หลังจากที่ทุกคนเข้ามาในบ้านแล้วสองแฝดเพิ่งจะเห็นว่าในตะกร้าที่ท่านแม่ของพวกเขาสะพายอยู่นั้นมีก้อนอะไรกลม ๆ ขาว ๆ อยู่ ด้วยความสงสัยเจี้ยนเอ๋อร์จึงได้เอ่ยปากถามมารดาของตัวเองในสิ่งที่เขาสงสัยทันที
“ท่านแม่ขอรับท่านแม่ อะไรอยู่ในตะกร้าของท่านแม่หรือขอรับ ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่ หรือว่าจะเป็นกระต่ายหรือขอรับ”
“อ่อ เจ้านี่หรือ มันชื่อเสี่ยวหลาง แม่ไปเจอมันอยู่ตัวเดียวในป่าเลยพามันกลับมาด้วย ต่อไปนี้มันจะมาอยู่กับพวกเราเป็นสมาชิกในบ้านของเรา ลูกต้องช่วยกันดูแลและห้ามรังแกมันเด็ดขาด”
“ว้าว หมาล่ะ ลูกหมาล่ะ เฉิงเอ๋อร์ชอบมันที่สุดเลยขอรับท่านแม่ ”
“เอาล่ะ ๆ ถ้าลูกชอบก็ดูแลมันให้ดี ๆ ล่ะ ไปอาบน้ำกันได้แล้ว”
“ขอรับ เสี่ยวหลางเจ้าก็ต้องอาบน้ำด้วยนะ ถ้าเจ้าไม่อาบน้ำเจ้าต้องไปนอนนอกบ้าน” เจี้ยนเอ๋อร์
“พวกเจ้ารออารองด้วย อารองไปอาบด้วยคน”
“ท่านแม่เจ้าคะวันนี้ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“เฟยเทียนอาการดีขึ้นไม่น้อย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
“เจ้าค่ะท่านแม่ วันนี้ข้าคุยกับท่านพ่อแล้ว ให้ว่าจ้างช่างจากในเมืองมาช่วยสร้างบ้านให้พวกเราอยู่ชั่วคราวไปก่อน น้องรองเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ข้าเองก็ไม่วางใจหากข้าหรือท่านพ่อและน้องรองไม่อยู่ ข้ากลัวว่าป้าสะใภ้จะมาหาเรื่องระรานท่าน อีกอย่างข้าคิดว่าฮุ่ยเหม่ยนางคงไม่ยอมจบง่าย ๆ หรอกเจ้าค่ะ นางคงต้องหาวิธีมาเอาคืนบ้านเราแน่"
“เฮ้อ แม่เองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดทั้งลุงและป้าสะใภ้ของพวกเจ้าถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ นับตั้งแต่ท่านปู่ของพวกเจ้าจากไปดูเหมือนว่าท่านลุงของพวกเจ้าจะเปลี่ยนไปด้วย และยังมีท่านย่าของพวกเจ้าอีก หลังจากที่ท่านปู่ของพวกเจ้าจากไปไม่นานนางเองก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน บางครั้งทำกับพ่อของเจ้าเหมือนว่าเขาไม่ใช่ลูกของนาง แม่เองก็ไม่เข้าใจ”
“อย่าเก็บมาใส่ใจเลยเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านพ่อเองก็ทุกข์ใจมาตลอด ต่อไปนี้ครอบครัวเราจะต้องดีขึ้น ข้าสัญญา นี่เงิน 100 ตำลึงท่านแม่เก็บเอาไว้นะเจ้าคะจะได้ซื้ออาหารดี ๆไปให้ท่านพี่บำรุงร่างกาย”
“แม่ขอบใจเจ้ามากนะหลินเอ๋อร์ ลำบากเจ้าแล้ว”
“ข้าไม่ลำบากเจ้าค่ะ ข้ายินดีขอเพียงแค่ครอบครัวของเรามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
ก่อนเวลาอาหารเย็นเล็กน้อยหยางเทียนฉีก็กลับมาถึงบ้าน หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี หลังจากจบมื้ออาหารแล้วทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน ฉีหลินพาลูก ๆ เข้านอนโดยมีเสี่ยวหลางตามเข้าไปนอนในห้องด้วย
วันนี้ทุกคนต่างเหนื่อยกันมามากแล้วจึงได้นอนเร็วกว่าปกตินิดหน่อย เพราะพรุ่งนี้พวกเขายังมีงานที่ต้องทำอีกมาก เสี่ยวเฮยและเสี่ยวหู่ที่แอบตามฉีหลินมาตั้งแต่ป่าหมอก
จนกระทั่งกลางดึกทั้งสองตัวจึงแอบเข้ามาในบ้านและเรียกให้เสี่ยวหลางเปิดประตูห้องให้พวกมันได้เข้ามาข้างใน เสี่ยวหลางได้แต่ส่งสายตาดูถูกไปให้สหายทั้งสองตัว
“ทำไมพวกเจ้ามาเอาป่านนี้ มัวไปทำอะไรอยู่ไม่ใช่มาถึงตั้งนานแล้วหรอกหรือ” เสี่ยวหลาง
“ข้ากลัวนางตกใจและคนในครอบครัวนางตกใจน่ะสิ เจ้าไม่ดูบ้างล่ะว่าข้าสองตัวเป็นตัวอะไร” เสี่ยวหู่
“นั่นสิไหนจะเจ้าเด็กเฟยจินจอมขี้ขลาดนั่นอีก ถ้าเกิดข้าสองตัวออกมาตั้งแต่ตอนกลางวันคาดว่าเจ้านั่นคงได้ตกใจตายไปน่ะสิ” เสี่ยวเฮย
“ แล้วพวกเจ้าจะทำยังไงต่อ จะแอบอยู่ในนี้ก็ไม่ได้หรอกนะยังไงย่อมต้องมีคนเห็น” เสี่ยวหลาง
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ รอนางตื่นขึ้นมาก่อนพวกเราค่อยอธิบายให้นางฟัง ตอนนี้นอนก่อนเถอะข้าง่วงจะตายอยู่แล้ว” เสี่ยวเฮย
สามคนแม่ลูกไม่มีทางรู้เลยว่าตอนนี้ในห้องของพวกเขาไม่ได้มีเพียงเสี่ยวหลางเท่านั้น แต่ยังมีเสือขาวอีกหนึ่ง และงูดำมะเมื่อมอีกหนึ่งที่เข้ามานอนแออัดอยู่ในห้องของนาง
เสี่ยวหลางได้แต่ภาวนาว่าในตอนที่นางตื่นขึ้นมาในตอนเช้าหวังว่านางจะไม่ตกใจ และรับฟังสหายทั้งสองของมันเสี่ยวหลางได้แต่หวังว่านางจะไม่ตกใจกลัวจนเสียสติไปเสียก่อน
ตัวเสี่ยวหลางเองนั้นเป็นหมา นับว่าเป็นเรื่องปกติของชาวบ้านที่จะมีหมาเลี้ยงเอาไว้ในครอบครัว แต่งูกับเสือนี่สิ บ้านไหนเขามีกัน นางตื่นมาไม่ตกใจสิแปลก แล้วยังมีเจ้าหนูน้อยสองคนนั่นอีก เฮ้อ เรื่องวุ่นวายกำลังจะเกิดล่ะนะ
เช้าวันต่อมาฉีหลินตื่นตั้งแต่ยามอิ๋นวันนี้นางจะขึ้นไปวางกับดักในป่าอย่างน้อย ๆ ยังมีเนื้อสัตว์นำมาปรุงอาหารได้ ตอนนี้เงินในมือนางมีอยู่ก็จริงแต่ไม่สามารถเอาออกมาใช้ได้ทีละมาก ๆ จึงจำเป็นต้องเข้าป่าหาของป่าขายเพื่อเป็นการบังหน้า
ส่วนเงินในมิตินางจะค่อย ๆ นำออกมาใช้ ส่วนของกินของใช้ในมิติยังไม่สามารถนำออกมาใช้ในตอนนี้ได้ นางตั้งใจว่าจะเปิดอกคุยกับครอบครัวแบบจริงจังหลังจากรักษาอาการป่วยของสามีนางจนหายดีแล้ว
มันน่าอึดอัดใจเป็นอย่างมากที่จะต้องมาเก็บความลับเอาไว้จะทำอะไรก็ไม่สะดวกคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ตลอดเวลา อีกอย่างนางต้องการส่งให้ลูกชายทั้งสองเข้าเรียนในสถานศึกษาในปีหน้า
ฉีหลินเดินออกจากห้องโดยที่ไม่ได้เอะใจเลยว่าในห้องของตัวเองนั้นมีสมาชิกเกินมาอีก 2 ตัว เพราะสองตัวนอนอยู่มุมห้องนางจึงไม่ทันเห็น
หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้วนางก็ขึ้นไปวางกับดักในป่าทันที จากนั้นก็เก็บผักป่ากลับมาด้วย ขากลับผ่านลำธารก็จึงแวะจับปลามาทำมื้อเช้าด้วย
ฉีหลินถึงตอนนี้นางก็ยังไม่รู้ว่าในห้องนอนของนางมีสมาชิกที่ไม่ได้รับเชิญเพิ่มมาอีก 2 ตัว จนกระทั่งนางกลับมาจากวางกับดักในป่าหลังจากแวะเอาปลาไปให้แม่สามีทำมื้อเช้าแล้ว
ฉีหลินเดินตรงมายังห้องนอนของนางที่มีลูกชายทั้งสองคนนอนอยู่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประตูเข้าไปด้านในกลับได้ยินเสียงลูกชายทั้งสอง หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนางแทบจะล้มทั้งยืนกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ตอนนี้ลูกชายของนางอีกคนกำลังนั่งอยู่บนหลังเสือ อีกคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับงูดำตัวใหญ่เกือบจะเท่าตัวของลูกชายของนาง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น เจี้ยนเอ๋อร์ลงมาลูก เฉิงเอ๋อร์ถอยออกมา ทำไมมีงูและเสืออยู่ในบ้าน พวกมันมาจากไหน”
“ท่านแม่ข้าไม่รู้ขอรับข้าตื่นขึ้นมาพวกมันก็อยู่ในห้องแล้ว แต่พวกมันไม่กัดนะขอรับพวกมันน่ารักมากเลย ข้าชอบมากเลยขอรับ ท่านแม่เลี้ยงพวกมันได้หรือไม่ขอรับ นะท่านแม่นะขอรับ เลี้ยงนะขอรับ”
“หยุด ๆ ขอแม่ตั้งสติหน่อย หืมหรือว่าเสียงที่เราได้ยินเมื่อวานจะเป็นเจ้าสองตัวนี้คุยกัน"
“เสี่ยวหลาง พูดมาเจ้าสองตัวนี้มาจากไหน” ฉีหลินถามเสี่ยวหลางผ่านกระแสจิต
“ท่านเทพส่งมาไง ผู้ช่วยของเจ้า ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้านอนก่อนนะ ยังง่วงอยู่เลย”
“ท่านแม่ตกลงว่าให้พวกมันอยู่กับเราได้ใช่หรือไม่ขอรับ”
“เอาเถอะ ๆ ไหน ๆ พวกมันก็มาแล้ว ก็เลยตามเลยก็แล้วกัน แต่แม่กลัวว่าท่านย่ากับท่านอาของพวกเจ้าจะตกใจเอาน่ะสิ พวกเจ้าสองตัวน่ะทำตัวให้มันเล็กลงกว่านี้หน่อยได้หรือไม่”
“ย่อมได้อยู่แล้ว ” เสี่ยวหู่
จากนั้นเสี่ยวหู่และเสี่ยวเฮยก็ย่อขนาดตัวลงให้มีขนาดเล็ก เสี่ยวหู่นั้นหากมองเผิน ๆ มันเหมือนแมวตัวหนึ่งเท่านั้น แต่เสี่ยวเฮยยังเป็นงูดำอยู่เหมือนเดิม
ฉีหลินได้แต่หวังว่าพ่อแม่และน้องของสามีจะไม่ตกใจจนเป็นลมล้มพับหรอกนะ แล้วนี่นางจะทำยังไงดีกับเจ้าพวกนี้กัน หากพ่อแม่สามีถามนางจะหาคำตอบยังไงดี จะให้ตอบว่า “อ๋อ มันตามข้ามาจากป่าหมอกเจ้าค่ะ” แบบนี้ก็ไม่ได้อีกใครจะไปเชื่อกัน
“ลุกขึ้นไปล้างหน้าได้แล้ว ส่วนพวกเจ้าตามข้ามา เสี่ยวหลางตื่นได้แล้ว ”
หลังจากจัดการความวุ่นวายภายในห้องนอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉีหลินเดินนำหน้าทั้งสามตัวออกมาจากห้องนอนและให้พวกมันรออยู่ที่ห้องโถงก่อน จากนั้นนางจึงไปจัดการลูกชายของนางให้ล้างหน้าแปรงฟัน
หยางเฟยจินที่กลับมาจากการรดน้ำแปลงผักหลังบ้านเดินเข้ามาในห้องโถงสายตาของเขาเหลือบไปเห็นเสี่ยวเฮยที่กำลังชูคอคุยกับสหายทั้งสองอย่างออกรสออกชาติ เขาถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ
“เฮ้ย งู ท่านแม่ ท่านพ่อ งู ขอรับงู ในบ้านมีงูขอรับ”
“อะไร งูอะไร งูที่ไหน เจ้าตาฝาดไปหรือเปล่า” หยางเทียนฉีวิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้องโถง
“งูจริง ๆ ขอรับท่านพ่อ นั่นขอรับมันอยู่นั่น เห้ย นอกจากจะมีงูแล้วยังมีแมวอีกด้วย พวกมันมาจากไหนกัน”
“เจ้าไปเอาไม้มา พ่อจะไล่มันออกไปเอง เดี๋ยวจะเป็นอันตรายกับคนในบ้าน”
“ขอรับท่านพ่อ”
เสียงร้องเอะอะโวยวายแตกตื่นของสองพ่อลูก ฉีหลินคิดว่าพวกเขาคงเจอเจ้าพวกนั้นอยู่ในบ้านเป็นแน่ ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นนางจึงต้องรีบไปห้ามทัพก่อน
ยังไม่ทันที่เฟยจินจะได้เอาไม้มาตามที่บิดาสั่ง ฉีหลินรีบเดินเข้ามาในบ้านทันที ส่วนเด็กน้อยทั้งสองนั้นรีบวิ่งมาด้วยเช่นเดียวกันพวกเขาอยากจะเล่นกับเพื่อนใหม่ทั้งสามตัว
“ท่านพ่อเจ้าคะ เกิดอะไรขึ้นข้าได้ยินเสียงดังไปถึงข้างนอก”
“ลูกสะใภ้เจ้าพาลูก ๆ ของเจ้าออกไปก่อน ในบ้านมีงู”
“อ่อ งู เสี่ยวเฮยหรือเจ้าคะ ”
“นี่ลูกสะใภ้ เจ้าเรียกเจ้างูนั่นว่าเสี่ยวเฮยหรือ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เมื่อวานเจ้าไม่ได้เก็บแค่หมาป่ากลับมาใช่หรือไม่ อย่าบอกว่าเจ้าเก็บเอางูและแมวป่ากลับมาด้วยน่ะ”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะท่านพ่อ แต่พวกมันไม่ทำอันตรายพวกเราหรอกนะเจ้าคะ ท่านพ่อวางใจได้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นที่คิดร้ายกับพวกเราก็ไม่แน่เจ้าค่ะ”
“เจ้าบอกความจริงพ่อมา เมื่อวานพวกเจ้าเข้าป่าลึกใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าขอโทษที่ต้องโกหกนะเจ้าคะ ทีหลังข้าไม่กล้าพาน้องรองเข้าป่าลึกอีกแล้วเจ้าค่ะ”
ฉีหลินแถจนสีข้างถลอกหมดแล้ว ว่าจะพูดให้พ่อแม่สามีและน้อง ๆ ของสามีวางใจได้เล่นเอานางคอแหบแห้งไปหมด ส่งตัวช่วยมาให้นางทั้งทีก็เหมือนกับจะกลั่นแกล้งนางไม่รู้ว่าเทพที่อยู่ข้างบนนั่นมีความแค้นอะไรกับนางนักหนา
นางสิจะต้องแค้นนัดกันไว้ 7 วัน แต่พอมาวันที่ 3กลับตายก่อนซะได้ ยังดีที่นางซื้อของจนครบหมดแล้วไม่เช่นนั้นล่ะก็นางจะไม่มีทางยอมง่าย ๆ เป็นแน่
หลังจากผ่านเรื่องวุ่นวายไปแล้วทุกคนในบ้านก็เริ่มลงมือกินมื้อเช้าและยังมีส่วนแบ่งของทั้งสามตัวด้วย ในตอนแรกเฟยจินค่อนข้างที่จะกลัวเสี่ยวเฮย แต่ไป ๆ มา ๆ กลับตัวติดกันไปเสียอย่างนั้น ส่วนเสี่ยวหู่ก็ทำตัวออดอ้อนท่านแม่สามีของนาง
เสี่ยวหลางกลายเป็นม้าให้ลูก ๆ ของนางขี่หลัง การมีพวกสามเสี่ยวมาอยู่ด้วยนับว่าเป็นเรื่องดี จะได้ป้องกันสองแม่ลูกบ้านใหญ่หากวันไหนพวกนางกลับมาระรานคนในบ้าน นางก็จะให้เจ้าพวกนี้จัดการทันที
หลังจากผ่านเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายไปแล้วทุกคนถึงได้เริ่มลงมือกินมื้อเช้า หลังจากจบมื้ออาหารเช้าวันนี้ฉีหลินจะเป็นคนไปเยี่ยมสามีของนางที่โรงหมอส่วนน้องชายน้องสาวทั้งสองคนจะอยู่ช่วยกันเก็บของที่จำเป็นใส่หีบ ถึงเวลาย้ายออกไปจะได้ง่ายขึ้นแม่สามีวันนี้จะอยู่เลี้ยงหลานที่บ้าน ตอนนี้บ้านสายรองไม่จำเป็นต้องไปทำงานในแปลงนา เพราะพวกเขาไม่ได้ส่วนแบ่งที่นา ส่วนข้าวที่ปลูกไปแล้วพอถึงเวลาเก็บเกี่ยวบ้านใหญ่ก็คงจะไม่แบ่งให้พวกเขาอยู่แล้วในเมื่อไม่มีส่วนแบ่งเป็นของตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องไปลงแรงให้เปล่าประโยชน์ ลูก ๆ ของนางวันนี้ดูพวกเขาจะมีความสุขมากในบ้านมีแต่เสียงหัวเราะเพราะมีเพื่อนใหม่ถึงสามตัวเสี่ยวเฮยนั้นทำตัวเองให้เป็นเก้าอี้เพื่อให้เฉิงเอ๋อร์นั่ง ส่วนเสี่ยวหู่นั้นนอนมองเจี้ยนเอ๋อร์ขี่หลังเสี่ยวหลาง บางครั้งมันก็ให้เจี้ยนเอ๋อร์ขี่หลังมันบ้าง แต่เพราะกลัวจะมีคนเห็นว่ามันเป็นเสือมันจึงได้เพียงย่อขนาดให้เท่ากับลูกแมวและไปตามออดอ้อนแม่สามีเพื่อขอของกิน“เสี่ยวเฮยเราไปหาท่านย่าที่ห้องครัวกันเถอะ” เสียงเล็ก ๆ ของเฉิงเอ๋อร์ชวนสหายตัวใหม่เพื่อไปขอขนมท่านย่ากิน“ใช่แล้ว เสี่ยวหลางเราเองก็ไปกันเถอะ เดี๋ย
ฉีหลินออกมาคุยกับท่านหมอที่รักษาสามีของนางเพื่อแจ้งแก่ท่านหมอว่านางจะพาสามีกลับไปพักฟื้นที่บ้าน เมื่อแจ้งความประสงค์กับท่านหมอแล้ว ฉีหลินได้รับเงินจากโรงหมอคืนเป็นเงิน 30 ตำลึง เมื่อจัดการเรื่องค่าหมอค่ายาเสร็จแล้ว ฉีหลินมุ่งหน้าไปเช่าเกวียนเพื่อมารับสามีนางกลับไปรักษาตัวที่บ้านทันที ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามีของนางฟื้นตัวได้เร็วนั้นเพราะน้ำพุวิญญาณที่นางแอบนำมาผสมน้ำให้สามีดื่มอยู่เป็นประจำอีกทั้งน้ำกินน้ำใช้ที่บ้านย่อมผสมน้ำพุวิญญาณลงไปด้วย ตอนนี้แม่สามีของนางเองดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นมาจากปกติร่างกายที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ ของนาง หลังจากได้ดื่มกินน้ำผสมน้ำพุวิญญาณทำให้ร่างกายของนางแข็งแรงขึ้นฉีหลินออกไปได้ไม่นาน นางก็กลับมาพร้อมเกวียนเพื่อมารับเฟยเทียนกลับบ้าน ตอนนี้เขาเดินได้แล้วแต่ไม่สามารถเดินนาน ๆ ได้ ตอนแรกเขาหมดหวังแล้วเพราะป้าสะใภ้ยึดเอาเงินไปและไม่ยอมให้หมอรักษาเขา เขาคิดว่าตัวเองคงจะกลายเป็นคนป่วยพิการนอนติดเตียง อยู่เป็นภาระลูกเมียและพ่อแม่เสียแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็สามารถมารักษาและหาหมอทัน เป็นเพราะภรรยาของเขาที่ต่อสู้เพื่อครอบครัว ในวันที่เขาเห็นน้องชายน้องสาวพาภรรยาที่บาดเจ็บก
ฉีหลินและเฟยจินกลับมาถึงบ้านทั้งสองคนนำปลาไปใส่ถังโอ่งดินใบเล็ก ๆ เอาไว้ก่อนจากนั้นฉีหลินก็นำใบบัวไปล้างให้สะอาดพักเอาไว้ ส่วนกุ้งนางกำลังคิดว่าจะทำอะไรกินดี กุ้งแม่น้ำตัวโตขนาดนี้ทำไมคนที่นี่เรียกปลาเปลือกแข็งกัน ถ้ากุ้งเรียกปลาเปลือกแข็งแล้วถ้าเป็นปูล่ะจะเรียกว่าอะไร คงไม่เรียกว่าปลากระดองแข็งหรอกใช่ไหม ฉีหลินหัวเราะคิกคักกับความคิดไร้สาระของตัวเองแต่เอาเข้าจริงคนที่นี่เรียกปูว่าปลากระดองแข็งจริง ๆ นี่คือสิ่งที่ฉีหลินรับรู้ในเวลาต่อมาฉีหลินจะทำข้าวห่อใบบัวแต่เครื่องปรุงอาจจะไม่ครบ เช่นนั้นก็มาดัดแปลงเอาตามของที่มีก็แล้วกัน นางเดินเข้าไปในครัวไม่รู้ว่าที่โลกแห่งนี้จะมีเผือกหรือยัง เพราะความทรงจำบางส่วนขาดหายนางจึงไม่แน่ใจว่ามีหรือยังถึงจะไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่มี แต่ในมิตินางมีในเมื่ออยากกินต้องได้กิน ฉีหลินเริ่มต้นด้วยการแกะกุ้งพักเอาไว้ จากนั้นก็ไปหุงข้าว นำเผือกออกมาหั่นเต๋าเอาไว้ ในห้องครัวมีแครอทพอดีนางนำมาหั่นเต๋าเอาไว้เช่นเดียวกัน“แล้วเราจะใส่กุนเชียงดีหรือไม่ ถ้าไม่ใส่ก็จะไม่อร่อยน่ะสิ แต่ถ้าใส่จะตอบคำถามทุกคนว่ายังไงดี โอ้ยย ปวดหัวจริง ๆ อึดอัดจะแย่แล้ว ใส่ ๆไปเถอะงั้นก็เรื
นับตั้งแต่ฉีหลินพาสามีกลับมารักษาตัวที่บ้านตอนนี้เวลาก็ผ่านไปแล้วหลายวัน เช้าวันนี้หลังจากกินมื้อเช้าพวกเขาจะย้ายบ้านไปอยู่ที่หมู่บ้านป่าหมอกกันแล้วคนที่ดีใจที่สุดที่จะได้ย้ายบ้านไม่ใช่ใครที่ไหนแต่หากเป็นหยางเฟยจินผู้ที่หวังมานานว่าจะได้ย้ายไปจากตรงนี้เสียที อย่างน้อย ๆ ครอบครัวของเขาจะได้ไม่โดนเอาเปรียบและถูกป้าสะใภ้รังแกเช่นที่ผ่านมา“พวกเจ้าเร่งมือกันหน่อยประเดี๋ยวสายแล้วจะร้อนเอาได้” หยางเทียนฉีเร่งลูกเมีย“ท่านพี่ท่านขนของพวกนี้ขึ้นเกวียนไปเถอะ แล้วให้อาเทียนนั่งไปกับท่านส่วนข้าจะเดินไปกับลูกสะใภ้และหลาน ๆ เอง” นางฟางบอกผู้เป็นสามี“เจ้าจะเดินไหวหรือ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เราจ้างเกวียนบ้านลุงเมิ่งไปส่งพวกเจ้าดีกว่า จะเดินทำไมให้เหนื่อย”“เอาแบบนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ท่านรีบไปบ้านท่านลุงเมิ่งเถอะ”ในตอนที่คนบ้านหยางจัดแจงข้าวของกันอยู่นั้น นางหลินที่ตอนนี้รักษาตัวหายดีแล้วก็เดินมาที่บ้านหยางสายรองเพื่อดูว่าคนพวกนี้ย้ายออกไปจริงหรือไม่ และหยิบจับอะไรตัดไม้ติดมือไปด้วยหรือเปล่า“เหอะรีบ ๆ ไสหัวของพวกเจ้าออกไปจากบ้านของข้า และอย่าได้หยิบอะไรของข้าติดไม้ติดมือไปเป็นอันขาดจะหาว่าข้าไม่เตือน”“
หลังจากที่จับปูจับปลาจับกุ้งกันจนพอใจแล้ว สามเสี่ยวลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนานฉีหลินนึกได้ว่ายังไม่ได้ขุดบ่อน้ำเอาไว้ใช้สอยเลย จะพึ่งพาเพียงแค่น้ำจากลำธารไม่ได้ อีกทั้งนางต้องการที่จะเปลี่ยนน้ำในบ่อให้เป็นน้ำพลังวิญญาณโดยการนำน้ำพุวิญญาณในมิติมาเติมลงไป เมื่อกลับจากจับปลาที่ลำธารแล้วนางจึงปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อสามีและสามีทันที บ่อน้ำที่นางต้องการคือ บ่อน้ำขนาดใหญ่ 1 บ่อ และบ่อน้ำสำหรับใช้สอยในบ้าน 1 บ่อ นางคิดว่าจะจ้างชาวบ้านในหมู่บ้านมาช่วยขุดให้“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าค่ะ ท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ”“มีเรื่องอะไรหรือหลินเอ๋อร์” เฟยเทียนถามภรรยาออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ข้าต้องการขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ในที่ดินของเราเจ้าค่ะ และบ่อน้ำสำหรับใช้สอยในบ้านอีก 1 บ่อ ข้าอยากให้ท่านพ่อไปว่าจ้างชาวบ้านมาช่วยขุดเจ้าค่ะ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตักน้ำที่ลำธารเจ้าค่ะ"“ดีเหมือนกัน เช่นนั้นหลังกินมื้อเที่ยงแล้วพ่อจะเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องการจ้างงานก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ฝากด้วยนะเจ้าคะ”“ไม่เป็นไรไม่ได้ลำบากอะไร พวกเจ้าเอาปลาไปให้แม่ของเจ้าทำเถอะจะได้รีบกินข้าว ดูท่าพ
เช้าวันนี้ทุกคนช่วยกันรดน้ำพืชผักวัวสองตัวทำหน้าที่บรรทุกน้ำจากลำธารโดยที่เฟยจินเป็นคนบังคับเกวียน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินแบกน้ำจากลำธาร ตอนนี้น้ำในบ่อที่ขุดเอาไว้มีน้ำประมาณครึ่งบ่อและคาดว่าอีกสองวันน้ำคงจะเต็มบ่อและฉีหลินจะทำการเปลี่ยนแปลงสภาพน้ำในบ่อให้เป็นน้ำที่มีพลังวิญญาณหลังจากรดน้ำพืชผักที่ปลูกเอาไว้เสร็จแล้วก็ได้เวลามื้อเช้า เช้านี้ฉีหลินทำข้าวต้มปลาเปลือกแข็ง และมีน้ำแกงปลา ผัดผักป่า หลังมื้ออาหารเช้านางตั้งใจจะเข้าป่าล่าสัตว์ โดยที่นางจะพาเสี่ยวหลางไปด้วย“ท่านพ่อท่านแม่ขอรับ เดี๋ยวข้าและหลินเอ๋อร์จะเข้าป่านะขอรับจะได้มีเนื้อเอามาเก็บไว้กินหรือไม่ก็นำไปขายบ้านเรายังต้องใช้เงินอีกเยอะ”“มันจะดีหรือลูก มันอันตรายแม่ว่าเราหาอย่างอื่นทำดีหรือไม่ หากเจ้าสองคนเป็นอะไรไปอีกแม่จะทำยังไง ลูก ๆ ของพวกเจ้าจะอยู่ยังไง” นางฟางรีบพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงเพราะเหตุการณ์ที่ลูกชายลูกสะใภ้บาดเจ็บในตอนนั้นติดอยู่ในใจนางตลอดมา ถึงจะยากจนหน่อยแต่ก็ยังพอปลูกพืชผักออกมาขายได้นางจึงไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นไม่ว่ากับใครก็ตาม“ท่านแม่อย่าได้เป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะพาเสี่ยวหลางไปด้วยพวกเราไม่ได้เข้าป่าลึ
ทั้งสองคนเดินเข้าป่าหมอกลึกเข้าไปเรื่อย ๆ หมอกก็เริ่มหนาเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนกับอีกหนึ่งตัวเดินยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่หมอกก็ยิ่งหนามากขึ้นอีก แต่พอพวกเขาเดินผ่านหมอกที่หนาทึบลึกเข้ามากลับพบว่าภายในป่าชั้นในที่ลึกเข้ามาไม่มีหมอกเลยภาพตรงหน้าทำเอาฉีหลินตกตะลึงอ้าปากค้างเฟยเทียนเองก็มีท่าทางไม่ต่างกัน ภายในป่าหมอกชั้นใน ต้นไม้ทุกต้นสูงเสียดฟ้าป่าเขียวชอุ่มบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าได้เป็นอย่างดี“ข้างในนี้อุดมสมบูรณ์มากเลยนะเจ้าคะท่านพี่ แต่ทำไมชาวบ้านไม่เข้ามาหาของป่าล่าสัตว์ในป่าหมอกล่ะเจ้าคะ จากที่เราเข้าป่ามายังไม่พบเจอสัตว์ป่าดุร้ายเลยนะเจ้าคะ”“อาจจะเป็นเพราะพวกชาวบ้านเดินเข้ามาก็เจอกับกำแพงหมอกและมีบางคนหลงทางทำให้หาทางออกไม่เจอก็เป็นได้”“ข้าก็คิดเช่นเดียวกันกับท่านพี่ หากว่าเราไม่มีเสี่ยวหลางมาด้วยไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะหลงทางอยู่ในกำแพงหมอกก็เป็นได้”“คงเป็นเช่นนั้น”เสี่ยวหลางบอกกับฉีหลินว่ามันจะไปล่าหมูเพื่อเอากลับไปให้เพื่อนตัวน้อยทั้งสองของมัน ฉีหลินเองอดค่อนแคะมันในใจไม่ได้ว่าตกลงท่านเทพส่งให้มาเป็นตัวช่วยของนางหรือมาเป็นพี่เลี้ยงลูกของนางกันแน่ฉีหลินกับเฟยเท
เฟยเทียนบังคับเกวียนเข้ามาในเมืองและมุ่งหน้าไปยังเหลาอาหารหมื่นลี้ เมื่อมาถึงจุดรับซื้อของเสี่ยวเอ้อร์ที่ทำหน้าที่รับซื้อของจากชาวบ้านรีบเดินมาต้อนรับทันที“เชิญจอดเกวียนด้านนี้เลยขอรับ ไม่ทราบว่าท่านนำอะไรมาขายให้เหลาหมื่นลี้ของเราหรือขอรับ ขอข้าตรวจดูได้หรือไม่”“ย่อมได้อยู่แล้ว เชิญเจ้ามาตรวจสอบดูได้”เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นสิ่งที่อยู่บนเกวียนทันทีที่คนบนเกวียนยกเสื่อไม้ไผ่ออกเขาได้แต่ตกตะลึงตาค้าง ก่อนที่จะบอกให้เฟยเทียนเอาเสื่อไม้ไผ่คลุมกลับไปเช่นเดิมจากนั้นเขาก็กลับหลังหันวิ่งเข้าไปตามหลงจู๊ทันที“นะ.. นะ นี่มัน กะ. กะ กวางดาว ท่านช่วยเอาเสื้อคลุมเอาไว้ก่อนนะขอรับ ข้าจะไปตามหลงจู๊เดี๋ยวนี้”เสี่ยวเอ้อร์วิ่งหน้าตั้งกลับเข้าไปด้านใน เพื่อไปตามหลงจู๊ของเหลาอาหารหมื่นลี้มาเป็นผู้เจรจาซื้อขายในครั้งนี้ เพราะตั้งแต่เขามาทำงานในตำแหน่งเสี่ยวเอ้อร์รับซื้อก็ไม่เคยมีใครเอากวางมาขายเลยสักครั้ง เขาเองไม่สามารถตัดสินใจได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องให้หลงจู๊มาตัดสินใจด้วยตัวเอง“หลงจู๊ขอรับ ท่านช่วยออกไปเจรจาที่จุดรับซื้อได้หรือไม่ขอรับ พอดีมีของที่ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้มาขายขอรับ”“ของอะไรของเจ้า
ในตอนที่ประมุขมารได้ตายไปพร้อมกับดวงจิตที่แตกสลาย แต่ทว่ากลับไม่ได้แตกสลายไปทั้งหมด ยังมีดวงจิตอีกเสี้ยวได้หลุดลอยไปเกิดใหม่ในอีกภพชาติหนึ่ง เกิดใหม่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถระลึกชาติได้ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เพียงใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ประมุขมารร่ำร้องขอความเมตตาจากสวรรค์ก่อนที่เข้าจะแหลกสลายไปหวังฉีหลินและเฟยเทียนกลับถึงหมู่บ้านป่าหมอก ทุกอย่างนางไม่คิดว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ในที่สุดประมุขมารก็คิดได้เสียที และหวังว่าพรที่นางและสามีร้องขอกับท่านมหาเทพนั้นจะทำให้ประมุขมารไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี มีความสุขและมีภรรยาที่รักเขามากแล้วก็ขอให้ทั้งสองคนเป็นคู่ด้ายแดงทุกภพทุกชาติไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางและสามีทำได้หลังจากที่หมดปัญหา หมดสงคราม ทุกคนก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข แคว้นหลงอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี และข่าวการกลับมาขององค์ชายแปดผู้หายสาบสูญ ตอนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ที่ดินศักดินาหมู่บ้านป่าหมอกและหมู่บ้านใกล้เคียงอีกสามหมู่บ้าน หวังฉีหลินทิ้งงานให้ลูกชายทั้งหลายแล้วหนีไปท่องเที่ยวกับสามี ทั้งสองคนออกไปท่องโลกกว้าง และมักจะนำผลไม้หรือพืช
หลังจากที่ประมุขมารได้รับสารท้ารบจากเฟยเทียน ทำให้เขาได้รู้ว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนบุรุษผู้กระหายสงครามและพร้อมจะทำลายศัตรูตรงหน้าให้ย่อยยับได้ทุกเมื่ออย่างแม่ทัพสวรรค์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยถึงแม้ในชาติภพนี้เขาจะลงมาจุติในดินแดนของมนุษย์แต่ความสามารถของเขายังติดตัวมานั่นไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้มหาเทพจะไม่ค่อยชอบหน้าลูกเขยสักเท่าไหร่ แต่มหาเทพผู้รักลูกสาวยิ่งกว่าสิ่งใดย่อมไม่มีทางให้นางลำบากส่วนมารอย่างตัวเขาเล่าทำอันใดได้บ้าง เป็นเขาเองที่ไปตกหลุมรักนางข้างเดียว เป็นเขาเองที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเขาเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง เขารู้ตัวเองดีด้วยพลังของตัวเขาเองยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด ต่อให้สู้จนตัวตายก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองได้ถึงแม้จะเอาชนะแม่ทัพสวรรค์ได้แล้วธิดามหาเทพจะชายตาแลเขาหรือก็ไม่ นางไม่เพียงไม่ชายตาแลหากแต่นางคงแก้แค้นเขาที่ทำให้สามีของนางต้องมีอันเป็นไป นอกจากจะไม่ได้ความรักแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือความเกลียดชังต่างหากที่นางจะหยิบยื่นให้เขาแล้วเหตุใดเขาถึงได้หน้ามืดตามัวเช่นนี้อยู่ถึงแสนปี ประชาชนเผ่ามารล้วนล้มตายไปตั้งเท่าไหร่ น้องชายคนเดียวของเขาที่เฝ้าเตือนสติเขาอยู่ตลอด
เวลาผ่านไปแล้วนับเดือน ตอนนี้กองกำลังที่ฉีหลินฝึกฝนขึ้นมาก็ออกจากด่านกักตนกันทุกคนแล้ว เวลานี้ฉีหลินกับสามีพร้อมด้วยเหล่าสัตว์เทพพร้อมไปเยือนเผ่ามารแล้วเฟยเทียนเองก็เห็นสมควรว่าไม่ควรปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ หลังจากจบปัญหานี้ได้เท่ากับภารกิจของภรรยาได้เสร็จสิ้นลงเช่นกัน ต่อจากนี้ไปพวกเขาสามีภรรยาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียทีหลังจากกำหนดวันเคลื่อนพลได้แล้วฉีหลินก็ให้ทุกคนได้พักผ่อนให้เต็มที่ และเตรียมข้าวของที่จำเป็นใส่ลงในแหวนมิติให้เรียบร้อย ทั้งอาหารการกิน ยารักษาต่าง ๆ ทุกคนต่างเตรียมไปให้พร้อมสรรพ ด้วยศึกครั้งนี้อีกฝ่ายคือเผ่ามารไม่รู้ว่าจะมีฝีมือร้ายกาจขนาดไหน แต่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนายท่านและนายหญิงว่าจะนำพาพวกเขากลับบ้านมาอย่างปลอดภัยเฟยจิน เฮ่ออี และฮั่นเหวินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการรบในครั้งนี้ ลูก ๆ ของเฟยเทียนทุกคนก็เช่นเดียวกัน ส่วนสัตว์เทพที่คอยดูแลความปลอดภัยที่หมู่บ้านป่าหมอกมีเพียงต้าเซี่ยกับเสี่ยวเสวียนอู่เพียงสองตัวเท่านั้นส่วนเสี่ยวหลาง เสี่ยวหู่ เสี่ยวเฮย เสี่ยวรุ่ยจื่อ และพี่ใหญ่อย่างจินหลงล้วนเข้าร่วมการรบในครั้งนี้ คนที่กระตือรือร้นมากที่สุดคื
ไป๋อี้ถังผู้โสดสนิท ครองตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ประหนึ่งนักพรตผู้ทรงศีล อีกทั้งรังเกียจสตรีมากเล่ห์ หลังจากออกจากด่านกักตนมา เขาก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนัก ไม่มีภรรยาและบุตรให้ดูแล เวลาทั้งหมดที่มีนอกจากฝึกฝนพลังปราณแล้ว เวลาส่วนที่เหลือเขาจึงเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ในสำนักศึกษาด้วยความเข้มงวดในเวลาต่อมา อาจารย์ใหญ่ไป๋อี้ถังจึงมีฉายาว่า อาจารย์ใหญ่จอมโหด หากใครไม่ทำการบ้านมาส่งก็จะโดนลงโทษให้ไปวิ่งรอบสถานศึกษา อีกทั้งยังจะต้องทำการบ้านในครั้งหน้ามากกว่าคนอื่นสองเท่าเท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องเขียนจดหมายสำนึกผิดอีก 100 จบ และไปเก็บมูลทำความสะอาดคอกของสือเอ้อร์กับสืออีแทนคนงานในไร่ แถมยังต้องถูกเจ้าสือเอ้อร์กับสืออีกลั่นแกล้งจนหน้าทิ่มกองอึอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไม่ทำการบ้านอีกเลยวันนี้เป็นวันที่ไป๋อี้ถังว่างมาก มากที่สุด วันนี้เป็นวันหยุดของสถานศึกษา ไป๋อี้ถังจึงคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมือง และหาซื้อพู่กันกับแท่นฝนหมึกเพิ่มเพราะเท่าที่เขามีอยู่ตอนนี้ใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้วจากนั้นเขาตั้งใจว่าจะชวนสหายทั้งสามของเขาไปด้วยกัน แต่กลับไม่มีใครไปเพราะแต่ละคนต้องการอยู่กับภรรยาแ
หลังจากที่เฟยเทียนกับฉีหลินเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านป่าหมอกพร้อมลูกชายและเหล่าสหาย หนึ่งเดือนให้หลังเฟยจินก็กลับมาพร้อมกับฮั่นเหวินและเฮ่ออี หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้และรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน รวมถึงส่งรายชื่อหนอนให้กับเบื้องบนแล้ว ตัวเขาเองก็หมดหน้าที่ ตอนนี้สงครามสงบลงแล้ว ทั้งสามจึงได้ยื่นหนังสือขอลาพักกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมบิดามารดาไป๋อี้ถังและสหายทั้งสามจะเข้าด่านกักตนเพื่อฝึกฝนในอีก 3 วันข้างหน้า โดยผู้ที่จะรับหน้าที่สั่งสอนศิษย์ในสถานศึกษาก็คือราชครูไป๋หย่งเต๋อที่เดินทางตามหลังเฟยจินได้เพียง 7 วันนอกจากไป๋หย่งเต๋อแล้วยังมีไป๋เจิ้นกั๋วเจ้ากรมอาญา เดินทางมาพร้อมกับไท่ปิงองครักษ์ประจำตัว นับเป็นการรวมตัวกันระหว่างองครักษ์เลยก็ว่าได้ เซียวหลางตัดสินใจแต่งงานและติดตามไป๋อี้ถัง ม่อถูเองก็เช่นเดียวกัน มีเพียงไท่ปิงเท่านั้นที่มีหน้าที่ดูแลไป๋เจิ้นกั๋วที่เมืองหลวงไท่ปิงเองก็อยากจะมีชีวิตเฉกเช่นสหายทั้งสองบ้าง เขาเองก็คงต้องเร่งฝึกองครักษ์ขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้ทำหน้าที่แทนเขา ส่วนตัวเขาเองจะตามมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านป่าหมอกแห่งนี้ตามสหายทั้งสองคนวันนี้ฉีหลินเรียกประชุมหน่วยลับที่เป
เฟยเทียนพาภรรยามุ่งหน้ากลับหมู่บ้านป่าหมอกทันที หลังจากจัดการทั้งสองแคว้นเรียบร้อยแล้ว และด่านสุดท้ายของภารกิจในครั้งนี้ก็คือจัดการกับเผ่ามารให้เด็ดขาด หากไม่กำจัดประมุขเผ่ามารเสียตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าก็จะเกิดปัญหาเช่นนี้อีก มีเพียงกำจัดประมุขมารให้ได้เท่านั้นทุกคนจะได้ไม่เดือดร้อน ตอนนี้มีข่าวส่งว่าอ๋องมารน้องชายเพียงคนเดียวของประมุขมารได้หนีออกจากเผ่ามารไปตั้งรกรากที่อื่นแต่เดิมอ๋องมารก็ไม่เห็นด้วยกับประมุขมารเรื่องยึดดินแดนมนุษย์ แต่ไหนเลยประมุขมารผู้เป็นพี่ชายจะยอมฟัง ในเมื่อมันเป็นความแค้นใจที่มีต่อธิดามหาเทพและสามี ต่อให้อีกนับล้านปีประมุขมารก็วางความแค้นในใจลงไม่ได้“ไม่รู้ว่าเจ้าสามแสบจะทำเรื่องปวดหัวให้ท่านพ่อกับท่านปู่มากมายเพียงใด โดยเฉพาะลูกสาวของท่านพี่ ป่านนี้ไม่ใช่พี่อี้ถังปวดหัวจนผมขาวหมดหัวแล้วหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า ไม่ขนาดนั้นกระมัง ลูกสาวของเราออกจะน่ารัก อีกอย่างพี่อี้ถังก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือไม่ได้เลยนี่นะ”“ท่านพี่ก็เข้าข้างนางตลอดล่ะเจ้าค่ะ อีกหน่อยนางก็เสียคนพอดี”“ไม่ใช่ว่านางกลัวท่านแม่อย่างเจ้าอยู่หรอกหรือ เอาน่าลูกยังเด็กอยู่ยังไม่รู้ความ มีพวกต้าเซี่ยอย
ในท้องพระโรงตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำคราญของบรรดาองค์หญิงและเหล่าสนมของฮ่องเต้ ส่วนเหล่าองค์ชายนั้นในใจต่างคิดว่าพวกเขาจบเห่แล้วคราวนี้ ยังไม่ทันได้ลงมือช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทแต่เสด็จพ่อกลับทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ ตอนนี้คนของแคว้นหลงบุกมาจัดการพวกเขาถึงในวังหลวงแห่งนี้ เช่นนั้นที่ชายแดนก็คงจะพ่ายแพ้เช่นเดียวกัน“มีอะไรจะพูดหรือไม่ แต่เอาจริง ๆ ไม่ต้องพูดหรอกเสียเวลา ข้าเข้าใจ เสี่ยวเฮยจัดการด้วยล่ะ เอาให้สะอาด” ฉีหลิน“จัดการให้เรียบร้อยจะได้รีบไปจัดการต่อ ข้าอยากกลับบ้านคิดถึงลูก” เฟยเทียนฮ่องเต้แคว้นอู๋มองดูสองสามีภรรยาสั่งงานเจ้าบุรุษชุดดำด้วยความไม่เข้าใจ อะไรคือจัดการให้เรียบร้อย อะไรคือเอาให้สะอาด พูดจาให้คนฟังแล้วไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ แต่ช่วยเห็นหัวเขาหน่อยจะได้หรือไม่“อ้อ เสี่ยวเฮย ช่วยปล่อยฮองเฮากับองค์ชายและองค์หญิงที่เกิดจากพระนางด้วย มีคนต้องการพบพวกเขา”“ได้ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้”“ขอบใจ ท่านพี่ไปกันเถอะเจ้าค่ะ เรายังมีอะไรที่ต้องทำต่อ”“อืม เสี่ยวเฮยจัดการให้เรียบร้อยอย่าให้เล็ดลอดออกไปได้แม้แต่คนเดียวเข้าใจหรือไม่”เฟยเทียนเดินตามหลังภรรยาออกไปจากท้องพระโรง ท่าม
ในวันที่ฉีหลินกับเฟยเทียนตัดสินใจลักลอบเข้าวังหลวงแคว้นอู๋ ทางชายแดนแม่ทัพแคว้นอู๋ตัดสินใจนำทัพเข้าบุกแคว้นหลงทันทีโดยมีทัพมารเข้ามาแทรกแซงทำให้กำลังทหารของทางฝั่งแคว้นอู๋มีจำนวนเพิ่มมาหลายพันคนในเมื่อเผ่ามารมือยืดมือยาวถึงเพียงนี้ เสี่ยวเฮยเองก็ย่อมลิ้นยืดลิ้นยาวได้เช่นเดียวกัน ในตอนแรกที่เสี่ยวเฮยยังไม่ได้กลับไปอยู่ในร่างของมังกรทมิฬนั้น ย่อมไม่มีใครเกรงกลัวแต่หลังจากเผ่ามารเข้ามาแทรกแซงทำตัวเป็นกำลังเสริมให้กับแคว้นอู๋ เสี่ยวเฮยจึงเห็นว่าไม่ควรจะปิดบังตัวเองอีกต่อไป มันจึงได้กลับร่างเป็นมังกรทมิฬขนาดใหญ่กว่าที่เผ่ามารจะได้รู้ความจริงก็โดยกินไปจนเกือบหมดเสียแล้ว ยิ่งกลืนกินสิ่งชั่วร้ายไปมากเท่าไหร่ขนาดตัวของเสี่ยวเฮยก็ขยายขึ้นใหญ่มากเท่านั้น ตอนนี้ที่กำลังทหารของแคว้นอู๋เห็นเสี่ยวเฮยกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น ก็ตัดสินใจกันแล้วว่าจะหนีเอาตัวรอดถึงแม้ว่าแม่ทัพจะไม่สั่งถอยทัพแต่ใครก็ย่อมกลัวตาย ต่างคนต่างรักชีวิตของตัวเองเมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทิ้งอาวุธออกวิ่งทันทีส่วนเสี่ยวเฮยที่กินเผ่ามารไปแล้วยังรู้สึกว่าไม่อิ่มเท่าไหร่ ต่างจ้องมองไปที่กำลังทหารของแคว้นอู๋ด้วยสายตาวาววั
ในขณะที่ฉีหลินกับเฟยเทียนเข้าไปในแคว้นอู๋อย่างราบรื่น ตอนนี้พวกเขาหาที่พักในเมืองหลวงของแคว้นอู๋ได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนปลอมตัวเป็นตายาย เปิดร้านขายบะหมี่ในตลาดนับว่าเป็นงานที่ท้าทายมากสำหรับเฟยเทียน งานขายบะหมี่นี้เขารับหน้าที่เป็นคนทำบะหมี่ ส่วนภรรยาอย่างฉีหลินนั้นทำหน้าที่เก็บเงิน ส่วนผู้ติดตามทำหน้าที่เสี่ยวเอ้อร์ พวกเขาเช่าร้านบะหมี่ต่อจากเจ้าของเดิมที่เก็บของเตรียมตัวย้ายไปอยู่กับลูกชายที่บ้านเกิดในระหว่างที่ท่านพ่อและท่านแม่ไปทำหน้าที่ทำภารกิจเพื่อความสงบสุข แต่ลูกน้อยทั้งสามคนที่หมู่บ้านป่าหมอกนั้นไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับ 3 คนแก่ที่บ้านสักเท่าไหร่ ไป๋อี้ถังเองยังไม่สามารถรับมือกับหลานน้อยทั้งสามคนได้ เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะอับจนหนทางถึงขนาดนี้ เจ้าสามคนนี่เกิดมาเพื่อสร้างความปั่นป่วนจริง ๆ“ท่านยุงถัง อันนี้ฉือไร” ฟางเซียน“หนังสือวรยุทธ์เบื้องต้น” ไป๋อี้ถัง“ท่านยุงถัง ฉอน เซียนเอ๋อร์ยักเรียน”“ฟางเซียนลุงว่าตอนนี้เจ้าไปนอนกลางวันกับน้องชายทั้งสองของหลานดีหรือไม่ เอาไว้รอให้เจ้าโตกว่านี้ลุงจะสอนให้ทุกอย่างเลย ต้าเซี่ย มาพาคุณหนูของเจ้าไปนอนกลางวันได้แล้ว”“แต่เซียนเอ๋อร์ไม่