“ใช่ครับ ในคำสารภาพของเขาพูดถึงฉู่ซืออี๋อยู่สองสามครั้ง ล้วนปรากฏตัวขึ้นมาในฐานะของเหยื่อ แถมยังอธิบายการทรมานที่ฉู่ซืออี๋เผชิญหลังถูกลักพาตัวอย่างละเอียดอีกด้วย”ส่วนวัตถุประสงค์ที่ฟู่เยว่บงการให้พวกเขาลักพาตัวฉู่ซืออี๋ จางกั๋วอันก็สารภาพออกมาว่า โปรเจกต์ที่ฟู่เจิงเข้าร่วมตอนนั้นอยู่ในช่วงเวลาสำคัญพอดี ฟู่เยว่ไม่อยากให้ฟู่เจิงได้สร้างความดีความชอบเวินเหลียงเงียบไปในด้านความรู้สึก เธอยอมเชื่อฟู่เจิงกับฟู่เยว่มากกว่า เชื่อว่าฟู่เยว่ไม่ใช่คนบงการเธอจินตนาการไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าหลังจากที่ฟู่เยว่ทำให้พ่อเธอตายแล้วเขายังปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นน้องสาวแท้ ๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ทว่าหากคิดในแง่มุมของเหตุและผล มาถึงขั้นนี้แล้วจางกั๋วอันยังมีเหตุผลอะไรให้ต้องโกหกอีก?เขาสารภาพเรื่องทั้งหมดแล้ว ตัวเองก็หนีไม่พ้น แล้วยังจะไปปกป้องฉู่ซืออี๋อีกเหรอ?ฉู่ซืออี๋มีอะไรที่ควรค่าให้เขาปกป้องกัน?แต่ฉู่ซืออี๋เคยลอบส่งข่าวให้เมิ่งจินถังจริง ๆ เรื่องนี้จะอธิบายยังไง?เธอถามขึ้นว่า “คุณอาคะ ทางคุณอาสืบเจออะไรบ้างไหมคะ? มีแนวโน้มว่าจะสรุปไปในทิศทางไหนคะ?”ผู้กำกับครุ่นคิดพลางตอบ “ฟู่เยว่กับฉู
จู่ ๆ เวินเหลียงก็นึกถึงวันที่เธอตามฟู่เจิงไปบริษัทวันนั้น ฟู่เจิงเสร็จจากการประชุมกลับมาก็รีบออกไปหลังได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง ตอนกลับมาบนหน้าเต็มไปด้วยรอยแผล สะบักสะบอมไปทั้งตัว เอาแต่กอดเธอไม่พูดไม่จา อารมณ์ดูเปลี่ยนไปแปลก ๆ ไม่ว่าถามยังไงเขาก็ไม่ยอมปริปาก...เขาต้องรู้เรื่องในตอนนั้นแน่ฝั่งหนึ่งก็พี่ชายคนโตของเขา ฝั่งหนึ่งก็พ่อของเธอ ฉะนั้นหลังฟู่เจิงรู้เรื่องจึงไม่ได้บอกเธอทันที แต่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปสองสามวัน ถึงพาฟู่เยว่มามอบตัวก่อนจางกั๋วอันจะมาถึงเจียงเฉิงถ้าฟู่เยว่เป็นคนบงการ อย่างนั้นเป็นไปได้มากว่าความคิดที่ว่าโยนทุกอย่างไปให้ฉู่ซืออี๋ ฟู่เจิงจะเป็นคนต้นคิดออกมา บางทีในสองสามวันมานี้ อาจพอให้เขาไปเช็ดล้างหลักฐานบางส่วน และสร้างหลักฐานบางอย่างขึ้นมาก็ได้แต่ว่าฟู่เจิงจะใช้วิธีพรรค์นี้ช่วยให้ฟู่เยว่พ้นโทษเหรอ?เวินเหลียงไม่กล้าพูดอย่างเต็มปากว่ารู้จักฟู่เจิงดี แต่เธอรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น...ตอนแปดโมงเช้า ฮั่วตงเฉิงผลักประตูเดินเข้าไปในห้องรับรอง ฟู่ชิงเยว่นั่งดื่มชาด้วยท่าทางสุขุมอยู่ตรงหน้าโซฟาอยู่ก่อนแล้วเขาปิดประตูก่อนเดินเข้าไป ภายใต้สีหน้าเย็นชาแฝงค
นัยน์ตาฟู่ชิงเยว่ประกายความพอใจออกมาสายหนึ่ง “ฉันรู้แล้ว”…เวินเหลียงมาถึงยังสถานีตำรวจเวลาประมาณเก้าโมงเช้าหลังเธอบอกว่าขอเจอฉู่ซืออี๋ เจ้าหน้าที่ที่มารับหน้าเธอก็ลังเลอยู่สองวินาที “ตอนนี้ฉู่ซืออี๋พัวพันอยู่กับคดีอาชญากรรมสองคดี ว่ากันตามเหตุผลแล้วให้เจอไม่ได้ คุณเวินคะ ไม่งั้นคุณไปถามผู้กำกับการก่อนดีไหมคะ? ถ้าผู้กำกับการอนุญาตแล้วถึงจะเจอได้”เวินเหลียงคิดแค่ว่าเมื่อวานผู้กำกับการคงลืมแจ้งลูกน้อง “ตอนนี้คุณอาเขาอยู่ไหมคะ?”ไหน ๆ ก็มาถึงสถานีตำรวจแล้ว โทรไปหาอีกจะเป็นการเสียมารยาทเจ้าหน้าที่พยักหน้า “ผู้กำกับการอยู่ชั้นบนค่ะ”“โอเคค่ะ”เวินเหลียงหมุนตัวเดินขึ้นไปยังชั้นสองประตูห้องทำงานผู้กำกับการไม่ได้ปิดสนิท ประตูถูกเปิดแย้มไว้ช่องหนึ่งยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ เธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแว่วดังออกมา“...ถึงยังไงอาเยว่ก็เป็นหลานชายคนโตของตระกูลฟู่ ยังไงเราก็ทนมองดูเขาล่มจมไร้หนทางฟื้นคืนไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้”“อีกอย่างก็เป็นคดีเก่าที่ปิดคดีไปนานโขแล้ว นอกจากเวินเหลียงก็ไม่มีใครสนใจ อาเจิงต้องลำเอียงไปทางพี่ชายเขาแน่ ๆ เขาต้องเป็นคนออกความคิดนี้อย่างแน่นอน ทุกอย่างไร้ที
เวินเหลียงอดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา แล้วกลับไปที่ปากบันไดเงียบ ๆเธอเช็ดน้ำตาที่ขอบตาเบา ๆ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทำให้ตัวเองดูแล้วไม่ผิดแปลกไปจากเมื่อครู่ ถึงได้สาวเท้าก้าวยาวลงบันไดไป“คุณเวิน ผู้กำกับว่ายังไงบ้างคะ?” เจ้าหน้าที่ที่มารับหน้าเธอเอ่ยถามขึ้นเวินเหลียงยิ้ม “ขอโทษนะคะ เมื่อกี้ฉันได้รับสายหนึ่ง มีเรื่องด่วนต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ ส่วนเรื่องเจอฉู่ซืออี๋ ไว้ค่อยว่ากันวันหลังก็แล้วกันค่ะ”“โอเคค่ะ กลับดี ๆ นะคะ”เวินเหลียงเข้าไปนั่งในรถ ก่อนจะพิงไปบนพนักเบาะที่นั่งอย่างไร้เรี่ยวแรงฟู่เยว่คือคนที่บงการทำให้พ่อของเธอตาย ส่วนฟู่เจิงคิดหาวิธีปัดความรับผิดชอบช่วยให้ฟู่เยว่พ้นผิดเธอครุ่นคิด เธอคงถูกกระสุนเคลือบน้ำตาลของฟู่เจิงทำให้ค่อย ๆ ลุ่มหลงไม่นึกเลยว่าจะต้องเจ็บปวดใจเสียน้ำตาเพราะเขามันไม่สมควรเลยจริง ๆ เขารู้ตั้งนานแล้วว่าฟู่เจิงเป็นคนยังไง แม้เขาจะไปทำข้อตกลงกับฉู่ซืออี๋เพื่อเธอจริง ๆ แต่เธอเองก็ไม่ควรปล่อยการ์ดตกไม่ระแวดระวังเขาเลยนอกปลอกกระสุนไม่ใช่การเคลือบด้วยน้ำตาล แต่เป็นสารหนูและฝิ่นขณะที่เขาค่อย ๆ ทำให้เธอชินชา ถ้าเธอค้นพบช้าไปสักนิด ก็คงป่วยจนไร้
ทว่าวันนั้นเมื่อได้รู้ความจริง เขาก็ได้สั่งคนให้ไปสืบดู หลังจากที่ฉู่ซืออี๋หายไปจากโรงพยาบาลเธอได้ไปหาฟู่เยว่จริง ๆ ทั้งสองคนติดต่อกันทางโทรศัพท์เพียงแต่สิบปีก่อนฉู่ซืออี๋จงใจลากฟู่เยว่ลงเหวไปด้วย หลักฐานที่เหลืออยู่ไม่ส่งผลดีกับฟู่เยว่ส่วนจางกั๋วอัน ฮั่วตงเฉิงเป็นคนส่งตัวเขาให้ทางตำรวจเดิมทีฮั่วตงเฉิงก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลฟู่อยู่แล้ว แม้ฟู่เจิงจะไม่รู้ว่าความคิดแค้นเป็นศัตรูของเขามาจากไหนก็ตาม แต่ว่าก็มีแรงจูงใจที่เขาจะซื้อตัวจางกั๋วอัน และโยนความผิดทั้งหมดไปที่ตัวฟู่เยว่หลานชายคนโตของตระกูลฟู่ ประธานบริหารของฟู่ซื่อ กรุ๊ป ไม่นึกเลยว่าจะเป็นคนบงการคดีฆาตกรรม แถมผู้เสียชีวิตยังเป็นนักข่าวที่มีชื่อเสียง หากข่าวเช่นนี้ถูกรายงานออกไป ฟู่ซื่อจะเผชิญหน้ากับสภาพแบบใด ไม่ต้องคิดก็รู้ฟู่เจิงคิดเพียงว่าเป็นเพราะฮั่วตงเฉิงพุ่งเป้ามาที่ฟู่ซื่อ จึงรีบสั่งการให้เลขาหยางดูแลสื่อใหญ่และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆฮั่วตงเฉิงกล้าทำแบบนี้ คิดว่าคงไปเสาะหาหลักฐานบางอย่างมาได้แน่ จากนั้นฟู่เจิงก็ต่อสายโทรออกหาลู่เย่า ใช้ให้เขาไปแอบสืบเกี่ยวกับจางกั๋วอันคนนี้จางกั๋วอันยอมเสี่ยงตัวเองใส่ร้ายฟู่
“ฉันรู้”“แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เชื่อ”“ฉันเองก็อยากเชื่อคุณ แต่ว่า...” เวินเหลียงหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาเสียงหนึ่ง “ฟู่เจิง คุณรู้ว่าฟู่เยว่มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่วันนั้นที่บริษัทแล้วใช่ไหม?”เธอเองก็อยากเชื่อเขา แต่ว่าบทสนทนาแบบนั้นที่ฟู่ชิงเยว่คุยกับผู้กำกับการ จะให้เธอเชื่อเขาได้ยังไง?“อืม”“สองสามวันก่อนที่เขาจะมอบตัว คุณทำอะไร?”ฟู่เจิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความเหลือเชื่อ “หมายความว่าไง? เธอสงสัยว่าฉันช่วยทำให้ฟู่เยว่พ้นผิดงั้นเหรอ? เธอคิดกับฉันแบบนี้เหรอ?”“หรือว่าไม่ใช่หรือไง? ฟู่เยว่ไม่มีทางคิดไปถึงเรื่องผลักความผิดไปให้ฉู่ซืออี๋ได้หรอก”มีแค่ฟู่เจิงที่คิดอยากจะขีดเส้นความสัมพันธ์กับฉู่ซืออี๋ให้ชัด ถึงได้ทำแบบนี้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว...“หรือว่าเป็นเรื่องจริงไม่ได้เลย?” นัยน์ตาฟู่เจิงเต็มไปด้วยความเศร้าสลดในใจเธอเขาเป็นคนแบบนี้เหรอ?เขาไม่ควรค่าให้เธอเชื่อใจเลยสักนิดเหรอ?เวินเหลียงเบือนสายตาหนี “คุณบอกว่าจางกั๋วอันถูกคนซื้อตัว ใครล่ะที่ซื้อตัวเขา? แล้วทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะ?”เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของเวินเหลียง ในใจของฟู่เจิงก็ผุดความขมขื่นขึ้น
“ฉันไม่รู้ว่าควรทำยังไงถึงจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของฉันได้ เลยทำได้แค่ใช้วิธีนี้เท่านั้น...”“คุณ...”เวินเหลียงโมโหจะแย่อยู่แล้ว “นี่คุณกำลังขู่ฉันอยู่ใช่ไหม?”“ฉันไม่ได้มีเจตนานี้...”“คุณอยากยืนก็ยืนไปเลย!”เวินเหลียงตัดสายทิ้งไปเธอโยนโทรศัพท์ไปบนโต๊ะ ก่อนจะไปทำกับข้าวในครัวทันใดนั้นก็มีเสียงเปิดประตูแว่วดังขึ้นมาจากประตูเมื่อเวินเหลียงชะโงกคอออกมาจากห้องครัว ก็เห็นถังซือซือลากกระเป๋าเดินทางเข้ามา “เสี่ยวเหลียงเหลียง ฉันกลับมาแล้ว!”“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ กินมื้อค่ำหรือยัง?”ถังซือซือเห็นเวินเหลียงอยู่ในห้องครัวก็รีบยกมือขึ้นมาทันที “ยังไม่ได้กินเลย ๆ! ทำเผื่อฉันด้วยที่หนึ่ง”“ได้”น้ำเดือดแล้ว เวินเหลียงหย่อนเกี๊ยวกุ้งสำหรับสองที่ลงไปน้ำร้อนเดือดปุด ๆ กระเด็นใส่นิ้วของเธอในช่วงเวลาที่ไม่ทันได้ระวัง“ซี๊ด...”เวินเหลียงรีบสะบัดมืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะขยับนิ้วเอาไปวางข้างปากแล้วเป่าถังซือซือเข้ามาเดินวนอยู่สองรอบ พลางมองเวินเหลียงด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไร? น้ำร้อนกระเด็นใส่มือเหรอ?”“ไม่ระวังน่ะ”“ก่อนหน้านี้เธอไม่พลาดเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พรรค์นี้นี่” ถังซือซือเอ
เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เสื้อผ้าของเขาเปียกชุ่มไปทั้งเนื้อตัวแล้ว ผมแปะอยู่ตรงหน้าผาก น้ำหยดติ๋ง ๆ ลงมาด้านล่างฟู่เจิงมองร่มที่อยู่ในมือเธอทีหนึ่ง เขาไม่ได้รับมา ทว่าจ้องเวินเหลียงเขม็ง “ขอบคุณนะอาเหลียง เธอมาได้ฉันก็ดีใจมาก แต่ว่าฉันรับไว้ไม่ได้”ภายใต้แสงไฟสลัว พอเผยอปากนิดหน่อย ลมหนาวก็พัดปะทะเข้ามาแล้วเวินเหลียงก้มหน้าพลางเดินขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่ง ก่อนจะพยายามยัดเยียดร่มเข้าไปในมือของฟู่เจิง “เอาไปซะ! แล้วกลับเข้าไปในรถ”พอเธอปล่อยมือ ร่มก็ร่วงลงบนพื้นสีหน้าเวินเหลียงเปลี่ยน เธอมองร่มที่อยู่บนพื้นครู่หนึ่งก่อนจะจ้องฟู่เจิงเขม็ง “ไม่เอาก็ช่าง! ถ้าคุณอยากเปียกฝนก็รบกวนช่วยเปลี่ยนที่ด้วย อย่ามาอยู่ใต้ตึกบ้านฉัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาฉันจะได้ไม่ต้องเป็นแพะรับบาป”“ได้ ฉันจะไปนอกย่าน”เวินเหลียง “...”เขาหมุนตัวแล้วก็เดินออกไปด้านนอกเปียกปอนไปด้วยฝนท่ามกลางม่านฝน เงาเบื้องหลังของเขาก็ยังตรงตระหง่านดังเดิม เพียงแต่มีความโดดเดี่ยวที่ไร้คำพูดเพิ่มขึ้นมาสองสามส่วนในใจของเวินเหลียงผุดความเดือดพล่านขึ้นมาสายหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินขึ้นไปด้านบนเอาร่มมาให้เขาเขายังไม่รับน้ำใจอีกเ