เวินเหลียงคิดว่าสายแรกที่เขาโทรออกไปเป็นเลขาคนอื่น จึงถามขึ้นว่า “คุณไม่ได้โทรหาเลขาหยางเหรอ?”“วันนี้ไม่รู้ว่าเขาทำงานเสร็จหรือยัง ฉันจะลองโทรหาเขาดูละกัน” ฟู่เจิงเอ่ยเขาต่อสายโทรออกหาเลขาหยางผ่านไปหลายสิบวินาที ไม่มีคนรับกระทั่งตัดสายไปเองโดยอัตโนมัติฟู่เจิงเปิดหน้าโฮมให้เวินเหลียงดูทีหนึ่ง“เอาละ”เธอขมวดคิ้วเข้าหากัน “คุณนั่งลงก่อนก็แล้วกัน ฉันจะอ่านบทละคร อย่ามารบกวนฉัน เดี๋ยวค่อยลองโทรไปใหม่”“อ่านบท?” ฟู่เจิงเลิกคิ้ว สายตาพลางตกไปบนบทละครที่อยู่ข้างมือเธอ “เธอจะไปถ่ายซีรีส์เหรอ?”“อืม”“บทอะไร?”“ก็บทบาทที่ตอนแรกฉู่ซืออี๋เป็นคนแสดงครั้งก่อนนั่นไง เธอไปถ่ายทำไม่ได้แล้ว เวลาแป๊บเดียวหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ผู้กำกับก็เลยให้ฉันไปแสดง”เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของฟู่เจิงก็คล้ำดำหมองขึ้นเล็กน้อยถ้าเขาจำไม่ผิด บทบาทนี้คือปีศาจจิ้งจอก เทียบกับฝ่ายที่มีชื่อเสียงแล้วมันค่อนข้างโป๊“ถ้าเธออยากถ่ายซีรีส์ ฉันเลือกบทบาทที่ดีกว่านี้ให้เธอได้นะ”“ไม่ต้อง” เวินเหลียงปฏิเสธไปเลย “ฉันแค่ช่วยวิจารณ์ข้อบกพร่องให้ผู้กำกับเท่านั้น อีกอย่างบทบาทซูเมี่ยวนี่ก็ดีทีเดียว”แม้จะเป็นฝ่ายตัวร้
เวินเหลียงลุกออกจากเตียงไปอาบน้ำ พร้อมลวดบอกฟู่เจิงว่า “คุณรออยู่ที่นี่เฉย ๆ ไปก่อน รอซือซือไปทำงานแล้ว ค่อยให้คนเอาเสื้อผ้ามาให้คุณ”“อืม” ฟู่เจิงนอนมุดอยู่ในผ้าห่ม ใบหน้าเผยความแดงระเรื่อออกมาเล็กน้อย ริมฝีปากแห้งจนขาวซีด น้ำเสียงแหบนิดหน่อยเวินเหลียงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย พลางมองประเมินฟู่เจิงอย่างละเอียดทีหนึ่ง “คุณ...ไม่สบายหรือเปล่า?”ฟู่เจิงยกมือขึ้นไปสัมผัสอุณหภูมิร่างกายตรงหน้าผากของตน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เหมือนจะใช่มั้ง”เวินเหลียง “...”เธอออกนอกห้องไป แล้วกลับเข้ามาพร้อมกับถือน้ำร้อนแก้วหนึ่ง และยาลดไข้หนึ่งกล่องอยู่ในมือ เธอวางไว้ให้เขาบนหัวเตียง “ดื่มน้ำก่อนสักหน่อยนะ เดี๋ยวตอนให้เลขาเอาเสื้อผ้ามาให้ก็ให้เขาเอาอาหารเช้าติดมือมาให้คุณด้วย กินข้าวเช้าเสร็จแล้วค่อยกินยา”“อืม”เมื่อได้ยินคำที่เธอพูดกำชับอย่างใส่ใจ ฟู่เจิงก็มีความรู้สึกเหมือนว่าไม่ได้ยินคำนี้มานานแล้วประเภทหนึ่ง “ขอบคุณนะ”เมื่อก่อนเธอมักจะพูดคำพูดประเภทนี้กับเขาบ่อย ๆทว่าตอนนี้เขาไม่ได้ยินมันมานานแล้วเขานอนมองเธอ “อาเหลียง เธอดีกับฉันมากจริง ๆ”เวินเหลียงถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเ
ไม่ใช่สิ ต้องเป็นผู้ชายชาติชั่ว!ถังซือซือหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา มองดูเลขาหยางเดินเข้าไปในห้องนอนของเวินเหลียงตาปริบ ๆผ่านไปไม่นาน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมเสียงดังเอี๊ยด ฟู่เจิงที่อยู่ในชุดสูทรองเท้าหนังเดินออกมาจากในห้อง เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยหมดจดเลขาหยางเดินตามอยู่เบื้องหลังเขาหลังได้ยินเสียง ถังซือซือก็หันไปมอง ไฟโทสะที่อยู่ในใจอดไม่ได้ที่จะค่อย ๆ ลุกโชนขึ้นมาเธอพยายามอดกลั้นความโกรธ พร้อมปั้นหน้ายิ้มแย้มออกมา “คุณฟู่ คุณมาตั้งแต่เมื่อไรคะเนี่ย? ทำไมฉันไม่รู้เลย? หรือว่าคุณมีวิชาพลางตัว?”เขาฟังการถากถางในคำพูดของถังซือซือออก ฟู่เจิงยิ้มชืด ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าเธอ “คุณถัง ขอโทษด้วยนะครับ เมื่อคืนอาเหลียงบอกว่าคุณหลับไปแล้ว ก็เลยไม่กล้ารบกวนคุณ”ถังซือซือกระตุกรอยยิ้มมุมปากเวินเสี่ยวเหลียง!ฟู่เจิงพูดขึ้นอีกว่า “ขอบคุณการดูแลและการปลอบโยนที่คุณถังมีต่อเวินเหลียงมานานขนาดนี้มากนะครับ ถ้าไม่ได้คุณเกรงว่าอาเหลียงคงไม่มูฟออนได้เร็วขนาดนี้แน่ ผมรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งจริง ๆ ครับ ถ้าคุณถังต้องการอะไร ก็รีบบอกผมมาได้เลยนะครับ ผมรู้ว่าคุณถังค่อนข้างมีอคติกับผมเพราะเร
สองวันนี้มีฉากของซูเมี่ยว ตอนกลางวันเวินเหลียงอยู่ที่กองถ่ายตลอด ถ่ายไปด้วยพลางเรียนรู้ไปด้วยถ่ายซีนกลางคืนเสร็จ เวินเหลียงก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะออกมาจากกองถ่ายก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วโรงถ่ายภาพยนตร์ยังคงเปิดไฟสว่างไสว เมื่อกองถ่ายถ่ายซีนกลางคืนเสร็จ เหล่านักแสดงก็นั่งรออยู่ข้าง ๆ ร้านอาหารแต่ละแห่งนอกโรงถ่ายภาพยนตร์ยังคงเปิดขายอยู่ บางร้านก็เปิดขายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง“อาเหลียง?”เวินเหลียงกำลังเดินไปทางลานจอดรถ ทันใดนั้นเบื้องหลังก็มีคนเรียกให้เธอหยุดเธอพลันชะงักฝีเท้าแล้วหันหน้าไปมองประเมินชุดการแต่งตัวของเขา ก่อนจะเอ่ยขึ้นทั้งยิ้มแย้มว่า “โจวอวี่? เพิ่งถ่ายเสร็จเหรอ?”โจวอวี่เดินขึ้นหน้ามาทั้งฉีกยิ้ม “เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”ภายใต้แสงไฟ เมื่อเขาเห็นว่าบนหน้าเธอมีการแต่งหน้าโอเว่อร์เกินจริงที่เห็นได้เฉพาะในซีรีส์เท่านั้น ก็พลันเลิกคิ้ว “เธอยังถ่ายซีรีส์ที่นี่อยู่เหรอ?”“อืม นายได้ยินเรื่องของฉู่ซืออี๋แล้วใช่ไหม? บทบาทของเธอต้องมีคนแทนที่ ในเวลาสั้น ๆ ผู้กำกับหานักแสดงที่เหมาะสมไม่ได้ ก็เลยให้ฉันมาถ่ายน่ะ”โจวอวี่พยักหน้า “ทำงานมาจนถึงตอนนี้ ไปกินมื้อค่ำด้วยกันไหม?”
ฮั่วตงเฉิงเองก็มาเข้าร่วมงานอภิปรายนี้ด้วยเช่นกัน หลินอี้หน่วนไปขอโควตาอาสาสมัครกับทางผู้จัดงานหลานสาวของคุณนายฮั่ว ลูกพี่ลูกน้องของฮั่วตงเฉิง ทางผู้จัดงานย่อมไม่มีทางขี้เหนียวอยู่แล้วหลินอี้หน่วนเดาว่าฟู่เจิงเองก็คงมาร่วมงานด้วยเช่นกัน แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะมอบภาพจำที่แสนฝังใจแบบนี้ให้เธอได้เขายืนอยู่บนเวที พูดเจื้อยแจ้วไพเราะน่าฟัง ไร้สคริปต์ตลอดการพูด เนื้อหาลึกซึ้ง ทำเอาคนอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดไปตามเขาออร่าของผู้มีตำแหน่งระดับสูงที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดประเภทนั้น ทำเอาคนไม่สามารถละสายตาได้จริง ๆในใจของหลินอี้หน่วนนั้น เสน่ห์ส่วนบุคคลของฟู่เจิงได้ทะลุเนื้อหาสุนทรพจน์ของเขาไปแล้วตลอดการพูด เธอเอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่ตลอด ละเลยสุนทรพจน์ของเขาไปโดยสิ้นเชิง...แม้เธอเองจะฟังไม่ค่อยเข้าใจอยู่แล้วก็ตามคนแรกที่ทำให้หลินอี้หน่วนอึ้งทึ่งประเภทนี้ได้ คือฮั่วตงเฉิงลูกพี่ลูกน้องในนามของเธอนับตั้งแต่ที่เธอมาถึงเมืองจิงในตอนเด็ก และเริ่มรู้จักฮั่วตงเฉิง เขาก็เป็นคนที่มีคารมคมคาย โดดเด่นเหนือคนอื่น ๆ มาตลอด เป็นคนที่ได้แค่หวังแต่ไกลเกินเอื้อมหลินอี้หน่วนถูกเขาดึงดูดเข้าเต็มเปาแม้พวก
“พวกเธอเหมาะสมกันมาก” ฮั่วตงเฉิงยิ้มเล็กน้อยนัยน์ตาของหลินอี้หน่วนประกายความปลื้มปีติออกมา “ขอบคุณค่ะพี่”แม้เธอจะเรียกฮั่วตงเฉิงว่าพี่ แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดกับเขาเลย ท่าทีของเขาที่มีต่อเธอก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรขนาดนั้น เดิมทีไอ้ฐานะคุณหนูตระกูลฮั่วนี่มันไม่เคยมีอยู่จริงอยู่แล้วทว่าฮั่วตงเฉิงสนับสนุนเธอ อย่างนั้นก็เป็นคนละเรื่องกัน“เจียงเฉิงไม่เลวเลยนะ เธออยู่ที่นี่อีกสักพักก็ได้”“อืม” หลินอี้หน่วนพยักหน้าเบา ๆ “คุณอาเองก็คงอยู่ที่นี่อีกสองสามวันเหมือนกัน ตงหลินบอกว่า อยากไปเที่ยวเล่นตอนวันหยุดสุดสัปดาห์”ฮั่วตงเฉิงไม่ออกความเห็นใด ๆ เขามองไปในทิศทางที่ฟู่เจิงอยู่ทีหนึ่ง “ไปสิ”“งั้นฉันขอตัวก่อนนะพี่” หลินอี้หน่วนเดินไปในทิศทางที่ฟู่เจิงอยู่ฮั่วตงเฉิงหรี่ตามองเงาร่างที่จากไปของหลินอี้หน่วน เขาเรียกเลขาของตนมากระซิบสั่งงานข้างหูสองสามประโยคเลขาขานรับ จากนั้นก็รีบออกไปทันทีหลินอี้หน่วนเจอฟู่เจิงอยู่บนทางเดินเขายืนล้วงกระเป๋ามือเดียวอยู่ข้างหน้าต่าง มือขวาถือโทรศัพท์แนบหูคุยสาย แขนที่ยกขึ้นมาทิ้งรอยจีบไว้บนสูทพอดีตัวแสนประณีตสองสามร่อง เผยเค้าโครงตรงไหล่อ
“...”“ถ้าพูดจบแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”มองเงาเบื้องหลังของฟู่เจิงที่เดินออกไป หลินอี้หน่วนก็พลางเดือดดาลจนหน้าแดงก่ำเธอไม่เชื่อว่าเธอจะคว้าฟู่เจิงมาครองไม่ได้!อย่างเวินเหลียงยังเป็นเมียของเขาได้ แล้วทำไมเธอหลินอี้หน่วนจะเป็นไม่ได้ล่ะ?เธอด้อยกว่าเวินเหลียงตรงไหน?หลินอี้หน่วนกำลังคิดจะตามไป ทว่าจู่ ๆ เบื้องหลังก็มีคนมาเรียกให้เธอหยุด “คุณหลินครับ”เธอหันหน้ากลับไปมอง เป็นเลขาของฮั่วตงเฉิง “เลขาหลิว? มีเรื่องอะไรเหรอคะ? พี่ใช้ให้คุณมาเรียกฉันเหรอคะ?”“คุณฮั่วบอกว่าตอนนี้คุณอย่าเพิ่งตามไป ให้อดใจรอไว้ก่อน ถึงเวลาเขาจะส่งข่าวให้คุณเอง ให้คุณขึ้นไปที่ห้องของโรงแรมชั้นบนได้เลย”หัวใจของหลินอี้หน่วนพลันเต้นรัวขึ้น ส่วนลึกในใจผุดความปลื้มปีติออกมาสายหนึ่ง ลูกพี่ลูกน้องของเธอออกมือช่วยเธอเหรอ?เธอพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “โอเค ฉันรู้แล้ว ฉันจะรอข่าวจากพี่นะ”ผู้นำของเจียงเฉิงออกไปกันหมดแล้ว ฟู่เจิงกำลังทักทายกับคนของทางผู้จัดงาน ฮั่วตงเฉิงเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าทางผู้จัดการรีบทักทายพร้อมฉีกยิ้ม “คุณฮั่ว เป็นครั้งแรกที่ได้มาร่วมงานที่เจียงเฉิง ไม่ได้ต้อนรับคุณไม่ดีใช่ไหมครับ?”“เปล
ขณะเดินเฉียดไป เลขาหลิวก็ยัดคีย์การ์ดห้องให้หลินอี้หน่วนเมื่อมาถึงยังโถงลิฟต์ ลิฟต์ทางซ้ายก็ขึ้นไปข้างบนแล้วเธอรีบกดปุ่มลิฟต์ขึ้นทันที ลิฟต์ทางขวาเปิดประตูออกเมื่อมาถึงยังชั้นสามสิบสอง ตอนหลินอี้หน่วนออกมาจากลิฟต์ ก็เจอกับเสี่ยวหวังที่กำลังรอลิฟต์อยู่พอดีดูท่าฟู่เจิงต้องอยู่ในห้องแล้วแน่ ๆหลินอี้หน่วนตามหาหมายเลขห้องอย่างไม่ว่อกแว่กจนเจอเห็นบานประตูปิดสนิท เมื่อนึกภาพว่าฟู่เจิงกำลังรอเธออยู่บนเตียง ในใจของหลินอี้หน่วนก็ทั้งเป็นกังวลและทั้งกระตือรือร้นรูปร่างเขาดีขนาดนั้น คงจะ...เก่งเรื่องนั้นมากใช่ไหม...คนที่ดีเลิศขนาดนี้ ต่อให้มีวาสนาได้ผูกพันกันเพียงชั่วข้ามคืน เธอก็ยอมแม้จะแค่คืนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นเธออยากแต่งงานกับฟู่เจิง!เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะรูดบัตรเปิดประตู หลังเข้าไปแล้วก็รีบปิดประตูและทำการล็อกอย่างรวดเร็วภายในห้องเปิดไฟทิ้งเอาไว้หลินอี้หน่วนมองไปรอบ ๆ ทีหนึ่ง พลางขมวดคิ้วเล็กน้อยภายในห้องรับแขกสะอาดเรียบร้อย ว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ ราวกับเป็นห้องใหม่ยังไม่มีใครเข้าพักห้องหนึ่งสายตาของหลินอี้หน่วนทอดไปยังประตูของห้องชุดตอนนี้ฟู่เจิงน