เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เสื้อผ้าของเขาเปียกชุ่มไปทั้งเนื้อตัวแล้ว ผมแปะอยู่ตรงหน้าผาก น้ำหยดติ๋ง ๆ ลงมาด้านล่างฟู่เจิงมองร่มที่อยู่ในมือเธอทีหนึ่ง เขาไม่ได้รับมา ทว่าจ้องเวินเหลียงเขม็ง “ขอบคุณนะอาเหลียง เธอมาได้ฉันก็ดีใจมาก แต่ว่าฉันรับไว้ไม่ได้”ภายใต้แสงไฟสลัว พอเผยอปากนิดหน่อย ลมหนาวก็พัดปะทะเข้ามาแล้วเวินเหลียงก้มหน้าพลางเดินขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่ง ก่อนจะพยายามยัดเยียดร่มเข้าไปในมือของฟู่เจิง “เอาไปซะ! แล้วกลับเข้าไปในรถ”พอเธอปล่อยมือ ร่มก็ร่วงลงบนพื้นสีหน้าเวินเหลียงเปลี่ยน เธอมองร่มที่อยู่บนพื้นครู่หนึ่งก่อนจะจ้องฟู่เจิงเขม็ง “ไม่เอาก็ช่าง! ถ้าคุณอยากเปียกฝนก็รบกวนช่วยเปลี่ยนที่ด้วย อย่ามาอยู่ใต้ตึกบ้านฉัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาฉันจะได้ไม่ต้องเป็นแพะรับบาป”“ได้ ฉันจะไปนอกย่าน”เวินเหลียง “...”เขาหมุนตัวแล้วก็เดินออกไปด้านนอกเปียกปอนไปด้วยฝนท่ามกลางม่านฝน เงาเบื้องหลังของเขาก็ยังตรงตระหง่านดังเดิม เพียงแต่มีความโดดเดี่ยวที่ไร้คำพูดเพิ่มขึ้นมาสองสามส่วนในใจของเวินเหลียงผุดความเดือดพล่านขึ้นมาสายหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินขึ้นไปด้านบนเอาร่มมาให้เขาเขายังไม่รับน้ำใจอีกเ
เธอพุ่งมาตรงหน้าเขาด้วยความเดือดดาล พร้อมขบกรามแน่น “คุณจะกลับไปไม่ใช่เหรอ?!”ฟู่เจิงอึ้งไป “ทำไมเธอถึงลงมาอีกล่ะ?”เวินเหลียงมองเขาด้วยความโมโห พร้อมถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง ทว่าไม่ได้พูดอะไร เธอหันหลังแล้วก็ไปเลยเมื่อครู่เธอยังไม่ได้ขึ้นไป คอยดูอยู่ในโถงตลอด อยากดูว่าเขาจะไปไหมเป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ เขาไม่ยอมไปสักทีถ้าเธอขึ้นไปเลย เขาจะยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืนใช่ไหม?เวินเหลียงครุ่นคิด เป้าหมายของการที่ฟู่เจิงทำแบบนี้ นั่นก็คืออยากให้เธอใจอ่อน ถ้าอย่างนั้นเขาก็ทำสำเร็จแล้วฟู่เจิงอึ้งไปครู่หนึ่งเดินไปได้สองก้าว เวินเหลียงก็หยุดชะงักพลางหันมาถลึงตาใส่เขา “อยากขึ้นไปไม่ใช่เหรอ?”พูดจบเธอก็เดินไปทางตึกยูนิตเลยโดยไม่แม้แต่จะมองเขาอีกฟู่เจิงกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเยื้องย่างตามไปเวินเหลียงเดินเข้าไปในลิฟต์ก่อน เธอมองฟู่เจิงที่อยู่เบื้องหลังทีหนึ่ง ก่อนจะกลอกตาขาวเงียบ ๆภายในลิฟต์ มีน้ำหยดลงมาจากตัวเขาอยู่ตลอด ไม่นานก็รวมกันเป็นแอ่งขนาดย่อมแอ่งหนึ่ง“อาเหลียง เธอยอมให้โอกาสฉันอีกครั้งแล้วใช่ไหม?”เวินเหลียงไม่ตอบ ได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากัน “ถังนอนพักผ่อนไปแล้ว เดี๋ยวเข
เธอพิงอยู่บนบานประตูพลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นฟู่เจิงยืนอยู่กลางห้อง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายเปลือยเปล่า กล้ามเนื้อที่เห็นได้อย่างชัดเจนแต่ละมัดยาวเหยียดลงไปด้านล่าง หายวับไปใต้ผ้าขนหนูผ้าขนหนูที่ห่อหุ้มตัวท่อนล่างของเขาเอาไว้เป็นสีชมพู เป็นหนึ่งในผ้าขนหนูของเวินเหลียง เดิมทีผิวของเขาก็ขาวอยู่แล้ว เมื่อเข้าคู่กับสีชมพูช่างไร้ซึ่งความละมุนละไมไปโดยสิ้นเชิง กลับกันผิวยิ่งขาวผ่องขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนผ่านปีนี้ไป ฟู่เจิงก็อายุสามสิบปีแล้วหน้าตาเขามีมิติ เค้าโครงสวยงาม กาลเวลาไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้บนตัวเขาเลย มองไปยังคงมีออร่าของความเยาว์วัยเช่นเดิมเวินเหลียงหูร้อนผ่าว เธอรีบเบือนสายตาหนีอย่างรวดเร็ว “ยืนอยู่ทำไม? ยังไม่รีบไปอาบน้ำอีก?”นัยน์ตาฟู่เจิงประกายรอยยิ้มออกมา “โอเค จริงสิ เธอบอกว่าเขานอนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”“สะดุ้งตื่นระหว่างนั้นไม่ได้เลยหรือไง?” เวินเหลียงถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง ถามมากมายขนาดนั้นไปทำไม?“ก็ได้”ฟู่เจิงเหยียดยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำเวินเหลียงถอนหายใจเฮือกหนึ่งพลางนั่งลงข้างเตียงได้ยินเสียงน้ำหยดเบา ๆ ในห้องน้ำ เธอกระวนกระวายใจเป
เวินเหลียงคิดว่าสายแรกที่เขาโทรออกไปเป็นเลขาคนอื่น จึงถามขึ้นว่า “คุณไม่ได้โทรหาเลขาหยางเหรอ?”“วันนี้ไม่รู้ว่าเขาทำงานเสร็จหรือยัง ฉันจะลองโทรหาเขาดูละกัน” ฟู่เจิงเอ่ยเขาต่อสายโทรออกหาเลขาหยางผ่านไปหลายสิบวินาที ไม่มีคนรับกระทั่งตัดสายไปเองโดยอัตโนมัติฟู่เจิงเปิดหน้าโฮมให้เวินเหลียงดูทีหนึ่ง“เอาละ”เธอขมวดคิ้วเข้าหากัน “คุณนั่งลงก่อนก็แล้วกัน ฉันจะอ่านบทละคร อย่ามารบกวนฉัน เดี๋ยวค่อยลองโทรไปใหม่”“อ่านบท?” ฟู่เจิงเลิกคิ้ว สายตาพลางตกไปบนบทละครที่อยู่ข้างมือเธอ “เธอจะไปถ่ายซีรีส์เหรอ?”“อืม”“บทอะไร?”“ก็บทบาทที่ตอนแรกฉู่ซืออี๋เป็นคนแสดงครั้งก่อนนั่นไง เธอไปถ่ายทำไม่ได้แล้ว เวลาแป๊บเดียวหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ผู้กำกับก็เลยให้ฉันไปแสดง”เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของฟู่เจิงก็คล้ำดำหมองขึ้นเล็กน้อยถ้าเขาจำไม่ผิด บทบาทนี้คือปีศาจจิ้งจอก เทียบกับฝ่ายที่มีชื่อเสียงแล้วมันค่อนข้างโป๊“ถ้าเธออยากถ่ายซีรีส์ ฉันเลือกบทบาทที่ดีกว่านี้ให้เธอได้นะ”“ไม่ต้อง” เวินเหลียงปฏิเสธไปเลย “ฉันแค่ช่วยวิจารณ์ข้อบกพร่องให้ผู้กำกับเท่านั้น อีกอย่างบทบาทซูเมี่ยวนี่ก็ดีทีเดียว”แม้จะเป็นฝ่ายตัวร้
เวินเหลียงลุกออกจากเตียงไปอาบน้ำ พร้อมลวดบอกฟู่เจิงว่า “คุณรออยู่ที่นี่เฉย ๆ ไปก่อน รอซือซือไปทำงานแล้ว ค่อยให้คนเอาเสื้อผ้ามาให้คุณ”“อืม” ฟู่เจิงนอนมุดอยู่ในผ้าห่ม ใบหน้าเผยความแดงระเรื่อออกมาเล็กน้อย ริมฝีปากแห้งจนขาวซีด น้ำเสียงแหบนิดหน่อยเวินเหลียงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย พลางมองประเมินฟู่เจิงอย่างละเอียดทีหนึ่ง “คุณ...ไม่สบายหรือเปล่า?”ฟู่เจิงยกมือขึ้นไปสัมผัสอุณหภูมิร่างกายตรงหน้าผากของตน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เหมือนจะใช่มั้ง”เวินเหลียง “...”เธอออกนอกห้องไป แล้วกลับเข้ามาพร้อมกับถือน้ำร้อนแก้วหนึ่ง และยาลดไข้หนึ่งกล่องอยู่ในมือ เธอวางไว้ให้เขาบนหัวเตียง “ดื่มน้ำก่อนสักหน่อยนะ เดี๋ยวตอนให้เลขาเอาเสื้อผ้ามาให้ก็ให้เขาเอาอาหารเช้าติดมือมาให้คุณด้วย กินข้าวเช้าเสร็จแล้วค่อยกินยา”“อืม”เมื่อได้ยินคำที่เธอพูดกำชับอย่างใส่ใจ ฟู่เจิงก็มีความรู้สึกเหมือนว่าไม่ได้ยินคำนี้มานานแล้วประเภทหนึ่ง “ขอบคุณนะ”เมื่อก่อนเธอมักจะพูดคำพูดประเภทนี้กับเขาบ่อย ๆทว่าตอนนี้เขาไม่ได้ยินมันมานานแล้วเขานอนมองเธอ “อาเหลียง เธอดีกับฉันมากจริง ๆ”เวินเหลียงถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเ
ไม่ใช่สิ ต้องเป็นผู้ชายชาติชั่ว!ถังซือซือหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา มองดูเลขาหยางเดินเข้าไปในห้องนอนของเวินเหลียงตาปริบ ๆผ่านไปไม่นาน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมเสียงดังเอี๊ยด ฟู่เจิงที่อยู่ในชุดสูทรองเท้าหนังเดินออกมาจากในห้อง เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยหมดจดเลขาหยางเดินตามอยู่เบื้องหลังเขาหลังได้ยินเสียง ถังซือซือก็หันไปมอง ไฟโทสะที่อยู่ในใจอดไม่ได้ที่จะค่อย ๆ ลุกโชนขึ้นมาเธอพยายามอดกลั้นความโกรธ พร้อมปั้นหน้ายิ้มแย้มออกมา “คุณฟู่ คุณมาตั้งแต่เมื่อไรคะเนี่ย? ทำไมฉันไม่รู้เลย? หรือว่าคุณมีวิชาพลางตัว?”เขาฟังการถากถางในคำพูดของถังซือซือออก ฟู่เจิงยิ้มชืด ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าเธอ “คุณถัง ขอโทษด้วยนะครับ เมื่อคืนอาเหลียงบอกว่าคุณหลับไปแล้ว ก็เลยไม่กล้ารบกวนคุณ”ถังซือซือกระตุกรอยยิ้มมุมปากเวินเสี่ยวเหลียง!ฟู่เจิงพูดขึ้นอีกว่า “ขอบคุณการดูแลและการปลอบโยนที่คุณถังมีต่อเวินเหลียงมานานขนาดนี้มากนะครับ ถ้าไม่ได้คุณเกรงว่าอาเหลียงคงไม่มูฟออนได้เร็วขนาดนี้แน่ ผมรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งจริง ๆ ครับ ถ้าคุณถังต้องการอะไร ก็รีบบอกผมมาได้เลยนะครับ ผมรู้ว่าคุณถังค่อนข้างมีอคติกับผมเพราะเร
สองวันนี้มีฉากของซูเมี่ยว ตอนกลางวันเวินเหลียงอยู่ที่กองถ่ายตลอด ถ่ายไปด้วยพลางเรียนรู้ไปด้วยถ่ายซีนกลางคืนเสร็จ เวินเหลียงก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะออกมาจากกองถ่ายก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วโรงถ่ายภาพยนตร์ยังคงเปิดไฟสว่างไสว เมื่อกองถ่ายถ่ายซีนกลางคืนเสร็จ เหล่านักแสดงก็นั่งรออยู่ข้าง ๆ ร้านอาหารแต่ละแห่งนอกโรงถ่ายภาพยนตร์ยังคงเปิดขายอยู่ บางร้านก็เปิดขายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง“อาเหลียง?”เวินเหลียงกำลังเดินไปทางลานจอดรถ ทันใดนั้นเบื้องหลังก็มีคนเรียกให้เธอหยุดเธอพลันชะงักฝีเท้าแล้วหันหน้าไปมองประเมินชุดการแต่งตัวของเขา ก่อนจะเอ่ยขึ้นทั้งยิ้มแย้มว่า “โจวอวี่? เพิ่งถ่ายเสร็จเหรอ?”โจวอวี่เดินขึ้นหน้ามาทั้งฉีกยิ้ม “เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”ภายใต้แสงไฟ เมื่อเขาเห็นว่าบนหน้าเธอมีการแต่งหน้าโอเว่อร์เกินจริงที่เห็นได้เฉพาะในซีรีส์เท่านั้น ก็พลันเลิกคิ้ว “เธอยังถ่ายซีรีส์ที่นี่อยู่เหรอ?”“อืม นายได้ยินเรื่องของฉู่ซืออี๋แล้วใช่ไหม? บทบาทของเธอต้องมีคนแทนที่ ในเวลาสั้น ๆ ผู้กำกับหานักแสดงที่เหมาะสมไม่ได้ ก็เลยให้ฉันมาถ่ายน่ะ”โจวอวี่พยักหน้า “ทำงานมาจนถึงตอนนี้ ไปกินมื้อค่ำด้วยกันไหม?”
ฮั่วตงเฉิงเองก็มาเข้าร่วมงานอภิปรายนี้ด้วยเช่นกัน หลินอี้หน่วนไปขอโควตาอาสาสมัครกับทางผู้จัดงานหลานสาวของคุณนายฮั่ว ลูกพี่ลูกน้องของฮั่วตงเฉิง ทางผู้จัดงานย่อมไม่มีทางขี้เหนียวอยู่แล้วหลินอี้หน่วนเดาว่าฟู่เจิงเองก็คงมาร่วมงานด้วยเช่นกัน แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะมอบภาพจำที่แสนฝังใจแบบนี้ให้เธอได้เขายืนอยู่บนเวที พูดเจื้อยแจ้วไพเราะน่าฟัง ไร้สคริปต์ตลอดการพูด เนื้อหาลึกซึ้ง ทำเอาคนอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดไปตามเขาออร่าของผู้มีตำแหน่งระดับสูงที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดประเภทนั้น ทำเอาคนไม่สามารถละสายตาได้จริง ๆในใจของหลินอี้หน่วนนั้น เสน่ห์ส่วนบุคคลของฟู่เจิงได้ทะลุเนื้อหาสุนทรพจน์ของเขาไปแล้วตลอดการพูด เธอเอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่ตลอด ละเลยสุนทรพจน์ของเขาไปโดยสิ้นเชิง...แม้เธอเองจะฟังไม่ค่อยเข้าใจอยู่แล้วก็ตามคนแรกที่ทำให้หลินอี้หน่วนอึ้งทึ่งประเภทนี้ได้ คือฮั่วตงเฉิงลูกพี่ลูกน้องในนามของเธอนับตั้งแต่ที่เธอมาถึงเมืองจิงในตอนเด็ก และเริ่มรู้จักฮั่วตงเฉิง เขาก็เป็นคนที่มีคารมคมคาย โดดเด่นเหนือคนอื่น ๆ มาตลอด เป็นคนที่ได้แค่หวังแต่ไกลเกินเอื้อมหลินอี้หน่วนถูกเขาดึงดูดเข้าเต็มเปาแม้พวก