“แต่ไม่ใช่ข้าข้าไม่มีทางหลงใหลเจ้าแน่”
วางร่างบางลงบนแท่นหินที่เขาเพิ่งลุกขึ้นเมื่อครู่ มองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าหญิงใบ้เช่นไรจึงมีใบหน้างดงามเพียงนี้ หรืออาจเพราะนางเสแสร้งให้ชิงกวานอ๋องหลงใหลนางเพื่อแผนการบางอย่างเห็นได้ชัดว่า นางใช้ชีวิตปกติกับชิงกวานอ๋องเขาได้ยินว่านางฟังออกทว่าไม่ยอมเปล่งเสียง เป็นไปได้มากว่าแสร้งทำเพื่อให้ชิงกวานสงสาร
ใช้กระบวยทำจากผลฝักแห้ง ผ่าครึ่งตักน้ำในอ่างหิน สาดเข้าใส่ใบหน้าของเสี่ยวเจิ้งอย่างแรง
“แค่กๆๆๆ แอ่กๆๆๆๆ ปล่อย…”
ด้วยความตกใจและยังคิดว่าถูกจับตัวไว้จากบุรษผู้อำพรางตัว เสี่ยวเจิ้งจึงเผลอพูดออกมาเป็นคำพูดชัดเจน อินเฉิงยิ้มหยันสาดน้ำเข้าใส่ใบหน้าอีกครั้ง
เสี่ยวเจิ้งลืมตามอง ใบหน้าหล่อเหลาที่จำได้ขึ้นใจว่าคือฮ่องเต้แคว้นเหว่ยที่เคยดูแคลนเสี่ยวเจิ้งกับจงหลินในวันนั้น ก็ผละถอยห่างด้วยความกลัว
“เสแสร้งยิ่งนัก”
เสี่ยวเจิ้งผุดลุกขึ้น อาภรณ์สีขาวเปียกปอนหนาวสั่น ผ้าแพรบางเบาแนบเนื้อเนียนมองเห็นเนื้อหนังและอกอวบอิ่มชัดเจน แม้จะหนาวแค่ไหนก็ฝืนใจรีบวิ่งออกจากตรงนั้น แต่อินเฉิงคว้ามือบางกระชากสุดแรงจนร่างเล็กชนเข้ากับแท่นหินจุกแอ่ก
“จะไปไหน เจ้าต้องอยู่ที่นี่”
เสี่ยวเจิ้งส่ายหน้าไปมาแววตาอ้อนวอนส่งภาษามือวุ่นวายบอกว่า เสี่ยวเจิ้งทำอะไรให้จึงต้องจับตัวมาแบบนี้ ก่อนจะก้มลงคุกเข่ากับพื้นคิดว่าตัวเองเผลอไผลล่วงเกินอะไรอินเฉิงจึงถูกจับตัวมา
“พูดมา ข้าเห็นชัดว่าเจ้าพูดได้ไม่จำเป็นต้องมาทำให้ข้าสงสารคนอย่างข้าไม่หลงกลเจ้าแน่”
เสี่ยวเจิ้งส่งภาษามือบอกว่า ฝ่าบาทจับเสี่ยวเจิ้งมาแบบนี้ท่านอ๋องจะต้องวุ่นวายตามหาเพราะความเป็นห่วง
อินเฉิง แววตาวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจรู้สึกว่า เสี่ยวเจิ้งเอาชิงกวานอ๋องมาขู่เขา
“เปลื้องผ้าเจ้าออก”
เสี่ยวเจิ้งยกมือกอดอกด้วยความกลัวลุกขึ้นตั้งใจจจะวิ่งหนีอีกครั้ง
“เขา เหมันต์เป็นที่ตั้งวังฤดูหนาวของข้ามีทางลงเพียงทางเดียวนอกนั้นเป็นหุบเขาล้อมรอบคิดว่าจะหนีได้หรือ แล้วอีกอย่างทางขึ้นลงข้าเลี้ยงเสือไว้ มันจะคอยขบกัดคนที่ไม่คุ้นเคยนอกจากข้าจึงขึ้นลงได้ เจ้าไม่อาจจะผ่านพยัคฆ์ร้ายตัวนั้นไปได้” เสี่ยวเจิ้งทรุดกายลงกับพื้นทั้งหนาวทั้งเหนื่อย ปวดไปหมดทั้งร่างเพราะต้องพาดอยู่บนหลังม้าระหว่างเดินทาง ไร้หนทางต่อกรนั่งนิ่งไม่ยอมขยับกาย
“หากได้ยินแล้วก็ถอดอาภรณ์เจ้าออกเสีย”
จวนอ๋อง
“ท่านอ๋องจนป่านนี้ยังไม่พบคุณหนูเจิ้ง”
หยวนกังเข้ามารายงานความคืบหน้าในการค้นหาเสี่ยวเจิ้ง ชิงกวานอ๋องหลับตาช้าๆ
“บางที อาจเป็นคนพวกนั้นพวกที่ต้องการเอาชีวิตข้า พวกเขารู้ดีว่านางช่วยข้าจึงแค้นเคืองกลับมาทำร้ายนาง ข้าผิดเองที่วางใจคิดว่าไม่มีอะไรน่าห่วง หยวนกังหยิบกระบี่มาให้ข้าข้าจะเข้าวังหลวง สอบถามชินอ๋องเรื่องการจับตัวเสี่ยวเจิ้ง”
ชิงกวานอ๋องปักใจว่าเป็นชินอ๋องอินฉาง ด้วยคนที่เป็นคนกล้าคิดกล้าทำจึงตั้งใจไปสอบถามเอาความจริงด้วยตัวเอง
“ท่านอ๋อง ชินอ๋องตอนนี้ดูแลวังหลวงแทนฝ่าบาทที่ออกไปประพาสป่า”
“ฮ่องเต้ไปประพาสป่าอย่างนั้นหรือ ทำไมข้าจึงไม่ทราบเรื่องนี้”
“ครั้งนี้ฝ่าบาทเดินทางกับองครักษ์คนสนิทไม่กี่คน และขบวนเสด็จน้อยนิด ไม่เท่ากับปีก่อนๆ แล้วอีกอย่างฝ่าบาทคงเห็นว่าท่านอ๋องทรงบาดเจ็บจึงไม่ได้ชวน”
“เพราะเหตุนี้อินฉางจึงกระทำตามใจ ข้าจะต้องสืบหาความจริงให้ได้ว่าเขานำเสี่ยวเจิ้งไปซ่อนไว้ที่ไหน”
โบกมือให้หยวนกังเข็นรถไม้ไปยังวังหลวง
วังหลวง
“เจ้าว่าอย่างไรนะตงฟางหัว”
“ฝ่าบาททรงแยกไปเพียงลำพัง ป้อคุนคุมกำลังคนยังด่านกวงเหมินไม่ได้ติดตามฝ่าบาทไปประพาสป่า”
หมิงเยว่ผุดลุกขึ้นจากแท่นนอน
“ท่านหาป้อคุนพบไหม ส่งข่าวบอกเขาว่าข้าป่วยหนักอาการเป็นตายเท่ากันกราบทูลฝ่าบาทให้รีบเสด็จกลับ”ตงฟางหัวประสานมือ
“แล้วอย่าลืม แพร่ข่าวออกไปว่าข้าตอนนี้ร่างกายอ่อนแรงห้ามใครเข้ามารบกวน” แววตาเจ้าเล่ห์ผิดกับเมื่อครั้งอยู่ต่อหน้าอินเฉิง
“เจ้าเรียกชินอ๋องพบข้า บอกว่าข้ามีเรื่องหารือเรื่องที่ฝ่าบาททรงเร้นกายออกจากขบวนประพาสป่า”
หันไปทางนางกำนัลข้างกาย
นางกำนัล ย่อกายก้าวขาออกจากห้องไป หมิงเยว่ลุกขึ้นมายืนที่หน้าต่างทอดสายตาออกไปไกลสุดไกล
“ฝ่าบาทปิดบังซ่อนเร้นเรื่องอะไรไว้กันแน่ ข้าพยายามทำทุกอย่างให้ได้อยู่ในใจฝ่าบาท แต่ที่ได้มาเพียงแค่ความสงสารหาใช่ใจของฝ่าบาทไม่”
หลับตาลงช้าๆ รู้ดีว่าการแสร้งว่าป่วยอีกไม่นานคงไม่อาจเสแสร้งต่อไปได้ แม้จะอยากตั้งครรภ์เพื่อผูกมัดและทำให้ตำแหน่งฮองเฮามั่นคง ทว่าหมอหลวงกับพูดไว้ชัดเจนว่าเป็นเพราะหมิงเยว่ใช้ยาเพื่อทำให้ร่างกายอ่อนแรง และซูบผอมเพื่อให้ฝ่าบาทสงสารบัดนี้มีผลต่อการตั้งครรภ์
“เปลื้องอาภรณ์เจ้าออกเสีย”
เสี่ยวเจิ้งยกมือบางดึงอาภรณ์ลงช้าๆ จากหัวไหล่ไล่ลงมาเรื่อยๆ จนเผยให้เห็นไหล่เนียนที่น่าจุมพิตอย่างที่สุด เวลานานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์แต่ในที่สุดก็หยุดมือก่อนจะเผยให้เห็นอกอิ่ม อินเฉิงกลืนน้ำลายลงคอ เกลียดตัวเองที่รู้สึกเสียดาย
เสี่ยวเจิ้งส่งภาษามือบอกว่าเสี่ยวเจิ้งแค่เพียงหญิงบ้านป่าอย่าทำอะไรเลย ฝ่าบาทมีสนมนางในงดงามมากมาย อินเฉิงยิ้มมุมปากระชากร่างบางให้ลุกขึ้น จ้องตากลมโตที่ตื่นกลัว
“ข้าไม่มีทางแตะต้องเจ้า ในเมื่อเจ้ามันก็แค่หญิงที่อาศัยความน่าเห็นใจ ยั่วยวนผู้คนรอบกาย ข้าแตะต้องเจ้าก็เท่ากับหลงกลเจ้าเหมือนท่านอา ที่ให้เปลื้องผ้าเพราะอาภรณ์ที่เจ้าสวมใส่มันเป็นผ้าเนื้อดีเกินไป”
โยนอาภรณ์สีทึมเก่าคร่ำคร่าลงบนใบหน้าเสี่ยวเจิ้งก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในตำหนัก
“ข้าหิวแล้ว เปลี่ยนอาภรณ์และทำเครื่องเสวยอย่าคิดว่าจะได้อยู่สบายที่นี่ เจ้ามันก็แค่สาวใช้ต่ำชั้น คิดจะมาเป็นชายาอ๋องอย่างท่านอาไม่มีทาง”
เสี่ยวเจิ้งตะลึงตาค้างเมื่ออินเฉิงเผยคำพูดออกมา คิดไปเองว่าเสี่ยวเจิ้งเข้ามาเพื่อหวังเป็นชายาอ๋อง
เสี่ยวเจิ้งถลาเข้ายื้ออินเฉิงไว้พยายามส่งภาษามืออธิบายว่าเสี่ยวเจิ้งไม่ได้ต้องการจะมาเป็นชายาท่านอ๋อง อินเฉิงแกะมือเล็กออกผลักให้ล้มลงไปกองกับพื้น“เจ้าคงเห็นว่า ข้าสูงส่งกว่าท่านอา แต่รู้ไว้ข้าเป็นฮ่องเต้ไม่กินของเหลือเดนจากคนอื่นไม่ต้องมายั่วยวนถูกเนื้อต้องตัวข้า อีกอย่างนู่นครัวไปเตรียมเครื่องเสวยก่อนที่ข้าจะฆ่าเจ้าเพราะความหิว”ตวาดเสียงดังลั่น ไร้เหตุผล เสี่ยวเจิ้งทรุดลงไปกองกับพื้นก้มหน้านิ่งหยิบอาภรณ์มาสวมก้าวเดินเข้าห้องครัวไปอย่างยอมจำนน แต่ในใจเล่ากำลังคิดหาทางที่จะหนีไปจากที่นี่เสียก่อไฟหุงข้าวในหม้อดินด้วยไฟอ่อนๆ ก้าวเดินไปยังห้องเก็บเสบียงที่อยู่ติดกันกับครัวกว้างภายใน ห้องเก็บเสบียง ที่หนาวเหน็บเสี่ยวเจิ้งยกมือกอดอก ที่มองเห็นในตอนนี้คือ นกเป็ดน้ำที่ถูกเก็บไว้ โดยการนำมาหมักเครื่องพะโล้กันเน่าเหม็นให้เครื่องพะโล้แทรกซึมเข้าไปในเนื้อ เสี่ยวเจิ้งหั่นช่วงอกออกมาจากราวแขวนเดินถือเนื้อนกเป็ดออกมา ก้มลงขุดเหง้าขิงจากใต้ต้นดอกเหมยที่ขึ้นเป็นกอ ได้ขิงอ่อนแก่อย่างละครึ่งมองสำรวจไปทั่วบริเวณ“หิวแล้ว ข้าหิวแล้วเจ้าทำอะไรอยู่หญิงใบไร้ศักดิ์ ชักช้าเสียจริง”เสี่ยวเจิ้งสะดุ้งโหยงเ
“ได้ยินไหมข้าง่วงแล้ว”ส่งภาษามือบอกว่าถ้าง่วงก็หลับไปจะให้นวดทำไม(เสี่ยวเจิ้งไม่ธรรมดาขี้เถียง)“เจ้านี่ นอกจากจะแสร้งว่าพูดไม่ได้แล้วเจ้า ยังแสร้งว่าโง่งมไม่รู้ว่าการที่ข้าเรียกเจ้ามานวดให้มันหมายความว่าอย่างไร จะมาหรือไม่หากไม่ยอมมาข้าจะไปอุ้มมาเดี๋ยวนี้”ตวาดลั่นหุบเขา เสี่ยวเจิ้งพยุงตัวลุกขึ้น ปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัว อีกทั้งยังรู้สึกว่า ตัวร้อนเพราะพิษไข้ กอดอกก้าวเดินไปยังแท่นนอนก่อนที่ร่างบางจะร่วงพล่อยลงกับพื้นสติดับวูบไปทันที“อย่าเสแสร้งลุกขึ้นเดี๋ยวนี้”ส่ายหน้าไปมา“บอกให้ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้” เอื้อมมือคว้าแขนบางต้้งใจดึงให้ลุกขึ้น แต่สัมผัสแรกที่อินเฉิงรับรู้คือผิวเนื้อที่ร้อนผะผ่าว ขมวดคิ้วก่อนจะสปริงตัวลงจากแท่นนอน ยกมือขึ้นอังที่หน้าผาก ยกมือกลับในทันทีความร้อนจากหน้าผากเนียนริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอขึ้นเล็กน้อย อินเฉิงส่ายหน้ามาไม่ไล่ความคิดไม่ถูกกาลเทศะในหัวแม้แต่ยามนี้ริมฝีปากนางยังน่าจูบ หอบเอาร่างบางวางบนแท่นนอน“อ่อนแอเสียจริง แค่เพียงราดน้ำไม่กี่ทีก็ตัวร้อนเสียได้ แล้วข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าเล่า”เดินออกไปที่หน้าต่างจุดพลุไฟขึ้นทันที เพียงไม่กี่อึดใจป้อคุนก็ขึ้นมาบนเขา“ฝ
เดินเข้าไปในครัวเปิดกาดินเผามีขิงทุบอยู่ข้างในเสี่ยวเจิ้ง รินน้ำใส่เข้าไปในกาดินเผาอีกครั้ง นั่งกอดอกผิงไฟด้วยความหนาวยามค่ำคืน รินน้ำขิงยกมือขึ้นกุมที่ถ้วยด้วยความหนาว อยู่ๆหยาดน้ำตาก็ไหลรินป่านนี้จงหลินกับป้าจงจะเป็นอย่างไรบ้าง คงเป็นห่วงเสี่ยวเจิ้งไม่น้อย แล้วท่านอ๋องเล่าจะเป็นอย่างไรจะตามหาเสี่ยวเจิ้งหรือเปล่า คิดถึงแววตาเศร้าสร้อยกับท่าทีอ่อนโยนของท่านอ๋อง เสี่ยวเจิ้งเผลอยิ้มก่อนจะเอนกายพิงพนังดินหลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม ท่านอ๋องจะต้องมาช่วยท่านอ๋องจะต้องหาส่งคนค้นหาเสี่ยวเจิ้งจวนอ๋องหยวนกัง ยกถ้วยข้าวตรงหน้าชิงกวานอ๋องที่นั่งบนรถเข็นมีผ้าห่มคลุมท่อนขาไว้กันหนาวอีกชั้น“ท่านอ๋องเสวยเสียหน่อย” ชิงกวานอ๋องสายตาเหม่อลอยมือใหญ่ ยกขึ้นทุบไปที่หน้าขาแรงๆ หยวนกังรีบยื้อไว้“ท่านอ๋องได้โปรด อย่าทำแบบนี้” หยวนกังมีสีหน้าห่วงใย“ชินอ๋องปากแข็งไม่ยอมพูดเรื่องที่ลักพาตัวเสี่ยวเจิ้ง ข้าอยากจะฆ่าเขาเสียจริง หากไม่ติดว่าข้า แม้แต่ลุกขึ้นยืนยังทำไม่ได้”แววตาตัดพ้อต่อโชคชะตา“ท่านอ๋องอย่าได้โทษตัวเอง”“ข้าโดดเดี่ยวมานานแสนนานพอพบกับเสี่ยวเจิ้ง เหมือนกำลังจะมีสิ่งดีดีเกิดขึ้น แต่ ทำไมกันสวรรค
ชิงกวานอ๋องนั่งมองดวงจันทราบนขอบฟ้าไกลป่านนี้ยังไม่นอน“ท่านอ๋อง”หยวนกังยกกาใส่น้ำชาร้อนๆ มารินตรงหน้าชิงกวานอ๋อง“หากเสี่ยวเจิ้งเป็นอันตรายข้าคงไม่ให้อภัยตัวเอง”“ความจริงแล้ว เรื่องนี้อาจมีเงื่อนงำ”“หมายความว่าอย่างไร”“มีเรื่องแปลกที่ฝ่าบาทไม่ยอมให้ผู้ใดติดตามไปประพาสป่าครั้งนี้ บางคนพูดว่าฝ่าบาทถึงกลับส่งองครักษ์ที่ติดตามทั้งหมดไปยังด่านกวงเหมิน ส่วนฝ่าบาทกับป้อคุนเร้นกายหายไป”“เจ้าจะบอกอะไรข้า”“หากว่าเป็นฝ่าบาทที่ทำเรื่องนี้ เพราะตั้งใจจะรั้งท่านอ๋องไว้”“รั้งข้าไว้ ข้ารับนางมาเป็นบุตรบุญธรรม ข้าไม่ได้หนีหายไปไหนกับเสี่ยวเจิ้ง”ชิงกวานอ๋องนึกทบทวนคำพูดของตัวเองไปมา คำพูดที่ฝืนใจ ความจริงความรู้สึกดีๆ และหัวใจเขาพองโตเมื่อเสี่ยวเจิ้งยิ้ม นั่นคือความรู้สึกใดกันแน่“เป็นฝ่าบาทที่หวาดระแวง แต่เดิมฝ่าบาทต้องพึ่งพาท่านอ๋องทุกอย่างมาบัดนี้เมื่อคุณหนูเข้ามาฝ่าบาทจึงคิดว่า คิดว่าท่านอ๋องจะละทิ้งทุุกอย่างเพื่อ..คุณหนู”“หากเป็นอินเฉิง เจ้าคิดว่าข้ายังจะกล้า ต่อกรกับเขาหรือ”“ท่านอ๋องหมายความว่า”“หากเป็นอินเฉิง ที่ต้องการเสี่ยวเจิ้งไว้ข้างกาย อ๋องต่ำต้อยเช่นข้าจะมีหน้าไปขัดขวางทั้งสองไ
วางบางเล็กบนแท่นนอน เสี่ยวเจิ้งยังตัวร้อนระอุ ขยับตัวเบาๆ“หนาว ท่านแม่ลูกหนาวเหลือเกิน ท่านแม่อย่าทิ้งลูกไป”ไขว่คว้ากอดรัดไม่รู้ว่าคนที่กำลังกอดรัดอยู่นั่นใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ดวงตาคมจับจ้องที่ริมฝีปากที่ขยับขึ้นลง กลิ่นกายยามชิดใกล้ยิ่งทำให้ ใจของอินเฉิงบัดนี้เต้นรัวเร็วเหมือนหนุ่มน้อยที่เริ่มรักภาพความทรงจำ ที่อยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลน ถูกปล่อยทิ้งไว้กลางป่าห่างไกลไร้ผู้คนเสียงหมาจิ้งจอกเห่าหอน และเสียงหมีส่งเสียงคำราม เสียงสรรพสัตว์ที่ออกหากินยามค่ำคืน ซุกมือไว้ในอ้อมกอดของตัวเองร่างเล็กระจ้อยซุกกายอยู่ในโพรงไม้ใหญ่ ทั้งกลัวทั้งหิวและเหน็บหนาวเด็กหญิงวัยสามขวบ ร้องไห้จนตาบวมแต่ไม่อาจช่วยอะไรได้ ร้องเรียกให้คนช่วยทั้งวิ่งวนหาทางออกฝูงหมาจิ้งจอกวิ่งตามไล่ล่าเหมือนต้องการจะขย้ำเสียให้ตายลงไป พร้อมกับเสียงเห่าหอนเรียกพวกของหมาจิ้งจอกที่ดังขึ้นรอบๆ ตัว สติกำลังจะหลุดลอยร่างกาย ไม่อาจขยับเขยื่อน ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือมารดาที่เดินเข้ามาโอบกอดไว้ ฟงหยงเจิ้งกอดรอบเอวของมารดา หวังความอบอุ่น น้ำตาไหลรินซุกใบหน้าลงบนอกอุ่นของมารดา“ท่านแม่ ท่านมาช่วยหยงเจิ้งแล้ว”อินเฉิงพยายามปลดมือบางที่กอดรั
ชิงกวานอ๋องหยิบปิ่นปักผมทำจากหยกเนื้อดี ที่สั่งทำเป็นพิเศษเพื่อจะมอบให้กับเสี่ยวเจิ้งในวันสำคัญเลี้ยงต้อนรับนางในตำแหน่งบุตรีบุญธรรม แม้การให้ปิ่นปักผมจะดูไม่เหมาะนักทว่าเขากลับรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่คู่ควรแล้ว มือบางซีดขาวเหมือนหญิงสาว เปิดกล่องไม้ตั้งใจวางปิ่นปักผมไว้ที่เดิม แต่“เคร้งงงง”ปิ่นปักผมร่วงลงพื้น กระทบกับพื้นห้องแตกกระจายเป็นชิ้นๆ ชิงกวานอ๋องสีหน้าเจ็บซ้ำ ก่อนจะหัวเราะเย้ยหยันให้กับตัวเอง“สวรรค์เพียงแค่ส่งเจ้ามา พานพบหาได้ส่งเจ้ามาเคียงข้างข้า หยวนกัง หยวนกัง”หยวนกังวิ่งเข้ามาในห้องจ้องมองพื้นที่มีเศษปิ่นปักผมแตกกระจาย ไม่แม้แต่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากก้มลงเก็บไว้ในกล่องไม้ ตามเดิม“ข้าน้อยจะให้ช่างทำขึ้นมาใหม่ให้ดีกว่าเดิม”“ไม่ต้องแล้ว เดินทางไปที่สำนักกงซุน บอกกล่าวกับอาจารย์ให้มารักษาอาการบาดเจ็บให้ข้า ข้าเบื่อที่จะต้องนั่งแบบนี้เต็มทีแล้ว”“ท่านอ๋องแต่นั่นย่อมอันตรายยิ่งอาจารย์ของท่านอ๋อง ..มีเพียงวิชาแพทย์เถื่อน จะช่วยท่านอ๋องได้หรือ”“ข้าไม่อาจรออีกต่อไป ไม่ว่าวิธีไหนก็จะต้องเสี่ยงดูสักครั้ง”หยวนกังถอนหายใจสีหน้าเศร้าสร้อยก้าวขาออกจากห้องไปร่างบางขยับกายลุกจากแท่นน
“ฝะฝ่าบาท จะทำเช่นไร”“ข้าก็คงต้องกลับวังหลวง” ป้อคุน พยักหน้าไปทางร่างเล็กที่ซุกตัวบนแท่นนอนหันหลังไม่สนใจคำพูดของคนทั้งสอง“ทิ้งนางไว้ที่นี่ คอยดูไม่ให้นางหนีไปไม่นานข้าจะกลับมา….”น้ำเสียงขาดหายไปในลำคอ รู้สึกใจหายเหมือนดวงใจหลุดลอยหายไป“ป้อคุนน้อมบัญชาฝ่าบาท”“อย่าให้นางหนีไปแค่นั้นพอ”เสี่ยวเจิ้งยกมือขึ้นอุดหูด้วยคำพูดที่เหมือนเสี่ยวเจิ้งเป็นนักโทษรอการประหาร ยิ่งทำให้รู้สึกว่า อินเฉิงเห็นเสี่ยวเจิ้งเป็นแค่สิ่งของหามีชีวิตจิตไม่“ฝ่าบาทจะออกเดินทางเลยหรือไม่”“คงต้องออกเดินทางในทันทีฮองเฮายามป่วยไข้ต้องมีข้าข้างกายเสมอ ตอนนี้นางคงกำลังรู้สึกน้อยใจที่ข้าทิ้งนางมาแบบนี้ หรืออาจเป็นเพราะข้ามาประพาสป่า ทิ้งนางจึงทำให้นางล้มป่วย”ป้อคุนพยักหน้าขึ้นลง“ป้อคุนจะเตรียมม้า” อินเฉิงพยักหน้าเมื่อป้อคุนประสานมือจากไป อินเฉิงสาวเท้ามายืนที่แท่นนอน ทรุดกายลงเอื้อมมือจับที่ท่อนแขนของเสี่ยวเจิ้งให้หันกลับมาแต่อีกคนกลับแสร้งทำเป็นนอนหลับ“ข้าจะกลับวังหลวง อีกไม่กี่วันจะกลับมา เจ้าอยู่ที่นี่จนกว่าข้าจะกลับ”เสี่ยวเจิ้งผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงส่งภาษามือปล่อยข้าไปเสียรับรองว่าข้าไม่ถือโทษเรื่องที่เก
“ขะขะข้าน้อยพบเด็กหญิงคนนี้เมื่อ15ปีก่อนจำได้แม่นยำเพราะนางกัดข้าน้อยจนเป็นแผลลึกที่แขนข้างซ้าย” เปิดรอยแผลเป็นให้ดู“แล้วนางไปไหนเสีย”“คะคือว่าตอนนั้นข้าน้อยบังเอิญพบนาง เดินอยู่ไม่ไกลจากชายแดนแคว้นใต้เห็นว่าเป็นเด็กหน้าตาน่าเอ็นดูคงจะขายได้ราคา จึงได้พยายามจับตัวนาง แต่ทว่าเด็กคนนั้นยอมตายไม่ยอมให้จับ ไม่ว่าข้าน้อยจะตีหรือขู่นางก็หาทางหนี สุดท้ายก็หนีออกจาก..กรงที่ขังแล้วข้าน้อยจับนางตั้งใจจะลงโทษจึงถูกนางกัดเข้าที่แขนอย่างแรงแล้วนางก็หนีไปห่างจากนี่ไปไม่ถึงสิบลี้ เพราะข้าน้อยกำลังจะส่งเด็กๆยังบ้าน ขุนนางในวังหลวงแคว้นเหว่ย”“นางหนีไปคนเดียวหรือ”“ขอรับใต้เท้าข้าน้อยยังแช่งให้นางไปตายเสียเพราะป่าแถบนั้นหมาจิ้งจอกชุกชุมยิ่งนัก”เจียเกอถอนหายใจตวัดกระบี่เก็บเข้าฝัก“เจ้าไปเสีย แล้วจำคำสัญญาไว้คราวหน้าหากข้าผ่านมาทางนี้อีกแล้วยังเห็นเจ้าค้าขายเด็กอีกข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”พ่อค้าทาสร่างท้วมประสานมือ รีบวิ่งหายไปในทันที“องค์หญิงท่านยังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ ที่นี่มีแต่ป่าเขา”ถอนหายใจยาวเดินไปตามทิศที่ชายร่างท้วมบอกมาจวนอ๋อง“อาจารย์ขาของข้ามีโอกาสกลับมาเดินได้อีกครั้งไหม”“ท่านอ๋อง เรื่องน
"แต่ฝ่าบาทหมดหนทางแล้วท่านอ๋องจะต้องไม่เป็นอะไรหยวนกังก็จะพาท่านอ่องหนีออกมาเช่นกันตามที่ตกลงกันไว้ตอนนี้แค่เพียงช่วยให้ฝ่าบาทหนีออกมาก่อน ท่านอ๋องขวางพวกมันไว้เพื่อให้ฝ่าบาทหนีอกมาฝ่าบาทอย่าทำให้ความตั้งใจของท่านอ๋องเสียเปล่า""แต่ท่านอาบาดเจ็บไม่น้อยข้าจะไปช่วยท่านอา เจ้าขลาดเขลาเพียงนั้นเชียวหรือป้อคุน"ป้อคุนทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น"ฝ่าบาท หนีก่อนก่อนเถอะขอรับ ความปลอดภัยของฝ่าบาทสำคัญที่สุดท่านอ๋องทรงเข้าใจข้อนี้ดีจึงพยายามที่จะกันทหารพวกนั้นเพื่อให้ฝ่าบาทหนีไปหากว่าฝ่าบาทยังเป็นว่าสิ่งที่ป้อคุนหยวนกังและท่านอ๋องทำไปทั้งหมดนั้นขลาดเขลาป้อคุนจะขอให้ฝ่าบาททรงสังหารป้อคุนเสียไม่เช่นนั้นป้อคุนก็ไม่อาจปล่อยให้ฝ่าบาท กลับไปที่ด่านปงเปียง"อู่อินเฉิงทรุดกายลงปล่อยกระบี่ลงข้างกาย"ข้าไม่อาจปล่อยท่านอาไว้ที่นั่นป้อคุนเข้าใจไหมท่านอาเป้นเหมือนบิดาเป็นเป็นพี่น้องและเป็นเหมือนคนที่หวังดีกับข้าเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้""ฝ่าบาท ท่านอ๋องจะดีใจหากทว่าฝ่าบาทปลอดภัยและด้วยความภักดีของหยวนกังจะไม่มีทางให้ท่านอ๋องต้องตาย"อู่อินเฉิงพยักหน้า"กันเถอะไปรอที่ด่านชายแดนแคว้นใต้"สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ท่านอาเราทั้งหมดลงเรือลำเดียวกันแล้วข้าไม่อาจดูดายปล่อยให้ท่านอาและพวกเขาต้องเผชิญศึกเพียงลำพัง เช่นนั้นจึงขอยืนยันคำเดิมว่าจะอยู่ที่นี่แต่สัญญาว่าหากเราทั้งหมดไม่อาจต้านทัพของอิงฉางได้ข้าจะเร้นกายไปยังที่ปลอดภัยพร้อมกันนั้นท่านอาเองก็สำคัญไม่น้อยการกอบกู้บัลลังก์ของเฉิงอู่ต้องกาศัยท่านอา เช่นนั้นหากเราทั้งหมดไม่อาจต่อกรก็ควรจะหนีไปเสียแต่ในตอนนี้ก็ต้องลองยืนหยัดให้ถึงที่สุดก่อน”ชิงกวานอ๋องถอนหายใจปฏิเสธไม่ได้ว่าที่อินเฉิงพูดมาทุกอย่างล้วนสำคัญเขาเองจากประสบการณ์ที่ผ่านมารู้ดีว่าด่านปงเปียงมีกำลังเพียงหยิบมือไม่อาจต่อกรกับทหารของอินฉางฮ่องเต้ได้แม้จะมีฝีมือดีแค่ไหนก้ไม่อาจต่อกรกับทหารจำนวนมากราวกับมดปลวกได้“ฝ่าบาทอย่าลืมคำมั่นนี้หากว่าไม่อาจต่อกรฝ่าบาทจะต้องหนีไปเสียอย่าได้ห่วงใครไม่ว่าจะใครหรือแม้กระทั่งชิงกวานอ๋อง”อู่อิงเฉิงยิ้มน้อยๆ“อิงเฉิงสัญญาจะไม่ทำให้ท่านอาจต้องเป้นกังวล“ดี เช่นนั้นร่วมรบเคียงข้างสร้างขวัญกำลังใจ ป้อคุนหยวนกังอารักขาฝ่าบาทจนถึงที่สุดหากไม่ไหวสิ่งเดียวที่ต้องทำแบบไม่ต้องคิดคือพาฝ่าบาทเร้นกายไปเสียแล้วพบกันที่จุดนัดพบข้ามผ่านด่านชายแดนแคว้นใต้”สี่แรงร่วมใจฟ
“เช่นนั้นหยงเจิ้งกลับไปที่นั่น เสด็จพ่อกับฮองเฮาตั้งใจออกผนวช จึงขาดคนคอยดูแล”“จะดีไหมหากให้ป้อคุนไปคอยดูที่นั่น พร้อมกับหยวนกัง”“ข้าตั้งใจประทานงานแต่งงานให้กับป้อคุนและซือหรูเสียเพราะสองคนรอเวลานี้มานาน”หยงเจิ้งพูดยิ้มๆ“ดีเลย เช่นนั้นส่งข่าวให้เจียเกอช่วยดูแลพวกเขา ระหว่างนี้คนทั้งหมดภักดียิ่งนักไม่มีสิ่งใดให้หนักใจ ฝ่าบาทหยงเจิ้งจึงจะออกผนวชได้อย่างหมดห่วงเสียที”“ที่นี่คงเงียบเหงาหากไม่มีป้อคุนหยวนกังและซือหรู”“ชิงกวานน้อย ขอตามไปที่วังหลวงแคว้นใต้กับท่านอาทั้งสอง ข้าเองก็ไม่อาจขัดเพราะหยวนกังกับป้อคุนดูแลชิงกวานน้อยอีกทั้งยังฝึกปรือวรยุทธ์ให้จนเชี่ยวชาญ”“คงจะต้องคิดถึงทุกคน”อินเฉิงกอดรวบร่างอุ้ยอ้ายไว้ในอ้อมแขน“มีข้าอยู่เจ้าจะไม่ต้องเหงา”“ฝ่าบาทเอาแต่ใจใครกันจะลืมได้ เมื่อคราวอยู่ที่ตำหนักฤดูหนาวก็เอาแต่ใจไม่เปลี่ยน”“เช่นนั้นอย่างไรเล่าเจ้าจึงตั้งครรภ์ข้าจึงไม่ต้องรอนาน หากไม่ไปที่ตำหนักฤดูหนาวรำลึกความหลังกันเจ้าจะตั้งครรภ์หรือไร ข้าเองตามใจชิงกวานน้อยที่อยากจะมีน้อง”หยงเจิ้งยิ้มเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อ อู่อินเฉิงกอดไว้แน่น“ข้ารักเจ้ามีเจ้าคนเดียวตลอดไปข้าสัญญาและจะไม
อินเฉิงลุกขึ้นพิงแท่นบรรทมเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่างมองเห็นชัดเจนแจ่มใส ทั้งสองตารอยยิ้มเป็นสุข ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของหยงเจิ้งที่หลับใหลไปกับอ้อมกอดของเขา ความสุขที่มาถึงยามที่ผ่านความทุกข์ระทม จึงนับว่าเป็นความสุขที่แท้จริงสายลมพัดผ่าน ชิงกวานอ๋องวิ่งหลบซุกตัวยังโขดหิน หยวนกังเกาหัวแกรกๆ ป้อคุนวิ่งตาม หันหน้าหันหลังไม่พบ อ๋องน้อยว่าแอบหลบอยู่ตรงไหนหยวนกังส่ายหน้าไปมา ลูบเคราวยาว“เราสองคนคงจะแก่ไปแล้วจึงไม่อาจหาท่านอ๋องน้อยพบ”“เชิญท่านเพียงลำพังเลยหยวนกัง ข้ายังไม่อยากจะแก่ท่านอ๋องน้อยวิ่งหลบรวดเร็วเหมือนชิงกวานอ๋องที่พลิกพลิ้วยิ่งกว่าใคร อีกหน่อยหากฝึกปรือวิชากระบี่คงหาตัวจับยาก”หยวนกังอมยิ้ม“ข้า ได้ยินว่าท่านอ๋องน้อยทรงขออนุญาตฝ่าบาทฝึกวิชากระบี่ เราสองคนคงต้องลับคมกันหน่อยเพื่อรอวันถวายการฝึกสอน”“ฮ่าาา เหมือนจริงๆ ช่างเหมือนท่านอ๋องชิงกวานเสียจริง มุ่งมั่นยิ่งนัก เราสองคนคงต้อง ทุ่มเทฝึกสอนกันให้มากหน่อย”ป้อคุนเอ่ยขึ้นดังๆ“หยวนกัง…ป้อคุน…..”ชิงกวานน้อยวิ่งออกจากที่ซ่อน กระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของหยวนกัง“ฮ่าาาาท่านอ๋องในที่สุดก็ยอมออกมา”ป้อคุนอมยิ้ม“ก็ข้าได้ยินว่า ท่านอาทั้ง
ดวงตาพร่ามัวกลอกกลิ้งไปมาทั้งซ้ายและขวา เสียงอ้อแอ้ขององค์ชายน้อยดังแว่วมา แต่ไกล“ชิงกวานน้อยของแม่ เจ้าจะรีบตื่นแต่เช้าทำไมกันเสด็จพ่อยังคงหลับใหล”เสียงหวานของหยงเจิ้งทำเอาอินเฉิงยิ้มกว้างยกมือขึ้นคลำที่ดวงตาทั้งสองข้างสูดลมหายใจลึกๆ“เสี่ยวเจิ้ง”หยงเจิ้งขยับกายหันมา มองร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาลืมตาอยู่บนแท่นบรรทม รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นที่ใบหน้างาม“ฝ่าบาท ท่านฟื้นแล้ว”ดวงตาซ้ายขวากลอกกลิ้งไปมา มองเห็นใบหน้างามเด่นชัด“ข้านอนไปนานแค่ไหน เสี่ยวเจิ้งกับองค์ชายน้อยถึงได้มาอยู่ข้างกายข้าได้”“องค์ชายน้อยชิงกวาน”อุ้มร่างเล็กที่ส่งเสียงอ้อแอ้ปลุกยามเช้ามาใกล้ๆ อินเฉิงรับเอาร่างเล็กจิ๋วไว้ในอ้อมแขน“ชิงกวาน ชื่อนี้เหมาะกับเจ้าเสียจริง เจ้า เป็นคนที่ทำให้ พ่อกับแม่ได้มีวันนี้วันที่เราพร้อมหน้า”หยงเจิ้งปาดน้ำตาที่เอ่อล้นขอบตา อินเฉิงดึงมือหยงเจิ้งให้นั่งลงข้างๆ เขาจูบซับน้ำตาให้เบาๆ“ท่านอาไม่อยากเห็นน้ำตาเจ้าหยงเจิ้งของข้า ดวงตานี้ของท่านอาอยากเห็นรอยยิ้มของเจ้า มิใช่หยาดน้ำตา”หยงเจิ้งยิ้มทั้งน้ำตา“มีวันนี้ได้เพราะท่านอ๋อง ข้าหยงเจิ้งเช่นไรจะกล้าขัดคำสั่ง”ยิ้มกว้างสดใส อินเฉิงกอดรวบร่าง
“ข้า อัปลักษณ์เพียงนี้ เป็นท่านอาที่จะต้องดูแลหยงเจิ้งต่อไป เป็นท่านอาอินเฉิงจึงวางใจ”หมอหลวงวิ่งถือหลวมยาเข้ามา อินเฉิง ขยับกายให้หมอหลวงตรวจดูอาการของ ชิงกวานอ๋อง“ฝ่าบาท ชิงกวานอ๋องไร้ความสามารถไม่อาจดูแลนาง ฝ่าบาทจึงคู่ควรที่สุด”หมอหลวงลุกขึ้นยืนประสานมือตรงหน้าอินเฉิงพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอินเฉิงหลับตาไล่หยาดน้ำตา หยวนกังเบือนหน้าหนีปาดน้ำตาที่ไหลริน“ท่านอา เราไปพักที่ตำหนักให้ท่านหมอ จัดเทียบยาดีไหม”น้ำเสียงอ่อนโยน“หยวนกังตามอาจารย์ให้ข้าทีข้าอยากจะพักเสียหน่อย ฝ่าบาทพยุงชิงกวานไปเถิด ให้หยวนกังตามอาจารย์”หยวนกังยิ้มกว้าง เหมือนจะเริ่มมีความหวังว่าอาจารย์กับวิชาแพทย์เถื่อนจะสามารถช่วยชีวิตท่านอ๋องได้“หยวนกังรีบไปแล้วท่านอ๋องอดทนหน่อย”วิ่งออกจากท้องพระโรงกระโดดขึ้นหลังม้าควบออกไปราวกับลูกดอกพุ่งเข้าสู่เป้าอินเฉิงพยุงชิงกวานอ๋องหมอหลวงตรวจดูอาการของป้อคุนอย่างเร่งรีบบนแท่นบรรทม ร่างสูงองอาจนอนเหยียดยาวใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้กลับซีดขาว แต่แววตายังอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้งที่อินเฉิงเคยเห็น เลือดสดๆ ยังไหลซึมออกจากบาดแผล“ท่านอาอดทนหน่อย อาจารย์ปู่กำลังมา”“เพื่อฝ่าบาทต่างหาก
อินฉางดวงตาเหลือกลานเมื่อเห็นว่า หมิงเยว่ล้มลงคว่ำหน้าลงกับพื้นเลือดอาบไปทั่วร่างบาง ตรงเข้าหอบเอาร่างบางที่หายใจรวยริน“ม่ายยยยไม่นะหมิงเยว่ต้องไม่ใช่เจ้าต้องไม่ใช่เจ้าหมิงเยว่ขะขะข้าขอโทษ หมิงเยว่ ข้าไม่ให้เจ้าตายไม่หมิงเยว่ อย่าทำแบบนี้หมิงเยว่”ทว่าร่างโชกเลือดหาได้ขยับเขยื่อนเคลื่อนไหวไม่ยังคงนิ่งงัน ดวงตาอาบไปด้วยหยาดน้ำตา สิ้นลมหายใจโดยไม่ได้ร่ำลา“หมิงเยว่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”อินฉางอุ้มร่างโชกเลือดไว้ในอ้อมแขนดวงตาแดงก่ำ“อินฉิง ท่านจะต้องรับผิดชอบ ปาถั่วรับบัญชาข้า ฆ่าอู่อินเฉิงกับป้อคุนแล้วสับร่างเป็นชิ้นๆ ”ปาถั่วก้มหน้าประสานมืออินฉางเดินโซเซพาร่างไร้วิญญาณของหมิงเยว่ออกจากท้องพระโรง“ยิง”ปาถั่วสั่งพลธนูทว่ายังไม่ทันได้เหนี่ยวคันธนู พลธนูทั้งหลายต่างล้มลงไปกองกับพื้นองครักษ์หลายนายต่างวิ่งถือกระบี่เข้ามาล้อมชิงกวานอ๋องที่ในมือกำกระบี่ ฟาดฟันสังหารมือยิงธนูจนบาดเจ็บล้มตาย“ฝ่าบาท”พยุง อินเฉิงที่ถูกลูกดอกปักเข้าที่ขาข้างขวา“ท่านอา มาทันเวลาพอดี”“อย่าเพิ่งพูดอะไร ฝ่าบาทจงรีบเปิดประตูให้คนของเรา ชิงกวานจะหันเหความสนใจของคนพวกนี้ ป้อคุนยังไหวหรือไม่”ป้อคุนที่ไม่อาจขยับกาย“ชิงกวา
ทัพของอู่อินเฉิง ดาหน้าที่ประตูวังหลวงแคว้นเหว่ย พลธนูเหนี่ยวคันธนูสุดแรงรอเพียงคำสั่งให้ยิงอยู่บนป้อมปราการสูงบนประตูวังทั้งสี่ด้าน“ยิง”ป้อคุนทะยานเข้ามาขวางอู่อินเฉิงที่ตกเป็นเป้าของธนูใช้กระบี่ในมือกวัดแกว่งคุ้มภัย อู่อินเฉิงเองก็กำกระบี่ในมือกวัดแกว่งปัดป้อง เหล่าทหารโห่ร้องหาได้สะทกสะท้านต่อความเจ็บความตายตรงหน้า“บุกเข้าไปในวังหลวงจับตัวอู่อินฉางมาคุกเข่าตรงหน้าฝ่าบาท”ป้อตี้ออกคำสั่ง ดังลั่น หทารกล้าทั้งหลายต่างพุ่งตัวเข้าไปยังประตูวัง ออกแรงดันประตู ให้เปิดอ้าออกเพื่อให้กองทัพเข้าไปภายในห่างจากวังหลวงสิบลี้“ท่านอ๋องเปลวไฟ ลุกไหม้อยู่ที่วังหลวงเกรงว่าตอนนี้ทัพของฝ่าบาทคงถึงที่นั่นแล้ว”หยวนกังเอ่ยปากด้วยสีหน้ากังวล“เร่งเดินทางอารักขาฝ่าบาท ข้าไม่อาจวางใจอู่อินฉางหาใช่ผู้ที่ซื่อตรงไม่จะต้องซ่อนกลโกงไว้รอฝ่าบาทเป็นแน่”ชิงกวานอ๋องควบม้าเร็วรี่ยังกลุ่มควันที่ลอยวนบนท้องฟ้าอินฉางนั่ ไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์มังกรในท้องพระโรง ในมือมีจอกสุรารสเลิศ ข้างกายเป็นหมิงเยว่ ที่นั่งก้มหน้ามองมือตัวเอง กับปาถั่วที่กุมกระบี่ข้างเอวไว้แน่นเสียงโห่ร้องใกล้เข้ามา อินเฉิงก้าวขายาวๆยังหน้าบัลลั
“ข้าหากจะต้องตายเพราะการณ์นี้ ก็คงจะต้องยอมเพราะเลือกข้างผิดเดิม อู่อินเฉิงไม่จะไม่เคยใส่ใจ กองทัพแต่ทว่าชิงกวานอ๋องกับผูกใจ เหล่าทหารกล้าบทเรียนครั้งนี้ ไม่อาจแก้ไขแม้ตอนนี้จะมีที่มั่นและกำลังคนแต่หากชิงกวานอ๋อง เอ่ยปากไม่แน่ว่าเหล่าทาหรพวกนี้จะย้ายข้างหรือไม่”“ข้าน้อยได้ยินมาว่า ชิงกวานอ๋องในครั้งนี้ไม่ได้ มาด้วยมีเพียงอู่อินเฉิงเท่านั้น”ปาถั่วขมวดคิ้ว“บางทีนี่อาจเป็นแผนการตลบหลังไม่อาจวางใจ”ถอนหายใจยาวตำหนักชิงหนิงกง“ฮองเฮาอู่อินเฉิงยกทัพกลับมาที่วังหลวง คงจะถึงวังหลวงในอีกไม่ช้า”หมิงเยว่ ลุกขึ้นจากแท่นนอนสีหน้าแสดงความดีใจ“เขากลับมาแล้วเขาไม่ได้ทอดทิ้งข้าเขายังรักข้าอย่างน้อยก็กลับมาทวงบัลลังก์และคงจะมารับข้าเป็นฮองเฮาของเขาเหมือนเคย”ตงฟางหัวถอนหายใจ หมิงเยว่หลายเดือนที่ผ่านมา สติหลุดลอย พูดจาเลื่อนเปื้อนติดอยู่ในความเพ้อฝันเสียมากกว่าความจริง“ฮองเฮา ไม่แน่ว่าอู่อินเฉิงจะกลับมาหาฮองเฮา”“เขาต้องมาในเมื่อในใจเขามีข้าเพียงคนเดียว เขาทำทุกอย่างเพื่อข้า ข้ารู้แล้วข้าเองก็จะทำทุกอย่างเพื่อเขาเช่นกันเขาจะได้ไม่ต้องลำบากทวงคืนบัลลังก์”ดวงตาเป็นประกายสดใสตงฟางหัวถอนหายใจ“ฮองเฮา