หลังเพลงร็อกจบลง ชายหญิงที่อยู่ในฟลอร์เต้นรำยังคงทยอยเข้าไปอย่างต่อเนื่องนักร้องที่อยู่บนเวทีลงจากเวที เบื้องหลังตัดเพลงที่อินโทรฟังสบาย ๆ ขึ้นมาเพลงหนึ่ง ก่อนจะส่งไมโครโฟนให้ฟู่เจิงฟู่เจิงเดินขึ้นเวทีไป เงาร่างที่สูงตระหง่านยืนอยู่ภายใต้แสงไฟ ใบหน้าอันหล่อเหลาทำเอาผู้คนละสายตาไม่ได้“เมื่อดวงดาวที่อยู่ตรงเส้นขอบฟ้าปรากฏขึ้น...”เสียงผู้ชายประสานเข้ามาตามจังหวะ เย็นชาและเหินห่าง เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งเป็นเพลงความรักที่สวรรค์ลิขิตของคุณหลี่เจี้ยน“เธอรู้ไหมฉันเริ่มคิดถึงเธออีกแล้ว แม้จะรักมากแค่ไหนก็ทำได้เพียงมองอยู่ห่าง ๆ ดั่งเช่นแสงจันทร์สาดส่องไปบนผืนทะเล...”เวินเหลียงมองเงาร่างที่อยู่บนเวทีพลางเลิกคิ้ว เธอถือโทรศัพท์ขึ้นมาเริ่มกดอัดบันทึกก่อนหน้านี้เธอไม่เคยฟังฟู่เจิงร้องเพลงมาก่อนเลยเธอรู้แค่ว่าเขาเล่นเปียโนเป็น แต่นึกไม่ถึงว่าจะร้องเพลงเพราะขนาดนั้นด้วยตอนแรกเธอยังมีเจตนาเย้ยหยันอยู่สองสามส่วน ทว่ายิ่งฟังก็ยิ่งจมดิ่งสู่ความลุ่มหลง“พวกเราที่ยังเยาว์วัยเคยคิดว่า คนที่รักกันจะไปถึงนิรันดร เมื่อเราเชื่อว่าความรักลึกซึ้งจนมาคบกัน ไม่ได้ยินเสียงลมหายใจในสายลม ใคร
ไหนจะเอสเอไร้มารยาทที่ร้านเสื้อผ้านั่นอีก!เจียงเฉิงนี่มันเมืองเฮงซวยอะไรกัน ทำไมถึงมีแต่พนักงานแปลก ๆ!?ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งโกรธ เธอเอ่ยขึ้นอย่างเดือดพล่านว่า “เธอเดินยังไงของเธอเนี่ย? ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือบ้างหรือไง?! ชุดของฉันชุดนี้ราคาสี่แสนเชียวนะ เธอชดใช้ไหวเหรอ?”พนักงานเสิร์ฟรีบเอ่ยขอโทษ “ขอโทษนะคะ ขอโทษจริง ๆ ค่ะ คุณส่งชุดไปร้านซักรีดได้เลยค่ะ ฉันจะชดใช้ค่าซักรีดให้คุณเองค่ะ...”“ค่าซักรีด? ฉันขาดแคลนค่าซักรีดแค่ไม่กี่สตางค์นั่นหรือไง? ชดใช้เงินมาสี่แสน ห้ามขาดไปแม้แต่บาทเดียว!”พนักงานหน้าซีดเผือด “คุณใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ...”“ฉันใจเย็นมาก ฉันมีข้อเรียกร้องเพียงข้อเดียวคือชดใช้เงินมาซะ!”“ขอโทษด้วยนะคะ ต้องข้ออภัยด้วยค่ะข้อนี้ฉันทำไม่ได้จริง ๆ”“ผู้จัดการของพวกเธอล่ะ?!”“ฉันจะไปเรียกเขามาให้คุณเดี๋ยวนี้ค่ะ ถึงยังไงเดิมทีฉันก็จะลาออกอยู่แล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่มาทำงานแล้ว”ใครจะไปรู้ได้ว่าจะซวยขนาดนี้ ที่ต้องมาเจอคนตรงหน้าคนนี้ ตัวเองเดินมาชนเองแท้ ๆ ยังมาเรียกร้องเยอะแยะอีก“เธอ...ฉันจะแจ้งตำรวจ!”“แจ้งตำรวจให้มาจับตัวคุณเองเหรอ?” เวินเหลียงเดินเข้าไปหญิงสาวหันหน้
เหมือนว่าเซี่ยมู่จะมองอะไรบางอย่างออก เวินเหลียงรู้จักกับผู้หญิงที่ไร้เหตุผลที่ชื่อหลินอี้หน่วนตรงหน้าคนนี้ฉวยโอกาสในตอนที่ทั้งสองคนมีปากเสียงกัน เวินเหลียงส่งสายตาให้เธอ บอกเป็นนัยว่าให้เธอออกไปก่อนเซี่ยมู่ไม่ไป ถ้าเธอออกไปหลินอี้หน่วนได้ไปคิดบัญชีเวินเหลียงแทนแน่หลินอี้หน่วนคงไม่คิดจะแจ้งตำรวจจริง ๆ เธอจ้องมองเวินเหลียงเขม็งทีหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปเห็นเงาเบื้องหลังของเธอหายไปตรงมุมโค้ง เวินเหลียงก็ชักสายตากลับมาแล้วหันไปยิ้มให้เซี่ยมู่ “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะคุณเวิน”“ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อกี้ฉันได้ยินคุณบอกว่า วันนี้จะมาทำงานที่นี่เป็นวันสุดท้าย?”“อืม” เซี่ยมู่อธิบาย “ก่อนหน้านี้พ่อฉันสุขภาพไม่ค่อยดี ฉันเลยดรอปเรียนเอาไว้ ตอนนี้สุขภาพพ่อฉันดีขึ้นมากแล้ว ฉันเลยอยากไปทำเรื่องเข้าเรียนใหม่น่ะค่ะ”“ดีใจด้วยนะคะที่คุณลุงหายแล้ว”“ขอบคุณค่ะ ฉันไปเอาไม้กวาดมากวาดตรงนี้ก่อนนะคะ”“ไปเถอะค่ะ”เวินเหลียงเองก็จะไปห้องน้ำเช่นกันหลังกลับมาจากห้องน้ำ เธอก็เห็นว่าที่นั่งตรงหน้าฟู่เจิงที่เดิมที่ตนเคยนั่งมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่พอเข้าไปมองใกล้ ๆ เป็นหลินอี้หน
ฟู่เจิงมองหูและแก้มที่ค่อย ๆ แดงระเรื่อไปด้วยเลือดฝาดของเธอ นัยน์ตาพลันประกายรอยยิ้ม เขาคว้ามือน้อย ๆ ที่อ่อนนุ่มและขาวผ่องของเธอเอาไว้ “อาเหลียง ตอนนี้เรา...”เวินเหลียงชะงักไปพร้อมหันหน้ามามองเขา “ตอนนี้เราทำไม?”“ตอนนี้เรานับว่าคืนดีกันหรือยัง?”เวินเหลียงกระตุกยิ้มมุมปากที่แฝงไปด้วยความสดใสและพราวเสน่ห์ “ฟู่เจิง คุณคิดมากเกินไปแล้ว”“ไม่ต้องพูดว่าเมื่อคืนระหว่างเราไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ต่อให้เกิดขึ้นแล้วนั่นก็ไม่มีอะไร โต ๆ เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ใครยังจะฝังใจกับคนคนเดียวจนไม่ยอมแต่งงานกับคนอื่นเพราะความสุขสำราญเพียงแค่คืนเดียวกันล่ะ? แถมสถานการณ์เมื่อวานคุณก็เป็นคนบังคับขืนใจฉันด้วย”“คุณควรเปลี่ยนความคิดได้แล้ว อย่าทำตัวอย่างกับคนแก่คร่ำครึ”“ฉันจะพูดกับคุณให้ชัดเจนนะ ฉันไม่มีความคิดที่จะกลับไปแต่งงานใหม่กับคุณอีก ฉันคิดว่าอยู่คนเดียวก็ดีอยู่แล้ว”เวินเหลียงพอใจกับสถานะของตัวเองในตอนนี้เป็นอย่างมากอยู่ตัวคนเดียวอยากทำอะไรก็ทำถึงจะชอบฟู่เจิง แต่จะให้ชีวิตของตัวเองหมุนรอบฟู่เจิงไม่ได้ถ้าฟู่เจิงมาหาเธอ เธอก็จะรับมือ แต่ถ้าเขาไม่มาหาเธอ เธอก็ทำเรื่องของตัวเองไปคำว่าแฟน คำว
แม้เวินเหลียงจะบอกว่าไม่มีความคิดจะกลับไปแต่งงานใหม่กับเขา แต่ฟู่เจิงยังสัมผัสได้เช่นเดิมว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเวินเหลียงดูแน่นแฟ้นขึ้นมากดูสนิทกว่าตอนยังไม่หย่าเสียด้วยซ้ำตอนนั้นโดยพื้นฐานแล้วเธอจะไม่โต้เถียงเขา หรือปฏิเสธเขาเรียกได้ว่าเชื่อฟัง และเรียกได้ว่าห่างเหิน ขี้เกรงใจ มีมารยาททว่าตอนนี้เธอเริ่มสนิทสนมกับเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เธอเผยอารมณ์ขี้หงุดหงิด นิสัยเอาแต่ใจของตัวเองต่อหน้าเขา มันยิ่งทำให้เขาชอบ และไม่จงใจใช้คนอย่างเมิ่งเซ่อ เฮ่อหมิงมายั่วให้เขาโกรธอีกบางทีถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ต้องมีสักวันที่เวินเหลียงจะคืนดีกับเขาทว่าตอนนี้เขาจำเป็นต้องจัดการสิ่งกีดขวางระหว่างพวกเขาอย่างหนึ่งก่อนขณะที่ฟู่เจิงเยื้องย่างเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย ฟู่ชิงเยว่กำลังกินข้าวเที่ยงอยู่เธอยิ้มพลางมองฟู่เจิงทีหนึ่ง “อาเจิงมาแล้วเหรอ? กินข้าวเที่ยงหรือยัง ไม่งั้นมากินด้วยกันไหม?”ฟู่เจิงมองเธอลงไปจากเบื้องบน “ไม่ละครับ คุณอา ผมมาพูดไม่กี่ประโยคเดี๋ยวก็ไปแล้ว”ฟู่ชิงเยว่สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่อยู่ในน้ำเสียงของฟู่เจิง เธอเงยหน้าขึ้นมาด้วยทีท่าจริงจัง “เธอจะพูดอะไร?”ฟู่เจิงโ
“ใช่ครับ ในคำสารภาพของเขาพูดถึงฉู่ซืออี๋อยู่สองสามครั้ง ล้วนปรากฏตัวขึ้นมาในฐานะของเหยื่อ แถมยังอธิบายการทรมานที่ฉู่ซืออี๋เผชิญหลังถูกลักพาตัวอย่างละเอียดอีกด้วย”ส่วนวัตถุประสงค์ที่ฟู่เยว่บงการให้พวกเขาลักพาตัวฉู่ซืออี๋ จางกั๋วอันก็สารภาพออกมาว่า โปรเจกต์ที่ฟู่เจิงเข้าร่วมตอนนั้นอยู่ในช่วงเวลาสำคัญพอดี ฟู่เยว่ไม่อยากให้ฟู่เจิงได้สร้างความดีความชอบเวินเหลียงเงียบไปในด้านความรู้สึก เธอยอมเชื่อฟู่เจิงกับฟู่เยว่มากกว่า เชื่อว่าฟู่เยว่ไม่ใช่คนบงการเธอจินตนาการไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าหลังจากที่ฟู่เยว่ทำให้พ่อเธอตายแล้วเขายังปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นน้องสาวแท้ ๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ทว่าหากคิดในแง่มุมของเหตุและผล มาถึงขั้นนี้แล้วจางกั๋วอันยังมีเหตุผลอะไรให้ต้องโกหกอีก?เขาสารภาพเรื่องทั้งหมดแล้ว ตัวเองก็หนีไม่พ้น แล้วยังจะไปปกป้องฉู่ซืออี๋อีกเหรอ?ฉู่ซืออี๋มีอะไรที่ควรค่าให้เขาปกป้องกัน?แต่ฉู่ซืออี๋เคยลอบส่งข่าวให้เมิ่งจินถังจริง ๆ เรื่องนี้จะอธิบายยังไง?เธอถามขึ้นว่า “คุณอาคะ ทางคุณอาสืบเจออะไรบ้างไหมคะ? มีแนวโน้มว่าจะสรุปไปในทิศทางไหนคะ?”ผู้กำกับครุ่นคิดพลางตอบ “ฟู่เยว่กับฉู
จู่ ๆ เวินเหลียงก็นึกถึงวันที่เธอตามฟู่เจิงไปบริษัทวันนั้น ฟู่เจิงเสร็จจากการประชุมกลับมาก็รีบออกไปหลังได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง ตอนกลับมาบนหน้าเต็มไปด้วยรอยแผล สะบักสะบอมไปทั้งตัว เอาแต่กอดเธอไม่พูดไม่จา อารมณ์ดูเปลี่ยนไปแปลก ๆ ไม่ว่าถามยังไงเขาก็ไม่ยอมปริปาก...เขาต้องรู้เรื่องในตอนนั้นแน่ฝั่งหนึ่งก็พี่ชายคนโตของเขา ฝั่งหนึ่งก็พ่อของเธอ ฉะนั้นหลังฟู่เจิงรู้เรื่องจึงไม่ได้บอกเธอทันที แต่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปสองสามวัน ถึงพาฟู่เยว่มามอบตัวก่อนจางกั๋วอันจะมาถึงเจียงเฉิงถ้าฟู่เยว่เป็นคนบงการ อย่างนั้นเป็นไปได้มากว่าความคิดที่ว่าโยนทุกอย่างไปให้ฉู่ซืออี๋ ฟู่เจิงจะเป็นคนต้นคิดออกมา บางทีในสองสามวันมานี้ อาจพอให้เขาไปเช็ดล้างหลักฐานบางส่วน และสร้างหลักฐานบางอย่างขึ้นมาก็ได้แต่ว่าฟู่เจิงจะใช้วิธีพรรค์นี้ช่วยให้ฟู่เยว่พ้นโทษเหรอ?เวินเหลียงไม่กล้าพูดอย่างเต็มปากว่ารู้จักฟู่เจิงดี แต่เธอรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น...ตอนแปดโมงเช้า ฮั่วตงเฉิงผลักประตูเดินเข้าไปในห้องรับรอง ฟู่ชิงเยว่นั่งดื่มชาด้วยท่าทางสุขุมอยู่ตรงหน้าโซฟาอยู่ก่อนแล้วเขาปิดประตูก่อนเดินเข้าไป ภายใต้สีหน้าเย็นชาแฝงค
นัยน์ตาฟู่ชิงเยว่ประกายความพอใจออกมาสายหนึ่ง “ฉันรู้แล้ว”…เวินเหลียงมาถึงยังสถานีตำรวจเวลาประมาณเก้าโมงเช้าหลังเธอบอกว่าขอเจอฉู่ซืออี๋ เจ้าหน้าที่ที่มารับหน้าเธอก็ลังเลอยู่สองวินาที “ตอนนี้ฉู่ซืออี๋พัวพันอยู่กับคดีอาชญากรรมสองคดี ว่ากันตามเหตุผลแล้วให้เจอไม่ได้ คุณเวินคะ ไม่งั้นคุณไปถามผู้กำกับการก่อนดีไหมคะ? ถ้าผู้กำกับการอนุญาตแล้วถึงจะเจอได้”เวินเหลียงคิดแค่ว่าเมื่อวานผู้กำกับการคงลืมแจ้งลูกน้อง “ตอนนี้คุณอาเขาอยู่ไหมคะ?”ไหน ๆ ก็มาถึงสถานีตำรวจแล้ว โทรไปหาอีกจะเป็นการเสียมารยาทเจ้าหน้าที่พยักหน้า “ผู้กำกับการอยู่ชั้นบนค่ะ”“โอเคค่ะ”เวินเหลียงหมุนตัวเดินขึ้นไปยังชั้นสองประตูห้องทำงานผู้กำกับการไม่ได้ปิดสนิท ประตูถูกเปิดแย้มไว้ช่องหนึ่งยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ เธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแว่วดังออกมา“...ถึงยังไงอาเยว่ก็เป็นหลานชายคนโตของตระกูลฟู่ ยังไงเราก็ทนมองดูเขาล่มจมไร้หนทางฟื้นคืนไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้”“อีกอย่างก็เป็นคดีเก่าที่ปิดคดีไปนานโขแล้ว นอกจากเวินเหลียงก็ไม่มีใครสนใจ อาเจิงต้องลำเอียงไปทางพี่ชายเขาแน่ ๆ เขาต้องเป็นคนออกความคิดนี้อย่างแน่นอน ทุกอย่างไร้ที