ครอบครัวหยางสายรองกลับมาถึงบ้านก็พบว่าหยางฮุ่ยเหม่ยกำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าประตูบ้าน ก่อนออกจากบ้านฉีหลินได้ใส่กุญแจเอาไว้โดยปกติแล้วหากไม่มีคนอยู่ในบ้าน
หยางฮุ่ยเหม่ยจะใช้โอกาสที่ทุกคนทำงานอยู่ในแปลงนาเข้ามาหยิบจับและฉกฉวยเอาสิ่งของที่มีในบ้านสายรองไป นางทำเช่นนี้หลายต่อหลายครั้งและมีปากเสียงกันก็บ่อยครั้งแต่พี่ชายของเขาอ้างว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแค่หยิบของมาเล็กน้อยจะเป็นอะไรได้ อีกทั้งยังกล่าวหาว่าเขาเป็นคนใจแคบอีกด้วย
ฉีหลินไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้ทุบตีคนให้หลุดมือไป ในเมื่อนางระบุเอาไว้ในสัญญาแยกบ้านชัดเจนแล้วแต่เหมือนว่าหยางฮุ่ยเหม่ยจะจำไม่ได้แบบนี้จะต้องมีการทุบตีเตือนสติกันเสียบ้าง
ยังไม่ทันที่จะได้มีใครพูดอะไรหวังฉีหลินเดินเข้าไปด้านหลังของหยางฮุ่ยเหม่ยอย่างแผ่วเบา โดยที่ฮุ่ยเหม่ยไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าบ้านสายรองกลับมาแล้ว เพราะใจมัวแต่จดจ่อหาวิธีเข้าไปรื้อค้นของในบ้านจึงไม่รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ฉีหลินยกเท้าขึ้นถีบไปที่ก้นของนาง จนทำให้นางที่ไม่ทันได้ระวังตัวล้มหน้าทิ่มพื้นลงไปทันที และก็ตามมาด้วยเสียง ตุ๊บ ตั๊บ ๆ อยู่เป็นระยะ ฮุ่ยเหม่ยทำได้แค่กรีดร้องและใช้มือปัดป้องการโจมตีจากฉีหลินเท่านั้น แต่นางไม่สามารถที่จะตอบโต้กลับได้
“ข้าก็บอกชัดเจนแล้วว่าอย่าแหย่ขาของเจ้าเข้ามาบ้านสายรอง เจ้ายังไม่ฟังสงสัยความจำเจ้าจะหลุดหายไป ไม่เป็นไรข้าจะเตือนสติเจ้าเอง”
“กรี๊ดๆๆ นังฉีหลิน แกกล้าถีบข้าหรือ ”
“ทำไมข้าจะไม่กล้า ตอนนี้พวกเราแยกบ้านกันแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเกี่ยวข้องกันอีก สัญญาแยกบ้านระบุเอาไว้ชัดเจนว่าหากพวกเจ้าแหย่ขาเข้ามาในบ้านของข้า ข้ามีสิทธิ์ทุบตีพวกเจ้าโดยที่ข้าไม่มีความผิด เพราะพวกเจ้าถือเป็นฝ่ายที่บุกรุกเข้ามาในบ้านของข้า”
“เหอะ ฝากไว้ก่อนเถอะ มันยังไม่จบแค่นี้แน่” ฮุ่ยเหม่ยกล่าวคาดโทษก่อนที่ตัวเองจะวิ่งซมซานกลับบ้าน
ในระหว่างที่ผู้ใหญ่สองคนและเด็กอีกสองคนกำลังแลกเปลี่ยนสายตากันอยู่นั้นพวกเขาสงสัยว่าทำไมลูกสะใภ้พี่สะใภ้ของตัวเองถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้
นอกจากนางจะมีความกล้าแล้วจากเดิมนางเป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวานแต่ตอนนี้ทำไมนางกลายร่างเป็นอันธพาลน้อยชอบทุบตีผู้คนไปเสียแล้ว ในตอนนั้นเองก็มีเสียงเล็ก ๆน่ารัก ๆ ของหยางหนิงเจี้ยนและหยางหนิงเฉิง ดังขึ้นมาขัดความคิดของพวกเขาทั้งสี่คน
“อู๊วววว ท่านแม่เก่งมากขอรับ” เจี้ยนเอ๋อร์
“ใช่ ๆ ท่านแม่เก่งมาก โตขึ้นข้าจะเป็นเหมือนท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์
“คิก ๆ เอาไว้แม่จะสอนให้นะ ตอนนี้เข้าบ้านกันก่อนดีหรือไม่”
“ดีขอรับท่านแม่ ท่านแม่ของข้าเก่งที่สุดเลย”
ฉีหลินที่ได้รับคำชมจากลูกชายสุดที่รักทั้งสองคนก็ทำให้นางยิ้มเต็มหน้าด้วยความภาคภูมิใจ ที่ลูกชายของนางชื่นชมนาง แต่นางกลับลืมดูสีหน้าพ่อแม่สามีและน้องสามีว่าพวกเขามีสีหน้าเช่นไร
หยางเฟยจินมองพี่สะใภ้ของเขาอย่างแปลกใจและนับถือในความเปลี่ยนแปลงของนาง ส่วนหยางเยว่เล่อมองพี่สะใภ้ของนางด้วยความเคารพส่วนสองสามีภรรยามองลูกสะใภ้เหมือนไม่เคยเห็นมาก่อนและยังเผลอคิดไปด้วยว่านางใช่ลูกสะใภ้ของพวกเขาจริง ๆ ใช่หรือไม่
เมื่อเข้ามาในบ้านแล้วฉีหลินได้ปรึกษากับทุกคนถึงเรื่องที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ นางต้องการให้พ่อสามีไปดูแลการแผ้วถางที่ดินและนางต้องการที่ดินที่อยู่รอบ ๆ กับที่ดินของแม่สามีเลยไปจนถึงลำธารด้านหลัง หากยังไม่มีเจ้าของนางอยากให้พ่อสามีซื้อเอาไว้จะได้ล้อมรั้วไปเสียทีเดียว
“ท่านพ่อเจ้าคะพรุ่งนี้ท่านพ่อไปดูแลงานแผ้วถางที่ดินนะเจ้าคะ มีอีกเรื่องข้าอยากได้ที่ดินที่ติดกับที่ดินของเรายาวไปจนถึงลำธารด้านหลังหากยังไม่มีเจ้าของให้ท่านพ่อซื้อเลยเจ้าค่ะ”
“ได้ พ่อจะไปถามหัวหน้าหมู่บ้านให้ แล้วเรื่องสร้างบ้านล่ะลูกสะใภ้ เจ้ามีแบบในใจอยู่หรือไม่”
“คืนนี้ข้าจะวาดแบบให้นะเจ้าคะท่านพ่อ ส่วนท่านแม่ข้าอยากให้ท่านตุ๋นน้ำแกงไปให้พี่เฟยเทียนแทนข้าหน่อยเจ้าค่ะ”
“ได้สิแล้วเจ้าไม่ไปด้วยกันกับแม่หรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าเองพรุ่งนี้จะพาน้องรองเข้าป่าเจ้าค่ะ ส่วนน้องเล็กให้ดูแลหลาน ๆ ช่วยท่านแม่พรุ่งนี้เจ้าค่ะ”
“ได้ ๆ เจ้าเองก็อย่าเข้าป่าลึกให้มากนัก มันอันตรายรู้หรือไม่”
“ข้าทราบเจ้าค่ะท่านแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะระวังให้มากเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะตกลงตามนั้นก็แล้วกัน ฮูหยินเจ้าเองก็ไปทำมื้อเย็นเถอะ ส่วนทุกคนแยกย้ายไปทำตามหน้าที่ของตัวเอง”
“ ท่านปู่ ข้าล่ะ แล้วข้าล่ะต้องทำอะไรขอรับ” เฉิงเอ๋อร์รีบถามท่านปู่ออกมาทันทีเขาเองก็อยากมีส่วนช่วยเหลืองานในบ้านด้วยเช่นเดียวกัน
“ข้าจะไปช่วยท่านย่าในครัว” เจี้ยนเอ๋อร์รีบออกตัวและวิ่งหายไปทางห้องครัวทันที
ส่วนหยางฮุ่ยเจียงที่โดนฉีหลินถูกทุบตีกลับไปนางได้แต่เจ็บใจนอกจากจะขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังต้องเสียข้าวสารอีกกำมือ เรื่องนี้นางจะไม่มีวันยอม รอไปก่อนเถอะหากนางได้แต่งงานเข้าบ้านท่านเศรษฐีเมื่อไหร่คอยดูว่านางจะทำยังไงกับคนบ้านรองกัน
แต่สิ่งที่หยางฮุ่ยเหม่ยไม่ได้รับรู้ในตอนนี้นั่นก็คือจะไม่มีงานแต่งงานของนางเกิดขึ้น เพราะเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทแยกบ้านกันของครอบครัวหยางไม่มีใครไม่รู้และเรื่องราวได้ลอยไปเข้าหูบ้านเศรษฐีซ่งจนได้ เขาจึงให้แม่สื่อมายกเลิกการสู่ขอและจะไม่มีการหมั้นหมายเกิดขึ้น
เรื่องนี้ทำให้นางหลินผู้เป็นแม่โกรธจนเป็นลมล้มพับขึ้นมาเลยทีเดียว หลังจากนั้นมานางก็ตั้งใจหาสามีให้ลูกสาวของนางอย่างเต็มที่และในที่สุดลูกสาวของนางได้แต่เข้าไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีในเมืองนี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง
หลังจากแยกบ้านกันแล้วหยางฮุ่ยเหอก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกเขายังไปทำงานในแปลงนากับลูกชายทั้งสองแต่ในใจกลับหาวิธีทำลายครอบครัวของน้องชายคนเดียวของตัวเองถึงแม้ว่าจะเติบโตมาด้วยกันแต่ในใจของเขารู้ดีว่าหยางเทียนฉีไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันกับเขา
เช้าวันต่อมานางฟางพาหลานชายทั้งสองและลูกสาวเข้าเมืองไปเยี่ยมเฟยเทียนที่โรงหมอ ส่วนหยางเทียนฉีพาลูกชายและลูกสะใภ้ไปที่หมู่บ้านป่าหมอกทันที เมื่อมาถึงก็พบว่าหัวหน้าหมู่บ้านพาคนมารออยู่แล้ว
“คารวะหัวหน้าหมู่บ้านขอรับ ขออภัยที่ข้ามาช้า”
“ไม่เป็นไรพวกข้าเองก็เพิ่งมาถึง คนทั้งหมดนี้จะมาช่วยพวกเจ้าแผ้วถางที่ดิน หลังจากนั้นจะช่วยพวกเจ้าล้อมรั้วต่อ มีอะไรให้ข้าช่วยอีกหรือไม่”
“หัวหน้าหมู่บ้านขอรับที่ดินรกร้างที่ติดกับที่ดินของข้ามีเจ้าของหรือไม่ขอรับ”
“ไม่มีหรอกทำไมหรือ ที่ติดชายป่าเช่นนี้ชาวบ้านไม่กล้ามาอยู่หรอกเพราะกลัวว่าสัตว์ป่าจะออกจากป่ามาทำร้ายเอา เจ้าต้องการหรือ”
“ขอรับ ข้าอยากจะซื้อขอรับ”
“เจ้าต้องการที่ดินมาน้อยแค่ไหน เช่นนั้นก็ตามข้ากลับไปที่บ้านข้าจะให้เจ้าดูแผนที่และเลือกดูว่าเจ้าต้องการที่ตรงไหน”
“ขอรับ”
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ากับน้องรองไปก่อนนะเจ้าคะ ทางนี้ฝากท่านพ่อด้วยนะเจ้าคะ”
“ได้ พ่อจะจัดการให้ พวกเจ้าอย่าเข้าไปในป่าลึก ป่าหมอกแห่งนี้ไม่เหมือนป่าแถวบ้านเราเข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
ฉีหลินพาน้องชายเดินตรงไปยังชายป่าหัวหน้าหมู่บ้านมองตามหลังทั้งสองคนไปด้วยความกังวลเพราะทางที่ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปนั้นคือป่าหมอก ขนาดพวกเขาอยู่ที่นี่มานานยังไม่ค่อยจะมีคนกล้าเข้าไปนอกจากนายพรานที่มีฝีมือเก่งกาจเท่านั้น แต่นี่เป็นเพียงหญิงสาวบอบบางและเด็กชายที่เพิ่งจะอายุ 10 กว่าปีเท่านั้น
“เจ้าปล่อยให้ลูกสาวกับลูกชายของเจ้าเข้าป่าหมอกไปจะดีหรือ เจ้าไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าป่าแห่งนี้อันตรายมากแค่ไหน ทำไมยังปล่อยให้นางเข้าไปอีก”
“ข้าเองก็จนปัญญาจะห้ามนางขอรับ ลูกสะใภ้ข้าคนนี้ตั้งแต่นางได้รับบาดเจ็บและรักษาจนหายดี นิสัยของนางก็เปลี่ยนไปมากจากที่เคยเรียบร้อยอ่อนหวานก็กลายเป็นอันธพาลตัวน้อยที่ชอบทุบตีชาวบ้าน โดยเฉพาะใครที่เคยรังแกนางมาก่อน ตอนนี้นางก็จัดการเอาคืนไปเสียทุกคน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนที่นางได้รับบาดเจ็บนางไปเจออะไรมากันแน่ถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ที่ข้าแน่ใจข้าคิดว่านางสามารถเอาตัวรอดได้ขอรับ”
“เอาเถอะ ๆ ถ้าเจ้าเชื่อว่านางจะเอาตัวรอดได้ ข้าก็ไม่ว่าอะไร เช่นนั้นเราไปกันเถอะ จะได้รีบจัดการให้เรียบร้อยหากเจ้าพอใจที่ดินตรงไหนจะได้รีบจัดการให้เรียบร้อย”
“ขอรับ เชิญหัวหน้าหมู่บ้านนำทางขอรับ”
หยางเทียนฉีได้ทำการซื้อที่ดินเพิ่มอีก 100 หมู่ เป็นเงินเพียง 300 ตำลึงเท่านั้นที่ดินชายป่าแห่งนี้มีราคาหมู่ละ 3 ตำลึงเพียงเท่านั้น แต่ถ้าเป็นที่ดินที่อยู่อีกฝั่งของหมู่บ้านป่าหมอกนั้นจะมีราคาที่แพงกว่านี้มากเพราะอยู่ใกล้ตัวเมืองมากกว่าอีกทั้งอีกด้านยังติดกับหุบเขาไป๋หลางเฟิ่ง ที่มีตำนานกล่าวขานกันว่าในอดีตเหล่าผู้คนที่เป็นผู้ฝึกตนได้อาศัยอยู่ใจกลางหุบเขาแห่งนั้น
ถึงตอนนี้จะมีผู้ฝึกตนอยู่จริงแต่ในแคว้นของพวกเขากลับหาได้เพียงหยิบมือเท่านั้น แต่หากเป็นแคว้นอื่นที่ตั้งอยู่ในแคว้นอื่นยังพอมีให้เห็นมากกว่าแคว้นหมิงหลงแห่งนี้
เพราะขาดแคลนทรัพยากรในการฝึกปราณแต่ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถฝึกได้ทุกคน และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพลังปราณชาวบ้านธรรมดาแค่ทำมาหาเลี้ยงปากท้องก็ลำบากมากพอแล้วไหนเลยจะมาคิดถึงการฝึกตนได้กัน
ฉีหลินพาเฟยจินเดินเข้ามาป่าเรื่อย ๆ ป่าหมอกสมชื่อ พอเข้าป่ามาได้สักพักใหญ่ในป่าที่นางเดินเข้ามาเริ่มมองเห็นหมอกจาง ๆ เมื่อเดินต่อไปเรื่อย ๆ หมอกก็จะเริ่มหนาขึ้นทำให้ความสามารถในการมองเห็นแย่ลง นางจึงไม่แปลกใจเลยทำไมชาวบ้านธรรมดาถึงไม่กล้าเข้าป่าหมอกมาหาของป่า
หมอกหนาขนาดนี้ถ้าไม่หลงป่าก็แปลกแล้วแต่มีหรือว่าฉีหลินจะกลัวนางยังมีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าความกลัวเสียอีก นางเพิ่งจะได้กลับมาสู่ร่างที่แท้จริงและยากจนของตัวเองเรื่องอะไรที่ไม่เคยทำนางจะทำมันทั้งหมด
“พี่สะใภ้ข้าว่าถ้าเราไม่เจออะไรก็กลับกันดีหรือไม่ขอรับ อย่าเข้าไปลึกกว่านี้เลย”
“เดินเข้าไปอีกหน่อยถ้าไม่เจออะไรแล้วเราค่อยกลับออกไปตกลงไหม พี่เองก็ลืมคิดเรามามือเปล่าแม้แต่อาวุธก็ไม่มีติดมือมาด้วย"
เบื้องบนชายชราที่ทำหน้าที่นำดวงวิญญาณของฉีหลินกลับมาตอนนี้กำลังทวงถามถึงตัวช่วยที่เหล่าเพื่อนเทพบอกว่าจะส่งลงมาช่วยนางเพื่อเป็นการชดใช้ที่ทำให้นางจากมาก่อนเวลาอันควร
“ไหนล่ะ ตัวช่วยของท่าน ทำไมยังไม่รับส่งลงไปอีก ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเป็นโอกาสดีแล้วไม่ใช่รึไงนางเข้าป่าหมอกมาแล้ว รีบ ๆ ส่งไปได้แล้ว จะตัวอะไรก็ส่งลงไปเถอะน่า ท่านจะมาคิดมากคิดมายอะไรนักหนา”
“ข้าก็ต้องคิดมากสิเกิดข้าหยิบได้เสือแล้วส่งไปให้นางแบบนี้นางจะอยู่ในหมู่บ้านยังไง นั่นมันสัตว์ป่าดุร้ายเลยนะ”
“แล้วท่านจะส่งตัวอะไรไปเล่า ตัวที่ท่านจะส่งไปต้องดูแลปกป้องนางและครอบครัวได้ด้วยนะอีกทั้งยังต้องช่วยนางหาเงินอีกด้วย ดูเหมือนนางอยากจะยึดอาชีพเป็นพรานป่าและนักล่าสมุนไพรขายนะ ท่านช่วยรีบ ๆ คิดหน่อยได้หรือไม่ เดี๋ยวนางจะกลับออกไปเสียก่อน”
“เอาล่ะๆเอาเจ้านี่ก็แล้วกัน เสี่ยวหู่เจ้าลงไปอยู่กับนางจนกว่านางจะหมดอายุไข อะไรเสี่ยวเฮยเจ้าเองก็อยากไปกับเสี่ยวหู่หรือ ได้ ๆ ไปก็ไป เอาล่ะเตรียมตัวข้าจะส่งพวกเจ้าลงไปตอนนี้ล่ะ ทนเจ็บหน่อยนะเพื่อความสมจริง”
“เดี๋ยวๆๆๆๆ หยุดๆๆ ไหนว่าจะไม่ส่งเสือไปให้นางยังไง นี่ท่านกลับจะส่งเสือขาวนี่ไปให้นางนี่นะ แถมยังมีเจ้างูดำนี่อีกด้วย ”
“เอาเถอะน่าไม่มีเวลาแล้วท่านจะมาเลือกอะไรเยอะแยะ เสี่ยวเฮยสามารถหล่อเลี้ยงพลังปราณได้นะแถมยังช่วยดูแลเรื่องพืชผักได้ด้วย ส่วนเสี่ยวหู่พยัคฆ์ขาวตัวนี้แค่ทำให้ตัวเท่าลูกเสือก็ได้แล้วไหมล่ะ ท่านจะมาบ่นอะไร หรือจะให้ข้าส่งเต่าลงไปหรือไง ท่านจะเอาตัวอะไรท่านพูดมา”
“แล้วแต่ท่านเถอะ ข้าไม่อยากพูดกับเทพอันธพาลอย่างพวกท่านแล้ว”
“ก็แค่นี้ เอาล่ะพวกเจ้าเตรียมตัวข้าจะส่งพวกเจ้าลงไปเดี๋ยวนี้”
ตุ๊บ ตุ๊บ เสียงเหมือนสิ่งของหล่นดังอยู่ข้างหน้า “ เสียงอะไรหล่นนะ” ฉีหลินได้แต่ยืนมองไปในทิศทางที่ได้ยินเสียง
หลังจากที่ทุกคนเข้ามาในบ้านแล้วสองแฝดเพิ่งจะเห็นว่าในตะกร้าที่ท่านแม่ของพวกเขาสะพายอยู่นั้นมีก้อนอะไรกลม ๆ ขาว ๆ อยู่ ด้วยความสงสัยเจี้ยนเอ๋อร์จึงได้เอ่ยปากถามมารดาของตัวเองในสิ่งที่เขาสงสัยทันที“ท่านแม่ขอรับท่านแม่ อะไรอยู่ในตะกร้าของท่านแม่หรือขอรับ ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่ หรือว่าจะเป็นกระต่ายหรือขอรับ”“อ่อ เจ้านี่หรือ มันชื่อเสี่ยวหลาง แม่ไปเจอมันอยู่ตัวเดียวในป่าเลยพามันกลับมาด้วย ต่อไปนี้มันจะมาอยู่กับพวกเราเป็นสมาชิกในบ้านของเรา ลูกต้องช่วยกันดูแลและห้ามรังแกมันเด็ดขาด”“ว้าว หมาล่ะ ลูกหมาล่ะ เฉิงเอ๋อร์ชอบมันที่สุดเลยขอรับท่านแม่ ”“เอาล่ะ ๆ ถ้าลูกชอบก็ดูแลมันให้ดี ๆ ล่ะ ไปอาบน้ำกันได้แล้ว”“ขอรับ เสี่ยวหลางเจ้าก็ต้องอาบน้ำด้วยนะ ถ้าเจ้าไม่อาบน้ำเจ้าต้องไปนอนนอกบ้าน” เจี้ยนเอ๋อร์“พวกเจ้ารออารองด้วย อารองไปอาบด้วยคน”“ท่านแม่เจ้าคะวันนี้ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“เฟยเทียนอาการดีขึ้นไม่น้อย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ”“เจ้าค่ะท่านแม่ วันนี้ข้าคุยกับท่านพ่อแล้ว ให้ว่าจ้างช่างจากในเมืองมาช่วยสร้างบ้านให้พวกเราอยู่ชั่วคราวไปก่อน น้องรองเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ข้าเองก็ไม่วางใจหากข
หลังจากผ่านเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายไปแล้วทุกคนถึงได้เริ่มลงมือกินมื้อเช้า หลังจากจบมื้ออาหารเช้าวันนี้ฉีหลินจะเป็นคนไปเยี่ยมสามีของนางที่โรงหมอส่วนน้องชายน้องสาวทั้งสองคนจะอยู่ช่วยกันเก็บของที่จำเป็นใส่หีบ ถึงเวลาย้ายออกไปจะได้ง่ายขึ้นแม่สามีวันนี้จะอยู่เลี้ยงหลานที่บ้าน ตอนนี้บ้านสายรองไม่จำเป็นต้องไปทำงานในแปลงนา เพราะพวกเขาไม่ได้ส่วนแบ่งที่นา ส่วนข้าวที่ปลูกไปแล้วพอถึงเวลาเก็บเกี่ยวบ้านใหญ่ก็คงจะไม่แบ่งให้พวกเขาอยู่แล้วในเมื่อไม่มีส่วนแบ่งเป็นของตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องไปลงแรงให้เปล่าประโยชน์ ลูก ๆ ของนางวันนี้ดูพวกเขาจะมีความสุขมากในบ้านมีแต่เสียงหัวเราะเพราะมีเพื่อนใหม่ถึงสามตัวเสี่ยวเฮยนั้นทำตัวเองให้เป็นเก้าอี้เพื่อให้เฉิงเอ๋อร์นั่ง ส่วนเสี่ยวหู่นั้นนอนมองเจี้ยนเอ๋อร์ขี่หลังเสี่ยวหลาง บางครั้งมันก็ให้เจี้ยนเอ๋อร์ขี่หลังมันบ้าง แต่เพราะกลัวจะมีคนเห็นว่ามันเป็นเสือมันจึงได้เพียงย่อขนาดให้เท่ากับลูกแมวและไปตามออดอ้อนแม่สามีเพื่อขอของกิน“เสี่ยวเฮยเราไปหาท่านย่าที่ห้องครัวกันเถอะ” เสียงเล็ก ๆ ของเฉิงเอ๋อร์ชวนสหายตัวใหม่เพื่อไปขอขนมท่านย่ากิน“ใช่แล้ว เสี่ยวหลางเราเองก็ไปกันเถอะ เดี๋ย
ฉีหลินออกมาคุยกับท่านหมอที่รักษาสามีของนางเพื่อแจ้งแก่ท่านหมอว่านางจะพาสามีกลับไปพักฟื้นที่บ้าน เมื่อแจ้งความประสงค์กับท่านหมอแล้ว ฉีหลินได้รับเงินจากโรงหมอคืนเป็นเงิน 30 ตำลึง เมื่อจัดการเรื่องค่าหมอค่ายาเสร็จแล้ว ฉีหลินมุ่งหน้าไปเช่าเกวียนเพื่อมารับสามีนางกลับไปรักษาตัวที่บ้านทันที ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามีของนางฟื้นตัวได้เร็วนั้นเพราะน้ำพุวิญญาณที่นางแอบนำมาผสมน้ำให้สามีดื่มอยู่เป็นประจำอีกทั้งน้ำกินน้ำใช้ที่บ้านย่อมผสมน้ำพุวิญญาณลงไปด้วย ตอนนี้แม่สามีของนางเองดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นมาจากปกติร่างกายที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ ของนาง หลังจากได้ดื่มกินน้ำผสมน้ำพุวิญญาณทำให้ร่างกายของนางแข็งแรงขึ้นฉีหลินออกไปได้ไม่นาน นางก็กลับมาพร้อมเกวียนเพื่อมารับเฟยเทียนกลับบ้าน ตอนนี้เขาเดินได้แล้วแต่ไม่สามารถเดินนาน ๆ ได้ ตอนแรกเขาหมดหวังแล้วเพราะป้าสะใภ้ยึดเอาเงินไปและไม่ยอมให้หมอรักษาเขา เขาคิดว่าตัวเองคงจะกลายเป็นคนป่วยพิการนอนติดเตียง อยู่เป็นภาระลูกเมียและพ่อแม่เสียแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็สามารถมารักษาและหาหมอทัน เป็นเพราะภรรยาของเขาที่ต่อสู้เพื่อครอบครัว ในวันที่เขาเห็นน้องชายน้องสาวพาภรรยาที่บาดเจ็บก
ฉีหลินและเฟยจินกลับมาถึงบ้านทั้งสองคนนำปลาไปใส่ถังโอ่งดินใบเล็ก ๆ เอาไว้ก่อนจากนั้นฉีหลินก็นำใบบัวไปล้างให้สะอาดพักเอาไว้ ส่วนกุ้งนางกำลังคิดว่าจะทำอะไรกินดี กุ้งแม่น้ำตัวโตขนาดนี้ทำไมคนที่นี่เรียกปลาเปลือกแข็งกัน ถ้ากุ้งเรียกปลาเปลือกแข็งแล้วถ้าเป็นปูล่ะจะเรียกว่าอะไร คงไม่เรียกว่าปลากระดองแข็งหรอกใช่ไหม ฉีหลินหัวเราะคิกคักกับความคิดไร้สาระของตัวเองแต่เอาเข้าจริงคนที่นี่เรียกปูว่าปลากระดองแข็งจริง ๆ นี่คือสิ่งที่ฉีหลินรับรู้ในเวลาต่อมาฉีหลินจะทำข้าวห่อใบบัวแต่เครื่องปรุงอาจจะไม่ครบ เช่นนั้นก็มาดัดแปลงเอาตามของที่มีก็แล้วกัน นางเดินเข้าไปในครัวไม่รู้ว่าที่โลกแห่งนี้จะมีเผือกหรือยัง เพราะความทรงจำบางส่วนขาดหายนางจึงไม่แน่ใจว่ามีหรือยังถึงจะไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่มี แต่ในมิตินางมีในเมื่ออยากกินต้องได้กิน ฉีหลินเริ่มต้นด้วยการแกะกุ้งพักเอาไว้ จากนั้นก็ไปหุงข้าว นำเผือกออกมาหั่นเต๋าเอาไว้ ในห้องครัวมีแครอทพอดีนางนำมาหั่นเต๋าเอาไว้เช่นเดียวกัน“แล้วเราจะใส่กุนเชียงดีหรือไม่ ถ้าไม่ใส่ก็จะไม่อร่อยน่ะสิ แต่ถ้าใส่จะตอบคำถามทุกคนว่ายังไงดี โอ้ยย ปวดหัวจริง ๆ อึดอัดจะแย่แล้ว ใส่ ๆไปเถอะงั้นก็เรื
นับตั้งแต่ฉีหลินพาสามีกลับมารักษาตัวที่บ้านตอนนี้เวลาก็ผ่านไปแล้วหลายวัน เช้าวันนี้หลังจากกินมื้อเช้าพวกเขาจะย้ายบ้านไปอยู่ที่หมู่บ้านป่าหมอกกันแล้วคนที่ดีใจที่สุดที่จะได้ย้ายบ้านไม่ใช่ใครที่ไหนแต่หากเป็นหยางเฟยจินผู้ที่หวังมานานว่าจะได้ย้ายไปจากตรงนี้เสียที อย่างน้อย ๆ ครอบครัวของเขาจะได้ไม่โดนเอาเปรียบและถูกป้าสะใภ้รังแกเช่นที่ผ่านมา“พวกเจ้าเร่งมือกันหน่อยประเดี๋ยวสายแล้วจะร้อนเอาได้” หยางเทียนฉีเร่งลูกเมีย“ท่านพี่ท่านขนของพวกนี้ขึ้นเกวียนไปเถอะ แล้วให้อาเทียนนั่งไปกับท่านส่วนข้าจะเดินไปกับลูกสะใภ้และหลาน ๆ เอง” นางฟางบอกผู้เป็นสามี“เจ้าจะเดินไหวหรือ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เราจ้างเกวียนบ้านลุงเมิ่งไปส่งพวกเจ้าดีกว่า จะเดินทำไมให้เหนื่อย”“เอาแบบนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ท่านรีบไปบ้านท่านลุงเมิ่งเถอะ”ในตอนที่คนบ้านหยางจัดแจงข้าวของกันอยู่นั้น นางหลินที่ตอนนี้รักษาตัวหายดีแล้วก็เดินมาที่บ้านหยางสายรองเพื่อดูว่าคนพวกนี้ย้ายออกไปจริงหรือไม่ และหยิบจับอะไรตัดไม้ติดมือไปด้วยหรือเปล่า“เหอะรีบ ๆ ไสหัวของพวกเจ้าออกไปจากบ้านของข้า และอย่าได้หยิบอะไรของข้าติดไม้ติดมือไปเป็นอันขาดจะหาว่าข้าไม่เตือน”“
หลังจากที่จับปูจับปลาจับกุ้งกันจนพอใจแล้ว สามเสี่ยวลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนานฉีหลินนึกได้ว่ายังไม่ได้ขุดบ่อน้ำเอาไว้ใช้สอยเลย จะพึ่งพาเพียงแค่น้ำจากลำธารไม่ได้ อีกทั้งนางต้องการที่จะเปลี่ยนน้ำในบ่อให้เป็นน้ำพลังวิญญาณโดยการนำน้ำพุวิญญาณในมิติมาเติมลงไป เมื่อกลับจากจับปลาที่ลำธารแล้วนางจึงปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อสามีและสามีทันที บ่อน้ำที่นางต้องการคือ บ่อน้ำขนาดใหญ่ 1 บ่อ และบ่อน้ำสำหรับใช้สอยในบ้าน 1 บ่อ นางคิดว่าจะจ้างชาวบ้านในหมู่บ้านมาช่วยขุดให้“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าค่ะ ท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ”“มีเรื่องอะไรหรือหลินเอ๋อร์” เฟยเทียนถามภรรยาออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ข้าต้องการขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ในที่ดินของเราเจ้าค่ะ และบ่อน้ำสำหรับใช้สอยในบ้านอีก 1 บ่อ ข้าอยากให้ท่านพ่อไปว่าจ้างชาวบ้านมาช่วยขุดเจ้าค่ะ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตักน้ำที่ลำธารเจ้าค่ะ"“ดีเหมือนกัน เช่นนั้นหลังกินมื้อเที่ยงแล้วพ่อจะเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องการจ้างงานก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ฝากด้วยนะเจ้าคะ”“ไม่เป็นไรไม่ได้ลำบากอะไร พวกเจ้าเอาปลาไปให้แม่ของเจ้าทำเถอะจะได้รีบกินข้าว ดูท่าพ
เช้าวันนี้ทุกคนช่วยกันรดน้ำพืชผักวัวสองตัวทำหน้าที่บรรทุกน้ำจากลำธารโดยที่เฟยจินเป็นคนบังคับเกวียน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินแบกน้ำจากลำธาร ตอนนี้น้ำในบ่อที่ขุดเอาไว้มีน้ำประมาณครึ่งบ่อและคาดว่าอีกสองวันน้ำคงจะเต็มบ่อและฉีหลินจะทำการเปลี่ยนแปลงสภาพน้ำในบ่อให้เป็นน้ำที่มีพลังวิญญาณหลังจากรดน้ำพืชผักที่ปลูกเอาไว้เสร็จแล้วก็ได้เวลามื้อเช้า เช้านี้ฉีหลินทำข้าวต้มปลาเปลือกแข็ง และมีน้ำแกงปลา ผัดผักป่า หลังมื้ออาหารเช้านางตั้งใจจะเข้าป่าล่าสัตว์ โดยที่นางจะพาเสี่ยวหลางไปด้วย“ท่านพ่อท่านแม่ขอรับ เดี๋ยวข้าและหลินเอ๋อร์จะเข้าป่านะขอรับจะได้มีเนื้อเอามาเก็บไว้กินหรือไม่ก็นำไปขายบ้านเรายังต้องใช้เงินอีกเยอะ”“มันจะดีหรือลูก มันอันตรายแม่ว่าเราหาอย่างอื่นทำดีหรือไม่ หากเจ้าสองคนเป็นอะไรไปอีกแม่จะทำยังไง ลูก ๆ ของพวกเจ้าจะอยู่ยังไง” นางฟางรีบพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงเพราะเหตุการณ์ที่ลูกชายลูกสะใภ้บาดเจ็บในตอนนั้นติดอยู่ในใจนางตลอดมา ถึงจะยากจนหน่อยแต่ก็ยังพอปลูกพืชผักออกมาขายได้นางจึงไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นไม่ว่ากับใครก็ตาม“ท่านแม่อย่าได้เป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะพาเสี่ยวหลางไปด้วยพวกเราไม่ได้เข้าป่าลึ
ทั้งสองคนเดินเข้าป่าหมอกลึกเข้าไปเรื่อย ๆ หมอกก็เริ่มหนาเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนกับอีกหนึ่งตัวเดินยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่หมอกก็ยิ่งหนามากขึ้นอีก แต่พอพวกเขาเดินผ่านหมอกที่หนาทึบลึกเข้ามากลับพบว่าภายในป่าชั้นในที่ลึกเข้ามาไม่มีหมอกเลยภาพตรงหน้าทำเอาฉีหลินตกตะลึงอ้าปากค้างเฟยเทียนเองก็มีท่าทางไม่ต่างกัน ภายในป่าหมอกชั้นใน ต้นไม้ทุกต้นสูงเสียดฟ้าป่าเขียวชอุ่มบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าได้เป็นอย่างดี“ข้างในนี้อุดมสมบูรณ์มากเลยนะเจ้าคะท่านพี่ แต่ทำไมชาวบ้านไม่เข้ามาหาของป่าล่าสัตว์ในป่าหมอกล่ะเจ้าคะ จากที่เราเข้าป่ามายังไม่พบเจอสัตว์ป่าดุร้ายเลยนะเจ้าคะ”“อาจจะเป็นเพราะพวกชาวบ้านเดินเข้ามาก็เจอกับกำแพงหมอกและมีบางคนหลงทางทำให้หาทางออกไม่เจอก็เป็นได้”“ข้าก็คิดเช่นเดียวกันกับท่านพี่ หากว่าเราไม่มีเสี่ยวหลางมาด้วยไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะหลงทางอยู่ในกำแพงหมอกก็เป็นได้”“คงเป็นเช่นนั้น”เสี่ยวหลางบอกกับฉีหลินว่ามันจะไปล่าหมูเพื่อเอากลับไปให้เพื่อนตัวน้อยทั้งสองของมัน ฉีหลินเองอดค่อนแคะมันในใจไม่ได้ว่าตกลงท่านเทพส่งให้มาเป็นตัวช่วยของนางหรือมาเป็นพี่เลี้ยงลูกของนางกันแน่ฉีหลินกับเฟยเท
ในตอนที่ประมุขมารได้ตายไปพร้อมกับดวงจิตที่แตกสลาย แต่ทว่ากลับไม่ได้แตกสลายไปทั้งหมด ยังมีดวงจิตอีกเสี้ยวได้หลุดลอยไปเกิดใหม่ในอีกภพชาติหนึ่ง เกิดใหม่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถระลึกชาติได้ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เพียงใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ประมุขมารร่ำร้องขอความเมตตาจากสวรรค์ก่อนที่เข้าจะแหลกสลายไปหวังฉีหลินและเฟยเทียนกลับถึงหมู่บ้านป่าหมอก ทุกอย่างนางไม่คิดว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ในที่สุดประมุขมารก็คิดได้เสียที และหวังว่าพรที่นางและสามีร้องขอกับท่านมหาเทพนั้นจะทำให้ประมุขมารไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี มีความสุขและมีภรรยาที่รักเขามากแล้วก็ขอให้ทั้งสองคนเป็นคู่ด้ายแดงทุกภพทุกชาติไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางและสามีทำได้หลังจากที่หมดปัญหา หมดสงคราม ทุกคนก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข แคว้นหลงอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี และข่าวการกลับมาขององค์ชายแปดผู้หายสาบสูญ ตอนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ที่ดินศักดินาหมู่บ้านป่าหมอกและหมู่บ้านใกล้เคียงอีกสามหมู่บ้าน หวังฉีหลินทิ้งงานให้ลูกชายทั้งหลายแล้วหนีไปท่องเที่ยวกับสามี ทั้งสองคนออกไปท่องโลกกว้าง และมักจะนำผลไม้หรือพืช
หลังจากที่ประมุขมารได้รับสารท้ารบจากเฟยเทียน ทำให้เขาได้รู้ว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนบุรุษผู้กระหายสงครามและพร้อมจะทำลายศัตรูตรงหน้าให้ย่อยยับได้ทุกเมื่ออย่างแม่ทัพสวรรค์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยถึงแม้ในชาติภพนี้เขาจะลงมาจุติในดินแดนของมนุษย์แต่ความสามารถของเขายังติดตัวมานั่นไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้มหาเทพจะไม่ค่อยชอบหน้าลูกเขยสักเท่าไหร่ แต่มหาเทพผู้รักลูกสาวยิ่งกว่าสิ่งใดย่อมไม่มีทางให้นางลำบากส่วนมารอย่างตัวเขาเล่าทำอันใดได้บ้าง เป็นเขาเองที่ไปตกหลุมรักนางข้างเดียว เป็นเขาเองที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเขาเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง เขารู้ตัวเองดีด้วยพลังของตัวเขาเองยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด ต่อให้สู้จนตัวตายก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองได้ถึงแม้จะเอาชนะแม่ทัพสวรรค์ได้แล้วธิดามหาเทพจะชายตาแลเขาหรือก็ไม่ นางไม่เพียงไม่ชายตาแลหากแต่นางคงแก้แค้นเขาที่ทำให้สามีของนางต้องมีอันเป็นไป นอกจากจะไม่ได้ความรักแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือความเกลียดชังต่างหากที่นางจะหยิบยื่นให้เขาแล้วเหตุใดเขาถึงได้หน้ามืดตามัวเช่นนี้อยู่ถึงแสนปี ประชาชนเผ่ามารล้วนล้มตายไปตั้งเท่าไหร่ น้องชายคนเดียวของเขาที่เฝ้าเตือนสติเขาอยู่ตลอด
เวลาผ่านไปแล้วนับเดือน ตอนนี้กองกำลังที่ฉีหลินฝึกฝนขึ้นมาก็ออกจากด่านกักตนกันทุกคนแล้ว เวลานี้ฉีหลินกับสามีพร้อมด้วยเหล่าสัตว์เทพพร้อมไปเยือนเผ่ามารแล้วเฟยเทียนเองก็เห็นสมควรว่าไม่ควรปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ หลังจากจบปัญหานี้ได้เท่ากับภารกิจของภรรยาได้เสร็จสิ้นลงเช่นกัน ต่อจากนี้ไปพวกเขาสามีภรรยาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียทีหลังจากกำหนดวันเคลื่อนพลได้แล้วฉีหลินก็ให้ทุกคนได้พักผ่อนให้เต็มที่ และเตรียมข้าวของที่จำเป็นใส่ลงในแหวนมิติให้เรียบร้อย ทั้งอาหารการกิน ยารักษาต่าง ๆ ทุกคนต่างเตรียมไปให้พร้อมสรรพ ด้วยศึกครั้งนี้อีกฝ่ายคือเผ่ามารไม่รู้ว่าจะมีฝีมือร้ายกาจขนาดไหน แต่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนายท่านและนายหญิงว่าจะนำพาพวกเขากลับบ้านมาอย่างปลอดภัยเฟยจิน เฮ่ออี และฮั่นเหวินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการรบในครั้งนี้ ลูก ๆ ของเฟยเทียนทุกคนก็เช่นเดียวกัน ส่วนสัตว์เทพที่คอยดูแลความปลอดภัยที่หมู่บ้านป่าหมอกมีเพียงต้าเซี่ยกับเสี่ยวเสวียนอู่เพียงสองตัวเท่านั้นส่วนเสี่ยวหลาง เสี่ยวหู่ เสี่ยวเฮย เสี่ยวรุ่ยจื่อ และพี่ใหญ่อย่างจินหลงล้วนเข้าร่วมการรบในครั้งนี้ คนที่กระตือรือร้นมากที่สุดคื
ไป๋อี้ถังผู้โสดสนิท ครองตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ประหนึ่งนักพรตผู้ทรงศีล อีกทั้งรังเกียจสตรีมากเล่ห์ หลังจากออกจากด่านกักตนมา เขาก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนัก ไม่มีภรรยาและบุตรให้ดูแล เวลาทั้งหมดที่มีนอกจากฝึกฝนพลังปราณแล้ว เวลาส่วนที่เหลือเขาจึงเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ในสำนักศึกษาด้วยความเข้มงวดในเวลาต่อมา อาจารย์ใหญ่ไป๋อี้ถังจึงมีฉายาว่า อาจารย์ใหญ่จอมโหด หากใครไม่ทำการบ้านมาส่งก็จะโดนลงโทษให้ไปวิ่งรอบสถานศึกษา อีกทั้งยังจะต้องทำการบ้านในครั้งหน้ามากกว่าคนอื่นสองเท่าเท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องเขียนจดหมายสำนึกผิดอีก 100 จบ และไปเก็บมูลทำความสะอาดคอกของสือเอ้อร์กับสืออีแทนคนงานในไร่ แถมยังต้องถูกเจ้าสือเอ้อร์กับสืออีกลั่นแกล้งจนหน้าทิ่มกองอึอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไม่ทำการบ้านอีกเลยวันนี้เป็นวันที่ไป๋อี้ถังว่างมาก มากที่สุด วันนี้เป็นวันหยุดของสถานศึกษา ไป๋อี้ถังจึงคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมือง และหาซื้อพู่กันกับแท่นฝนหมึกเพิ่มเพราะเท่าที่เขามีอยู่ตอนนี้ใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้วจากนั้นเขาตั้งใจว่าจะชวนสหายทั้งสามของเขาไปด้วยกัน แต่กลับไม่มีใครไปเพราะแต่ละคนต้องการอยู่กับภรรยาแ
หลังจากที่เฟยเทียนกับฉีหลินเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านป่าหมอกพร้อมลูกชายและเหล่าสหาย หนึ่งเดือนให้หลังเฟยจินก็กลับมาพร้อมกับฮั่นเหวินและเฮ่ออี หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้และรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน รวมถึงส่งรายชื่อหนอนให้กับเบื้องบนแล้ว ตัวเขาเองก็หมดหน้าที่ ตอนนี้สงครามสงบลงแล้ว ทั้งสามจึงได้ยื่นหนังสือขอลาพักกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมบิดามารดาไป๋อี้ถังและสหายทั้งสามจะเข้าด่านกักตนเพื่อฝึกฝนในอีก 3 วันข้างหน้า โดยผู้ที่จะรับหน้าที่สั่งสอนศิษย์ในสถานศึกษาก็คือราชครูไป๋หย่งเต๋อที่เดินทางตามหลังเฟยจินได้เพียง 7 วันนอกจากไป๋หย่งเต๋อแล้วยังมีไป๋เจิ้นกั๋วเจ้ากรมอาญา เดินทางมาพร้อมกับไท่ปิงองครักษ์ประจำตัว นับเป็นการรวมตัวกันระหว่างองครักษ์เลยก็ว่าได้ เซียวหลางตัดสินใจแต่งงานและติดตามไป๋อี้ถัง ม่อถูเองก็เช่นเดียวกัน มีเพียงไท่ปิงเท่านั้นที่มีหน้าที่ดูแลไป๋เจิ้นกั๋วที่เมืองหลวงไท่ปิงเองก็อยากจะมีชีวิตเฉกเช่นสหายทั้งสองบ้าง เขาเองก็คงต้องเร่งฝึกองครักษ์ขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้ทำหน้าที่แทนเขา ส่วนตัวเขาเองจะตามมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านป่าหมอกแห่งนี้ตามสหายทั้งสองคนวันนี้ฉีหลินเรียกประชุมหน่วยลับที่เป
เฟยเทียนพาภรรยามุ่งหน้ากลับหมู่บ้านป่าหมอกทันที หลังจากจัดการทั้งสองแคว้นเรียบร้อยแล้ว และด่านสุดท้ายของภารกิจในครั้งนี้ก็คือจัดการกับเผ่ามารให้เด็ดขาด หากไม่กำจัดประมุขเผ่ามารเสียตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าก็จะเกิดปัญหาเช่นนี้อีก มีเพียงกำจัดประมุขมารให้ได้เท่านั้นทุกคนจะได้ไม่เดือดร้อน ตอนนี้มีข่าวส่งว่าอ๋องมารน้องชายเพียงคนเดียวของประมุขมารได้หนีออกจากเผ่ามารไปตั้งรกรากที่อื่นแต่เดิมอ๋องมารก็ไม่เห็นด้วยกับประมุขมารเรื่องยึดดินแดนมนุษย์ แต่ไหนเลยประมุขมารผู้เป็นพี่ชายจะยอมฟัง ในเมื่อมันเป็นความแค้นใจที่มีต่อธิดามหาเทพและสามี ต่อให้อีกนับล้านปีประมุขมารก็วางความแค้นในใจลงไม่ได้“ไม่รู้ว่าเจ้าสามแสบจะทำเรื่องปวดหัวให้ท่านพ่อกับท่านปู่มากมายเพียงใด โดยเฉพาะลูกสาวของท่านพี่ ป่านนี้ไม่ใช่พี่อี้ถังปวดหัวจนผมขาวหมดหัวแล้วหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า ไม่ขนาดนั้นกระมัง ลูกสาวของเราออกจะน่ารัก อีกอย่างพี่อี้ถังก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือไม่ได้เลยนี่นะ”“ท่านพี่ก็เข้าข้างนางตลอดล่ะเจ้าค่ะ อีกหน่อยนางก็เสียคนพอดี”“ไม่ใช่ว่านางกลัวท่านแม่อย่างเจ้าอยู่หรอกหรือ เอาน่าลูกยังเด็กอยู่ยังไม่รู้ความ มีพวกต้าเซี่ยอย
ในท้องพระโรงตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำคราญของบรรดาองค์หญิงและเหล่าสนมของฮ่องเต้ ส่วนเหล่าองค์ชายนั้นในใจต่างคิดว่าพวกเขาจบเห่แล้วคราวนี้ ยังไม่ทันได้ลงมือช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทแต่เสด็จพ่อกลับทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ ตอนนี้คนของแคว้นหลงบุกมาจัดการพวกเขาถึงในวังหลวงแห่งนี้ เช่นนั้นที่ชายแดนก็คงจะพ่ายแพ้เช่นเดียวกัน“มีอะไรจะพูดหรือไม่ แต่เอาจริง ๆ ไม่ต้องพูดหรอกเสียเวลา ข้าเข้าใจ เสี่ยวเฮยจัดการด้วยล่ะ เอาให้สะอาด” ฉีหลิน“จัดการให้เรียบร้อยจะได้รีบไปจัดการต่อ ข้าอยากกลับบ้านคิดถึงลูก” เฟยเทียนฮ่องเต้แคว้นอู๋มองดูสองสามีภรรยาสั่งงานเจ้าบุรุษชุดดำด้วยความไม่เข้าใจ อะไรคือจัดการให้เรียบร้อย อะไรคือเอาให้สะอาด พูดจาให้คนฟังแล้วไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ แต่ช่วยเห็นหัวเขาหน่อยจะได้หรือไม่“อ้อ เสี่ยวเฮย ช่วยปล่อยฮองเฮากับองค์ชายและองค์หญิงที่เกิดจากพระนางด้วย มีคนต้องการพบพวกเขา”“ได้ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้”“ขอบใจ ท่านพี่ไปกันเถอะเจ้าค่ะ เรายังมีอะไรที่ต้องทำต่อ”“อืม เสี่ยวเฮยจัดการให้เรียบร้อยอย่าให้เล็ดลอดออกไปได้แม้แต่คนเดียวเข้าใจหรือไม่”เฟยเทียนเดินตามหลังภรรยาออกไปจากท้องพระโรง ท่าม
ในวันที่ฉีหลินกับเฟยเทียนตัดสินใจลักลอบเข้าวังหลวงแคว้นอู๋ ทางชายแดนแม่ทัพแคว้นอู๋ตัดสินใจนำทัพเข้าบุกแคว้นหลงทันทีโดยมีทัพมารเข้ามาแทรกแซงทำให้กำลังทหารของทางฝั่งแคว้นอู๋มีจำนวนเพิ่มมาหลายพันคนในเมื่อเผ่ามารมือยืดมือยาวถึงเพียงนี้ เสี่ยวเฮยเองก็ย่อมลิ้นยืดลิ้นยาวได้เช่นเดียวกัน ในตอนแรกที่เสี่ยวเฮยยังไม่ได้กลับไปอยู่ในร่างของมังกรทมิฬนั้น ย่อมไม่มีใครเกรงกลัวแต่หลังจากเผ่ามารเข้ามาแทรกแซงทำตัวเป็นกำลังเสริมให้กับแคว้นอู๋ เสี่ยวเฮยจึงเห็นว่าไม่ควรจะปิดบังตัวเองอีกต่อไป มันจึงได้กลับร่างเป็นมังกรทมิฬขนาดใหญ่กว่าที่เผ่ามารจะได้รู้ความจริงก็โดยกินไปจนเกือบหมดเสียแล้ว ยิ่งกลืนกินสิ่งชั่วร้ายไปมากเท่าไหร่ขนาดตัวของเสี่ยวเฮยก็ขยายขึ้นใหญ่มากเท่านั้น ตอนนี้ที่กำลังทหารของแคว้นอู๋เห็นเสี่ยวเฮยกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น ก็ตัดสินใจกันแล้วว่าจะหนีเอาตัวรอดถึงแม้ว่าแม่ทัพจะไม่สั่งถอยทัพแต่ใครก็ย่อมกลัวตาย ต่างคนต่างรักชีวิตของตัวเองเมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทิ้งอาวุธออกวิ่งทันทีส่วนเสี่ยวเฮยที่กินเผ่ามารไปแล้วยังรู้สึกว่าไม่อิ่มเท่าไหร่ ต่างจ้องมองไปที่กำลังทหารของแคว้นอู๋ด้วยสายตาวาววั
ในขณะที่ฉีหลินกับเฟยเทียนเข้าไปในแคว้นอู๋อย่างราบรื่น ตอนนี้พวกเขาหาที่พักในเมืองหลวงของแคว้นอู๋ได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนปลอมตัวเป็นตายาย เปิดร้านขายบะหมี่ในตลาดนับว่าเป็นงานที่ท้าทายมากสำหรับเฟยเทียน งานขายบะหมี่นี้เขารับหน้าที่เป็นคนทำบะหมี่ ส่วนภรรยาอย่างฉีหลินนั้นทำหน้าที่เก็บเงิน ส่วนผู้ติดตามทำหน้าที่เสี่ยวเอ้อร์ พวกเขาเช่าร้านบะหมี่ต่อจากเจ้าของเดิมที่เก็บของเตรียมตัวย้ายไปอยู่กับลูกชายที่บ้านเกิดในระหว่างที่ท่านพ่อและท่านแม่ไปทำหน้าที่ทำภารกิจเพื่อความสงบสุข แต่ลูกน้อยทั้งสามคนที่หมู่บ้านป่าหมอกนั้นไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับ 3 คนแก่ที่บ้านสักเท่าไหร่ ไป๋อี้ถังเองยังไม่สามารถรับมือกับหลานน้อยทั้งสามคนได้ เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะอับจนหนทางถึงขนาดนี้ เจ้าสามคนนี่เกิดมาเพื่อสร้างความปั่นป่วนจริง ๆ“ท่านยุงถัง อันนี้ฉือไร” ฟางเซียน“หนังสือวรยุทธ์เบื้องต้น” ไป๋อี้ถัง“ท่านยุงถัง ฉอน เซียนเอ๋อร์ยักเรียน”“ฟางเซียนลุงว่าตอนนี้เจ้าไปนอนกลางวันกับน้องชายทั้งสองของหลานดีหรือไม่ เอาไว้รอให้เจ้าโตกว่านี้ลุงจะสอนให้ทุกอย่างเลย ต้าเซี่ย มาพาคุณหนูของเจ้าไปนอนกลางวันได้แล้ว”“แต่เซียนเอ๋อร์ไม่