เช้าวันใหม่หลังจากกินมื้อเช้าแล้วครอบครัวหยางสายรองเข้าเมืองโดยอาศัยเกวียนของหัวหน้าหมู่บ้านที่จะเดินทางเข้าเมืองเพื่อนำหนังสือแยกบ้านไปยื่นให้กับทางการทำการลงบันทึก และหยางเทียนฉีเองก็ต้องยื่นขอทะเบียนบ้านใหม่และแจ้งย้ายที่อยู่ไปในเสียคราวเดียวกัน
“เทียนฉีเจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะพาลูกเมียไปอยู่ที่ชายป่าหมอกทมิฬ”
“ข้าคิดดีแล้วขอรับท่านลุงเมิ่ง มันอาจจะดีกว่าอยู่ที่นี่ขอรับ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้จะคิดทำอะไรอีก ที่ผ่านมาข้าทนมาพอแล้วขอรับ ทนแบกรับคำว่ากตัญญูเอาไว้บนบ่าจนลูกเมียต้องพลอยมาลำบากไปด้วย”
“เจ้าคิดได้ก็ดีแล้วแต่ชายป่าหมอกทมิฬอันตรายมากนะ ข้ากลัวว่าสัตว์ป่าจะลงมาแล้วพวกเจ้าจะเป็นอันตราย”
“ข้าคิดว่าจะทำกำแพงบ้านให้สูงหน่อยขอรับ”
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าก็เอาใจช่วยและดีใจด้วยที่เจ้าหลุดพ้นจากตรงนี้ไปได้เสียที”
“ขอรับ ขอบคุณท่านมาก”
“พวกเจ้าพี่น้องอย่าได้เอาลุงใหญ่ของเจ้ามาเป็นเยี่ยงอย่างรู้หรือไม่ พี่น้องกันย่อมต้องรักใครปรองดองกัน”
“ขอรับ ท่านลุงเมิ่ง”
"เจ้าค่ะ ท่านลุงเมิ่ง"
“ถึงพวกเจ้าจะย้ายไปแล้วหากมีอะไรให้ข้าช่วยก็มาบอกกับข้าได้ทุกเมื่อนะ หากมีอะไรที่ข้าช่วยได้ข้าเต็มใจช่วย”
“ขอรับ พวกข้าจะจดจำเอาไว้ หากวันข้างหน้าท่านลุงเมิ่งต้องการความช่วยเหลือสามารถบอกกับพวกข้าได้ตลอดเวลาขอรับ”
“ขอบใจพวกเจ้าล่วงหน้าด้วย แล้วนั่นเจ้าลิงทโมนสองคนนั้น ไม่สงสารท่านแม่เจ้ารึถึงได้นั่งตักท่านแม่ของเจ้าเสียทีเดียวสองคน” เมิ่งจื้อจวินหันไปเห็นฝาแฝดที่นั่งอยู่บนตักของฉีหลิน
“ท่านแม่บอกว่าไม่หนักของรับท่านปู่ทวด” หยางหนิงเฉิง
“บ๊ะ เจ้าเด็กนี่ แม่เจ้าบอกไม่หนักเจ้าก็คิดว่าไม่หนักรึ”
“เอ๋ แล้วท่านแม่หนักหรือไม่ขอรับ ถ้าท่านแม่หนักพวกข้าไปนั่งกับท่านปู่ก็ได้ขอรับ เอาไว้ท่านพ่อหายดีเมื่อไหร่ค่อยมานั่งตักท่านพ่อ” หยางหนิงเจี้ยน
“อ่อ พอพ่อพวกเจ้าหายดีแล้ว ปู่เช่นข้าก็ไม่มีความหมายยังงั้นรึ”
“ไม่ใช่สักหน่อย ท่านปู่ย่อมสำคัญอยู่แล้วขอรับ” หยางหนิงเฉิง
“เหอะทำมาเป็นพูดดีไปเถอะ ” หยางเทียนฉีแกล้งต่อว่าหลานชาย
“ท่านพี่ดื่มน้ำเสียหน่อย ใกล้จะถึงแล้วอดทนเอาไว้นะเจ้าคะ” หวังฉีหลินที่เห็นสามีของนางสีหน้าไม่ค่อยดีนางจึงเอาน้ำที่ผสมกับน้ำพุวิญญาณในมิติจากกระบอกไม้ไผ่ที่นำมาด้วยออกมาให้สามีของนางดื่ม
“ขอบใจเจ้ามากหลินเอ๋อร์ ไม่ต้องเป็นห่วงนะพี่ไม่ได้เป็นอะไรแค่เวียนหัวเท่านั้นเอง”
“ถ้าเช่นนั้นพอถึงตัวเมืองแล้วข้าจะไปส่งพวกเจ้าที่โรงหมอก่อนจากนั้นข้าค่อยไปที่ว่าการเมืองเพื่อจัดการเรื่องของพวกเจ้าให้เสร็จ”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านลุงเมิ่งที่ให้การช่วยเหลือ” ฉีหลิน
“ไม่เป็นไรไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างเฟยเทียนเองก็เป็นสหายของลูกชายข้าไม่ต้องคิดมากไปหรอก”
ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 เค่อก็มาถึงตัวเมือง เมิ่งจื้อจวินบังคับเกวียนวัวมุ่งหน้าไปที่โรงหมอทันที เมื่อส่งคนป่วยถึงมือหมอแล้วเขาและหยางเทียนฉีจึงได้มุ่งหน้าไปที่ทำการเมืองทันที เพื่อจัดการเรื่องแยกบ้านและการขอทะเบียนบ้านรวมถึงแจ้งย้ายที่อยู่ไปเสียในคราวเดียวกัน
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วเมิ่งจื้อจวินจึงได้เดินทางกลับหมู่บ้านทันที ส่วนพ่อลูกตระกูลหยางพวกเขาจะเช่าเกวียนในเมืองไปส่งตอนกลับหมู่บ้าน
“ท่านหมอสามีของข้าสามารถรักษาได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่อาจจะต้องใช้เวลามากหน่อยเพราะพวกเจ้าไม่ได้ทำการรักษาตั้งแต่ทีแรก ทำไมถึงเพิ่งพาเขามาหาหมอล่ะ”
“พอดีว่าที่บ้านของพวกเราเกิดเรื่องขึ้นน่ะเจ้าค่ะ ”
“พวกเจ้าวางใจเถอะหากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและเอาใจใส่ คนป่วยย่อมหายดีแน่นอน พวกเจ้าจะให้คนป่วยอยู่รักษาตัวที่นี่หรือว่าจะกลับไปรักษาตัวที่บ้าน แต่ถ้าอยู่ที่นี่จะต้องจ่ายค่าดูแลและค่าอาหารเพิ่ม 10 ตำลึงต่อเดือน"
“อยู่รักษาที่นี่เจ้าค่ะ แล้วพวกข้าสามารถมาเยี่ยมได้ทุกวันหรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมได้แน่นอนอยู่แล้วหรือหากมีใครจะอยู่เฝ้าก็ต้องจ่ายค่าที่พักเพิ่ม อีก 5 ตำลึงต่อเดือน”
“หลินเอ๋อร์ ไม่ต้องมีใครมาอยู่เฝ้าพี่หรอก พวกเรายังมีเรื่องอีกมาต้องทำ จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง น้องค่อยมาเยี่ยมพี่เป็นบางครั้งก็พอ เรื่องที่บ้านพี่ฝากเจ้าด้วย พี่จะรีบรักษาตัวเองให้หายดี เจ้าอย่ากังวลเลยนะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามนี้เจ้าค่ะ ส่วนค่ารักษาล่ะเจ้าคะ ท่านหมอ"
“ค่ารักษาเบื้องต้นเท่าไหร่หรือเจ้าคะ”
“ค่ายาและการรักษาเบื้องต้น 40 ตำลึง และค่าดูแลและค่าอาหารอีก 10 ตำลึงเป็นเงินทั้งหมด 50 ตำลึง”
“นี่ขอรับ 50 ตำลึงเงิน หลังจากนี้ต้องรบกวนท่านหมอแล้ว”
“ไม่เป็นไร ย่อมเป็นหน้าที่ของหมออย่างข้าอยู่แล้ว”
“ท่านพี่ ข้ากับลูกและทุกคนกลับก่อนนะเจ้าคะ พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”
“อืม ดูแลตัวเองด้วย ท่านพ่อท่านแม่ข้าฝากลูกเมียของข้าด้วยนะขอรับ”
“ไม่ต้องห่วงทำใจให้สบายเถอะ รักษาตัวเองให้ดี”
หลังจากส่งสามีให้อยู่กับหมอแล้วฉีหลินถามพ่อสามีว่าจะขายสมุนไพรได้ที่ไหน หยางเทียนฉีจึงพาลูกสะใภ้มาขายสมุนไพรที่โถงสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดและให้ราคายุติธรรมที่สุด
“ท่านพ่อเจ้าคะ เราจะขายสมุนไพรที่ไหนเจ้าคะ ที่ให้ราคายุติธรรมและไม่เอาเปรียบพวกเรา”
“ที่โถงสมุนไพรที่นั่นให้ราคาดีที่สุดและไม่เคยเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านเลยสักครั้ง”
“เช่นนั้นก็ไปที่โถงสมุนไพรเถอะเจ้าค่ะ เราจะได้รีบกลับขากลับยังต้องแวะที่หมู่บ้านป่าหมอกเพื่อแจ้งกับหัวหน้าหมู่บ้านให้ทราบว่าเราจะย้ายเข้าไปอยู่ในที่ดินของท่านแม่จะได้ปรึกษากับหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องจ้างคนมาล้อมรั้วและแผ้วถางที่ดินด้วยเจ้าค่ะ”
“ได้ ๆ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ เฉิงเอ๋อร์มาให้ปู่อุ้ม ส่วนเจี้ยนเอ๋อร์ไปขี่หลังท่านอารองของเจ้า”
“ขอรับท่านปู่”
“ดีมากเป็นเด็กดี เดี๋ยวตอนกลับแม่จะซื้อขนมให้นะ”
“ขอบคุณขอรับท่านแม่ ข้ารักท่านแม่ที่สุด”
“ข้าก็รักท่านแม่ที่สุดด้วยคน”
ทั้งหมดมุ่งหน้าสู่โถงสมุนไพรทันที เมื่อมาถึงหยางเทียนฉีและหวังฉีหลินเข้าไปขายสมุนไพรส่วนนางฟางพาลูกและหลานไปรอที่ร้านน้ำชาที่อยู่ใกล้ ๆโถงสมุนไพร
เมื่อมาถึงมีพนักงานของโถงยาได้ให้การต้อนรับอย่างดี ทุกคนที่ทำงานที่นี่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี ชาวบ้านที่นำสมุนไพรมาขายจึงไม่เคยได้รับการปฏิบัติแย่ ๆ เลยสักครั้ง
“สวัสดีขอรับ ไม่ทราบว่าท่านมาซื้อหรือมาขายสมุนไพรขอรับ”
“เรามีสมุนไพรมาขาย ขอพบหลงจู๊ได้หรือไม่”
“ได้ขอรับ เชิญนายท่านด้านนี้เลยขอรับ นายท่านนั่งรอสักครู่นะขอรับข้าจะไปเรียนหลงจู๊ให้”
ทั้งสองคนนั่งรอไม่นานหลงจู๊ก็มาถึง “คารวะนายท่าน เห็นเด็กไปรายงานข้าว่าท่านมีสมุนไพรมาขายหรือขอรับ ไม่ทราบว่าเป็นสมุนไพรชนิดไหนขอรับ”
“คารวะหลงจู๊ขอรับ”
“คารวะหลงจู๊เจ้าค่ะ”
“ตามสบายเถอะ ข้าขอดูสมุนไพรเลยก็แล้วกันจะได้ทำการประเมินราคา”
“นี่เจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าหลงจู๊รับซื้อหรือไม่”
“นี่.. นะนี่.. มัน หะ เห็ดหละ.. หลินจือดำ ถะ..แถมมีอายุ 100 ปี โอ้สวรรค์ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ ใครก็ได้ช่วยหยิกข้าที” ตอนนี้หลงจู๊ตกตะลึงครองสติตัวเองเอาไว้แทบไม่ได้
“ท่านหลงจู๊เจ้าคะท่านไม่ได้ตาฝาดเจ้าค่ะ ตกลงท่านจะซื้อหรือไม่เจ้าคะ”
“ซื้อสิ ซื้อข้าซื้อแม่หนูใจเย็น ๆ เจ้านั่งลงก่อน”
“เท่าไหร่เจ้าคะ?"
“เห็ดหลินจือ 100 ปีดอกนี้ ข้าให้ดอกละ 2,500 ตำลึงทอง เจ้าพอใจหรือไม่”
“พอใจเจ้าค่ะ ข้ามีทั้งหมด 3 ดอก ข้าขอ 8,000 ตำลึงทองท่านตกลงหรือไม่”
“ได้ ๆ แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าว่าหากเจ้ามีสมุนไพรล้ำค่าเจ้าต้องนำมาขายที่นี่ก่อน”
“ได้เจ้าค่ะ แต่ข้าขอความกรุณาให้ท่านช่วยปิดเป็นความลับด้วย ครอบครัวของข้าแค่พรานป่าตัวเล็กตัวน้อยไม่อาจต่อกรกับใครได้”
“ได้ ๆ เจ้าวางใจได้เลย เจ้ารอสักครู่ข้าจะไปนำเงินมาให้ และนี่ป้ายหยกของข้าหากว่าเจ้ามาขายสมุนไพรอีกในครั้งหน้าเจ้าเอาป้ายหยกนี้ให้พนักงานด้านหน้าดูได้แล้วจะมีคนพาเจ้ามาพบข้าเอง”
“ได้เจ้าค่ะขอบคุณท่านมาก เช่นนั้นข้ากับท่านพ่อต้องขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”
“ได้ ๆ ไว้หาสมุนไพรมาขายให้ข้าอีกนะ นี่เงินของเจ้า เป็นตั๋วเงินใบละ 1,000 ตำลึงทองทั้งหมด 7 ใบ และนี่ 100 ตำลึงทองทั้งหมด 10 ใบ เจ้าตรวจดูก่อนถูกต้องหรือไม่”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเชื่อใจท่าน ข้าเชื่อว่าท่านย่อมค้าขายด้วยความซื่อสัตย์สุจริต"
หลังจากที่ฉีหลินรับตั๋วเงินจากหลงจู๊มาแล้วก็เดินนำหน้าพ่อสามีที่อยู่ในสภาพอาการมึนงง เมื่อวานเขายังเป็นคนที่กินไม่อิ่มเงินไม่มีแต่วันนี้ลูกสะใภ้ของเขากลับหาเงินมาได้มากมาย นี่มันความจริงหรือความฝันกันแน่
“ท่านพ่อ ท่านพ๊อออออออออ ท่านพ่อเจ้าคะ”
“หือ เจ้าตะโกนเรียกพ่อทำไมเสียงดังขนาดนี้”
“ก็ข้าเห็นท่านพ่อเดินเหม่อลอยแทบจะชนชาวบ้านคนอื่นอยู่แล้ว ท่านพ่อเป็นอะไรไปเจ้าคะ หรือไม่สบายตรงไหน ไปหาหมอดีหรือไม่เจ้าคะข้าจะได้ไปตามท่านแม่”
“ไม่ต้อง ๆ พ่อไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่พ่อไม่แน่ใจว่านี่มันคือความจริงหรือความฝันกันแน่”
“ความจริงสิเจ้าคะ ตอนนี้เรารีบไปหาท่านแม่ก่อนเถอะเจ้าค่ะ จะได้เช่าเกวียนกลับหมู่บ้านและแวะไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านป่าหมอกด้วย”
“ ได้ ไปกันเถอะ”
ฉีหลินและพ่อสามีเดินมาที่ร้านน้ำชาที่มีแม่สามีและคนอื่น ๆ รออยู่ก่อนแล้ว นางฟางที่เห็นสีหน้าของสามีไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงได้ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะเกิดอะไรขึ้นเช่นนั้นหรือ เหตุใดสีหน้าของท่านดูไม่ค่อยดีเลยเจ้าคะ หรือว่าท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะกลับไปให้หมอตรวจดูสักหน่อยดีหรือไม่”
“ไม่ต้อง ๆ พี่ไม่เป็นไร พี่แค่ตกใจเท่านั้นแหละไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก พี่แค่ไม่ชินน่ะ”
“ไม่ชิน? ไม่ชินเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร ๆ เอาไว้กลับไปคุยกันที่บ้านตอนนี้พวกเรารีบไปกันได้แล้วยังต้องแวะที่หมู่บ้านป่าหมอกอีกนะ”
หยางเทียนฉีแยกตัวออกไปเช่าเกวียนโดยที่เขาให้ภรรยาพาลูก ๆไปซื้อของก่อนและเขาจะไปรับกลับมารับที่ร้านขายข้าวสาร เมื่อซื้อของที่จำเป็นครบแล้วครอบครัวหยางสายรองก็นั่งเกวียนกลับหมู่บ้านทันที
เมื่อเกวียนวัววิ่งมาถึงหมู่บ้านป่าหมอก หยางเทียนฉีได้ให้เกวียนมุ่งหน้าไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อนำทะเบียนบ้านที่เขาไปขอมาวันนี้มาแจ้งให้หัวหน้าหมู่บ้านป่าหมอกรับทราบเอาไว้และแจ้งเรื่องการย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ด้วย
หยางเทียนฉียังได้ขอให้หัวหน้าหมู่บ้านจัดหาคนงานไปแผ้วถางที่ดินที่อยู่ติดป่าหมอกโดยให้ค่าจ้างวันละ 50 อิแปะ พรุ่งนี้ตอนเช้าเขาจะมาที่นี่อีกครั้ง ซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านรับปากว่าจะจัดหาคนเอาไว้ให้
เกวียนวัววิ่งมาส่งพวกเขาจนถึงหน้าบ้านฉีหลินได้จ่ายค่าเกวียนและเพิ่มค่าเสียเวลาให้กับคนขับเกวียนเป็นเงิน 60 อิแปะเพราะครอบครัวนางมีหลายคนอีกทั้งยังเสียเวลารอพวกนางที่หมู่บ้านป่าหมอกร่วม 1 ชั่วยาม
ทำให้คนขับเกวียนดีใจเป็นอย่างมากเพราะปกติเขาหาเงินได้วันละไม่กี่สิบอิแปะเท่านั้น วันนี้ถือว่าเขาโชคดีเป็นอย่างมากที่ได้เจอผู้ว่าจ้างที่ใจดี
ครอบครัวหยางสายรองกลับมาถึงบ้านก็พบว่าหยางฮุ่ยเหม่ยกำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าประตูบ้าน ก่อนออกจากบ้านฉีหลินได้ใส่กุญแจเอาไว้โดยปกติแล้วหากไม่มีคนอยู่ในบ้าน หยางฮุ่ยเหม่ยจะใช้โอกาสที่ทุกคนทำงานอยู่ในแปลงนาเข้ามาหยิบจับและฉกฉวยเอาสิ่งของที่มีในบ้านสายรองไป นางทำเช่นนี้หลายต่อหลายครั้งและมีปากเสียงกันก็บ่อยครั้งแต่พี่ชายของเขาอ้างว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแค่หยิบของมาเล็กน้อยจะเป็นอะไรได้ อีกทั้งยังกล่าวหาว่าเขาเป็นคนใจแคบอีกด้วยฉีหลินไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้ทุบตีคนให้หลุดมือไป ในเมื่อนางระบุเอาไว้ในสัญญาแยกบ้านชัดเจนแล้วแต่เหมือนว่าหยางฮุ่ยเหม่ยจะจำไม่ได้แบบนี้จะต้องมีการทุบตีเตือนสติกันเสียบ้างยังไม่ทันที่จะได้มีใครพูดอะไรหวังฉีหลินเดินเข้าไปด้านหลังของหยางฮุ่ยเหม่ยอย่างแผ่วเบา โดยที่ฮุ่ยเหม่ยไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าบ้านสายรองกลับมาแล้ว เพราะใจมัวแต่จดจ่อหาวิธีเข้าไปรื้อค้นของในบ้านจึงไม่รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองฉีหลินยกเท้าขึ้นถีบไปที่ก้นของนาง จนทำให้นางที่ไม่ทันได้ระวังตัวล้มหน้าทิ่มพื้นลงไปทันที และก็ตามมาด้วยเสียง ตุ๊บ ตั๊บ ๆ อยู่เป็นระยะ ฮุ่ยเหม่ยทำได้แค่กรีดร้อง
หลังจากที่ทุกคนเข้ามาในบ้านแล้วสองแฝดเพิ่งจะเห็นว่าในตะกร้าที่ท่านแม่ของพวกเขาสะพายอยู่นั้นมีก้อนอะไรกลม ๆ ขาว ๆ อยู่ ด้วยความสงสัยเจี้ยนเอ๋อร์จึงได้เอ่ยปากถามมารดาของตัวเองในสิ่งที่เขาสงสัยทันที“ท่านแม่ขอรับท่านแม่ อะไรอยู่ในตะกร้าของท่านแม่หรือขอรับ ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่ หรือว่าจะเป็นกระต่ายหรือขอรับ”“อ่อ เจ้านี่หรือ มันชื่อเสี่ยวหลาง แม่ไปเจอมันอยู่ตัวเดียวในป่าเลยพามันกลับมาด้วย ต่อไปนี้มันจะมาอยู่กับพวกเราเป็นสมาชิกในบ้านของเรา ลูกต้องช่วยกันดูแลและห้ามรังแกมันเด็ดขาด”“ว้าว หมาล่ะ ลูกหมาล่ะ เฉิงเอ๋อร์ชอบมันที่สุดเลยขอรับท่านแม่ ”“เอาล่ะ ๆ ถ้าลูกชอบก็ดูแลมันให้ดี ๆ ล่ะ ไปอาบน้ำกันได้แล้ว”“ขอรับ เสี่ยวหลางเจ้าก็ต้องอาบน้ำด้วยนะ ถ้าเจ้าไม่อาบน้ำเจ้าต้องไปนอนนอกบ้าน” เจี้ยนเอ๋อร์“พวกเจ้ารออารองด้วย อารองไปอาบด้วยคน”“ท่านแม่เจ้าคะวันนี้ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“เฟยเทียนอาการดีขึ้นไม่น้อย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ”“เจ้าค่ะท่านแม่ วันนี้ข้าคุยกับท่านพ่อแล้ว ให้ว่าจ้างช่างจากในเมืองมาช่วยสร้างบ้านให้พวกเราอยู่ชั่วคราวไปก่อน น้องรองเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ข้าเองก็ไม่วางใจหากข
หลังจากผ่านเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายไปแล้วทุกคนถึงได้เริ่มลงมือกินมื้อเช้า หลังจากจบมื้ออาหารเช้าวันนี้ฉีหลินจะเป็นคนไปเยี่ยมสามีของนางที่โรงหมอส่วนน้องชายน้องสาวทั้งสองคนจะอยู่ช่วยกันเก็บของที่จำเป็นใส่หีบ ถึงเวลาย้ายออกไปจะได้ง่ายขึ้นแม่สามีวันนี้จะอยู่เลี้ยงหลานที่บ้าน ตอนนี้บ้านสายรองไม่จำเป็นต้องไปทำงานในแปลงนา เพราะพวกเขาไม่ได้ส่วนแบ่งที่นา ส่วนข้าวที่ปลูกไปแล้วพอถึงเวลาเก็บเกี่ยวบ้านใหญ่ก็คงจะไม่แบ่งให้พวกเขาอยู่แล้วในเมื่อไม่มีส่วนแบ่งเป็นของตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องไปลงแรงให้เปล่าประโยชน์ ลูก ๆ ของนางวันนี้ดูพวกเขาจะมีความสุขมากในบ้านมีแต่เสียงหัวเราะเพราะมีเพื่อนใหม่ถึงสามตัวเสี่ยวเฮยนั้นทำตัวเองให้เป็นเก้าอี้เพื่อให้เฉิงเอ๋อร์นั่ง ส่วนเสี่ยวหู่นั้นนอนมองเจี้ยนเอ๋อร์ขี่หลังเสี่ยวหลาง บางครั้งมันก็ให้เจี้ยนเอ๋อร์ขี่หลังมันบ้าง แต่เพราะกลัวจะมีคนเห็นว่ามันเป็นเสือมันจึงได้เพียงย่อขนาดให้เท่ากับลูกแมวและไปตามออดอ้อนแม่สามีเพื่อขอของกิน“เสี่ยวเฮยเราไปหาท่านย่าที่ห้องครัวกันเถอะ” เสียงเล็ก ๆ ของเฉิงเอ๋อร์ชวนสหายตัวใหม่เพื่อไปขอขนมท่านย่ากิน“ใช่แล้ว เสี่ยวหลางเราเองก็ไปกันเถอะ เดี๋ย
ฉีหลินออกมาคุยกับท่านหมอที่รักษาสามีของนางเพื่อแจ้งแก่ท่านหมอว่านางจะพาสามีกลับไปพักฟื้นที่บ้าน เมื่อแจ้งความประสงค์กับท่านหมอแล้ว ฉีหลินได้รับเงินจากโรงหมอคืนเป็นเงิน 30 ตำลึง เมื่อจัดการเรื่องค่าหมอค่ายาเสร็จแล้ว ฉีหลินมุ่งหน้าไปเช่าเกวียนเพื่อมารับสามีนางกลับไปรักษาตัวที่บ้านทันที ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามีของนางฟื้นตัวได้เร็วนั้นเพราะน้ำพุวิญญาณที่นางแอบนำมาผสมน้ำให้สามีดื่มอยู่เป็นประจำอีกทั้งน้ำกินน้ำใช้ที่บ้านย่อมผสมน้ำพุวิญญาณลงไปด้วย ตอนนี้แม่สามีของนางเองดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นมาจากปกติร่างกายที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ ของนาง หลังจากได้ดื่มกินน้ำผสมน้ำพุวิญญาณทำให้ร่างกายของนางแข็งแรงขึ้นฉีหลินออกไปได้ไม่นาน นางก็กลับมาพร้อมเกวียนเพื่อมารับเฟยเทียนกลับบ้าน ตอนนี้เขาเดินได้แล้วแต่ไม่สามารถเดินนาน ๆ ได้ ตอนแรกเขาหมดหวังแล้วเพราะป้าสะใภ้ยึดเอาเงินไปและไม่ยอมให้หมอรักษาเขา เขาคิดว่าตัวเองคงจะกลายเป็นคนป่วยพิการนอนติดเตียง อยู่เป็นภาระลูกเมียและพ่อแม่เสียแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็สามารถมารักษาและหาหมอทัน เป็นเพราะภรรยาของเขาที่ต่อสู้เพื่อครอบครัว ในวันที่เขาเห็นน้องชายน้องสาวพาภรรยาที่บาดเจ็บก
ฉีหลินและเฟยจินกลับมาถึงบ้านทั้งสองคนนำปลาไปใส่ถังโอ่งดินใบเล็ก ๆ เอาไว้ก่อนจากนั้นฉีหลินก็นำใบบัวไปล้างให้สะอาดพักเอาไว้ ส่วนกุ้งนางกำลังคิดว่าจะทำอะไรกินดี กุ้งแม่น้ำตัวโตขนาดนี้ทำไมคนที่นี่เรียกปลาเปลือกแข็งกัน ถ้ากุ้งเรียกปลาเปลือกแข็งแล้วถ้าเป็นปูล่ะจะเรียกว่าอะไร คงไม่เรียกว่าปลากระดองแข็งหรอกใช่ไหม ฉีหลินหัวเราะคิกคักกับความคิดไร้สาระของตัวเองแต่เอาเข้าจริงคนที่นี่เรียกปูว่าปลากระดองแข็งจริง ๆ นี่คือสิ่งที่ฉีหลินรับรู้ในเวลาต่อมาฉีหลินจะทำข้าวห่อใบบัวแต่เครื่องปรุงอาจจะไม่ครบ เช่นนั้นก็มาดัดแปลงเอาตามของที่มีก็แล้วกัน นางเดินเข้าไปในครัวไม่รู้ว่าที่โลกแห่งนี้จะมีเผือกหรือยัง เพราะความทรงจำบางส่วนขาดหายนางจึงไม่แน่ใจว่ามีหรือยังถึงจะไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่มี แต่ในมิตินางมีในเมื่ออยากกินต้องได้กิน ฉีหลินเริ่มต้นด้วยการแกะกุ้งพักเอาไว้ จากนั้นก็ไปหุงข้าว นำเผือกออกมาหั่นเต๋าเอาไว้ ในห้องครัวมีแครอทพอดีนางนำมาหั่นเต๋าเอาไว้เช่นเดียวกัน“แล้วเราจะใส่กุนเชียงดีหรือไม่ ถ้าไม่ใส่ก็จะไม่อร่อยน่ะสิ แต่ถ้าใส่จะตอบคำถามทุกคนว่ายังไงดี โอ้ยย ปวดหัวจริง ๆ อึดอัดจะแย่แล้ว ใส่ ๆไปเถอะงั้นก็เรื
นับตั้งแต่ฉีหลินพาสามีกลับมารักษาตัวที่บ้านตอนนี้เวลาก็ผ่านไปแล้วหลายวัน เช้าวันนี้หลังจากกินมื้อเช้าพวกเขาจะย้ายบ้านไปอยู่ที่หมู่บ้านป่าหมอกกันแล้วคนที่ดีใจที่สุดที่จะได้ย้ายบ้านไม่ใช่ใครที่ไหนแต่หากเป็นหยางเฟยจินผู้ที่หวังมานานว่าจะได้ย้ายไปจากตรงนี้เสียที อย่างน้อย ๆ ครอบครัวของเขาจะได้ไม่โดนเอาเปรียบและถูกป้าสะใภ้รังแกเช่นที่ผ่านมา“พวกเจ้าเร่งมือกันหน่อยประเดี๋ยวสายแล้วจะร้อนเอาได้” หยางเทียนฉีเร่งลูกเมีย“ท่านพี่ท่านขนของพวกนี้ขึ้นเกวียนไปเถอะ แล้วให้อาเทียนนั่งไปกับท่านส่วนข้าจะเดินไปกับลูกสะใภ้และหลาน ๆ เอง” นางฟางบอกผู้เป็นสามี“เจ้าจะเดินไหวหรือ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เราจ้างเกวียนบ้านลุงเมิ่งไปส่งพวกเจ้าดีกว่า จะเดินทำไมให้เหนื่อย”“เอาแบบนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ท่านรีบไปบ้านท่านลุงเมิ่งเถอะ”ในตอนที่คนบ้านหยางจัดแจงข้าวของกันอยู่นั้น นางหลินที่ตอนนี้รักษาตัวหายดีแล้วก็เดินมาที่บ้านหยางสายรองเพื่อดูว่าคนพวกนี้ย้ายออกไปจริงหรือไม่ และหยิบจับอะไรตัดไม้ติดมือไปด้วยหรือเปล่า“เหอะรีบ ๆ ไสหัวของพวกเจ้าออกไปจากบ้านของข้า และอย่าได้หยิบอะไรของข้าติดไม้ติดมือไปเป็นอันขาดจะหาว่าข้าไม่เตือน”“
หลังจากที่จับปูจับปลาจับกุ้งกันจนพอใจแล้ว สามเสี่ยวลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนานฉีหลินนึกได้ว่ายังไม่ได้ขุดบ่อน้ำเอาไว้ใช้สอยเลย จะพึ่งพาเพียงแค่น้ำจากลำธารไม่ได้ อีกทั้งนางต้องการที่จะเปลี่ยนน้ำในบ่อให้เป็นน้ำพลังวิญญาณโดยการนำน้ำพุวิญญาณในมิติมาเติมลงไป เมื่อกลับจากจับปลาที่ลำธารแล้วนางจึงปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อสามีและสามีทันที บ่อน้ำที่นางต้องการคือ บ่อน้ำขนาดใหญ่ 1 บ่อ และบ่อน้ำสำหรับใช้สอยในบ้าน 1 บ่อ นางคิดว่าจะจ้างชาวบ้านในหมู่บ้านมาช่วยขุดให้“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าค่ะ ท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ”“มีเรื่องอะไรหรือหลินเอ๋อร์” เฟยเทียนถามภรรยาออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ข้าต้องการขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ในที่ดินของเราเจ้าค่ะ และบ่อน้ำสำหรับใช้สอยในบ้านอีก 1 บ่อ ข้าอยากให้ท่านพ่อไปว่าจ้างชาวบ้านมาช่วยขุดเจ้าค่ะ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตักน้ำที่ลำธารเจ้าค่ะ"“ดีเหมือนกัน เช่นนั้นหลังกินมื้อเที่ยงแล้วพ่อจะเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องการจ้างงานก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ฝากด้วยนะเจ้าคะ”“ไม่เป็นไรไม่ได้ลำบากอะไร พวกเจ้าเอาปลาไปให้แม่ของเจ้าทำเถอะจะได้รีบกินข้าว ดูท่าพ
เช้าวันนี้ทุกคนช่วยกันรดน้ำพืชผักวัวสองตัวทำหน้าที่บรรทุกน้ำจากลำธารโดยที่เฟยจินเป็นคนบังคับเกวียน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินแบกน้ำจากลำธาร ตอนนี้น้ำในบ่อที่ขุดเอาไว้มีน้ำประมาณครึ่งบ่อและคาดว่าอีกสองวันน้ำคงจะเต็มบ่อและฉีหลินจะทำการเปลี่ยนแปลงสภาพน้ำในบ่อให้เป็นน้ำที่มีพลังวิญญาณหลังจากรดน้ำพืชผักที่ปลูกเอาไว้เสร็จแล้วก็ได้เวลามื้อเช้า เช้านี้ฉีหลินทำข้าวต้มปลาเปลือกแข็ง และมีน้ำแกงปลา ผัดผักป่า หลังมื้ออาหารเช้านางตั้งใจจะเข้าป่าล่าสัตว์ โดยที่นางจะพาเสี่ยวหลางไปด้วย“ท่านพ่อท่านแม่ขอรับ เดี๋ยวข้าและหลินเอ๋อร์จะเข้าป่านะขอรับจะได้มีเนื้อเอามาเก็บไว้กินหรือไม่ก็นำไปขายบ้านเรายังต้องใช้เงินอีกเยอะ”“มันจะดีหรือลูก มันอันตรายแม่ว่าเราหาอย่างอื่นทำดีหรือไม่ หากเจ้าสองคนเป็นอะไรไปอีกแม่จะทำยังไง ลูก ๆ ของพวกเจ้าจะอยู่ยังไง” นางฟางรีบพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงเพราะเหตุการณ์ที่ลูกชายลูกสะใภ้บาดเจ็บในตอนนั้นติดอยู่ในใจนางตลอดมา ถึงจะยากจนหน่อยแต่ก็ยังพอปลูกพืชผักออกมาขายได้นางจึงไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นไม่ว่ากับใครก็ตาม“ท่านแม่อย่าได้เป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะพาเสี่ยวหลางไปด้วยพวกเราไม่ได้เข้าป่าลึ
ในตอนที่ประมุขมารได้ตายไปพร้อมกับดวงจิตที่แตกสลาย แต่ทว่ากลับไม่ได้แตกสลายไปทั้งหมด ยังมีดวงจิตอีกเสี้ยวได้หลุดลอยไปเกิดใหม่ในอีกภพชาติหนึ่ง เกิดใหม่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถระลึกชาติได้ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เพียงใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ประมุขมารร่ำร้องขอความเมตตาจากสวรรค์ก่อนที่เข้าจะแหลกสลายไปหวังฉีหลินและเฟยเทียนกลับถึงหมู่บ้านป่าหมอก ทุกอย่างนางไม่คิดว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ในที่สุดประมุขมารก็คิดได้เสียที และหวังว่าพรที่นางและสามีร้องขอกับท่านมหาเทพนั้นจะทำให้ประมุขมารไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี มีความสุขและมีภรรยาที่รักเขามากแล้วก็ขอให้ทั้งสองคนเป็นคู่ด้ายแดงทุกภพทุกชาติไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางและสามีทำได้หลังจากที่หมดปัญหา หมดสงคราม ทุกคนก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข แคว้นหลงอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี และข่าวการกลับมาขององค์ชายแปดผู้หายสาบสูญ ตอนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ที่ดินศักดินาหมู่บ้านป่าหมอกและหมู่บ้านใกล้เคียงอีกสามหมู่บ้าน หวังฉีหลินทิ้งงานให้ลูกชายทั้งหลายแล้วหนีไปท่องเที่ยวกับสามี ทั้งสองคนออกไปท่องโลกกว้าง และมักจะนำผลไม้หรือพืช
หลังจากที่ประมุขมารได้รับสารท้ารบจากเฟยเทียน ทำให้เขาได้รู้ว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนบุรุษผู้กระหายสงครามและพร้อมจะทำลายศัตรูตรงหน้าให้ย่อยยับได้ทุกเมื่ออย่างแม่ทัพสวรรค์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยถึงแม้ในชาติภพนี้เขาจะลงมาจุติในดินแดนของมนุษย์แต่ความสามารถของเขายังติดตัวมานั่นไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้มหาเทพจะไม่ค่อยชอบหน้าลูกเขยสักเท่าไหร่ แต่มหาเทพผู้รักลูกสาวยิ่งกว่าสิ่งใดย่อมไม่มีทางให้นางลำบากส่วนมารอย่างตัวเขาเล่าทำอันใดได้บ้าง เป็นเขาเองที่ไปตกหลุมรักนางข้างเดียว เป็นเขาเองที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเขาเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง เขารู้ตัวเองดีด้วยพลังของตัวเขาเองยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด ต่อให้สู้จนตัวตายก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองได้ถึงแม้จะเอาชนะแม่ทัพสวรรค์ได้แล้วธิดามหาเทพจะชายตาแลเขาหรือก็ไม่ นางไม่เพียงไม่ชายตาแลหากแต่นางคงแก้แค้นเขาที่ทำให้สามีของนางต้องมีอันเป็นไป นอกจากจะไม่ได้ความรักแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือความเกลียดชังต่างหากที่นางจะหยิบยื่นให้เขาแล้วเหตุใดเขาถึงได้หน้ามืดตามัวเช่นนี้อยู่ถึงแสนปี ประชาชนเผ่ามารล้วนล้มตายไปตั้งเท่าไหร่ น้องชายคนเดียวของเขาที่เฝ้าเตือนสติเขาอยู่ตลอด
เวลาผ่านไปแล้วนับเดือน ตอนนี้กองกำลังที่ฉีหลินฝึกฝนขึ้นมาก็ออกจากด่านกักตนกันทุกคนแล้ว เวลานี้ฉีหลินกับสามีพร้อมด้วยเหล่าสัตว์เทพพร้อมไปเยือนเผ่ามารแล้วเฟยเทียนเองก็เห็นสมควรว่าไม่ควรปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ หลังจากจบปัญหานี้ได้เท่ากับภารกิจของภรรยาได้เสร็จสิ้นลงเช่นกัน ต่อจากนี้ไปพวกเขาสามีภรรยาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียทีหลังจากกำหนดวันเคลื่อนพลได้แล้วฉีหลินก็ให้ทุกคนได้พักผ่อนให้เต็มที่ และเตรียมข้าวของที่จำเป็นใส่ลงในแหวนมิติให้เรียบร้อย ทั้งอาหารการกิน ยารักษาต่าง ๆ ทุกคนต่างเตรียมไปให้พร้อมสรรพ ด้วยศึกครั้งนี้อีกฝ่ายคือเผ่ามารไม่รู้ว่าจะมีฝีมือร้ายกาจขนาดไหน แต่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนายท่านและนายหญิงว่าจะนำพาพวกเขากลับบ้านมาอย่างปลอดภัยเฟยจิน เฮ่ออี และฮั่นเหวินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการรบในครั้งนี้ ลูก ๆ ของเฟยเทียนทุกคนก็เช่นเดียวกัน ส่วนสัตว์เทพที่คอยดูแลความปลอดภัยที่หมู่บ้านป่าหมอกมีเพียงต้าเซี่ยกับเสี่ยวเสวียนอู่เพียงสองตัวเท่านั้นส่วนเสี่ยวหลาง เสี่ยวหู่ เสี่ยวเฮย เสี่ยวรุ่ยจื่อ และพี่ใหญ่อย่างจินหลงล้วนเข้าร่วมการรบในครั้งนี้ คนที่กระตือรือร้นมากที่สุดคื
ไป๋อี้ถังผู้โสดสนิท ครองตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ประหนึ่งนักพรตผู้ทรงศีล อีกทั้งรังเกียจสตรีมากเล่ห์ หลังจากออกจากด่านกักตนมา เขาก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนัก ไม่มีภรรยาและบุตรให้ดูแล เวลาทั้งหมดที่มีนอกจากฝึกฝนพลังปราณแล้ว เวลาส่วนที่เหลือเขาจึงเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ในสำนักศึกษาด้วยความเข้มงวดในเวลาต่อมา อาจารย์ใหญ่ไป๋อี้ถังจึงมีฉายาว่า อาจารย์ใหญ่จอมโหด หากใครไม่ทำการบ้านมาส่งก็จะโดนลงโทษให้ไปวิ่งรอบสถานศึกษา อีกทั้งยังจะต้องทำการบ้านในครั้งหน้ามากกว่าคนอื่นสองเท่าเท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องเขียนจดหมายสำนึกผิดอีก 100 จบ และไปเก็บมูลทำความสะอาดคอกของสือเอ้อร์กับสืออีแทนคนงานในไร่ แถมยังต้องถูกเจ้าสือเอ้อร์กับสืออีกลั่นแกล้งจนหน้าทิ่มกองอึอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไม่ทำการบ้านอีกเลยวันนี้เป็นวันที่ไป๋อี้ถังว่างมาก มากที่สุด วันนี้เป็นวันหยุดของสถานศึกษา ไป๋อี้ถังจึงคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมือง และหาซื้อพู่กันกับแท่นฝนหมึกเพิ่มเพราะเท่าที่เขามีอยู่ตอนนี้ใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้วจากนั้นเขาตั้งใจว่าจะชวนสหายทั้งสามของเขาไปด้วยกัน แต่กลับไม่มีใครไปเพราะแต่ละคนต้องการอยู่กับภรรยาแ
หลังจากที่เฟยเทียนกับฉีหลินเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านป่าหมอกพร้อมลูกชายและเหล่าสหาย หนึ่งเดือนให้หลังเฟยจินก็กลับมาพร้อมกับฮั่นเหวินและเฮ่ออี หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้และรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน รวมถึงส่งรายชื่อหนอนให้กับเบื้องบนแล้ว ตัวเขาเองก็หมดหน้าที่ ตอนนี้สงครามสงบลงแล้ว ทั้งสามจึงได้ยื่นหนังสือขอลาพักกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมบิดามารดาไป๋อี้ถังและสหายทั้งสามจะเข้าด่านกักตนเพื่อฝึกฝนในอีก 3 วันข้างหน้า โดยผู้ที่จะรับหน้าที่สั่งสอนศิษย์ในสถานศึกษาก็คือราชครูไป๋หย่งเต๋อที่เดินทางตามหลังเฟยจินได้เพียง 7 วันนอกจากไป๋หย่งเต๋อแล้วยังมีไป๋เจิ้นกั๋วเจ้ากรมอาญา เดินทางมาพร้อมกับไท่ปิงองครักษ์ประจำตัว นับเป็นการรวมตัวกันระหว่างองครักษ์เลยก็ว่าได้ เซียวหลางตัดสินใจแต่งงานและติดตามไป๋อี้ถัง ม่อถูเองก็เช่นเดียวกัน มีเพียงไท่ปิงเท่านั้นที่มีหน้าที่ดูแลไป๋เจิ้นกั๋วที่เมืองหลวงไท่ปิงเองก็อยากจะมีชีวิตเฉกเช่นสหายทั้งสองบ้าง เขาเองก็คงต้องเร่งฝึกองครักษ์ขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้ทำหน้าที่แทนเขา ส่วนตัวเขาเองจะตามมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านป่าหมอกแห่งนี้ตามสหายทั้งสองคนวันนี้ฉีหลินเรียกประชุมหน่วยลับที่เป
เฟยเทียนพาภรรยามุ่งหน้ากลับหมู่บ้านป่าหมอกทันที หลังจากจัดการทั้งสองแคว้นเรียบร้อยแล้ว และด่านสุดท้ายของภารกิจในครั้งนี้ก็คือจัดการกับเผ่ามารให้เด็ดขาด หากไม่กำจัดประมุขเผ่ามารเสียตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าก็จะเกิดปัญหาเช่นนี้อีก มีเพียงกำจัดประมุขมารให้ได้เท่านั้นทุกคนจะได้ไม่เดือดร้อน ตอนนี้มีข่าวส่งว่าอ๋องมารน้องชายเพียงคนเดียวของประมุขมารได้หนีออกจากเผ่ามารไปตั้งรกรากที่อื่นแต่เดิมอ๋องมารก็ไม่เห็นด้วยกับประมุขมารเรื่องยึดดินแดนมนุษย์ แต่ไหนเลยประมุขมารผู้เป็นพี่ชายจะยอมฟัง ในเมื่อมันเป็นความแค้นใจที่มีต่อธิดามหาเทพและสามี ต่อให้อีกนับล้านปีประมุขมารก็วางความแค้นในใจลงไม่ได้“ไม่รู้ว่าเจ้าสามแสบจะทำเรื่องปวดหัวให้ท่านพ่อกับท่านปู่มากมายเพียงใด โดยเฉพาะลูกสาวของท่านพี่ ป่านนี้ไม่ใช่พี่อี้ถังปวดหัวจนผมขาวหมดหัวแล้วหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า ไม่ขนาดนั้นกระมัง ลูกสาวของเราออกจะน่ารัก อีกอย่างพี่อี้ถังก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือไม่ได้เลยนี่นะ”“ท่านพี่ก็เข้าข้างนางตลอดล่ะเจ้าค่ะ อีกหน่อยนางก็เสียคนพอดี”“ไม่ใช่ว่านางกลัวท่านแม่อย่างเจ้าอยู่หรอกหรือ เอาน่าลูกยังเด็กอยู่ยังไม่รู้ความ มีพวกต้าเซี่ยอย
ในท้องพระโรงตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำคราญของบรรดาองค์หญิงและเหล่าสนมของฮ่องเต้ ส่วนเหล่าองค์ชายนั้นในใจต่างคิดว่าพวกเขาจบเห่แล้วคราวนี้ ยังไม่ทันได้ลงมือช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทแต่เสด็จพ่อกลับทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ ตอนนี้คนของแคว้นหลงบุกมาจัดการพวกเขาถึงในวังหลวงแห่งนี้ เช่นนั้นที่ชายแดนก็คงจะพ่ายแพ้เช่นเดียวกัน“มีอะไรจะพูดหรือไม่ แต่เอาจริง ๆ ไม่ต้องพูดหรอกเสียเวลา ข้าเข้าใจ เสี่ยวเฮยจัดการด้วยล่ะ เอาให้สะอาด” ฉีหลิน“จัดการให้เรียบร้อยจะได้รีบไปจัดการต่อ ข้าอยากกลับบ้านคิดถึงลูก” เฟยเทียนฮ่องเต้แคว้นอู๋มองดูสองสามีภรรยาสั่งงานเจ้าบุรุษชุดดำด้วยความไม่เข้าใจ อะไรคือจัดการให้เรียบร้อย อะไรคือเอาให้สะอาด พูดจาให้คนฟังแล้วไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ แต่ช่วยเห็นหัวเขาหน่อยจะได้หรือไม่“อ้อ เสี่ยวเฮย ช่วยปล่อยฮองเฮากับองค์ชายและองค์หญิงที่เกิดจากพระนางด้วย มีคนต้องการพบพวกเขา”“ได้ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้”“ขอบใจ ท่านพี่ไปกันเถอะเจ้าค่ะ เรายังมีอะไรที่ต้องทำต่อ”“อืม เสี่ยวเฮยจัดการให้เรียบร้อยอย่าให้เล็ดลอดออกไปได้แม้แต่คนเดียวเข้าใจหรือไม่”เฟยเทียนเดินตามหลังภรรยาออกไปจากท้องพระโรง ท่าม
ในวันที่ฉีหลินกับเฟยเทียนตัดสินใจลักลอบเข้าวังหลวงแคว้นอู๋ ทางชายแดนแม่ทัพแคว้นอู๋ตัดสินใจนำทัพเข้าบุกแคว้นหลงทันทีโดยมีทัพมารเข้ามาแทรกแซงทำให้กำลังทหารของทางฝั่งแคว้นอู๋มีจำนวนเพิ่มมาหลายพันคนในเมื่อเผ่ามารมือยืดมือยาวถึงเพียงนี้ เสี่ยวเฮยเองก็ย่อมลิ้นยืดลิ้นยาวได้เช่นเดียวกัน ในตอนแรกที่เสี่ยวเฮยยังไม่ได้กลับไปอยู่ในร่างของมังกรทมิฬนั้น ย่อมไม่มีใครเกรงกลัวแต่หลังจากเผ่ามารเข้ามาแทรกแซงทำตัวเป็นกำลังเสริมให้กับแคว้นอู๋ เสี่ยวเฮยจึงเห็นว่าไม่ควรจะปิดบังตัวเองอีกต่อไป มันจึงได้กลับร่างเป็นมังกรทมิฬขนาดใหญ่กว่าที่เผ่ามารจะได้รู้ความจริงก็โดยกินไปจนเกือบหมดเสียแล้ว ยิ่งกลืนกินสิ่งชั่วร้ายไปมากเท่าไหร่ขนาดตัวของเสี่ยวเฮยก็ขยายขึ้นใหญ่มากเท่านั้น ตอนนี้ที่กำลังทหารของแคว้นอู๋เห็นเสี่ยวเฮยกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น ก็ตัดสินใจกันแล้วว่าจะหนีเอาตัวรอดถึงแม้ว่าแม่ทัพจะไม่สั่งถอยทัพแต่ใครก็ย่อมกลัวตาย ต่างคนต่างรักชีวิตของตัวเองเมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทิ้งอาวุธออกวิ่งทันทีส่วนเสี่ยวเฮยที่กินเผ่ามารไปแล้วยังรู้สึกว่าไม่อิ่มเท่าไหร่ ต่างจ้องมองไปที่กำลังทหารของแคว้นอู๋ด้วยสายตาวาววั
ในขณะที่ฉีหลินกับเฟยเทียนเข้าไปในแคว้นอู๋อย่างราบรื่น ตอนนี้พวกเขาหาที่พักในเมืองหลวงของแคว้นอู๋ได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนปลอมตัวเป็นตายาย เปิดร้านขายบะหมี่ในตลาดนับว่าเป็นงานที่ท้าทายมากสำหรับเฟยเทียน งานขายบะหมี่นี้เขารับหน้าที่เป็นคนทำบะหมี่ ส่วนภรรยาอย่างฉีหลินนั้นทำหน้าที่เก็บเงิน ส่วนผู้ติดตามทำหน้าที่เสี่ยวเอ้อร์ พวกเขาเช่าร้านบะหมี่ต่อจากเจ้าของเดิมที่เก็บของเตรียมตัวย้ายไปอยู่กับลูกชายที่บ้านเกิดในระหว่างที่ท่านพ่อและท่านแม่ไปทำหน้าที่ทำภารกิจเพื่อความสงบสุข แต่ลูกน้อยทั้งสามคนที่หมู่บ้านป่าหมอกนั้นไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับ 3 คนแก่ที่บ้านสักเท่าไหร่ ไป๋อี้ถังเองยังไม่สามารถรับมือกับหลานน้อยทั้งสามคนได้ เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะอับจนหนทางถึงขนาดนี้ เจ้าสามคนนี่เกิดมาเพื่อสร้างความปั่นป่วนจริง ๆ“ท่านยุงถัง อันนี้ฉือไร” ฟางเซียน“หนังสือวรยุทธ์เบื้องต้น” ไป๋อี้ถัง“ท่านยุงถัง ฉอน เซียนเอ๋อร์ยักเรียน”“ฟางเซียนลุงว่าตอนนี้เจ้าไปนอนกลางวันกับน้องชายทั้งสองของหลานดีหรือไม่ เอาไว้รอให้เจ้าโตกว่านี้ลุงจะสอนให้ทุกอย่างเลย ต้าเซี่ย มาพาคุณหนูของเจ้าไปนอนกลางวันได้แล้ว”“แต่เซียนเอ๋อร์ไม่