ฉีหลินออกมาคุยกับท่านหมอที่รักษาสามีของนางเพื่อแจ้งแก่ท่านหมอว่านางจะพาสามีกลับไปพักฟื้นที่บ้าน เมื่อแจ้งความประสงค์กับท่านหมอแล้ว ฉีหลินได้รับเงินจากโรงหมอคืนเป็นเงิน 30 ตำลึง
เมื่อจัดการเรื่องค่าหมอค่ายาเสร็จแล้ว ฉีหลินมุ่งหน้าไปเช่าเกวียนเพื่อมารับสามีนางกลับไปรักษาตัวที่บ้านทันที ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามีของนางฟื้นตัวได้เร็วนั้นเพราะน้ำพุวิญญาณที่นางแอบนำมาผสมน้ำให้สามีดื่มอยู่เป็นประจำ
อีกทั้งน้ำกินน้ำใช้ที่บ้านย่อมผสมน้ำพุวิญญาณลงไปด้วย ตอนนี้แม่สามีของนางเองดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นมาจากปกติร่างกายที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ ของนาง หลังจากได้ดื่มกินน้ำผสมน้ำพุวิญญาณทำให้ร่างกายของนางแข็งแรงขึ้น
ฉีหลินออกไปได้ไม่นาน นางก็กลับมาพร้อมเกวียนเพื่อมารับเฟยเทียนกลับบ้าน ตอนนี้เขาเดินได้แล้วแต่ไม่สามารถเดินนาน ๆ ได้ ตอนแรกเขาหมดหวังแล้วเพราะป้าสะใภ้ยึดเอาเงินไปและไม่ยอมให้หมอรักษาเขา
เขาคิดว่าตัวเองคงจะกลายเป็นคนป่วยพิการนอนติดเตียง อยู่เป็นภาระลูกเมียและพ่อแม่เสียแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็สามารถมารักษาและหาหมอทัน เป็นเพราะภรรยาของเขาที่ต่อสู้เพื่อครอบครัว ในวันที่เขาเห็นน้องชายน้องสาวพาภรรยาที่บาดเจ็บกลับมา ใจของเขาเหมือนมีมือขนาดใหญ่บีบจนเขาเจ็บแทบจะขาดใจตาย
โชคดีที่ภรรยาของเขาไม่เป็นอะไรมาก เมื่อนางหายป่วยขึ้นมาทำให้นิสัยนางเปลี่ยนไป ถึงนางจะร้ายกาจกับคนอื่นแต่กับครอบครัวนางทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่ เขาคิดถูกที่ทำตามหัวใจตัวเองแต่งงานกับนาง นางเป็นรักแรกและรักครั้งเดียวของเขา เมื่อเขาหายดีแล้วเขาจะเลี้ยงดูนางอย่างดี จะไม่ให้นางต้องเหนื่อยอีกต่อไป นางมีหน้าที่แค่คลอดลูกให้เขาเท่านั้น
“ท่านพี่เจ้าคะ กลับไปแล้วท่านพี่ต้องพักผ่อนให้เยอะ ๆ จะได้หายเร็ว ๆ ตอนเช้าข้าจะพาท่านพี่ฝึกเดินขาจะได้มีแรง อีกไม่นานท่านพี่ก็จะสามารถเดินได้ด้วยตัวเอง ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานท่านพี่ก็จะหายดีเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามากนะ เอาไว้พี่หายดีแล้วพี่จะชดเชยให้เจ้านะ” เฟยเทียน พูดพลางส่งสายตาร้อนแรงไปให้ฉีหลิน
ฉีหลินที่เห็นสายตาที่สามีส่งมาให้ ทำเอานางร้อน ๆ หนาว ๆ กับคำว่าชดเชยของสามี คงไม่ใช่อย่างที่นางคิดใช่หรือไม่ นางไม่คิดเลยว่าสามีหน้ามึนของนางปกติไม่ค่อยจะพูด สงสัยจะเป็นพวกการกระทำสำคัญกว่าคำพูด
เกวียนวัววิ่งมาถึงหมู่บ้านเหอมู่ในเวลาต่อมา เมื่อเกวียนจอดหน้าบ้านฉีหลินจ่ายค่าจ้าง 20 อิแปะให้คนขับเกวียนจากนั้นนางพยุงเฟยเทียนเข้าไปในบ้าน แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในห้องโถงก็ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของลูกชายทั้งสองคนหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ท่านพี่เจ้าคะ พอดีข้าลืมบอกท่านพี่ไปน่ะเจ้าค่ะ ที่บ้านเรามีสมาชิกใหม่ 3 ตัว มีเสี่ยวหู่ เสี่ยวเฮย และเสี่ยวหลางเจ้าค่ะ พวกมันตามข้ากลับมาจากป่าหมอก”
“แล้ว เจ้าสามตัวที่ว่านี่มันเป็นตัวอะไรหรือหลินเอ๋อร์”
“เอาไว้ท่านพี่เห็นแล้วจะรู้เองเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็เข้าบ้านกันเถอะ ดูเหมือนว่าเจ้าสองแสบนั่นกำลังเล่นสนุกอยู่สินะ เสียงถึงได้ดังออกมาจนถึงหน้าบ้าน”
“คงเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“เสี่ยวเฮย ๆ เร็ว ๆ เข้า เสี่ยวหลางไปทางนั้นแล้ว จับให้ได้ อ๊ะ เสี่ยวหู่เจ้าอย่าขี้โกงสิ” เสียงเจี้ยนเอ๋อร์ดังลั่นบ้าน“เสี่ยวหู่ กระโดด ๆ อย่าให้เสี่ยวหลาง ตามทันนะ ” เฉิงเอ๋อร์ก็เสียงดังไม่แพ้กัน
ฉีหลินพยุงสามีเดินเข้ามาถึงห้องโถง ก็เล่นลูกชายและสามเสี่ยววิ่งเล่นกันดูวุ่นวายไปหมด ทางด้านเฟยเทียนตอนนี้กำลังตกตะลึงอ้าปากค้างตาโตเท่าไข่ห่าน อ้าปากพะงาบ ๆ หาเสียงตัวเองไม่เจอไม่รู้ว่าว่าจะตกใจอะไรก่อน ระหว่างงูดำตัวใหญ่ เสือขาวตัวโต หมาป่าสีเทา หรือลูกชายทั้งสองคนของเขา นั่งอยู่บนหลังเจ้าพวกนั้น
“เล่นอะไรกันอยู่หรือ เจี้ยนเอ๋อร์ เฉิงเอ๋อร์ เสียงลั่นบ้านเชียว”
“อ๊ะ ท่านแม่กลับมาแล้ว ท่านพ่อก็กลับมาด้วย” เจี้ยนเอ๋อร์
“ท่านแม่ พาท่านพ่อมานั่งด้านนี้ขอรับ ”
“นะ… นี่มันอะไรกัน ทั้งหมาป่า ทั้งงู ทั้งเสือ นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าพวกนี้คือเจ้าพวกสามเสี่ยวที่หลินเอ๋อร์บอกพี่เมื่อสักครู่”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ พวกเจ้าน่ะ มานี่หน่อยมารู้จักสามีของข้า”
“เอ่อ สวัสดีพวกเจ้าทุกตัวนะ ตามสบายไม่ต้องมากพิธีนะ” เฟยเทียนที่ตอนนี้ยังตกใจไม่หายเขาพยายามพูดให้ปกติที่สุดแต่สุดท้ายเสียงก็สั่นอยู่ดี
“เอาล่ะแม่จะพาพ่อเจ้าไปพักผ่อนก่อน ส่วนพวกเจ้าอย่าเล่นกันเสียงดังให้มากนัก จะรบกวนการพักผ่อนของท่านพ่อของพวกเจ้า เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วขอรับท่านแม่ เจี้ยนเอ๋อร์จะออกไปเล่นที่ลานหลังบ้านแทนขอรับ”
“ดีมากจ้ะ แล้วท่านย่ากับท่านอาของลูกล่ะทำอะไรอยู่หรือ”
“ท่านย่าพาท่านอาทั้งสองเก็บของขอรับท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์หันมาตอบมารดาก่อนจะวิ่งตามหลังเจี้ยนเอ๋อร์ออกไปเล่นข้างนอก
“ลูก ๆ ดูร่าเริงสดใสขึ้นนะหลินเอ๋อร์”
“เจ้าค่ะ ตอนนี้ยิ่งมีเจ้าสามตัวนั่นคอยเล่นเป็นเพื่อนลูก ๆ ถึงได้หายเหงา อีกอย่างพวกเราไม่ต้องคอยดูสีหน้าบ้านใหญ่แล้วความกดดันไม่มีลูก ๆ จึงได้เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเจ้าค่ะ”
“เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว แล้วนี่ท่านพ่อไปหมู่บ้านป่าหมอกหรือ”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่พักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปดูท่านแม่เสียหน่อย มื้อเย็นท่านพี่อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่เจ้าคะ”
“พี่กินอะไรก็ได้ น้องอย่าลำบากเลย ตอนนี้แต่ละวันเจ้าก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไม่เหนื่อยเลย"
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าก็แล้วกัน เจ้าทำอะไรมาก็อร่อยทั้งนั้น”
ฉีหลินรีบเดินออกจากห้องไปทันที สามีของนางหยอดทุกครั้งที่มีโอกาส เมื่อก่อนตอนที่นางยังไม่ได้มาเข้าร่างนี้ ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้หรือเปล่า ความทรงจำบางอย่างของนางขาดหายไปแต่สำหรับนางแล้วมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
สำหรับฉีหลิน อดีตไม่สำคัญเท่ากับอนาคต ฉีหลินเดินมาหาแม่สามีเพื่อดูว่ามีอะไรให้นางช่วยหรือไม่ พอนางเดินมาถึง แม่สามีและน้อง ๆ ก็เก็บของที่จำเป็นลงในหีบเรียบร้อยแล้ว
“ท่านแม่มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่มีหรอกแม่กับน้อง ๆ เจ้าเก็บเสร็จหมดแล้ว บ้านเราไม่มีอะไรให้เก็บมากมายนักหรอก”
“ข้าพาท่านพี่กลับมารักษาที่บ้านเจ้าค่ะท่านแม่ ตอนนี้ท่านพี่นอนพักผ่อนอยู่”
“หมอให้กลับมาได้แล้วเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะท่านแม่ ”
“ดี ดีมากจริง ๆ เดี๋ยวแม่จะไปตุ๋นน้ำแกงไก่ เจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถอะกลับมาเหนื่อย ๆ”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย ข้าว่าจะไปที่ลำธารเสียหน่อยเผื่อว่าจะได้ปลามาทำมื้อเย็นเพิ่ม”
“ข้าไปด้วยนะขอรับพี่สะใภ้”
“ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่เจ้าค่ะ”
“งั้นก็ตกลงตามนี้ พวกเราไปกันเถอะเฟยจิน”
“ขอรับ ข้าขอไปเอาถังน้ำกับตะกร้าก่อนขอรับ”
ฉีหลินและน้องชายสามีเดินมุ่งหน้าไปลำธารที่อยู่ไกลออกไปจากบ้านพอสมควร ก่อนไปนางยังบอกให้ลูก ๆ ของนางเล่นกันได้แต่อย่าเสียงดังรบกวนการพักผ่อนของเฟยเทียน และนางได้ฝากสามเสี่ยวดูแลความปลอดภัยในบ้านด้วย
ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังลำธารและก่อนจะถึงลำธารจะผ่านบึงบัวก่อน ฉีหลินเห็นใบบัวขนาดใหญ่ทำให้นางนึกอยากกินข้าวอบใบบัว ไก่ขอทาน ปลาเผาน้ำจิ้มรสจัด แต่นางทำได้แค่อยากเท่านั้นเอาไว้ย้ายบ้านเสร็จก่อนนางจะกินให้พุงกางไปเลย
“เฟยจินขากลับเก็บใบบัวพวกนี้กลับไปด้วยนะ จริง ๆ แล้วเราเก็บรากบัวกลับไปให้ท่านแม่ต้มน้ำแกงหรือไม่ก็ตุ๋นกับไก่ก็รสชาติดีไม่น้อย”
“แล้วใบบัวเล่าขอรับพี่สะใภ้ จะเอาไปทำอันใดหรือขอรับ”
“ทำข้าวอบใบบัวก็ย่อมได้แต่พี่ต้องดูก่อนว่าที่บ้านมีเครื่องปรุงครบหรือไม่”
“ขอรับ เช่นนั้นขากลับข้าจะลงไปเก็บให้เอง”
“ขอบใจเจ้า”
ตอนนี้น้ำในลำธารลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้มองเห็นพื้นลำธารเดิมทีแถวนี้ไม่มีใครไม่มีชาวบ้านมาจับปลามากนัก เพราะปลาที่ว่ายตามน้ำลงมาจากภูเขานั้นว่ายน้ำไวมาก อีกทั้งปลาบางชนิดมีก้างเยอะมากและกลิ่นสาบดินโคลนจะแรงกว่าปลาที่จับจากลำธารอีกสาย
“พี่สะใภ้พรุ่งนี้ข้าขอไปช่วยท่านพ่อนะขอรับ ท่านอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่กับพี่ใหญ่และก็น้องเล็กกับหลาน ๆ เถอะขอรับ ข้าอยากให้บ้านเสร็จเร็ว ๆ ขอรับ”
“ตกลง พรุ่งนี้เจ้าไปช่วยท่านพ่อ เดิมทีพี่ว่าจะซื้อเกวียนวัว แต่ข้าขี้เกียจรำคาญตอนนี้ถึงแม้ว่าเราจะแยกบ้านกันแล้วแต่ใครจะรู้ว่าสองแม่ลูกนั่นจะคิดแผนชั่วอะไรขึ้นมาอีก”
“ข้าเข้าใจขอรับ เมื่อก่อนท่านย่าก็เอาสินเดิมของท่านแม่ไปใช้เสียจนหมดและกล่าวอ้างถึงตวามกตัญญู ท่านแม่เองไม่อยากทำให้ท่านพ่อลำบากใจ จึงได้หลับหูหลับตาทำเป็นมองไม่เห็นอยู่บ่อยครั้งจนในที่สุดสินเดิมของท่านแม่ได้หมดลง เหลือเพียงที่ดินติดชายป่าหมอกตอนนี้เท่านั้น"
“เอาเถอะ เรื่องมันผ่านมาก็นานแล้วตอนนี้พวกเราเตรียมตัวไปใช้ชีวิตใหม่ได้เลย ต่อไปพวกเราจะมีแต่คำว่าร่ำรวย ร่ำรวย ไม่รู้จบ”
“ขอรับ ข้าจะนับวันรอเลย ฮ่า ๆ”
“เรารีบไปจับปลากันเถอะ จะได้รีบกลับไปทำมื้อเย็น”
ในระหว่างที่กำลังจับปลาอยู่นั้นฉีหลินเห็นกุ้งอยู่เป็นจำนวนมาก และขนาดใหญ่ทุกตัว ทำให้ฉีหลินน้ำลายแทบไหล ในใจนางกลับคิดว่า หากทำกุ้งแช่น้ำปลาจะอร่อยขนาดไหนกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งน้ำลายไหล
ฉีหลินจับปลาได้พอสมควรแล้ว จากนั้นนางจับกุ้งมาอีกเป็นจำนวนมาก ถึงแม้เฟยจินจะสงสัยว่าพี่สะใภ้จะจับปลาเปลือกแข็งพวกนี้ไปทำไม แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามฉีหลินแม้เพียงครึ่งคำ เขาได้แต่ช่วยพี่สะใภ้จับปลาเปลือกแข็งใส่ถังน้ำที่นำมาด้วยจนเต็ม ทั้งสองคนเมื่อเห็นว่าจับปลาได้หลายตัวแล้วจึงได้ชวนกันกลับบ้าน
ขากลับทั้งสองคนแวะบึงบัวเก็บใบบัวและรากบัวเพื่อนำไปอาหารมื้อเย็นที่กำลังจะมาถึงนี้ เมื่อได้ทุกอย่างตามต้องการแล้วทั้งสองคนมุ่งหน้ากลับบ้านทันที
ฉีหลินและเฟยจินกลับมาถึงบ้านทั้งสองคนนำปลาไปใส่ถังโอ่งดินใบเล็ก ๆ เอาไว้ก่อนจากนั้นฉีหลินก็นำใบบัวไปล้างให้สะอาดพักเอาไว้ ส่วนกุ้งนางกำลังคิดว่าจะทำอะไรกินดี กุ้งแม่น้ำตัวโตขนาดนี้ทำไมคนที่นี่เรียกปลาเปลือกแข็งกัน ถ้ากุ้งเรียกปลาเปลือกแข็งแล้วถ้าเป็นปูล่ะจะเรียกว่าอะไร คงไม่เรียกว่าปลากระดองแข็งหรอกใช่ไหม ฉีหลินหัวเราะคิกคักกับความคิดไร้สาระของตัวเองแต่เอาเข้าจริงคนที่นี่เรียกปูว่าปลากระดองแข็งจริง ๆ นี่คือสิ่งที่ฉีหลินรับรู้ในเวลาต่อมาฉีหลินจะทำข้าวห่อใบบัวแต่เครื่องปรุงอาจจะไม่ครบ เช่นนั้นก็มาดัดแปลงเอาตามของที่มีก็แล้วกัน นางเดินเข้าไปในครัวไม่รู้ว่าที่โลกแห่งนี้จะมีเผือกหรือยัง เพราะความทรงจำบางส่วนขาดหายนางจึงไม่แน่ใจว่ามีหรือยังถึงจะไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่มี แต่ในมิตินางมีในเมื่ออยากกินต้องได้กิน ฉีหลินเริ่มต้นด้วยการแกะกุ้งพักเอาไว้ จากนั้นก็ไปหุงข้าว นำเผือกออกมาหั่นเต๋าเอาไว้ ในห้องครัวมีแครอทพอดีนางนำมาหั่นเต๋าเอาไว้เช่นเดียวกัน“แล้วเราจะใส่กุนเชียงดีหรือไม่ ถ้าไม่ใส่ก็จะไม่อร่อยน่ะสิ แต่ถ้าใส่จะตอบคำถามทุกคนว่ายังไงดี โอ้ยย ปวดหัวจริง ๆ อึดอัดจะแย่แล้ว ใส่ ๆไปเถอะงั้นก็เรื
นับตั้งแต่ฉีหลินพาสามีกลับมารักษาตัวที่บ้านตอนนี้เวลาก็ผ่านไปแล้วหลายวัน เช้าวันนี้หลังจากกินมื้อเช้าพวกเขาจะย้ายบ้านไปอยู่ที่หมู่บ้านป่าหมอกกันแล้วคนที่ดีใจที่สุดที่จะได้ย้ายบ้านไม่ใช่ใครที่ไหนแต่หากเป็นหยางเฟยจินผู้ที่หวังมานานว่าจะได้ย้ายไปจากตรงนี้เสียที อย่างน้อย ๆ ครอบครัวของเขาจะได้ไม่โดนเอาเปรียบและถูกป้าสะใภ้รังแกเช่นที่ผ่านมา“พวกเจ้าเร่งมือกันหน่อยประเดี๋ยวสายแล้วจะร้อนเอาได้” หยางเทียนฉีเร่งลูกเมีย“ท่านพี่ท่านขนของพวกนี้ขึ้นเกวียนไปเถอะ แล้วให้อาเทียนนั่งไปกับท่านส่วนข้าจะเดินไปกับลูกสะใภ้และหลาน ๆ เอง” นางฟางบอกผู้เป็นสามี“เจ้าจะเดินไหวหรือ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เราจ้างเกวียนบ้านลุงเมิ่งไปส่งพวกเจ้าดีกว่า จะเดินทำไมให้เหนื่อย”“เอาแบบนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ท่านรีบไปบ้านท่านลุงเมิ่งเถอะ”ในตอนที่คนบ้านหยางจัดแจงข้าวของกันอยู่นั้น นางหลินที่ตอนนี้รักษาตัวหายดีแล้วก็เดินมาที่บ้านหยางสายรองเพื่อดูว่าคนพวกนี้ย้ายออกไปจริงหรือไม่ และหยิบจับอะไรตัดไม้ติดมือไปด้วยหรือเปล่า“เหอะรีบ ๆ ไสหัวของพวกเจ้าออกไปจากบ้านของข้า และอย่าได้หยิบอะไรของข้าติดไม้ติดมือไปเป็นอันขาดจะหาว่าข้าไม่เตือน”“
หลังจากที่จับปูจับปลาจับกุ้งกันจนพอใจแล้ว สามเสี่ยวลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนานฉีหลินนึกได้ว่ายังไม่ได้ขุดบ่อน้ำเอาไว้ใช้สอยเลย จะพึ่งพาเพียงแค่น้ำจากลำธารไม่ได้ อีกทั้งนางต้องการที่จะเปลี่ยนน้ำในบ่อให้เป็นน้ำพลังวิญญาณโดยการนำน้ำพุวิญญาณในมิติมาเติมลงไป เมื่อกลับจากจับปลาที่ลำธารแล้วนางจึงปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อสามีและสามีทันที บ่อน้ำที่นางต้องการคือ บ่อน้ำขนาดใหญ่ 1 บ่อ และบ่อน้ำสำหรับใช้สอยในบ้าน 1 บ่อ นางคิดว่าจะจ้างชาวบ้านในหมู่บ้านมาช่วยขุดให้“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าค่ะ ท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ”“มีเรื่องอะไรหรือหลินเอ๋อร์” เฟยเทียนถามภรรยาออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ข้าต้องการขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ในที่ดินของเราเจ้าค่ะ และบ่อน้ำสำหรับใช้สอยในบ้านอีก 1 บ่อ ข้าอยากให้ท่านพ่อไปว่าจ้างชาวบ้านมาช่วยขุดเจ้าค่ะ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตักน้ำที่ลำธารเจ้าค่ะ"“ดีเหมือนกัน เช่นนั้นหลังกินมื้อเที่ยงแล้วพ่อจะเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องการจ้างงานก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ฝากด้วยนะเจ้าคะ”“ไม่เป็นไรไม่ได้ลำบากอะไร พวกเจ้าเอาปลาไปให้แม่ของเจ้าทำเถอะจะได้รีบกินข้าว ดูท่าพ
เช้าวันนี้ทุกคนช่วยกันรดน้ำพืชผักวัวสองตัวทำหน้าที่บรรทุกน้ำจากลำธารโดยที่เฟยจินเป็นคนบังคับเกวียน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินแบกน้ำจากลำธาร ตอนนี้น้ำในบ่อที่ขุดเอาไว้มีน้ำประมาณครึ่งบ่อและคาดว่าอีกสองวันน้ำคงจะเต็มบ่อและฉีหลินจะทำการเปลี่ยนแปลงสภาพน้ำในบ่อให้เป็นน้ำที่มีพลังวิญญาณหลังจากรดน้ำพืชผักที่ปลูกเอาไว้เสร็จแล้วก็ได้เวลามื้อเช้า เช้านี้ฉีหลินทำข้าวต้มปลาเปลือกแข็ง และมีน้ำแกงปลา ผัดผักป่า หลังมื้ออาหารเช้านางตั้งใจจะเข้าป่าล่าสัตว์ โดยที่นางจะพาเสี่ยวหลางไปด้วย“ท่านพ่อท่านแม่ขอรับ เดี๋ยวข้าและหลินเอ๋อร์จะเข้าป่านะขอรับจะได้มีเนื้อเอามาเก็บไว้กินหรือไม่ก็นำไปขายบ้านเรายังต้องใช้เงินอีกเยอะ”“มันจะดีหรือลูก มันอันตรายแม่ว่าเราหาอย่างอื่นทำดีหรือไม่ หากเจ้าสองคนเป็นอะไรไปอีกแม่จะทำยังไง ลูก ๆ ของพวกเจ้าจะอยู่ยังไง” นางฟางรีบพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงเพราะเหตุการณ์ที่ลูกชายลูกสะใภ้บาดเจ็บในตอนนั้นติดอยู่ในใจนางตลอดมา ถึงจะยากจนหน่อยแต่ก็ยังพอปลูกพืชผักออกมาขายได้นางจึงไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นไม่ว่ากับใครก็ตาม“ท่านแม่อย่าได้เป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะพาเสี่ยวหลางไปด้วยพวกเราไม่ได้เข้าป่าลึ
ทั้งสองคนเดินเข้าป่าหมอกลึกเข้าไปเรื่อย ๆ หมอกก็เริ่มหนาเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนกับอีกหนึ่งตัวเดินยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่หมอกก็ยิ่งหนามากขึ้นอีก แต่พอพวกเขาเดินผ่านหมอกที่หนาทึบลึกเข้ามากลับพบว่าภายในป่าชั้นในที่ลึกเข้ามาไม่มีหมอกเลยภาพตรงหน้าทำเอาฉีหลินตกตะลึงอ้าปากค้างเฟยเทียนเองก็มีท่าทางไม่ต่างกัน ภายในป่าหมอกชั้นใน ต้นไม้ทุกต้นสูงเสียดฟ้าป่าเขียวชอุ่มบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าได้เป็นอย่างดี“ข้างในนี้อุดมสมบูรณ์มากเลยนะเจ้าคะท่านพี่ แต่ทำไมชาวบ้านไม่เข้ามาหาของป่าล่าสัตว์ในป่าหมอกล่ะเจ้าคะ จากที่เราเข้าป่ามายังไม่พบเจอสัตว์ป่าดุร้ายเลยนะเจ้าคะ”“อาจจะเป็นเพราะพวกชาวบ้านเดินเข้ามาก็เจอกับกำแพงหมอกและมีบางคนหลงทางทำให้หาทางออกไม่เจอก็เป็นได้”“ข้าก็คิดเช่นเดียวกันกับท่านพี่ หากว่าเราไม่มีเสี่ยวหลางมาด้วยไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะหลงทางอยู่ในกำแพงหมอกก็เป็นได้”“คงเป็นเช่นนั้น”เสี่ยวหลางบอกกับฉีหลินว่ามันจะไปล่าหมูเพื่อเอากลับไปให้เพื่อนตัวน้อยทั้งสองของมัน ฉีหลินเองอดค่อนแคะมันในใจไม่ได้ว่าตกลงท่านเทพส่งให้มาเป็นตัวช่วยของนางหรือมาเป็นพี่เลี้ยงลูกของนางกันแน่ฉีหลินกับเฟยเท
เฟยเทียนบังคับเกวียนเข้ามาในเมืองและมุ่งหน้าไปยังเหลาอาหารหมื่นลี้ เมื่อมาถึงจุดรับซื้อของเสี่ยวเอ้อร์ที่ทำหน้าที่รับซื้อของจากชาวบ้านรีบเดินมาต้อนรับทันที“เชิญจอดเกวียนด้านนี้เลยขอรับ ไม่ทราบว่าท่านนำอะไรมาขายให้เหลาหมื่นลี้ของเราหรือขอรับ ขอข้าตรวจดูได้หรือไม่”“ย่อมได้อยู่แล้ว เชิญเจ้ามาตรวจสอบดูได้”เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นสิ่งที่อยู่บนเกวียนทันทีที่คนบนเกวียนยกเสื่อไม้ไผ่ออกเขาได้แต่ตกตะลึงตาค้าง ก่อนที่จะบอกให้เฟยเทียนเอาเสื่อไม้ไผ่คลุมกลับไปเช่นเดิมจากนั้นเขาก็กลับหลังหันวิ่งเข้าไปตามหลงจู๊ทันที“นะ.. นะ นี่มัน กะ. กะ กวางดาว ท่านช่วยเอาเสื้อคลุมเอาไว้ก่อนนะขอรับ ข้าจะไปตามหลงจู๊เดี๋ยวนี้”เสี่ยวเอ้อร์วิ่งหน้าตั้งกลับเข้าไปด้านใน เพื่อไปตามหลงจู๊ของเหลาอาหารหมื่นลี้มาเป็นผู้เจรจาซื้อขายในครั้งนี้ เพราะตั้งแต่เขามาทำงานในตำแหน่งเสี่ยวเอ้อร์รับซื้อก็ไม่เคยมีใครเอากวางมาขายเลยสักครั้ง เขาเองไม่สามารถตัดสินใจได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องให้หลงจู๊มาตัดสินใจด้วยตัวเอง“หลงจู๊ขอรับ ท่านช่วยออกไปเจรจาที่จุดรับซื้อได้หรือไม่ขอรับ พอดีมีของที่ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้มาขายขอรับ”“ของอะไรของเจ้า
ฉีหลินที่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการล้างทำความสะอาดเครื่องในหมูอยู่เป็นเวลานานในที่สุดเครื่องในหมูทั้งหมดก็ถูกนำมาตุ๋นรวมกับหัวหมู ในส่วนของไส้อ่อนนางนำไปคลุกเกลือและใส่ไหเอาไว้ไม่ได้นำมาทำอาหารสำหรับวันนี้กลิ่นหอมของหมูตุ๋นลอยตลบอบอวนไปทั้งบ้าน เฟยเทียนที่รับหน้าที่ย่างหมูอยู่ถึงกับต้องกลืนน้ำลาย หมูที่ภรรยาของเขาหมักด้วยเครื่องเทศจนได้ที่จากนั้นเขารับหน้าที่เป็นคนย่างหมู ถึงแม้ว่าหมูที่เขากำลังย่างอยู่จะส่งกลิ่นหอมมากมายขนาดไหนแต่ตอนนี้กลิ่นของหมูตุ๋นได้กลบกลิ่นหมูย่างไปโดยสิ้นเชิง“ท่านพ่อ ท่านแม่ทำอาหารอะไรกันแน่ขอรับ หอมกว่าหมูย่างของเราอีก” เจี้ยนเอ๋อร์“นั่นสิขอรับท่านพ่อ ท่านแม่ทำอาหารได้หอมถึงเพียงนี้จะต้องเป็นของอร่อยแน่ ๆ เลยขอรับ” เฉิงเอ๋อร์“พ่อว่าพวกเจ้าสองคนเช็ดน้ำลายก่อนดีหรือไม่ ประเดี๋ยวมันจะหยดใส่หมูที่กำลังย่างอยู่”“ท่านพ่อพวกข้าไม่ได้กำลังน้ำลายไหลเสียหน่อย” เจี้ยนเอ๋อร์ที่ยกมือขึ้นเช็ดปากแต่กลับพบว่าตัวเองโดนบิดาแกล้งเข้าให้แล้ว“ข้าไปหาท่านแม่ในครัวดีกว่า ไปดูว่าท่านแม่ทำอะไรกันแน่” เฉิงเอ๋อร์“รอข้าด้วย ข้าไปด้วย” เจี้ยนเอ๋อร์เฟยเทียนได้แต่มองตามหลังลูกชายทั
ในที่สุดวันที่บ้านของพวกเขาสร้างเสร็จแล้วก็มาถึง วันนี้นายช่างทำการส่งมอบบ้านให้กับครอบครัวหยาง บ้านหลังใหญ่สวยงามและแปลกตา จนทำให้เป็นที่กล่าวขานของชาวบ้านไปหลายวันเมื่อนายช่างพาคนกลับไปจนหมดแล้ว ทุกคนจึงได้ช่วยกันทำความสะอาดบ้านและห้องหับต่าง ๆ เจี้ยนเอ๋อร์และเฉิงเอ๋อร์มีห้องเป็นของตัวเองทำให้เด็กทั้งสองดีใจเป็นอย่างมาก พวกเขาใช้เวลาทำความสะอาดบ้านและจัดของให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อยดีแล้ว ของที่ติดตัวมาจากบ้านเก่ามีไม่มาก จึงจำเป็นต้องซื้อเพิ่มอีกหลายอย่าง ทั้งครอบครัวจึงได้ตกลงกันว่าพรุ่งนี้หลังจากรดน้ำดูแลสวนผักและผลไม้เสร็จแล้วพวกเขาจะเข้าเมืองเพื่อซื้อเครื่องเรือนและสิ่งของจำเป็นในบ้าน รวมถึงซื้อข้าวสารและธัญพืชมาเติมห้องเก็บเสบียง“ท่านแม่พักสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ข้ากับน้องเล็กจะทำมื้อค่ำเอง”“ได้ แม่ฝากพวกเจ้าด้วย”“ส่วนพวกเจ้าตามท่านพ่อกับท่านอาไปอาบน้ำเตรียมตัวกินข้าว”“ขอรับท่านแม่ ไปกันเถอะพวกเราไปอาบน้ำกัน” เจี้ยนเอ๋อร์ก่อนที่จะทำอาหารเย็นฉีหลินให้สามีของนางก่อกองไฟที่ลานหลังบ้านวันนี้นางจะเอาขาหมูที่หมักเกลือเอาไว้มารมควันเพื่อเก็บเอาไว้เป็นเสบียงในฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้
ในตอนที่ประมุขมารได้ตายไปพร้อมกับดวงจิตที่แตกสลาย แต่ทว่ากลับไม่ได้แตกสลายไปทั้งหมด ยังมีดวงจิตอีกเสี้ยวได้หลุดลอยไปเกิดใหม่ในอีกภพชาติหนึ่ง เกิดใหม่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถระลึกชาติได้ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เพียงใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ประมุขมารร่ำร้องขอความเมตตาจากสวรรค์ก่อนที่เข้าจะแหลกสลายไปหวังฉีหลินและเฟยเทียนกลับถึงหมู่บ้านป่าหมอก ทุกอย่างนางไม่คิดว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ในที่สุดประมุขมารก็คิดได้เสียที และหวังว่าพรที่นางและสามีร้องขอกับท่านมหาเทพนั้นจะทำให้ประมุขมารไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี มีความสุขและมีภรรยาที่รักเขามากแล้วก็ขอให้ทั้งสองคนเป็นคู่ด้ายแดงทุกภพทุกชาติไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางและสามีทำได้หลังจากที่หมดปัญหา หมดสงคราม ทุกคนก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข แคว้นหลงอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี และข่าวการกลับมาขององค์ชายแปดผู้หายสาบสูญ ตอนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ที่ดินศักดินาหมู่บ้านป่าหมอกและหมู่บ้านใกล้เคียงอีกสามหมู่บ้าน หวังฉีหลินทิ้งงานให้ลูกชายทั้งหลายแล้วหนีไปท่องเที่ยวกับสามี ทั้งสองคนออกไปท่องโลกกว้าง และมักจะนำผลไม้หรือพืช
หลังจากที่ประมุขมารได้รับสารท้ารบจากเฟยเทียน ทำให้เขาได้รู้ว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนบุรุษผู้กระหายสงครามและพร้อมจะทำลายศัตรูตรงหน้าให้ย่อยยับได้ทุกเมื่ออย่างแม่ทัพสวรรค์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยถึงแม้ในชาติภพนี้เขาจะลงมาจุติในดินแดนของมนุษย์แต่ความสามารถของเขายังติดตัวมานั่นไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้มหาเทพจะไม่ค่อยชอบหน้าลูกเขยสักเท่าไหร่ แต่มหาเทพผู้รักลูกสาวยิ่งกว่าสิ่งใดย่อมไม่มีทางให้นางลำบากส่วนมารอย่างตัวเขาเล่าทำอันใดได้บ้าง เป็นเขาเองที่ไปตกหลุมรักนางข้างเดียว เป็นเขาเองที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเขาเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง เขารู้ตัวเองดีด้วยพลังของตัวเขาเองยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด ต่อให้สู้จนตัวตายก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองได้ถึงแม้จะเอาชนะแม่ทัพสวรรค์ได้แล้วธิดามหาเทพจะชายตาแลเขาหรือก็ไม่ นางไม่เพียงไม่ชายตาแลหากแต่นางคงแก้แค้นเขาที่ทำให้สามีของนางต้องมีอันเป็นไป นอกจากจะไม่ได้ความรักแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือความเกลียดชังต่างหากที่นางจะหยิบยื่นให้เขาแล้วเหตุใดเขาถึงได้หน้ามืดตามัวเช่นนี้อยู่ถึงแสนปี ประชาชนเผ่ามารล้วนล้มตายไปตั้งเท่าไหร่ น้องชายคนเดียวของเขาที่เฝ้าเตือนสติเขาอยู่ตลอด
เวลาผ่านไปแล้วนับเดือน ตอนนี้กองกำลังที่ฉีหลินฝึกฝนขึ้นมาก็ออกจากด่านกักตนกันทุกคนแล้ว เวลานี้ฉีหลินกับสามีพร้อมด้วยเหล่าสัตว์เทพพร้อมไปเยือนเผ่ามารแล้วเฟยเทียนเองก็เห็นสมควรว่าไม่ควรปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ หลังจากจบปัญหานี้ได้เท่ากับภารกิจของภรรยาได้เสร็จสิ้นลงเช่นกัน ต่อจากนี้ไปพวกเขาสามีภรรยาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียทีหลังจากกำหนดวันเคลื่อนพลได้แล้วฉีหลินก็ให้ทุกคนได้พักผ่อนให้เต็มที่ และเตรียมข้าวของที่จำเป็นใส่ลงในแหวนมิติให้เรียบร้อย ทั้งอาหารการกิน ยารักษาต่าง ๆ ทุกคนต่างเตรียมไปให้พร้อมสรรพ ด้วยศึกครั้งนี้อีกฝ่ายคือเผ่ามารไม่รู้ว่าจะมีฝีมือร้ายกาจขนาดไหน แต่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนายท่านและนายหญิงว่าจะนำพาพวกเขากลับบ้านมาอย่างปลอดภัยเฟยจิน เฮ่ออี และฮั่นเหวินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการรบในครั้งนี้ ลูก ๆ ของเฟยเทียนทุกคนก็เช่นเดียวกัน ส่วนสัตว์เทพที่คอยดูแลความปลอดภัยที่หมู่บ้านป่าหมอกมีเพียงต้าเซี่ยกับเสี่ยวเสวียนอู่เพียงสองตัวเท่านั้นส่วนเสี่ยวหลาง เสี่ยวหู่ เสี่ยวเฮย เสี่ยวรุ่ยจื่อ และพี่ใหญ่อย่างจินหลงล้วนเข้าร่วมการรบในครั้งนี้ คนที่กระตือรือร้นมากที่สุดคื
ไป๋อี้ถังผู้โสดสนิท ครองตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ประหนึ่งนักพรตผู้ทรงศีล อีกทั้งรังเกียจสตรีมากเล่ห์ หลังจากออกจากด่านกักตนมา เขาก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนัก ไม่มีภรรยาและบุตรให้ดูแล เวลาทั้งหมดที่มีนอกจากฝึกฝนพลังปราณแล้ว เวลาส่วนที่เหลือเขาจึงเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ในสำนักศึกษาด้วยความเข้มงวดในเวลาต่อมา อาจารย์ใหญ่ไป๋อี้ถังจึงมีฉายาว่า อาจารย์ใหญ่จอมโหด หากใครไม่ทำการบ้านมาส่งก็จะโดนลงโทษให้ไปวิ่งรอบสถานศึกษา อีกทั้งยังจะต้องทำการบ้านในครั้งหน้ามากกว่าคนอื่นสองเท่าเท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องเขียนจดหมายสำนึกผิดอีก 100 จบ และไปเก็บมูลทำความสะอาดคอกของสือเอ้อร์กับสืออีแทนคนงานในไร่ แถมยังต้องถูกเจ้าสือเอ้อร์กับสืออีกลั่นแกล้งจนหน้าทิ่มกองอึอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไม่ทำการบ้านอีกเลยวันนี้เป็นวันที่ไป๋อี้ถังว่างมาก มากที่สุด วันนี้เป็นวันหยุดของสถานศึกษา ไป๋อี้ถังจึงคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมือง และหาซื้อพู่กันกับแท่นฝนหมึกเพิ่มเพราะเท่าที่เขามีอยู่ตอนนี้ใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้วจากนั้นเขาตั้งใจว่าจะชวนสหายทั้งสามของเขาไปด้วยกัน แต่กลับไม่มีใครไปเพราะแต่ละคนต้องการอยู่กับภรรยาแ
หลังจากที่เฟยเทียนกับฉีหลินเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านป่าหมอกพร้อมลูกชายและเหล่าสหาย หนึ่งเดือนให้หลังเฟยจินก็กลับมาพร้อมกับฮั่นเหวินและเฮ่ออี หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้และรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน รวมถึงส่งรายชื่อหนอนให้กับเบื้องบนแล้ว ตัวเขาเองก็หมดหน้าที่ ตอนนี้สงครามสงบลงแล้ว ทั้งสามจึงได้ยื่นหนังสือขอลาพักกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมบิดามารดาไป๋อี้ถังและสหายทั้งสามจะเข้าด่านกักตนเพื่อฝึกฝนในอีก 3 วันข้างหน้า โดยผู้ที่จะรับหน้าที่สั่งสอนศิษย์ในสถานศึกษาก็คือราชครูไป๋หย่งเต๋อที่เดินทางตามหลังเฟยจินได้เพียง 7 วันนอกจากไป๋หย่งเต๋อแล้วยังมีไป๋เจิ้นกั๋วเจ้ากรมอาญา เดินทางมาพร้อมกับไท่ปิงองครักษ์ประจำตัว นับเป็นการรวมตัวกันระหว่างองครักษ์เลยก็ว่าได้ เซียวหลางตัดสินใจแต่งงานและติดตามไป๋อี้ถัง ม่อถูเองก็เช่นเดียวกัน มีเพียงไท่ปิงเท่านั้นที่มีหน้าที่ดูแลไป๋เจิ้นกั๋วที่เมืองหลวงไท่ปิงเองก็อยากจะมีชีวิตเฉกเช่นสหายทั้งสองบ้าง เขาเองก็คงต้องเร่งฝึกองครักษ์ขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้ทำหน้าที่แทนเขา ส่วนตัวเขาเองจะตามมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านป่าหมอกแห่งนี้ตามสหายทั้งสองคนวันนี้ฉีหลินเรียกประชุมหน่วยลับที่เป
เฟยเทียนพาภรรยามุ่งหน้ากลับหมู่บ้านป่าหมอกทันที หลังจากจัดการทั้งสองแคว้นเรียบร้อยแล้ว และด่านสุดท้ายของภารกิจในครั้งนี้ก็คือจัดการกับเผ่ามารให้เด็ดขาด หากไม่กำจัดประมุขเผ่ามารเสียตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าก็จะเกิดปัญหาเช่นนี้อีก มีเพียงกำจัดประมุขมารให้ได้เท่านั้นทุกคนจะได้ไม่เดือดร้อน ตอนนี้มีข่าวส่งว่าอ๋องมารน้องชายเพียงคนเดียวของประมุขมารได้หนีออกจากเผ่ามารไปตั้งรกรากที่อื่นแต่เดิมอ๋องมารก็ไม่เห็นด้วยกับประมุขมารเรื่องยึดดินแดนมนุษย์ แต่ไหนเลยประมุขมารผู้เป็นพี่ชายจะยอมฟัง ในเมื่อมันเป็นความแค้นใจที่มีต่อธิดามหาเทพและสามี ต่อให้อีกนับล้านปีประมุขมารก็วางความแค้นในใจลงไม่ได้“ไม่รู้ว่าเจ้าสามแสบจะทำเรื่องปวดหัวให้ท่านพ่อกับท่านปู่มากมายเพียงใด โดยเฉพาะลูกสาวของท่านพี่ ป่านนี้ไม่ใช่พี่อี้ถังปวดหัวจนผมขาวหมดหัวแล้วหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า ไม่ขนาดนั้นกระมัง ลูกสาวของเราออกจะน่ารัก อีกอย่างพี่อี้ถังก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือไม่ได้เลยนี่นะ”“ท่านพี่ก็เข้าข้างนางตลอดล่ะเจ้าค่ะ อีกหน่อยนางก็เสียคนพอดี”“ไม่ใช่ว่านางกลัวท่านแม่อย่างเจ้าอยู่หรอกหรือ เอาน่าลูกยังเด็กอยู่ยังไม่รู้ความ มีพวกต้าเซี่ยอย
ในท้องพระโรงตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำคราญของบรรดาองค์หญิงและเหล่าสนมของฮ่องเต้ ส่วนเหล่าองค์ชายนั้นในใจต่างคิดว่าพวกเขาจบเห่แล้วคราวนี้ ยังไม่ทันได้ลงมือช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทแต่เสด็จพ่อกลับทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ ตอนนี้คนของแคว้นหลงบุกมาจัดการพวกเขาถึงในวังหลวงแห่งนี้ เช่นนั้นที่ชายแดนก็คงจะพ่ายแพ้เช่นเดียวกัน“มีอะไรจะพูดหรือไม่ แต่เอาจริง ๆ ไม่ต้องพูดหรอกเสียเวลา ข้าเข้าใจ เสี่ยวเฮยจัดการด้วยล่ะ เอาให้สะอาด” ฉีหลิน“จัดการให้เรียบร้อยจะได้รีบไปจัดการต่อ ข้าอยากกลับบ้านคิดถึงลูก” เฟยเทียนฮ่องเต้แคว้นอู๋มองดูสองสามีภรรยาสั่งงานเจ้าบุรุษชุดดำด้วยความไม่เข้าใจ อะไรคือจัดการให้เรียบร้อย อะไรคือเอาให้สะอาด พูดจาให้คนฟังแล้วไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ แต่ช่วยเห็นหัวเขาหน่อยจะได้หรือไม่“อ้อ เสี่ยวเฮย ช่วยปล่อยฮองเฮากับองค์ชายและองค์หญิงที่เกิดจากพระนางด้วย มีคนต้องการพบพวกเขา”“ได้ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้”“ขอบใจ ท่านพี่ไปกันเถอะเจ้าค่ะ เรายังมีอะไรที่ต้องทำต่อ”“อืม เสี่ยวเฮยจัดการให้เรียบร้อยอย่าให้เล็ดลอดออกไปได้แม้แต่คนเดียวเข้าใจหรือไม่”เฟยเทียนเดินตามหลังภรรยาออกไปจากท้องพระโรง ท่าม
ในวันที่ฉีหลินกับเฟยเทียนตัดสินใจลักลอบเข้าวังหลวงแคว้นอู๋ ทางชายแดนแม่ทัพแคว้นอู๋ตัดสินใจนำทัพเข้าบุกแคว้นหลงทันทีโดยมีทัพมารเข้ามาแทรกแซงทำให้กำลังทหารของทางฝั่งแคว้นอู๋มีจำนวนเพิ่มมาหลายพันคนในเมื่อเผ่ามารมือยืดมือยาวถึงเพียงนี้ เสี่ยวเฮยเองก็ย่อมลิ้นยืดลิ้นยาวได้เช่นเดียวกัน ในตอนแรกที่เสี่ยวเฮยยังไม่ได้กลับไปอยู่ในร่างของมังกรทมิฬนั้น ย่อมไม่มีใครเกรงกลัวแต่หลังจากเผ่ามารเข้ามาแทรกแซงทำตัวเป็นกำลังเสริมให้กับแคว้นอู๋ เสี่ยวเฮยจึงเห็นว่าไม่ควรจะปิดบังตัวเองอีกต่อไป มันจึงได้กลับร่างเป็นมังกรทมิฬขนาดใหญ่กว่าที่เผ่ามารจะได้รู้ความจริงก็โดยกินไปจนเกือบหมดเสียแล้ว ยิ่งกลืนกินสิ่งชั่วร้ายไปมากเท่าไหร่ขนาดตัวของเสี่ยวเฮยก็ขยายขึ้นใหญ่มากเท่านั้น ตอนนี้ที่กำลังทหารของแคว้นอู๋เห็นเสี่ยวเฮยกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น ก็ตัดสินใจกันแล้วว่าจะหนีเอาตัวรอดถึงแม้ว่าแม่ทัพจะไม่สั่งถอยทัพแต่ใครก็ย่อมกลัวตาย ต่างคนต่างรักชีวิตของตัวเองเมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทิ้งอาวุธออกวิ่งทันทีส่วนเสี่ยวเฮยที่กินเผ่ามารไปแล้วยังรู้สึกว่าไม่อิ่มเท่าไหร่ ต่างจ้องมองไปที่กำลังทหารของแคว้นอู๋ด้วยสายตาวาววั
ในขณะที่ฉีหลินกับเฟยเทียนเข้าไปในแคว้นอู๋อย่างราบรื่น ตอนนี้พวกเขาหาที่พักในเมืองหลวงของแคว้นอู๋ได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนปลอมตัวเป็นตายาย เปิดร้านขายบะหมี่ในตลาดนับว่าเป็นงานที่ท้าทายมากสำหรับเฟยเทียน งานขายบะหมี่นี้เขารับหน้าที่เป็นคนทำบะหมี่ ส่วนภรรยาอย่างฉีหลินนั้นทำหน้าที่เก็บเงิน ส่วนผู้ติดตามทำหน้าที่เสี่ยวเอ้อร์ พวกเขาเช่าร้านบะหมี่ต่อจากเจ้าของเดิมที่เก็บของเตรียมตัวย้ายไปอยู่กับลูกชายที่บ้านเกิดในระหว่างที่ท่านพ่อและท่านแม่ไปทำหน้าที่ทำภารกิจเพื่อความสงบสุข แต่ลูกน้อยทั้งสามคนที่หมู่บ้านป่าหมอกนั้นไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับ 3 คนแก่ที่บ้านสักเท่าไหร่ ไป๋อี้ถังเองยังไม่สามารถรับมือกับหลานน้อยทั้งสามคนได้ เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะอับจนหนทางถึงขนาดนี้ เจ้าสามคนนี่เกิดมาเพื่อสร้างความปั่นป่วนจริง ๆ“ท่านยุงถัง อันนี้ฉือไร” ฟางเซียน“หนังสือวรยุทธ์เบื้องต้น” ไป๋อี้ถัง“ท่านยุงถัง ฉอน เซียนเอ๋อร์ยักเรียน”“ฟางเซียนลุงว่าตอนนี้เจ้าไปนอนกลางวันกับน้องชายทั้งสองของหลานดีหรือไม่ เอาไว้รอให้เจ้าโตกว่านี้ลุงจะสอนให้ทุกอย่างเลย ต้าเซี่ย มาพาคุณหนูของเจ้าไปนอนกลางวันได้แล้ว”“แต่เซียนเอ๋อร์ไม่