แต่ถ้าใส่จะตอบคำถามทุกคนว่ายังไงดี โอ้ยย ปวดหัวจริง ๆ อึดอัดจะแย่แล้ว ใส่ ๆไปเถอะงั้นก็เรื
นับตั้งแต่ฉีหลินพาสามีกลับมารักษาตัวที่บ้านตอนนี้เวลาก็ผ่านไปแล้วหลายวัน เช้าวันนี้หลังจากกินมื้อเช้าพวกเขาจะย้ายบ้านไปอยู่ที่หมู่บ้านป่าหมอกกันแล้วคนที่ดีใจที่สุดที่จะได้ย้ายบ้านไม่ใช่ใครที่ไหนแต่หากเป็นหยางเฟยจินผู้ที่หวังมานานว่าจะได้ย้ายไปจากตรงนี้เสียที อย่างน้อย ๆ ครอบครัวของเขาจะได้ไม่โดนเอาเปรียบและถูกป้าสะใภ้รังแกเช่นที่ผ่านมา“พวกเจ้าเร่งมือกันหน่อยประเดี๋ยวสายแล้วจะร้อนเอาได้” หยางเทียนฉีเร่งลูกเมีย“ท่านพี่ท่านขนของพวกนี้ขึ้นเกวียนไปเถอะ แล้วให้อาเทียนนั่งไปกับท่านส่วนข้าจะเดินไปกับลูกสะใภ้และหลาน ๆ เอง” นางฟางบอกผู้เป็นสามี“เจ้าจะเดินไหวหรือ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เราจ้างเกวียนบ้านลุงเมิ่งไปส่งพวกเจ้าดีกว่า จะเดินทำไมให้เหนื่อย”“เอาแบบนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ท่านรีบไปบ้านท่านลุงเมิ่งเถอะ”ในตอนที่คนบ้านหยางจัดแจงข้าวของกันอยู่นั้น นางหลินที่ตอนนี้รักษาตัวหายดีแล้วก็เดินมาที่บ้านหยางสายรองเพื่อดูว่าคนพวกนี้ย้ายออกไปจริงหรือไม่ และหยิบจับอะไรตัดไม้ติดมือไปด้วยหรือเปล่า“เหอะรีบ ๆ ไสหัวของพวกเจ้าออกไปจากบ้านของข้า และอย่าได้หยิบอะไรของข้าติดไม้ติดมือไปเป็นอันขาดจะหาว่าข้าไม่เตือน”“
หลังจากที่จับปูจับปลาจับกุ้งกันจนพอใจแล้ว สามเสี่ยวลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนานฉีหลินนึกได้ว่ายังไม่ได้ขุดบ่อน้ำเอาไว้ใช้สอยเลย จะพึ่งพาเพียงแค่น้ำจากลำธารไม่ได้ อีกทั้งนางต้องการที่จะเปลี่ยนน้ำในบ่อให้เป็นน้ำพลังวิญญาณโดยการนำน้ำพุวิญญาณในมิติมาเติมลงไป เมื่อกลับจากจับปลาที่ลำธารแล้วนางจึงปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อสามีและสามีทันที บ่อน้ำที่นางต้องการคือ บ่อน้ำขนาดใหญ่ 1 บ่อ และบ่อน้ำสำหรับใช้สอยในบ้าน 1 บ่อ นางคิดว่าจะจ้างชาวบ้านในหมู่บ้านมาช่วยขุดให้“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าค่ะ ท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ”“มีเรื่องอะไรหรือหลินเอ๋อร์” เฟยเทียนถามภรรยาออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ข้าต้องการขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ในที่ดินของเราเจ้าค่ะ และบ่อน้ำสำหรับใช้สอยในบ้านอีก 1 บ่อ ข้าอยากให้ท่านพ่อไปว่าจ้างชาวบ้านมาช่วยขุดเจ้าค่ะ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตักน้ำที่ลำธารเจ้าค่ะ"“ดีเหมือนกัน เช่นนั้นหลังกินมื้อเที่ยงแล้วพ่อจะเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องการจ้างงานก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ฝากด้วยนะเจ้าคะ”“ไม่เป็นไรไม่ได้ลำบากอะไร พวกเจ้าเอาปลาไปให้แม่ของเจ้าทำเถอะจะได้รีบกินข้าว ดูท่าพ
ในตอนที่ประมุขมารได้ตายไปพร้อมกับดวงจิตที่แตกสลาย แต่ทว่ากลับไม่ได้แตกสลายไปทั้งหมด ยังมีดวงจิตอีกเสี้ยวได้หลุดลอยไปเกิดใหม่ในอีกภพชาติหนึ่ง เกิดใหม่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถระลึกชาติได้ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เพียงใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ประมุขมารร่ำร้องขอความเมตตาจากสวรรค์ก่อนที่เข้าจะแหลกสลายไปหวังฉีหลินและเฟยเทียนกลับถึงหมู่บ้านป่าหมอก ทุกอย่างนางไม่คิดว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ในที่สุดประมุขมารก็คิดได้เสียที และหวังว่าพรที่นางและสามีร้องขอกับท่านมหาเทพนั้นจะทำให้ประมุขมารไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี มีความสุขและมีภรรยาที่รักเขามากแล้วก็ขอให้ทั้งสองคนเป็นคู่ด้ายแดงทุกภพทุกชาติไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางและสามีทำได้หลังจากที่หมดปัญหา หมดสงคราม ทุกคนก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข แคว้นหลงอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี และข่าวการกลับมาขององค์ชายแปดผู้หายสาบสูญ ตอนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ที่ดินศักดินาหมู่บ้านป่าหมอกและหมู่บ้านใกล้เคียงอีกสามหมู่บ้าน หวังฉีหลินทิ้งงานให้ลูกชายทั้งหลายแล้วหนีไปท่องเที่ยวกับสามี ทั้งสองคนออกไปท่องโลกกว้าง และมักจะนำผลไม้หรือพืช
หลังจากที่ประมุขมารได้รับสารท้ารบจากเฟยเทียน ทำให้เขาได้รู้ว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนบุรุษผู้กระหายสงครามและพร้อมจะทำลายศัตรูตรงหน้าให้ย่อยยับได้ทุกเมื่ออย่างแม่ทัพสวรรค์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยถึงแม้ในชาติภพนี้เขาจะลงมาจุติในดินแดนของมนุษย์แต่ความสามารถของเขายังติดตัวมานั่นไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้มหาเทพจะไม่ค่อยชอบหน้าลูกเขยสักเท่าไหร่ แต่มหาเทพผู้รักลูกสาวยิ่งกว่าสิ่งใดย่อมไม่มีทางให้นางลำบากส่วนมารอย่างตัวเขาเล่าทำอันใดได้บ้าง เป็นเขาเองที่ไปตกหลุมรักนางข้างเดียว เป็นเขาเองที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเขาเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง เขารู้ตัวเองดีด้วยพลังของตัวเขาเองยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด ต่อให้สู้จนตัวตายก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองได้ถึงแม้จะเอาชนะแม่ทัพสวรรค์ได้แล้วธิดามหาเทพจะชายตาแลเขาหรือก็ไม่ นางไม่เพียงไม่ชายตาแลหากแต่นางคงแก้แค้นเขาที่ทำให้สามีของนางต้องมีอันเป็นไป นอกจากจะไม่ได้ความรักแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือความเกลียดชังต่างหากที่นางจะหยิบยื่นให้เขาแล้วเหตุใดเขาถึงได้หน้ามืดตามัวเช่นนี้อยู่ถึงแสนปี ประชาชนเผ่ามารล้วนล้มตายไปตั้งเท่าไหร่ น้องชายคนเดียวของเขาที่เฝ้าเตือนสติเขาอยู่ตลอด
เวลาผ่านไปแล้วนับเดือน ตอนนี้กองกำลังที่ฉีหลินฝึกฝนขึ้นมาก็ออกจากด่านกักตนกันทุกคนแล้ว เวลานี้ฉีหลินกับสามีพร้อมด้วยเหล่าสัตว์เทพพร้อมไปเยือนเผ่ามารแล้วเฟยเทียนเองก็เห็นสมควรว่าไม่ควรปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ หลังจากจบปัญหานี้ได้เท่ากับภารกิจของภรรยาได้เสร็จสิ้นลงเช่นกัน ต่อจากนี้ไปพวกเขาสามีภรรยาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียทีหลังจากกำหนดวันเคลื่อนพลได้แล้วฉีหลินก็ให้ทุกคนได้พักผ่อนให้เต็มที่ และเตรียมข้าวของที่จำเป็นใส่ลงในแหวนมิติให้เรียบร้อย ทั้งอาหารการกิน ยารักษาต่าง ๆ ทุกคนต่างเตรียมไปให้พร้อมสรรพ ด้วยศึกครั้งนี้อีกฝ่ายคือเผ่ามารไม่รู้ว่าจะมีฝีมือร้ายกาจขนาดไหน แต่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนายท่านและนายหญิงว่าจะนำพาพวกเขากลับบ้านมาอย่างปลอดภัยเฟยจิน เฮ่ออี และฮั่นเหวินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการรบในครั้งนี้ ลูก ๆ ของเฟยเทียนทุกคนก็เช่นเดียวกัน ส่วนสัตว์เทพที่คอยดูแลความปลอดภัยที่หมู่บ้านป่าหมอกมีเพียงต้าเซี่ยกับเสี่ยวเสวียนอู่เพียงสองตัวเท่านั้นส่วนเสี่ยวหลาง เสี่ยวหู่ เสี่ยวเฮย เสี่ยวรุ่ยจื่อ และพี่ใหญ่อย่างจินหลงล้วนเข้าร่วมการรบในครั้งนี้ คนที่กระตือรือร้นมากที่สุดคื
ไป๋อี้ถังผู้โสดสนิท ครองตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ประหนึ่งนักพรตผู้ทรงศีล อีกทั้งรังเกียจสตรีมากเล่ห์ หลังจากออกจากด่านกักตนมา เขาก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนัก ไม่มีภรรยาและบุตรให้ดูแล เวลาทั้งหมดที่มีนอกจากฝึกฝนพลังปราณแล้ว เวลาส่วนที่เหลือเขาจึงเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ในสำนักศึกษาด้วยความเข้มงวดในเวลาต่อมา อาจารย์ใหญ่ไป๋อี้ถังจึงมีฉายาว่า อาจารย์ใหญ่จอมโหด หากใครไม่ทำการบ้านมาส่งก็จะโดนลงโทษให้ไปวิ่งรอบสถานศึกษา อีกทั้งยังจะต้องทำการบ้านในครั้งหน้ามากกว่าคนอื่นสองเท่าเท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องเขียนจดหมายสำนึกผิดอีก 100 จบ และไปเก็บมูลทำความสะอาดคอกของสือเอ้อร์กับสืออีแทนคนงานในไร่ แถมยังต้องถูกเจ้าสือเอ้อร์กับสืออีกลั่นแกล้งจนหน้าทิ่มกองอึอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไม่ทำการบ้านอีกเลยวันนี้เป็นวันที่ไป๋อี้ถังว่างมาก มากที่สุด วันนี้เป็นวันหยุดของสถานศึกษา ไป๋อี้ถังจึงคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมือง และหาซื้อพู่กันกับแท่นฝนหมึกเพิ่มเพราะเท่าที่เขามีอยู่ตอนนี้ใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้วจากนั้นเขาตั้งใจว่าจะชวนสหายทั้งสามของเขาไปด้วยกัน แต่กลับไม่มีใครไปเพราะแต่ละคนต้องการอยู่กับภรรยาแ
หลังจากที่เฟยเทียนกับฉีหลินเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านป่าหมอกพร้อมลูกชายและเหล่าสหาย หนึ่งเดือนให้หลังเฟยจินก็กลับมาพร้อมกับฮั่นเหวินและเฮ่ออี หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้และรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน รวมถึงส่งรายชื่อหนอนให้กับเบื้องบนแล้ว ตัวเขาเองก็หมดหน้าที่ ตอนนี้สงครามสงบลงแล้ว ทั้งสามจึงได้ยื่นหนังสือขอลาพักกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมบิดามารดาไป๋อี้ถังและสหายทั้งสามจะเข้าด่านกักตนเพื่อฝึกฝนในอีก 3 วันข้างหน้า โดยผู้ที่จะรับหน้าที่สั่งสอนศิษย์ในสถานศึกษาก็คือราชครูไป๋หย่งเต๋อที่เดินทางตามหลังเฟยจินได้เพียง 7 วันนอกจากไป๋หย่งเต๋อแล้วยังมีไป๋เจิ้นกั๋วเจ้ากรมอาญา เดินทางมาพร้อมกับไท่ปิงองครักษ์ประจำตัว นับเป็นการรวมตัวกันระหว่างองครักษ์เลยก็ว่าได้ เซียวหลางตัดสินใจแต่งงานและติดตามไป๋อี้ถัง ม่อถูเองก็เช่นเดียวกัน มีเพียงไท่ปิงเท่านั้นที่มีหน้าที่ดูแลไป๋เจิ้นกั๋วที่เมืองหลวงไท่ปิงเองก็อยากจะมีชีวิตเฉกเช่นสหายทั้งสองบ้าง เขาเองก็คงต้องเร่งฝึกองครักษ์ขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้ทำหน้าที่แทนเขา ส่วนตัวเขาเองจะตามมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านป่าหมอกแห่งนี้ตามสหายทั้งสองคนวันนี้ฉีหลินเรียกประชุมหน่วยลับที่เป
เฟยเทียนพาภรรยามุ่งหน้ากลับหมู่บ้านป่าหมอกทันที หลังจากจัดการทั้งสองแคว้นเรียบร้อยแล้ว และด่านสุดท้ายของภารกิจในครั้งนี้ก็คือจัดการกับเผ่ามารให้เด็ดขาด หากไม่กำจัดประมุขเผ่ามารเสียตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าก็จะเกิดปัญหาเช่นนี้อีก มีเพียงกำจัดประมุขมารให้ได้เท่านั้นทุกคนจะได้ไม่เดือดร้อน ตอนนี้มีข่าวส่งว่าอ๋องมารน้องชายเพียงคนเดียวของประมุขมารได้หนีออกจากเผ่ามารไปตั้งรกรากที่อื่นแต่เดิมอ๋องมารก็ไม่เห็นด้วยกับประมุขมารเรื่องยึดดินแดนมนุษย์ แต่ไหนเลยประมุขมารผู้เป็นพี่ชายจะยอมฟัง ในเมื่อมันเป็นความแค้นใจที่มีต่อธิดามหาเทพและสามี ต่อให้อีกนับล้านปีประมุขมารก็วางความแค้นในใจลงไม่ได้“ไม่รู้ว่าเจ้าสามแสบจะทำเรื่องปวดหัวให้ท่านพ่อกับท่านปู่มากมายเพียงใด โดยเฉพาะลูกสาวของท่านพี่ ป่านนี้ไม่ใช่พี่อี้ถังปวดหัวจนผมขาวหมดหัวแล้วหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า ไม่ขนาดนั้นกระมัง ลูกสาวของเราออกจะน่ารัก อีกอย่างพี่อี้ถังก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือไม่ได้เลยนี่นะ”“ท่านพี่ก็เข้าข้างนางตลอดล่ะเจ้าค่ะ อีกหน่อยนางก็เสียคนพอดี”“ไม่ใช่ว่านางกลัวท่านแม่อย่างเจ้าอยู่หรอกหรือ เอาน่าลูกยังเด็กอยู่ยังไม่รู้ความ มีพวกต้าเซี่ยอย
ในท้องพระโรงตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำคราญของบรรดาองค์หญิงและเหล่าสนมของฮ่องเต้ ส่วนเหล่าองค์ชายนั้นในใจต่างคิดว่าพวกเขาจบเห่แล้วคราวนี้ ยังไม่ทันได้ลงมือช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทแต่เสด็จพ่อกลับทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ ตอนนี้คนของแคว้นหลงบุกมาจัดการพวกเขาถึงในวังหลวงแห่งนี้ เช่นนั้นที่ชายแดนก็คงจะพ่ายแพ้เช่นเดียวกัน“มีอะไรจะพูดหรือไม่ แต่เอาจริง ๆ ไม่ต้องพูดหรอกเสียเวลา ข้าเข้าใจ เสี่ยวเฮยจัดการด้วยล่ะ เอาให้สะอาด” ฉีหลิน“จัดการให้เรียบร้อยจะได้รีบไปจัดการต่อ ข้าอยากกลับบ้านคิดถึงลูก” เฟยเทียนฮ่องเต้แคว้นอู๋มองดูสองสามีภรรยาสั่งงานเจ้าบุรุษชุดดำด้วยความไม่เข้าใจ อะไรคือจัดการให้เรียบร้อย อะไรคือเอาให้สะอาด พูดจาให้คนฟังแล้วไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ แต่ช่วยเห็นหัวเขาหน่อยจะได้หรือไม่“อ้อ เสี่ยวเฮย ช่วยปล่อยฮองเฮากับองค์ชายและองค์หญิงที่เกิดจากพระนางด้วย มีคนต้องการพบพวกเขา”“ได้ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้”“ขอบใจ ท่านพี่ไปกันเถอะเจ้าค่ะ เรายังมีอะไรที่ต้องทำต่อ”“อืม เสี่ยวเฮยจัดการให้เรียบร้อยอย่าให้เล็ดลอดออกไปได้แม้แต่คนเดียวเข้าใจหรือไม่”เฟยเทียนเดินตามหลังภรรยาออกไปจากท้องพระโรง ท่าม
ในวันที่ฉีหลินกับเฟยเทียนตัดสินใจลักลอบเข้าวังหลวงแคว้นอู๋ ทางชายแดนแม่ทัพแคว้นอู๋ตัดสินใจนำทัพเข้าบุกแคว้นหลงทันทีโดยมีทัพมารเข้ามาแทรกแซงทำให้กำลังทหารของทางฝั่งแคว้นอู๋มีจำนวนเพิ่มมาหลายพันคนในเมื่อเผ่ามารมือยืดมือยาวถึงเพียงนี้ เสี่ยวเฮยเองก็ย่อมลิ้นยืดลิ้นยาวได้เช่นเดียวกัน ในตอนแรกที่เสี่ยวเฮยยังไม่ได้กลับไปอยู่ในร่างของมังกรทมิฬนั้น ย่อมไม่มีใครเกรงกลัวแต่หลังจากเผ่ามารเข้ามาแทรกแซงทำตัวเป็นกำลังเสริมให้กับแคว้นอู๋ เสี่ยวเฮยจึงเห็นว่าไม่ควรจะปิดบังตัวเองอีกต่อไป มันจึงได้กลับร่างเป็นมังกรทมิฬขนาดใหญ่กว่าที่เผ่ามารจะได้รู้ความจริงก็โดยกินไปจนเกือบหมดเสียแล้ว ยิ่งกลืนกินสิ่งชั่วร้ายไปมากเท่าไหร่ขนาดตัวของเสี่ยวเฮยก็ขยายขึ้นใหญ่มากเท่านั้น ตอนนี้ที่กำลังทหารของแคว้นอู๋เห็นเสี่ยวเฮยกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น ก็ตัดสินใจกันแล้วว่าจะหนีเอาตัวรอดถึงแม้ว่าแม่ทัพจะไม่สั่งถอยทัพแต่ใครก็ย่อมกลัวตาย ต่างคนต่างรักชีวิตของตัวเองเมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทิ้งอาวุธออกวิ่งทันทีส่วนเสี่ยวเฮยที่กินเผ่ามารไปแล้วยังรู้สึกว่าไม่อิ่มเท่าไหร่ ต่างจ้องมองไปที่กำลังทหารของแคว้นอู๋ด้วยสายตาวาววั
ในขณะที่ฉีหลินกับเฟยเทียนเข้าไปในแคว้นอู๋อย่างราบรื่น ตอนนี้พวกเขาหาที่พักในเมืองหลวงของแคว้นอู๋ได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนปลอมตัวเป็นตายาย เปิดร้านขายบะหมี่ในตลาดนับว่าเป็นงานที่ท้าทายมากสำหรับเฟยเทียน งานขายบะหมี่นี้เขารับหน้าที่เป็นคนทำบะหมี่ ส่วนภรรยาอย่างฉีหลินนั้นทำหน้าที่เก็บเงิน ส่วนผู้ติดตามทำหน้าที่เสี่ยวเอ้อร์ พวกเขาเช่าร้านบะหมี่ต่อจากเจ้าของเดิมที่เก็บของเตรียมตัวย้ายไปอยู่กับลูกชายที่บ้านเกิดในระหว่างที่ท่านพ่อและท่านแม่ไปทำหน้าที่ทำภารกิจเพื่อความสงบสุข แต่ลูกน้อยทั้งสามคนที่หมู่บ้านป่าหมอกนั้นไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับ 3 คนแก่ที่บ้านสักเท่าไหร่ ไป๋อี้ถังเองยังไม่สามารถรับมือกับหลานน้อยทั้งสามคนได้ เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะอับจนหนทางถึงขนาดนี้ เจ้าสามคนนี่เกิดมาเพื่อสร้างความปั่นป่วนจริง ๆ“ท่านยุงถัง อันนี้ฉือไร” ฟางเซียน“หนังสือวรยุทธ์เบื้องต้น” ไป๋อี้ถัง“ท่านยุงถัง ฉอน เซียนเอ๋อร์ยักเรียน”“ฟางเซียนลุงว่าตอนนี้เจ้าไปนอนกลางวันกับน้องชายทั้งสองของหลานดีหรือไม่ เอาไว้รอให้เจ้าโตกว่านี้ลุงจะสอนให้ทุกอย่างเลย ต้าเซี่ย มาพาคุณหนูของเจ้าไปนอนกลางวันได้แล้ว”“แต่เซียนเอ๋อร์ไม่