วางบางเล็กบนแท่นนอน เสี่ยวเจิ้งยังตัวร้อนระอุ ขยับตัวเบาๆ
“หนาว ท่านแม่ลูกหนาวเหลือเกิน ท่านแม่อย่าทิ้งลูกไป”
ไขว่คว้ากอดรัดไม่รู้ว่าคนที่กำลังกอดรัดอยู่นั่นใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ดวงตาคมจับจ้องที่ริมฝีปากที่ขยับขึ้นลง กลิ่นกายยามชิดใกล้ยิ่งทำให้ ใจของอินเฉิงบัดนี้เต้นรัวเร็วเหมือนหนุ่มน้อยที่เริ่มรัก
ภาพความทรงจำ ที่อยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลน ถูกปล่อยทิ้งไว้กลางป่าห่างไกลไร้ผู้คนเสียงหมาจิ้งจอกเห่าหอน และเสียงหมีส่งเสียงคำราม เสียงสรรพสัตว์ที่ออกหากินยามค่ำคืน ซุกมือไว้ในอ้อมกอดของตัวเองร่างเล็กระจ้อยซุกกายอยู่ในโพรงไม้ใหญ่
ทั้งกลัวทั้งหิวและเหน็บหนาวเด็กหญิงวัยสามขวบ ร้องไห้จนตาบวมแต่ไม่อาจช่วยอะไรได้ ร้องเรียกให้คนช่วยทั้งวิ่งวนหาทางออกฝูงหมาจิ้งจอกวิ่งตามไล่ล่าเหมือนต้องการจะขย้ำเสียให้ตายลงไป พร้อมกับเสียงเห่าหอนเรียกพวกของหมาจิ้งจอกที่ดังขึ้นรอบๆ ตัว สติกำลังจะหลุดลอยร่างกาย ไม่อาจขยับเขยื่อน ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือมารดาที่เดินเข้ามาโอบกอดไว้ ฟงหยงเจิ้งกอดรอบเอวของมารดา หวังความอบอุ่น น้ำตาไหลรินซุกใบหน้าลงบนอกอุ่นของมารดา
“ท่านแม่ ท่านมาช่วยหยงเจิ้งแล้ว”
อินเฉิงพยายามปลดมือบางที่กอดรัดเขาออก แต่อีกคนกลับไขว่คว้ากอดรัดจนในที่สุดเขาก็ต้องปล่อยให้เสี่ยวเจิ้งกอดร่างเขานอนทับอยู่บนร่างบางที่ร่างกายยังร้อนระอุด้วยพิษไข้
“เสี่ยวเจิ้งเจ้าจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ เช่นนั้นจะหาว่าข้าไม่เตือน”
ใจหนึ่งอยากจะหนีแต่อีกใจกลับรู้สึกอยากจะอยู่แบบนี้ไปนานๆ
“หนาว”
มือเล็กดึงร่างใหญ่เข้าใกล้ตัวจนริมฝีปากประกบเข้าที่ริมฝีปากร้อนของเสี่ยวเจิ้ง
“เจ้ายั่วยวนข้าเพียงนี้เชียวหรือ”
เสี่ยวเจิ้งกอดรวบลำคอของอินเฉิงที่กำลังจะปล่อยร่างบางลงบนแท่นนอน
ร่างใหญ่ทาบทับไว้มือเหนียวกอดรัดไม่ยอมปล่อย เพราะคิดว่าเป็นเพียงความฝัน ในวัยเยาว์
มือเล็กซุกเข้าไปที่อกกว้างหวังรับความอบอุ่นแต่หารู้ไม่ว่าอินเฉิงตัวแข็งทื่อด้วยความรู้สึกที่ขัดแย้งภายใน จ้องมองใบหน้าแดงระเรื่อที่หลับตาพร้อมรอยยิ้ม ซุกไซร้ใบหน้ากับอกกว้างอินเฉิงก้มจุมพิตที่ริมฝีปากร้อนระอุ มือเล็กของเสี่ยวเจิ้งล้วงลึกไปที่อกแน่น ซุกมือหาความอบอุ่น ใบหน้ายังเกลือกกลิ้งที่อกของอินเฉิง
“เจ้ายั่วยวนข้าเอง ข้าหาใช่หินผาไม่”
เสียงแหบพร่า ดวงตาบ่งบอกความประสงค์บางอย่าง ยกมืออุ่นขึ้นสอดรัดกอดร่างบางไว้แนบลำตัวจ้องริมฝีปากที่เผยอขึ้นเหมือนตั้งใจยั่วยวน
มืออุ่นปลดแกะอาภรณ์ ออกจากร่างร้อนระอุเผยให้เห็นเนินอกนุ่มที่ออกมาเย้ยสายตาเขา
“หนาว”
ร่างเล็กยิ่งเบียดชิด ริมฝีปากแดงระเรื่อน่าบดจูบยิ่งนักไม่ว่าอย่างไร อินเฉิงก็คงไม่อาจห้ามใจ มือสั่นปลดแกะอาภรณ์ของเสี่ยวเจิ้งออกช้าๆ เนินถันที่เต่งตึงยอดประทุมถันสีชมพูน่าขบกัดเขาไม่รอช้าซุกไซร์ใบหน้าลงบนอกนุ่ม เสี่ยวเจิ้งยังไขว่คว้ากอดรัด ไม่ได้ผลักไสเขาด้วยพิษไข้
ร่างกายยังร้อนระอุท่ามกลางอากาศหนาว จูบซุกไซร้ไปทั่วอกนุ่มและลำคอระหงกลิ่นกายสาวหอมยวนใจ มืออุ่นสำรวจทกตารางนิ้วผิวเนื้อเนียนขาว ลิ้นอุ่นวนไปขบกัดยอดประทุมถันสีชมพู ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกแต่กับกอดเขาไว้ถ่ายความร้อนมาที่ร่างกายเขาจนเหงื่อไหลซึม อินเฉิงยากจะห้ามใจ บางอย่างในกายถูกปลุกด้วยไฟราคะ ซุกไซร้กอดก่ายพลิกร่างบางใช้ลิ้นอุ่นซอกซอนสำรวจไปทั่วแผ่นหลังและหน้าท้องเนียนขาว
ร่างบางที่ร้อนระอุ อินเฉิงปลดอาภรณ์ทั้งของตัวเองและเสี่ยวเจิ้งออกจนหมด ทาบทับร่างเปลือยลงบนร่างร้อนระอุด้วยพิษไข้ที่ยังหลับตาเผยอริมฝีปากเหมือนตั้งใจยั่วยวน
เขาไม่รอช้ากดริมฝีปากบดเบียดยาวนาน กลืนน้ำลายลงไปในลำคอที่แห้งผากยากจะห้ามใจความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ตีกันวกวนในหัว อีกคนความร้อนในกายลดลงลืมตาพบว่าตัวเองบัดนี้อยู่ใต้ร่างอบอุ่น อาการไข้เริ่มบรรเทาเบาบาง มองเห็นได้ทันทีว่าอยู่ภายใต้ร่างใหญ่ของอินเฉิงใบหน้าหล่อเหลาใกล้แค่เอื้อม ขยับกายหนีดิ้นรนออกจากอ้อมแขนและร่างใหญ่ที่ทาบทับแต่ทว่าไม่อาจสู้แรงของอินเฉิงได้ ขยับกายหนีก็หนีไปพ้น ยกมือบางหมายทุบอกกว้าง แต่กลับถูกรวบมือไว้เหนือหัว ริมฝีปากถูกกดปิดไว้จนหายใจหายคอไม่ทัน
“ปล่อย”
อินเฉิงยิ้มกดเอวหนาลงไปช้าๆ เน้นๆ
“กรี๊ดดดด”
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่คนด้านบนกับรู้สึกสุขสม ยิ้มเป็นสุขจูบปลอบประโลมทั่วใบหน้ากดเอวลงอีกครั้ง คราวนี้ร่างบางกับกอดรัดเขาไว้แน่น ขยับกายเบาๆ กลัวอีกคนจะเจ็บปวดมากไปกว่านี้
“ข้าจะทะนุถนอมเจ้า”
เสี่ยวเจิ้งอยากผลักไสร่างใหญ่ให้พ้นตัว แต่กลับมือกอดรัดเหมือนกลัวว่าตัวเองจะหลุดลอย อินเฉิงขยับกายขึ้นลงความกระสันถึงขีดสุดด้วยกลีบบุปผาแน่นกระชับจนอินเฉิงกระหยิ่มในใจเขาเป็นคนแรกของนาง น้ำตาไหลรินอาบแก้ม อินเฉิงจูบซับน้ำตาให้เบาๆ
“เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว”
คำพูดแสดงความเป็นเจ้าของเสี่ยวเจิ้งเบือนหน้าหนี แต่กลับถูกรั้งร่างเปลือยเข้าหาตัว
“จะหนีอย่างไรพ้นเล่า ในเมื่อที่นี่มีเพียงเจ้ากับข้า”
จุมพิตเบาๆ ที่ไหล่เนียนเสี่ยวเจิ้งขยับกายถอยห่างน้ำตายังไหลอาบแก้ม อินเฉิงมอบความหวานให้ ไม่ลดละ เสี่ยวเจิ้งทำเขาสุขสมยิ่งนัก
ชิงกวานอ๋องหยิบปิ่นปักผมทำจากหยกเนื้อดี ที่สั่งทำเป็นพิเศษเพื่อจะมอบให้กับเสี่ยวเจิ้งในวันสำคัญเลี้ยงต้อนรับนางในตำแหน่งบุตรีบุญธรรม แม้การให้ปิ่นปักผมจะดูไม่เหมาะนักทว่าเขากลับรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่คู่ควรแล้ว มือบางซีดขาวเหมือนหญิงสาว เปิดกล่องไม้ตั้งใจวางปิ่นปักผมไว้ที่เดิม แต่“เคร้งงงง”ปิ่นปักผมร่วงลงพื้น กระทบกับพื้นห้องแตกกระจายเป็นชิ้นๆ ชิงกวานอ๋องสีหน้าเจ็บซ้ำ ก่อนจะหัวเราะเย้ยหยันให้กับตัวเอง“สวรรค์เพียงแค่ส่งเจ้ามา พานพบหาได้ส่งเจ้ามาเคียงข้างข้า หยวนกัง หยวนกัง”หยวนกังวิ่งเข้ามาในห้องจ้องมองพื้นที่มีเศษปิ่นปักผมแตกกระจาย ไม่แม้แต่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากก้มลงเก็บไว้ในกล่องไม้ ตามเดิม“ข้าน้อยจะให้ช่างทำขึ้นมาใหม่ให้ดีกว่าเดิม”“ไม่ต้องแล้ว เดินทางไปที่สำนักกงซุน บอกกล่าวกับอาจารย์ให้มารักษาอาการบาดเจ็บให้ข้า ข้าเบื่อที่จะต้องนั่งแบบนี้เต็มทีแล้ว”“ท่านอ๋องแต่นั่นย่อมอันตรายยิ่งอาจารย์ของท่านอ๋อง ..มีเพียงวิชาแพทย์เถื่อน จะช่วยท่านอ๋องได้หรือ”“ข้าไม่อาจรออีกต่อไป ไม่ว่าวิธีไหนก็จะต้องเสี่ยงดูสักครั้ง”หยวนกังถอนหายใจสีหน้าเศร้าสร้อยก้าวขาออกจากห้องไปร่างบางขยับกายลุกจากแท่นน
“ฝะฝ่าบาท จะทำเช่นไร”“ข้าก็คงต้องกลับวังหลวง” ป้อคุน พยักหน้าไปทางร่างเล็กที่ซุกตัวบนแท่นนอนหันหลังไม่สนใจคำพูดของคนทั้งสอง“ทิ้งนางไว้ที่นี่ คอยดูไม่ให้นางหนีไปไม่นานข้าจะกลับมา….”น้ำเสียงขาดหายไปในลำคอ รู้สึกใจหายเหมือนดวงใจหลุดลอยหายไป“ป้อคุนน้อมบัญชาฝ่าบาท”“อย่าให้นางหนีไปแค่นั้นพอ”เสี่ยวเจิ้งยกมือขึ้นอุดหูด้วยคำพูดที่เหมือนเสี่ยวเจิ้งเป็นนักโทษรอการประหาร ยิ่งทำให้รู้สึกว่า อินเฉิงเห็นเสี่ยวเจิ้งเป็นแค่สิ่งของหามีชีวิตจิตไม่“ฝ่าบาทจะออกเดินทางเลยหรือไม่”“คงต้องออกเดินทางในทันทีฮองเฮายามป่วยไข้ต้องมีข้าข้างกายเสมอ ตอนนี้นางคงกำลังรู้สึกน้อยใจที่ข้าทิ้งนางมาแบบนี้ หรืออาจเป็นเพราะข้ามาประพาสป่า ทิ้งนางจึงทำให้นางล้มป่วย”ป้อคุนพยักหน้าขึ้นลง“ป้อคุนจะเตรียมม้า” อินเฉิงพยักหน้าเมื่อป้อคุนประสานมือจากไป อินเฉิงสาวเท้ามายืนที่แท่นนอน ทรุดกายลงเอื้อมมือจับที่ท่อนแขนของเสี่ยวเจิ้งให้หันกลับมาแต่อีกคนกลับแสร้งทำเป็นนอนหลับ“ข้าจะกลับวังหลวง อีกไม่กี่วันจะกลับมา เจ้าอยู่ที่นี่จนกว่าข้าจะกลับ”เสี่ยวเจิ้งผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงส่งภาษามือปล่อยข้าไปเสียรับรองว่าข้าไม่ถือโทษเรื่องที่เก
“ขะขะข้าน้อยพบเด็กหญิงคนนี้เมื่อ15ปีก่อนจำได้แม่นยำเพราะนางกัดข้าน้อยจนเป็นแผลลึกที่แขนข้างซ้าย” เปิดรอยแผลเป็นให้ดู“แล้วนางไปไหนเสีย”“คะคือว่าตอนนั้นข้าน้อยบังเอิญพบนาง เดินอยู่ไม่ไกลจากชายแดนแคว้นใต้เห็นว่าเป็นเด็กหน้าตาน่าเอ็นดูคงจะขายได้ราคา จึงได้พยายามจับตัวนาง แต่ทว่าเด็กคนนั้นยอมตายไม่ยอมให้จับ ไม่ว่าข้าน้อยจะตีหรือขู่นางก็หาทางหนี สุดท้ายก็หนีออกจาก..กรงที่ขังแล้วข้าน้อยจับนางตั้งใจจะลงโทษจึงถูกนางกัดเข้าที่แขนอย่างแรงแล้วนางก็หนีไปห่างจากนี่ไปไม่ถึงสิบลี้ เพราะข้าน้อยกำลังจะส่งเด็กๆยังบ้าน ขุนนางในวังหลวงแคว้นเหว่ย”“นางหนีไปคนเดียวหรือ”“ขอรับใต้เท้าข้าน้อยยังแช่งให้นางไปตายเสียเพราะป่าแถบนั้นหมาจิ้งจอกชุกชุมยิ่งนัก”เจียเกอถอนหายใจตวัดกระบี่เก็บเข้าฝัก“เจ้าไปเสีย แล้วจำคำสัญญาไว้คราวหน้าหากข้าผ่านมาทางนี้อีกแล้วยังเห็นเจ้าค้าขายเด็กอีกข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”พ่อค้าทาสร่างท้วมประสานมือ รีบวิ่งหายไปในทันที“องค์หญิงท่านยังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ ที่นี่มีแต่ป่าเขา”ถอนหายใจยาวเดินไปตามทิศที่ชายร่างท้วมบอกมาจวนอ๋อง“อาจารย์ขาของข้ามีโอกาสกลับมาเดินได้อีกครั้งไหม”“ท่านอ๋อง เรื่องน
บางอย่างกำลังแล่นเข้ามาในหัว สับสนวุ่นวายไม่รู้ว่าคือความรู้สึกใดกันแน่“ฝ่าบาท เสด็จเพียงลำพังหรือไร หมิงเยว่ไม่เห็นท่านองครักษ์ป้อคุน”“ข้าเร่งเดินทางจึงให้ ป้อคุนดูแลกระโจมประพาสป่าให้ทหารช่วยเก็บกวาดแล้วจึงค่อยตามมาทีหลัง”“หมิงเยว่ห่วงความปลอดภัย ฝ่าบาทยิ่งนัก เดินทางเพียงลำพัง”“เป็นเพราะฝ่าบาทห่วงฮองเฮาที่ทรงป่วยไข้เป็นประจำจึงเร่งเดินทาง หรือไม่แน่บางทีอาจ มีสิ่งใดที่ให้ป้อคุนดูแลอยู่”อินฉางก้าวขาเข้ามาแบบถือวิสาสะ“อินฉาง เองก็เข้าออกตำหนักชิงหนิงกงดั่งตำหนักตัวเอง”อินฉางหน้าเจื่อนก่อนจะยิ้มมุมปาก“ฝ่าบาทไม่อยู่ ฮองเฮาทรงประชวรเป็นอินฉางที่แวะเวียนเยี่ยมเยือน ฝ่าบาทจะคิดเล็กคิดน้อยทำไมเราสองคนก็เป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต ภรรยาของท่านก็เหมือน… ก็เป็นพี่สะใภ้ข้า”หมิงเยว่ขยับกายด้วยความรู้สึกอึดอัดอินเฉิงยิ้ม“ที่ผ่านมา เรื่องราวในราชสำนักมีสิ่งใดติดขัดหรือไม่”เปลี่ยนเรื่องพูดเสีย“ ฝ่าบาทไม่อยู่ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ท่านอาชิงกวานอ๋องเดินทางเข้ามาในวังหลวงทั้งๆ ที่ต้องใช้รถเข็นให้คนเข็นมาดังคนพิการ น่าขายหน้ายิ่งนัก บาดเจ็บดังคนพิการเพียงนั้นควรจะอยู่ที่จวนอ๋อง ยังกล้าเข้ามาให้
วังหลวงอู่อินเฉิง นั่งนิ่งในอ่างไม้ หลับตาลงช้าๆ แต่กลับมีใบหน้างดงามของเสี่ยวเจิ้งลอยมาตรงหน้า ใบหน้าโศกสลดกับกลิ่นกายหอมยวนใจ ดวงตาหวาดกลัวและอ้อนวอน ถอนหายใจยาว“ข้า เผลอใจคิดถึงเจ้าได้อย่างไรกัน”พยายามเข้าข้างตัวเองว่าเพราะรสสวาทที่หอมหวานและใหม่จึงทำให้ครุ่นคิดถึงแต่เสี่ยวเจิ้ง หาใช่ความรู้สึกลึกซึ้งในใจ“ข้าไม่มีทางคิดถึงเจ้า ข้าไม่มีทางคิดถึงเจ้า ข้าไม่มีทางคิดถึงเจ้าาาาาา”ส่งเสียงดังลั่นห้อง ขันทีทรุดกายลงตรงหน้าด้วยความตกใจกลัว“ฝะ ฝะฝ่าบาทฮองเฮาทรงรอเสวย ให้ข้าน้อยมาทูลเชิญฝ่าบาท” อู่อินเฉิงเหมือนเพิ่งจะได้สติ โบกมือให้ขันทีลุกขึ้น ก่อนจะสวมอาภรณ์ถอนหายใจยาว ครุ่นคิดเพียงแค่เขาจะทำอย่างไรจึงจะเลิกคิดถึงเสี่ยวเจิ้งตำหนักเมฆาของชินอ๋อง“หากท่านช่วยข้าเรื่องนี้ ตำแหน่งผู้นำแปดกองธงข้าจะมอบมันให้ท่านเองกับมือ”“ชินอ๋องแต่ แต่ข้าน้อยเกรงว่า”“ป้อคุนไม่อยู่ที่นี่ ชิงกวานอ๋องเองก็กำลังบาดเจ็บเจ้ายังเกรงกลัวสิ่งใดอีก ลำพัง ฝ่าบาทจะกล้าต่อกรกับเราหรือ” หัวหน้าองครักษ์มีสีหน้าครุ่นคิด“แล้วท่านจะให้ข้า ลงมือเมื่อไหร่กัน”“อีกสองวัน”แววตาตื่นเต้น ตกใจไม่คิดว่าทุกอย่างจะรวดเร็วเพี
หมิงเยว่ยิ้มอ่อนโยน ทว่าคอยสังเกตทั้งท่าทีและน้ำเสียงของอินเฉิงตลอดเวลา"ฝ่าบาทควรจะไปอย่างยิ่ง ไปแสดงความห่วงใยที่บุตรีบุญธรรมของท่านอ๋องหายไปเผื่อว่าท่านอ๋องมีสิ่งใดให้ช่วย""นั่นมันเรื่องของท่านอา บุตรีบุญธรรมคนนั้นข้าก็ไม่เคยเห็นด้วยที่จะรับมา หากนางจะหายสาบสูญไปก็ยิ่งดีกับข้า เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าข้าควรจะจัดการด้วยไม้แข็ง""บางทีคิดว่าควรใช้ แต่ไม่ควรใช้กับคนบางคน"เหลือบตามอง อู่อินเฉิง"นั่นสินะ ข้าควรจะไปจวนอ๋อง เจ้ากินเสีย ข้าไปที่จวนท่านอาดูสักคราบางทีอาจได้ความกระจ่างในหลายเรื่องที่ข้ากำลังสับสน"หมิงเยว่ยิ้ม อู่อินเฉิงก้าวขามีหัวหน้าองครักษ์ปาถั่วตามไปติดๆชินอ๋องก้าวเข้ามาทันทีเมื่ออินเฉิงจากไป"เห็นไหมสิ่งที่ข้าพูดกับเจ้า ความลับไม่มีในโลก อินเฉิงคิดว่าตัวเองฉลาดลักพาตัวบุตรีบุญธรรมท่านอาไปกกกอด จะว่าไปอินเฉิงที่ทำเป็นว่ารักและสงสารฮองเฮาเพียงคนเดียวกลับแอบมีหญิงอื่นไว้บำเรอในตำหนักดูหนาว เฮ้อข้าละอิจฉาเสียจริง นั่นเพราะเขาเป็นฮ่องเต้อีกทั้งยังมีใบหน้าหล่อเหลา ทำเรื่องเช่นนี้คราวหลังก็จะอ้างว่าฮองเฮาให้ความสุขไม่ได้ ทั้งๆที่ฮองเฮาก็หิวกระหายแทบขาดใจ"รั้งร่างบางมากอดซุ
ป้อคุนเดินเลือกผ้าห่มและข้าวของจำเป็น เครื่องเทศสำคัญ และขนมหวานบางชนิด อีกทั้งหยิบชาดีสองสามห่อไว้ในมือ อากาศหนาวดื่มชาร้อนๆ จึงทำให้ร่างกายอบอุ่น คงอีกนานกว่าอู่อินเฉิงจะกลับมา บางทีเสี่ยวเจิ้งอาจผ่อนคลายได้มากกว่านี้ หากว่าไม่ต้องพบกับอู่อินเฉิง แต่จะว่าไปป้อคุนก็ยังอยากให้อู่อินเฉิงดีกับเสี่ยวเจิ้งเสียหน่อย เพราะอย่างน้อยนางก็เป็นภรรยาปกติแล้วอู่อินเฉิงไม่ใช่คนที่ร้ายกาจอะไร เพียงแต่รักหมิงเยว่มากไปก็เท่านั้น จึงไม่มีสายตาไว้มองหญิงอื่นหอบของพะรุงพะรังบรรทุกบนหลังม้า หันหลังกลับไปยังตำหนักฤดูหนาวยกของลงจากหลังม้า ลำเลียงเข้าไปยังห้แวครัว“ พระสนม พระสนม” เดินหา เสี่ยวเจิ้งจนทั่วแต่ไม่พบป้อคุนเริ่มใจเสีย“พระสนม พระสนม”เสี่ยวเจิ้งหอบลูกหลีมาหอบใหญ่ วางตรงหน้าป้อคุนยิ้มบางๆ ป้อคุนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสี่ยวเจิ้งเลือกหยิบลูกหลีลูกใหญ่ที่สุด สวยที่สุดให้ป้อคุน“กิน”ป้อคุนยิ้มแม้ในใจจะรู้สึกสงสารเสี่ยวเจิ้งแต่ก็ทำได้เพียงยิ้ม ทั้งๆที่คิดว่าเสี่ยวเจิ้งจะหนีไปแต่เสี่ยวเจิ้งกลับทำให้เขาวางใจนางก่อนหน้านั้นเสี่ยวเจิ้งตามป้อคุนลงไปด้านล่างหุบเขา ภายในใจครุ่นคิดหากว่าเสี่ยวเจิ้งหนีไปคนที่
แต่ทุกอย่างหาได้เป็นดั่งใจคิด ปาถั่วจี้กระบี่เข้าที่คอหอยของอู่อินเฉิง อินฉางยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ“ท่านพี่ มีสิ่งใดจะสั่งเสียหรือไม่”หมิงเยว่ถลาเข้ามากอดอินเฉิงไว้แน่น“ไหนว่าจะไม่ฆ่า เขา”“นั่นมันแค่คำพูดบนแท่นนอน เจ้าคิดจริงจังเพียงนั้นเชียวหรือ หมิงเยว่ยามที่ข้าอยาก ก็มักจะยอมตกลงง่ายดาย”“อินฉางข้าขอร้อง อย่าสังหารเขา”น้ำตาปริ่มขอบตา อินเฉิงสะบัดตัวไม่ยอมให้หมิงเยว่กอดรัด“เจ้าไปเสียอย่าได้มาตีสองหน้า ในเมื่อใจและกายของเจ้าอยู่กับคนชั่วอินฉาง เป็นข้าที่โง่งมมาตลอด เป็นข้าที่คิดว่าเจ้ามีข้าเพียงคนเดียว เป็นข้าที่คิดว่าเจ้ามีเพียงข้าคนเดียวมาตลอด สงสารเห็นใจเจ้า”อินฉางกระชากแขนหมิงเยว่ให้ลุกขึ้นโอบรอบไหล่บาง“บอกฮ่องเต้โง่งมนั่นไปว่าเราสองคนรักกันมาก่อน เป็นเขาที่แย่งเจ้าไปจากข้า แล้วตอนนี้เขายังคิดว่าไม่มีใครรู้ว่าเขาแอบซ่อนหญิงงามไว้ที่ตำหนักฤดูหนาว เฝ้าพูดให้ตัวเองน่าเห็นใจ รอให้ข้าจัดการกับท่าน ข้าก็จะจับตัวนางมาให้หมิงเยว่ ทรมานให้สาสม”อู่อินเฉิงลุกขึ้นยืน ด้วยความรู้สึกไม่พอใจที่อินฉางพูดถึงเสี่ยวเจิ้ง องครักษ์ใช้ทวนในมือกดตัวอินเฉิงให้คุกเข่า“ฆ่าเขาเสีย”“ม่ายยยยยย” อินฉาง
"แต่ฝ่าบาทหมดหนทางแล้วท่านอ๋องจะต้องไม่เป็นอะไรหยวนกังก็จะพาท่านอ่องหนีออกมาเช่นกันตามที่ตกลงกันไว้ตอนนี้แค่เพียงช่วยให้ฝ่าบาทหนีออกมาก่อน ท่านอ๋องขวางพวกมันไว้เพื่อให้ฝ่าบาทหนีอกมาฝ่าบาทอย่าทำให้ความตั้งใจของท่านอ๋องเสียเปล่า""แต่ท่านอาบาดเจ็บไม่น้อยข้าจะไปช่วยท่านอา เจ้าขลาดเขลาเพียงนั้นเชียวหรือป้อคุน"ป้อคุนทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น"ฝ่าบาท หนีก่อนก่อนเถอะขอรับ ความปลอดภัยของฝ่าบาทสำคัญที่สุดท่านอ๋องทรงเข้าใจข้อนี้ดีจึงพยายามที่จะกันทหารพวกนั้นเพื่อให้ฝ่าบาทหนีไปหากว่าฝ่าบาทยังเป็นว่าสิ่งที่ป้อคุนหยวนกังและท่านอ๋องทำไปทั้งหมดนั้นขลาดเขลาป้อคุนจะขอให้ฝ่าบาททรงสังหารป้อคุนเสียไม่เช่นนั้นป้อคุนก็ไม่อาจปล่อยให้ฝ่าบาท กลับไปที่ด่านปงเปียง"อู่อินเฉิงทรุดกายลงปล่อยกระบี่ลงข้างกาย"ข้าไม่อาจปล่อยท่านอาไว้ที่นั่นป้อคุนเข้าใจไหมท่านอาเป้นเหมือนบิดาเป็นเป็นพี่น้องและเป็นเหมือนคนที่หวังดีกับข้าเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้""ฝ่าบาท ท่านอ๋องจะดีใจหากทว่าฝ่าบาทปลอดภัยและด้วยความภักดีของหยวนกังจะไม่มีทางให้ท่านอ๋องต้องตาย"อู่อินเฉิงพยักหน้า"กันเถอะไปรอที่ด่านชายแดนแคว้นใต้"สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ท่านอาเราทั้งหมดลงเรือลำเดียวกันแล้วข้าไม่อาจดูดายปล่อยให้ท่านอาและพวกเขาต้องเผชิญศึกเพียงลำพัง เช่นนั้นจึงขอยืนยันคำเดิมว่าจะอยู่ที่นี่แต่สัญญาว่าหากเราทั้งหมดไม่อาจต้านทัพของอิงฉางได้ข้าจะเร้นกายไปยังที่ปลอดภัยพร้อมกันนั้นท่านอาเองก็สำคัญไม่น้อยการกอบกู้บัลลังก์ของเฉิงอู่ต้องกาศัยท่านอา เช่นนั้นหากเราทั้งหมดไม่อาจต่อกรก็ควรจะหนีไปเสียแต่ในตอนนี้ก็ต้องลองยืนหยัดให้ถึงที่สุดก่อน”ชิงกวานอ๋องถอนหายใจปฏิเสธไม่ได้ว่าที่อินเฉิงพูดมาทุกอย่างล้วนสำคัญเขาเองจากประสบการณ์ที่ผ่านมารู้ดีว่าด่านปงเปียงมีกำลังเพียงหยิบมือไม่อาจต่อกรกับทหารของอินฉางฮ่องเต้ได้แม้จะมีฝีมือดีแค่ไหนก้ไม่อาจต่อกรกับทหารจำนวนมากราวกับมดปลวกได้“ฝ่าบาทอย่าลืมคำมั่นนี้หากว่าไม่อาจต่อกรฝ่าบาทจะต้องหนีไปเสียอย่าได้ห่วงใครไม่ว่าจะใครหรือแม้กระทั่งชิงกวานอ๋อง”อู่อิงเฉิงยิ้มน้อยๆ“อิงเฉิงสัญญาจะไม่ทำให้ท่านอาจต้องเป้นกังวล“ดี เช่นนั้นร่วมรบเคียงข้างสร้างขวัญกำลังใจ ป้อคุนหยวนกังอารักขาฝ่าบาทจนถึงที่สุดหากไม่ไหวสิ่งเดียวที่ต้องทำแบบไม่ต้องคิดคือพาฝ่าบาทเร้นกายไปเสียแล้วพบกันที่จุดนัดพบข้ามผ่านด่านชายแดนแคว้นใต้”สี่แรงร่วมใจฟ
“เช่นนั้นหยงเจิ้งกลับไปที่นั่น เสด็จพ่อกับฮองเฮาตั้งใจออกผนวช จึงขาดคนคอยดูแล”“จะดีไหมหากให้ป้อคุนไปคอยดูที่นั่น พร้อมกับหยวนกัง”“ข้าตั้งใจประทานงานแต่งงานให้กับป้อคุนและซือหรูเสียเพราะสองคนรอเวลานี้มานาน”หยงเจิ้งพูดยิ้มๆ“ดีเลย เช่นนั้นส่งข่าวให้เจียเกอช่วยดูแลพวกเขา ระหว่างนี้คนทั้งหมดภักดียิ่งนักไม่มีสิ่งใดให้หนักใจ ฝ่าบาทหยงเจิ้งจึงจะออกผนวชได้อย่างหมดห่วงเสียที”“ที่นี่คงเงียบเหงาหากไม่มีป้อคุนหยวนกังและซือหรู”“ชิงกวานน้อย ขอตามไปที่วังหลวงแคว้นใต้กับท่านอาทั้งสอง ข้าเองก็ไม่อาจขัดเพราะหยวนกังกับป้อคุนดูแลชิงกวานน้อยอีกทั้งยังฝึกปรือวรยุทธ์ให้จนเชี่ยวชาญ”“คงจะต้องคิดถึงทุกคน”อินเฉิงกอดรวบร่างอุ้ยอ้ายไว้ในอ้อมแขน“มีข้าอยู่เจ้าจะไม่ต้องเหงา”“ฝ่าบาทเอาแต่ใจใครกันจะลืมได้ เมื่อคราวอยู่ที่ตำหนักฤดูหนาวก็เอาแต่ใจไม่เปลี่ยน”“เช่นนั้นอย่างไรเล่าเจ้าจึงตั้งครรภ์ข้าจึงไม่ต้องรอนาน หากไม่ไปที่ตำหนักฤดูหนาวรำลึกความหลังกันเจ้าจะตั้งครรภ์หรือไร ข้าเองตามใจชิงกวานน้อยที่อยากจะมีน้อง”หยงเจิ้งยิ้มเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อ อู่อินเฉิงกอดไว้แน่น“ข้ารักเจ้ามีเจ้าคนเดียวตลอดไปข้าสัญญาและจะไม
อินเฉิงลุกขึ้นพิงแท่นบรรทมเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่างมองเห็นชัดเจนแจ่มใส ทั้งสองตารอยยิ้มเป็นสุข ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของหยงเจิ้งที่หลับใหลไปกับอ้อมกอดของเขา ความสุขที่มาถึงยามที่ผ่านความทุกข์ระทม จึงนับว่าเป็นความสุขที่แท้จริงสายลมพัดผ่าน ชิงกวานอ๋องวิ่งหลบซุกตัวยังโขดหิน หยวนกังเกาหัวแกรกๆ ป้อคุนวิ่งตาม หันหน้าหันหลังไม่พบ อ๋องน้อยว่าแอบหลบอยู่ตรงไหนหยวนกังส่ายหน้าไปมา ลูบเคราวยาว“เราสองคนคงจะแก่ไปแล้วจึงไม่อาจหาท่านอ๋องน้อยพบ”“เชิญท่านเพียงลำพังเลยหยวนกัง ข้ายังไม่อยากจะแก่ท่านอ๋องน้อยวิ่งหลบรวดเร็วเหมือนชิงกวานอ๋องที่พลิกพลิ้วยิ่งกว่าใคร อีกหน่อยหากฝึกปรือวิชากระบี่คงหาตัวจับยาก”หยวนกังอมยิ้ม“ข้า ได้ยินว่าท่านอ๋องน้อยทรงขออนุญาตฝ่าบาทฝึกวิชากระบี่ เราสองคนคงต้องลับคมกันหน่อยเพื่อรอวันถวายการฝึกสอน”“ฮ่าาา เหมือนจริงๆ ช่างเหมือนท่านอ๋องชิงกวานเสียจริง มุ่งมั่นยิ่งนัก เราสองคนคงต้อง ทุ่มเทฝึกสอนกันให้มากหน่อย”ป้อคุนเอ่ยขึ้นดังๆ“หยวนกัง…ป้อคุน…..”ชิงกวานน้อยวิ่งออกจากที่ซ่อน กระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของหยวนกัง“ฮ่าาาาท่านอ๋องในที่สุดก็ยอมออกมา”ป้อคุนอมยิ้ม“ก็ข้าได้ยินว่า ท่านอาทั้ง
ดวงตาพร่ามัวกลอกกลิ้งไปมาทั้งซ้ายและขวา เสียงอ้อแอ้ขององค์ชายน้อยดังแว่วมา แต่ไกล“ชิงกวานน้อยของแม่ เจ้าจะรีบตื่นแต่เช้าทำไมกันเสด็จพ่อยังคงหลับใหล”เสียงหวานของหยงเจิ้งทำเอาอินเฉิงยิ้มกว้างยกมือขึ้นคลำที่ดวงตาทั้งสองข้างสูดลมหายใจลึกๆ“เสี่ยวเจิ้ง”หยงเจิ้งขยับกายหันมา มองร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาลืมตาอยู่บนแท่นบรรทม รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นที่ใบหน้างาม“ฝ่าบาท ท่านฟื้นแล้ว”ดวงตาซ้ายขวากลอกกลิ้งไปมา มองเห็นใบหน้างามเด่นชัด“ข้านอนไปนานแค่ไหน เสี่ยวเจิ้งกับองค์ชายน้อยถึงได้มาอยู่ข้างกายข้าได้”“องค์ชายน้อยชิงกวาน”อุ้มร่างเล็กที่ส่งเสียงอ้อแอ้ปลุกยามเช้ามาใกล้ๆ อินเฉิงรับเอาร่างเล็กจิ๋วไว้ในอ้อมแขน“ชิงกวาน ชื่อนี้เหมาะกับเจ้าเสียจริง เจ้า เป็นคนที่ทำให้ พ่อกับแม่ได้มีวันนี้วันที่เราพร้อมหน้า”หยงเจิ้งปาดน้ำตาที่เอ่อล้นขอบตา อินเฉิงดึงมือหยงเจิ้งให้นั่งลงข้างๆ เขาจูบซับน้ำตาให้เบาๆ“ท่านอาไม่อยากเห็นน้ำตาเจ้าหยงเจิ้งของข้า ดวงตานี้ของท่านอาอยากเห็นรอยยิ้มของเจ้า มิใช่หยาดน้ำตา”หยงเจิ้งยิ้มทั้งน้ำตา“มีวันนี้ได้เพราะท่านอ๋อง ข้าหยงเจิ้งเช่นไรจะกล้าขัดคำสั่ง”ยิ้มกว้างสดใส อินเฉิงกอดรวบร่าง
“ข้า อัปลักษณ์เพียงนี้ เป็นท่านอาที่จะต้องดูแลหยงเจิ้งต่อไป เป็นท่านอาอินเฉิงจึงวางใจ”หมอหลวงวิ่งถือหลวมยาเข้ามา อินเฉิง ขยับกายให้หมอหลวงตรวจดูอาการของ ชิงกวานอ๋อง“ฝ่าบาท ชิงกวานอ๋องไร้ความสามารถไม่อาจดูแลนาง ฝ่าบาทจึงคู่ควรที่สุด”หมอหลวงลุกขึ้นยืนประสานมือตรงหน้าอินเฉิงพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอินเฉิงหลับตาไล่หยาดน้ำตา หยวนกังเบือนหน้าหนีปาดน้ำตาที่ไหลริน“ท่านอา เราไปพักที่ตำหนักให้ท่านหมอ จัดเทียบยาดีไหม”น้ำเสียงอ่อนโยน“หยวนกังตามอาจารย์ให้ข้าทีข้าอยากจะพักเสียหน่อย ฝ่าบาทพยุงชิงกวานไปเถิด ให้หยวนกังตามอาจารย์”หยวนกังยิ้มกว้าง เหมือนจะเริ่มมีความหวังว่าอาจารย์กับวิชาแพทย์เถื่อนจะสามารถช่วยชีวิตท่านอ๋องได้“หยวนกังรีบไปแล้วท่านอ๋องอดทนหน่อย”วิ่งออกจากท้องพระโรงกระโดดขึ้นหลังม้าควบออกไปราวกับลูกดอกพุ่งเข้าสู่เป้าอินเฉิงพยุงชิงกวานอ๋องหมอหลวงตรวจดูอาการของป้อคุนอย่างเร่งรีบบนแท่นบรรทม ร่างสูงองอาจนอนเหยียดยาวใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้กลับซีดขาว แต่แววตายังอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้งที่อินเฉิงเคยเห็น เลือดสดๆ ยังไหลซึมออกจากบาดแผล“ท่านอาอดทนหน่อย อาจารย์ปู่กำลังมา”“เพื่อฝ่าบาทต่างหาก
อินฉางดวงตาเหลือกลานเมื่อเห็นว่า หมิงเยว่ล้มลงคว่ำหน้าลงกับพื้นเลือดอาบไปทั่วร่างบาง ตรงเข้าหอบเอาร่างบางที่หายใจรวยริน“ม่ายยยยไม่นะหมิงเยว่ต้องไม่ใช่เจ้าต้องไม่ใช่เจ้าหมิงเยว่ขะขะข้าขอโทษ หมิงเยว่ ข้าไม่ให้เจ้าตายไม่หมิงเยว่ อย่าทำแบบนี้หมิงเยว่”ทว่าร่างโชกเลือดหาได้ขยับเขยื่อนเคลื่อนไหวไม่ยังคงนิ่งงัน ดวงตาอาบไปด้วยหยาดน้ำตา สิ้นลมหายใจโดยไม่ได้ร่ำลา“หมิงเยว่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”อินฉางอุ้มร่างโชกเลือดไว้ในอ้อมแขนดวงตาแดงก่ำ“อินฉิง ท่านจะต้องรับผิดชอบ ปาถั่วรับบัญชาข้า ฆ่าอู่อินเฉิงกับป้อคุนแล้วสับร่างเป็นชิ้นๆ ”ปาถั่วก้มหน้าประสานมืออินฉางเดินโซเซพาร่างไร้วิญญาณของหมิงเยว่ออกจากท้องพระโรง“ยิง”ปาถั่วสั่งพลธนูทว่ายังไม่ทันได้เหนี่ยวคันธนู พลธนูทั้งหลายต่างล้มลงไปกองกับพื้นองครักษ์หลายนายต่างวิ่งถือกระบี่เข้ามาล้อมชิงกวานอ๋องที่ในมือกำกระบี่ ฟาดฟันสังหารมือยิงธนูจนบาดเจ็บล้มตาย“ฝ่าบาท”พยุง อินเฉิงที่ถูกลูกดอกปักเข้าที่ขาข้างขวา“ท่านอา มาทันเวลาพอดี”“อย่าเพิ่งพูดอะไร ฝ่าบาทจงรีบเปิดประตูให้คนของเรา ชิงกวานจะหันเหความสนใจของคนพวกนี้ ป้อคุนยังไหวหรือไม่”ป้อคุนที่ไม่อาจขยับกาย“ชิงกวา
ทัพของอู่อินเฉิง ดาหน้าที่ประตูวังหลวงแคว้นเหว่ย พลธนูเหนี่ยวคันธนูสุดแรงรอเพียงคำสั่งให้ยิงอยู่บนป้อมปราการสูงบนประตูวังทั้งสี่ด้าน“ยิง”ป้อคุนทะยานเข้ามาขวางอู่อินเฉิงที่ตกเป็นเป้าของธนูใช้กระบี่ในมือกวัดแกว่งคุ้มภัย อู่อินเฉิงเองก็กำกระบี่ในมือกวัดแกว่งปัดป้อง เหล่าทหารโห่ร้องหาได้สะทกสะท้านต่อความเจ็บความตายตรงหน้า“บุกเข้าไปในวังหลวงจับตัวอู่อินฉางมาคุกเข่าตรงหน้าฝ่าบาท”ป้อตี้ออกคำสั่ง ดังลั่น หทารกล้าทั้งหลายต่างพุ่งตัวเข้าไปยังประตูวัง ออกแรงดันประตู ให้เปิดอ้าออกเพื่อให้กองทัพเข้าไปภายในห่างจากวังหลวงสิบลี้“ท่านอ๋องเปลวไฟ ลุกไหม้อยู่ที่วังหลวงเกรงว่าตอนนี้ทัพของฝ่าบาทคงถึงที่นั่นแล้ว”หยวนกังเอ่ยปากด้วยสีหน้ากังวล“เร่งเดินทางอารักขาฝ่าบาท ข้าไม่อาจวางใจอู่อินฉางหาใช่ผู้ที่ซื่อตรงไม่จะต้องซ่อนกลโกงไว้รอฝ่าบาทเป็นแน่”ชิงกวานอ๋องควบม้าเร็วรี่ยังกลุ่มควันที่ลอยวนบนท้องฟ้าอินฉางนั่ ไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์มังกรในท้องพระโรง ในมือมีจอกสุรารสเลิศ ข้างกายเป็นหมิงเยว่ ที่นั่งก้มหน้ามองมือตัวเอง กับปาถั่วที่กุมกระบี่ข้างเอวไว้แน่นเสียงโห่ร้องใกล้เข้ามา อินเฉิงก้าวขายาวๆยังหน้าบัลลั
“ข้าหากจะต้องตายเพราะการณ์นี้ ก็คงจะต้องยอมเพราะเลือกข้างผิดเดิม อู่อินเฉิงไม่จะไม่เคยใส่ใจ กองทัพแต่ทว่าชิงกวานอ๋องกับผูกใจ เหล่าทหารกล้าบทเรียนครั้งนี้ ไม่อาจแก้ไขแม้ตอนนี้จะมีที่มั่นและกำลังคนแต่หากชิงกวานอ๋อง เอ่ยปากไม่แน่ว่าเหล่าทาหรพวกนี้จะย้ายข้างหรือไม่”“ข้าน้อยได้ยินมาว่า ชิงกวานอ๋องในครั้งนี้ไม่ได้ มาด้วยมีเพียงอู่อินเฉิงเท่านั้น”ปาถั่วขมวดคิ้ว“บางทีนี่อาจเป็นแผนการตลบหลังไม่อาจวางใจ”ถอนหายใจยาวตำหนักชิงหนิงกง“ฮองเฮาอู่อินเฉิงยกทัพกลับมาที่วังหลวง คงจะถึงวังหลวงในอีกไม่ช้า”หมิงเยว่ ลุกขึ้นจากแท่นนอนสีหน้าแสดงความดีใจ“เขากลับมาแล้วเขาไม่ได้ทอดทิ้งข้าเขายังรักข้าอย่างน้อยก็กลับมาทวงบัลลังก์และคงจะมารับข้าเป็นฮองเฮาของเขาเหมือนเคย”ตงฟางหัวถอนหายใจ หมิงเยว่หลายเดือนที่ผ่านมา สติหลุดลอย พูดจาเลื่อนเปื้อนติดอยู่ในความเพ้อฝันเสียมากกว่าความจริง“ฮองเฮา ไม่แน่ว่าอู่อินเฉิงจะกลับมาหาฮองเฮา”“เขาต้องมาในเมื่อในใจเขามีข้าเพียงคนเดียว เขาทำทุกอย่างเพื่อข้า ข้ารู้แล้วข้าเองก็จะทำทุกอย่างเพื่อเขาเช่นกันเขาจะได้ไม่ต้องลำบากทวงคืนบัลลังก์”ดวงตาเป็นประกายสดใสตงฟางหัวถอนหายใจ“ฮองเฮา