“ขะขะข้าน้อยพบเด็กหญิงคนนี้เมื่อ15ปีก่อนจำได้แม่นยำเพราะนางกัดข้าน้อยจนเป็นแผลลึกที่แขนข้างซ้าย”
เปิดรอยแผลเป็นให้ดู
“แล้วนางไปไหนเสีย”
“คะคือว่าตอนนั้นข้าน้อยบังเอิญพบนาง เดินอยู่ไม่ไกลจากชายแดนแคว้นใต้เห็นว่าเป็นเด็กหน้าตาน่าเอ็นดูคงจะขายได้ราคา จึงได้พยายามจับตัวนาง แต่ทว่าเด็กคนนั้นยอมตายไม่ยอมให้จับ ไม่ว่าข้าน้อยจะตีหรือขู่นางก็หาทางหนี สุดท้ายก็หนีออกจาก..กรงที่ขังแล้วข้าน้อยจับนางตั้งใจจะลงโทษจึงถูกนางกัดเข้าที่แขนอย่างแรงแล้วนางก็หนีไปห่างจากนี่ไปไม่ถึงสิบลี้ เพราะข้าน้อยกำลังจะส่งเด็กๆยังบ้าน ขุนนางในวังหลวงแคว้นเหว่ย”
“นางหนีไปคนเดียวหรือ”
“ขอรับใต้เท้าข้าน้อยยังแช่งให้นางไปตายเสียเพราะป่าแถบนั้นหมาจิ้งจอกชุกชุมยิ่งนัก”เจียเกอถอนหายใจ
ตวัดกระบี่เก็บเข้าฝัก
“เจ้าไปเสีย แล้วจำคำสัญญาไว้คราวหน้าหากข้าผ่านมาทางนี้อีกแล้วยังเห็นเจ้าค้าขายเด็กอีกข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”
พ่อค้าทาสร่างท้วมประสานมือ รีบวิ่งหายไปในทันที
“องค์หญิงท่านยังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ ที่นี่มีแต่ป่าเขา”
ถอนหายใจยาวเดินไปตามทิศที่ชายร่างท้วมบอกมา
จวนอ๋อง
“อาจารย์ขาของข้ามีโอกาสกลับมาเดินได้อีกครั้งไหม”
“ท่านอ๋อง เรื่องนี้แม้จะยาก แต่หากท่านอ๋องอยากจะลอง อาจารย์จะใช้วิชาแพทย์เถื่อนที่ยังไม่มีใครยอมรับ ท่านอ๋องยอมให้อาจารย์ได้ทดลองหรือไม่”
ชิงกวานอ๋องยิ้มเศร้าๆ
“ไม่มีสิ่งใดต้องหวาดกลัวอีกแล้ว ทุกวันนี้ชิงกวานอยู่ด้วยชีวิตที่ไร้ซึ่งพลังและความหวัง”
หยวนกังก้มหน้าน้ำตาร่วงริน สงสารชิงกวานอ๋องจับใจ
วังหลวง
“ฮองเฮาเพคะด่านกวงเหมิน ส่งม้าเร็วมาบอกว่าตอนนี้ฝ่าบาทเดินทางออกจากด่านกวงเหมิน ใกล้จะถึงวังหลวงแล้วคาดว่าเย็นนี้คงจะถึงวังหลวงอย่างแน่นอน”
หมิงเยว่ยิ้มดวงตาเป็นประกายรู้สึกเหมือนผู้ชนะ ที่อินเฉิงห่วงใยรีบกลับเมื่อได้ข่าวว่าหมิงเยว่ล้มป่วย
“ตามหมอหลวงแล้วบอกให้หมอหลวงเจียดยามาที่นี่สักหลายขนานหน่อย เอาทุกอย่างเท่าที่จะมี วางไว้ที่ข้างแท่นนอนอ๋อแล้วยาลืมหม้อเคี้ยวยา ที่ห้องข้างกันนี้ไปจะต้องคอยเติมไฟเคี้ยวยาให้มีกลิ่นยาอยู่เสมอ”
นางกำนัลย่อกายลงรีบไปจัดการ ทุกอย่างตามที่หมิงเยว่บัญชา
ป้อคุน ยกชามข้าวต้มไก่ฉีกเข้ามาภายในห้อง
“คุณหนู นายหญิงไม่สิพระสนม กินอะไรเสียหน่อย”
เสี่ยวเจิ้งขยับกายเหลือบตาขึ้นมองป้อคุน
“ข้าวต้มไก่ฉีกเนื้อยุ่ย ท่านกินเสียหน่อย”เสี่ยวเจิ้งหันหน้าหนีเสีย
“พระสนม พระสนมไม่พอใจฝ่าบาท แต่ตอนนี้มีเพียงป้อคุนที่ดูแลพระสนม เพราะฉะนั้นเราสองคนก็เป็นเพียงคนที่จำใจต้องเกื้อกูลกัน พระสนมกินเสียหน่อยแล้วจะออกไปเดินไปวิ่งหรือจะไปไหนป้อคุนก็ไม่ห้ามยกเว้นจะลงจากเขา”
ใต้เท้าปล่อยข้าไปเถอะ เสี่ยวเจิ้งส่งภาษามือขอร้องป้อคุน
ป้อคุนถอนหายใจ เช่นไรจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เสี่ยวเจิ้งเผชิญอยู่ เขาแม้เป็นบุรุษหากเจอเรื่องแบบนี้ก็คงกดดันไม่น้อย
วางถ้วยข้าวต้มแล้วออกไปเสียไม่อยากทนฟังคำขอร้องของเสี่ยวเจิ้งเพราะไม่อยากทำเรื่องที่ผิดต่ออู่อินเฉิง
เสี่ยวเจิ้งมองถ้วยข้าวต้ม ก่อนจะคว้ามาตักกิน จะต้องมีชีวิตต่อไปหาใช่ระทมทุกข์จนไม่มีแรงจะต่อสู้อย่างน้อยการมีชีวิตรอดในตอนนี้ก็จะทำให้ในวันหน้าหาทางเอาตัวรอดต่อไปได้ไม่ยาก ขอเพียงอย่ายอมแพ้
วังหลวง
อินเฉิงสาวเท้ายาวๆ ยังตำหนักชิงหนิงกงใบหน้าหล่อเหลามีแวววิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"หมิงเยว่ หมิงเยว่"
ถลาเข้าหาร่างบอบบางที่นอนหลับตาบนแท่นนอนมือกุมมือบางซีดขาว กลิ่นสมุนไพรจากการเคี่ยวยาฟุ้งไปทั่วห้องแล้วยังจะห่อยาที่ถูกนำมาวางไว้ข้างแท่นนอนนางกำนัลก้าวเข้ามาพร้อมด้วยถ้วยยาในมือ
"หลิวอี้ถวายพระพรฝ่าบาท"
"ฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง"
"ฮองเฮาทรงเปรยว่า คิดถึงฝ่าบาทอยากให้มาอยู่ตรงนี้ อาการเหมือนคนพร่ำเพ้อข้าน้อยหลิวอี้จึงไปเคี่ยวยา บรรเทาอาการวิตกกังวล"
"ส่งยามาข้าป้อนยาฮองเฮาเอง"
รับถ้วยยามาถือไว้ในมือ
ประคองรางบอบบางให้พิงอกจ่อถ้วยยาที่ริมฝีปาก หมิงเยว่กลืนยาช้าๆ ลืมตามองอินเฉิงยิ้มเศร้าๆ
"ฝ่าบาท"
ใบหน้าของหมิงเยว่กลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของเสี่ยวเจิ้ง อินเฉิงนิ่งงันเหมือนต้องมนต์
วางถ้วยยาลงข้างกาย
“ฝ่าบาทกลับมาแล้ว ช่างใส่ใจหมิงเยว่ยิ่งนัก”ซุกหน้าลงบนอกกว้าง
อินเฉิงยังนิ่งงันด้วยความรู้สึกภายในใจ ลุกขึ้นยืนตัวตรง
“หลิวอี้ มาป้อนยาฮองเฮา”
บางอย่างกำลังแล่นเข้ามาในหัว สับสนวุ่นวายไม่รู้ว่าคือความรู้สึกใดกันแน่“ฝ่าบาท เสด็จเพียงลำพังหรือไร หมิงเยว่ไม่เห็นท่านองครักษ์ป้อคุน”“ข้าเร่งเดินทางจึงให้ ป้อคุนดูแลกระโจมประพาสป่าให้ทหารช่วยเก็บกวาดแล้วจึงค่อยตามมาทีหลัง”“หมิงเยว่ห่วงความปลอดภัย ฝ่าบาทยิ่งนัก เดินทางเพียงลำพัง”“เป็นเพราะฝ่าบาทห่วงฮองเฮาที่ทรงป่วยไข้เป็นประจำจึงเร่งเดินทาง หรือไม่แน่บางทีอาจ มีสิ่งใดที่ให้ป้อคุนดูแลอยู่”อินฉางก้าวขาเข้ามาแบบถือวิสาสะ“อินฉาง เองก็เข้าออกตำหนักชิงหนิงกงดั่งตำหนักตัวเอง”อินฉางหน้าเจื่อนก่อนจะยิ้มมุมปาก“ฝ่าบาทไม่อยู่ ฮองเฮาทรงประชวรเป็นอินฉางที่แวะเวียนเยี่ยมเยือน ฝ่าบาทจะคิดเล็กคิดน้อยทำไมเราสองคนก็เป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต ภรรยาของท่านก็เหมือน… ก็เป็นพี่สะใภ้ข้า”หมิงเยว่ขยับกายด้วยความรู้สึกอึดอัดอินเฉิงยิ้ม“ที่ผ่านมา เรื่องราวในราชสำนักมีสิ่งใดติดขัดหรือไม่”เปลี่ยนเรื่องพูดเสีย“ ฝ่าบาทไม่อยู่ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ท่านอาชิงกวานอ๋องเดินทางเข้ามาในวังหลวงทั้งๆ ที่ต้องใช้รถเข็นให้คนเข็นมาดังคนพิการ น่าขายหน้ายิ่งนัก บาดเจ็บดังคนพิการเพียงนั้นควรจะอยู่ที่จวนอ๋อง ยังกล้าเข้ามาให้
วังหลวงอู่อินเฉิง นั่งนิ่งในอ่างไม้ หลับตาลงช้าๆ แต่กลับมีใบหน้างดงามของเสี่ยวเจิ้งลอยมาตรงหน้า ใบหน้าโศกสลดกับกลิ่นกายหอมยวนใจ ดวงตาหวาดกลัวและอ้อนวอน ถอนหายใจยาว“ข้า เผลอใจคิดถึงเจ้าได้อย่างไรกัน”พยายามเข้าข้างตัวเองว่าเพราะรสสวาทที่หอมหวานและใหม่จึงทำให้ครุ่นคิดถึงแต่เสี่ยวเจิ้ง หาใช่ความรู้สึกลึกซึ้งในใจ“ข้าไม่มีทางคิดถึงเจ้า ข้าไม่มีทางคิดถึงเจ้า ข้าไม่มีทางคิดถึงเจ้าาาาาา”ส่งเสียงดังลั่นห้อง ขันทีทรุดกายลงตรงหน้าด้วยความตกใจกลัว“ฝะ ฝะฝ่าบาทฮองเฮาทรงรอเสวย ให้ข้าน้อยมาทูลเชิญฝ่าบาท” อู่อินเฉิงเหมือนเพิ่งจะได้สติ โบกมือให้ขันทีลุกขึ้น ก่อนจะสวมอาภรณ์ถอนหายใจยาว ครุ่นคิดเพียงแค่เขาจะทำอย่างไรจึงจะเลิกคิดถึงเสี่ยวเจิ้งตำหนักเมฆาของชินอ๋อง“หากท่านช่วยข้าเรื่องนี้ ตำแหน่งผู้นำแปดกองธงข้าจะมอบมันให้ท่านเองกับมือ”“ชินอ๋องแต่ แต่ข้าน้อยเกรงว่า”“ป้อคุนไม่อยู่ที่นี่ ชิงกวานอ๋องเองก็กำลังบาดเจ็บเจ้ายังเกรงกลัวสิ่งใดอีก ลำพัง ฝ่าบาทจะกล้าต่อกรกับเราหรือ” หัวหน้าองครักษ์มีสีหน้าครุ่นคิด“แล้วท่านจะให้ข้า ลงมือเมื่อไหร่กัน”“อีกสองวัน”แววตาตื่นเต้น ตกใจไม่คิดว่าทุกอย่างจะรวดเร็วเพี
หมิงเยว่ยิ้มอ่อนโยน ทว่าคอยสังเกตทั้งท่าทีและน้ำเสียงของอินเฉิงตลอดเวลา"ฝ่าบาทควรจะไปอย่างยิ่ง ไปแสดงความห่วงใยที่บุตรีบุญธรรมของท่านอ๋องหายไปเผื่อว่าท่านอ๋องมีสิ่งใดให้ช่วย""นั่นมันเรื่องของท่านอา บุตรีบุญธรรมคนนั้นข้าก็ไม่เคยเห็นด้วยที่จะรับมา หากนางจะหายสาบสูญไปก็ยิ่งดีกับข้า เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าข้าควรจะจัดการด้วยไม้แข็ง""บางทีคิดว่าควรใช้ แต่ไม่ควรใช้กับคนบางคน"เหลือบตามอง อู่อินเฉิง"นั่นสินะ ข้าควรจะไปจวนอ๋อง เจ้ากินเสีย ข้าไปที่จวนท่านอาดูสักคราบางทีอาจได้ความกระจ่างในหลายเรื่องที่ข้ากำลังสับสน"หมิงเยว่ยิ้ม อู่อินเฉิงก้าวขามีหัวหน้าองครักษ์ปาถั่วตามไปติดๆชินอ๋องก้าวเข้ามาทันทีเมื่ออินเฉิงจากไป"เห็นไหมสิ่งที่ข้าพูดกับเจ้า ความลับไม่มีในโลก อินเฉิงคิดว่าตัวเองฉลาดลักพาตัวบุตรีบุญธรรมท่านอาไปกกกอด จะว่าไปอินเฉิงที่ทำเป็นว่ารักและสงสารฮองเฮาเพียงคนเดียวกลับแอบมีหญิงอื่นไว้บำเรอในตำหนักดูหนาว เฮ้อข้าละอิจฉาเสียจริง นั่นเพราะเขาเป็นฮ่องเต้อีกทั้งยังมีใบหน้าหล่อเหลา ทำเรื่องเช่นนี้คราวหลังก็จะอ้างว่าฮองเฮาให้ความสุขไม่ได้ ทั้งๆที่ฮองเฮาก็หิวกระหายแทบขาดใจ"รั้งร่างบางมากอดซุ
ป้อคุนเดินเลือกผ้าห่มและข้าวของจำเป็น เครื่องเทศสำคัญ และขนมหวานบางชนิด อีกทั้งหยิบชาดีสองสามห่อไว้ในมือ อากาศหนาวดื่มชาร้อนๆ จึงทำให้ร่างกายอบอุ่น คงอีกนานกว่าอู่อินเฉิงจะกลับมา บางทีเสี่ยวเจิ้งอาจผ่อนคลายได้มากกว่านี้ หากว่าไม่ต้องพบกับอู่อินเฉิง แต่จะว่าไปป้อคุนก็ยังอยากให้อู่อินเฉิงดีกับเสี่ยวเจิ้งเสียหน่อย เพราะอย่างน้อยนางก็เป็นภรรยาปกติแล้วอู่อินเฉิงไม่ใช่คนที่ร้ายกาจอะไร เพียงแต่รักหมิงเยว่มากไปก็เท่านั้น จึงไม่มีสายตาไว้มองหญิงอื่นหอบของพะรุงพะรังบรรทุกบนหลังม้า หันหลังกลับไปยังตำหนักฤดูหนาวยกของลงจากหลังม้า ลำเลียงเข้าไปยังห้แวครัว“ พระสนม พระสนม” เดินหา เสี่ยวเจิ้งจนทั่วแต่ไม่พบป้อคุนเริ่มใจเสีย“พระสนม พระสนม”เสี่ยวเจิ้งหอบลูกหลีมาหอบใหญ่ วางตรงหน้าป้อคุนยิ้มบางๆ ป้อคุนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสี่ยวเจิ้งเลือกหยิบลูกหลีลูกใหญ่ที่สุด สวยที่สุดให้ป้อคุน“กิน”ป้อคุนยิ้มแม้ในใจจะรู้สึกสงสารเสี่ยวเจิ้งแต่ก็ทำได้เพียงยิ้ม ทั้งๆที่คิดว่าเสี่ยวเจิ้งจะหนีไปแต่เสี่ยวเจิ้งกลับทำให้เขาวางใจนางก่อนหน้านั้นเสี่ยวเจิ้งตามป้อคุนลงไปด้านล่างหุบเขา ภายในใจครุ่นคิดหากว่าเสี่ยวเจิ้งหนีไปคนที่
แต่ทุกอย่างหาได้เป็นดั่งใจคิด ปาถั่วจี้กระบี่เข้าที่คอหอยของอู่อินเฉิง อินฉางยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ“ท่านพี่ มีสิ่งใดจะสั่งเสียหรือไม่”หมิงเยว่ถลาเข้ามากอดอินเฉิงไว้แน่น“ไหนว่าจะไม่ฆ่า เขา”“นั่นมันแค่คำพูดบนแท่นนอน เจ้าคิดจริงจังเพียงนั้นเชียวหรือ หมิงเยว่ยามที่ข้าอยาก ก็มักจะยอมตกลงง่ายดาย”“อินฉางข้าขอร้อง อย่าสังหารเขา”น้ำตาปริ่มขอบตา อินเฉิงสะบัดตัวไม่ยอมให้หมิงเยว่กอดรัด“เจ้าไปเสียอย่าได้มาตีสองหน้า ในเมื่อใจและกายของเจ้าอยู่กับคนชั่วอินฉาง เป็นข้าที่โง่งมมาตลอด เป็นข้าที่คิดว่าเจ้ามีข้าเพียงคนเดียว เป็นข้าที่คิดว่าเจ้ามีเพียงข้าคนเดียวมาตลอด สงสารเห็นใจเจ้า”อินฉางกระชากแขนหมิงเยว่ให้ลุกขึ้นโอบรอบไหล่บาง“บอกฮ่องเต้โง่งมนั่นไปว่าเราสองคนรักกันมาก่อน เป็นเขาที่แย่งเจ้าไปจากข้า แล้วตอนนี้เขายังคิดว่าไม่มีใครรู้ว่าเขาแอบซ่อนหญิงงามไว้ที่ตำหนักฤดูหนาว เฝ้าพูดให้ตัวเองน่าเห็นใจ รอให้ข้าจัดการกับท่าน ข้าก็จะจับตัวนางมาให้หมิงเยว่ ทรมานให้สาสม”อู่อินเฉิงลุกขึ้นยืน ด้วยความรู้สึกไม่พอใจที่อินฉางพูดถึงเสี่ยวเจิ้ง องครักษ์ใช้ทวนในมือกดตัวอินเฉิงให้คุกเข่า“ฆ่าเขาเสีย”“ม่ายยยยยย” อินฉาง
หยวนกัง ควบม้าตามชิงกวานอ๋องพร้อมด้วยร่างโชกเลือดของอู่อินเฉิงบนหลังม้าอีกตัวจงหลินกับมารดา เองก็เร้นกายออกจากจวนอ๋องทหารและองครักษ์นับสิบนับร้อยออกลาดตระเวณ“หยุดดดดดดดด”เสียงเข้มของหัวหน้ากองธงเหลืองขลิบตวาดดังลั่นเมื่อเห็นม้าของชิงกวานอ๋องควบมาด้วยความเร็ว“ฉีป้านคาราวะท่านอ๋อง”“อย่าขวาง หากยังเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเรา”“ท่านอ๋องฝ่าบาทอินฉาง ให้คลุมตัวพวกท่านไว้”ชิงกวานอ๋องยิ้มหยัน“ฮะฮะฮ่าาาาฝ่าบาท ใครกันยกตำแหน่งนี้ให้กับเขา ในเมื่อข้าชิงกวานอ๋องยังไม่ได้จับกระบี่”ตะวัดกระบี่จ่อคอหอยของฉีป้าน“ปล่อยพวกเราไปเสีย หากข้ากลับมาอีกครั้งพร้อมกับฝ่าบาท จะละเว้นท่านฉีป้าน”ฉีป้านยืนนิ่งงันไม่กล้าสบตาชิงกวานอ๋อง“เปิดทาง”ตะโกนให้เหล่าทหารกองธงเหลืองขลิบเปิดทางสองข้างทางถูกแหวกเป็นช่องให้ม้าทั้งสามตัววิ่งออกจากด่านกวงเหมิน“ใต้เท้าหากฝ่าบาททราบเรื่องนี้”ฉีป้านยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าเงียบ“ อย่าสนใจให้หยุดพูดเรื่องนี้เสีย เห็นไหมว่าอู่อินเฉิงเองยังหายใจอยู่ แล้วอีกอย่างชิงกวานอ๋องก็เลือกข้างแล้ว เรื่องนี้ยังยากที่จะเดาได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ”“ท่านอ๋อง ฝ่าบาทอาการสาหัส คนของอินฉ
“ท่านองครักษ์ป้อคุนรีบหนีไปเถิด ตอนนี้ชินอ๋องโค่นบัลลังก์เสียแล้ว”“ฝ่าบาทเล่าเป็นอย่างไรบ้าง”คนแรกที่คิดถึงคืออู่อินเฉิง“ ฝ่าบาทตอนนี้ ถูกท่านอ๋องช่วยไว้ ข้าได้ข่าวว่าชินอ๋องส่งคนคุมตัวท่านกับพระสนมหากขัดขืนฆ่าได้ทันที” ป้อคุนถอนหายใจแต่ทว่า สีหน้ายังเป็นกังวลไม่น้อย“เจ้าเองก็หนีไปเสียอาจหนีไปสมทบกับท่านอ๋อง อารักขาฝ่าบาทส่วนข้า จะอารักขาพระสนมฟังข่าวคราวฝ่าบาทไม่แน่เราอาจพบกันในไม่ช้าตอนนี้แยกกันหนีจึงปลอดภัย”คนที่ภักดีต่ออู่อินเฉิงมีไม่น้อย องครักษ์ผู้นั้นเดิมเคยอยู่ภายใต้การสั่งการของป้อคุนป้อคุนเตรียมม้าและอาวุธ ก่อนจะรีบสาวเท้ายาวๆไปยังห้องครัวของตำหนักฤดูหนาว เสี่ยวเจิ้งเงยหน้าจากหม้อดินที่กำลังหุงข้าว“หนี พระสนมเราสองคนต้องหนีแล้ว”เสี่ยวเจิ้งขมวดคิ้วส่งภาษามือบอกว่าทำไมต้องหนี“ตอนนี้ ฝ่าบาทถูกคนชั่วโค่นล้มบัลลังก์แล้ว แล้วคนชั่วเหล่านั้นยังสั่งให้คนของเขาจับตัวพระสนม”เสี่ยวเจิ้งเลิกคิ้วสูง ยกหม้อข้าวลงมาก่อนจะหยิบเอาหมั่นโถวที่อุ่นไว้ใส่ในห่อผ้าพยักหน้ากับป้อคุนให้นำทางด้านล่างหุบเขาที่เป็นที่ตั้งของตำหนักฤดูหนาว หยวนกังควบม้าเร็วรี่ยังด้านบนเขา ก่อนจะกระตุกบังเหียน
ป้อคุนดึงเสี่ยวเจิ้งมาหลบด้านหลังตวัดกระบี่มาตรงหน้าทันที“หากคิดว่ากล้าก็เข้ามา” เหล่าทหารต่างยืนลังเลด้วยรู้ดีว่าในวังหลวงองครักษ์ฝีมือดีที่สุดคือป้อคุน“พวกเจ้าจะช้าอยู่ใยจัดการ องครักษ์ป้อคุนขัดขืนฆ่าให้ตาย จับตัวหญิงใบ้นางนั้น ให้กับฝ่าบาท”ทหารหลายนายพุ่งเข้าใส่ป้อคุนที่กวัดแกว่งกระบี่ ป้องกันตัวมือข้างหนึ่งก็จับมือเสี่ยวเจิ้งไว้ ทหารนับสิบรายล้อมแม้จะรู้ว่าสู้ไม่ได้แต่ก็ไม่ยอมแพ้ กระบี่ในมือหัวหน้ากอง เงื้อข้าใส่ป้อคุนเต็มแรง“เช้งงงงง”คมกระบี่ของ เจียเกอตวัดเข้าใส่ทหารที่รายล้อมด้วยทนเห็นคนนับสิบรุมทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้ไม่ได้ แต่ไม่ทันการเมื่อคมกระบี่ของทหารอีกคนเสียบเข้าที่ยอดอกของป้อคุนเลือดสดๆไหลออกจากปากแผล เจียเกอพยุงป้อคุนไว้ เสี่ยวเจิ้งอ้าปากค้าง“พี่ชาย ช่วยพาพระสนมหนีไปแทนข้าด้วย”เจียเกอสบตาป้อคุนประเมินกำลังว่าไม่อาจช่วยทีเดียวพร้อมกันทั้งสองคนได้ จึงคว้าข้อมือของเสี่ยวเจิ้ง ทะยานขึ้นบนหลังคาเสี่ยวเจิ้งยอมตามไปโดยดีป้อคุนกวัดแกว่งกระบี่ไปมาป้องกันตัว แม้จะไร้เรี่ยวแรงแทบจะทรุดกายลงไปกองกบพื้น แต่สวรรค์ยังมีเมตตาหยวนกังควบม้าเข้ามาตรงกลาง ใช้กระบี่ในมือจัดการกับเ
"แต่ฝ่าบาทหมดหนทางแล้วท่านอ๋องจะต้องไม่เป็นอะไรหยวนกังก็จะพาท่านอ่องหนีออกมาเช่นกันตามที่ตกลงกันไว้ตอนนี้แค่เพียงช่วยให้ฝ่าบาทหนีออกมาก่อน ท่านอ๋องขวางพวกมันไว้เพื่อให้ฝ่าบาทหนีอกมาฝ่าบาทอย่าทำให้ความตั้งใจของท่านอ๋องเสียเปล่า""แต่ท่านอาบาดเจ็บไม่น้อยข้าจะไปช่วยท่านอา เจ้าขลาดเขลาเพียงนั้นเชียวหรือป้อคุน"ป้อคุนทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น"ฝ่าบาท หนีก่อนก่อนเถอะขอรับ ความปลอดภัยของฝ่าบาทสำคัญที่สุดท่านอ๋องทรงเข้าใจข้อนี้ดีจึงพยายามที่จะกันทหารพวกนั้นเพื่อให้ฝ่าบาทหนีไปหากว่าฝ่าบาทยังเป็นว่าสิ่งที่ป้อคุนหยวนกังและท่านอ๋องทำไปทั้งหมดนั้นขลาดเขลาป้อคุนจะขอให้ฝ่าบาททรงสังหารป้อคุนเสียไม่เช่นนั้นป้อคุนก็ไม่อาจปล่อยให้ฝ่าบาท กลับไปที่ด่านปงเปียง"อู่อินเฉิงทรุดกายลงปล่อยกระบี่ลงข้างกาย"ข้าไม่อาจปล่อยท่านอาไว้ที่นั่นป้อคุนเข้าใจไหมท่านอาเป้นเหมือนบิดาเป็นเป็นพี่น้องและเป็นเหมือนคนที่หวังดีกับข้าเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้""ฝ่าบาท ท่านอ๋องจะดีใจหากทว่าฝ่าบาทปลอดภัยและด้วยความภักดีของหยวนกังจะไม่มีทางให้ท่านอ๋องต้องตาย"อู่อินเฉิงพยักหน้า"กันเถอะไปรอที่ด่านชายแดนแคว้นใต้"สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ท่านอาเราทั้งหมดลงเรือลำเดียวกันแล้วข้าไม่อาจดูดายปล่อยให้ท่านอาและพวกเขาต้องเผชิญศึกเพียงลำพัง เช่นนั้นจึงขอยืนยันคำเดิมว่าจะอยู่ที่นี่แต่สัญญาว่าหากเราทั้งหมดไม่อาจต้านทัพของอิงฉางได้ข้าจะเร้นกายไปยังที่ปลอดภัยพร้อมกันนั้นท่านอาเองก็สำคัญไม่น้อยการกอบกู้บัลลังก์ของเฉิงอู่ต้องกาศัยท่านอา เช่นนั้นหากเราทั้งหมดไม่อาจต่อกรก็ควรจะหนีไปเสียแต่ในตอนนี้ก็ต้องลองยืนหยัดให้ถึงที่สุดก่อน”ชิงกวานอ๋องถอนหายใจปฏิเสธไม่ได้ว่าที่อินเฉิงพูดมาทุกอย่างล้วนสำคัญเขาเองจากประสบการณ์ที่ผ่านมารู้ดีว่าด่านปงเปียงมีกำลังเพียงหยิบมือไม่อาจต่อกรกับทหารของอินฉางฮ่องเต้ได้แม้จะมีฝีมือดีแค่ไหนก้ไม่อาจต่อกรกับทหารจำนวนมากราวกับมดปลวกได้“ฝ่าบาทอย่าลืมคำมั่นนี้หากว่าไม่อาจต่อกรฝ่าบาทจะต้องหนีไปเสียอย่าได้ห่วงใครไม่ว่าจะใครหรือแม้กระทั่งชิงกวานอ๋อง”อู่อิงเฉิงยิ้มน้อยๆ“อิงเฉิงสัญญาจะไม่ทำให้ท่านอาจต้องเป้นกังวล“ดี เช่นนั้นร่วมรบเคียงข้างสร้างขวัญกำลังใจ ป้อคุนหยวนกังอารักขาฝ่าบาทจนถึงที่สุดหากไม่ไหวสิ่งเดียวที่ต้องทำแบบไม่ต้องคิดคือพาฝ่าบาทเร้นกายไปเสียแล้วพบกันที่จุดนัดพบข้ามผ่านด่านชายแดนแคว้นใต้”สี่แรงร่วมใจฟ
“เช่นนั้นหยงเจิ้งกลับไปที่นั่น เสด็จพ่อกับฮองเฮาตั้งใจออกผนวช จึงขาดคนคอยดูแล”“จะดีไหมหากให้ป้อคุนไปคอยดูที่นั่น พร้อมกับหยวนกัง”“ข้าตั้งใจประทานงานแต่งงานให้กับป้อคุนและซือหรูเสียเพราะสองคนรอเวลานี้มานาน”หยงเจิ้งพูดยิ้มๆ“ดีเลย เช่นนั้นส่งข่าวให้เจียเกอช่วยดูแลพวกเขา ระหว่างนี้คนทั้งหมดภักดียิ่งนักไม่มีสิ่งใดให้หนักใจ ฝ่าบาทหยงเจิ้งจึงจะออกผนวชได้อย่างหมดห่วงเสียที”“ที่นี่คงเงียบเหงาหากไม่มีป้อคุนหยวนกังและซือหรู”“ชิงกวานน้อย ขอตามไปที่วังหลวงแคว้นใต้กับท่านอาทั้งสอง ข้าเองก็ไม่อาจขัดเพราะหยวนกังกับป้อคุนดูแลชิงกวานน้อยอีกทั้งยังฝึกปรือวรยุทธ์ให้จนเชี่ยวชาญ”“คงจะต้องคิดถึงทุกคน”อินเฉิงกอดรวบร่างอุ้ยอ้ายไว้ในอ้อมแขน“มีข้าอยู่เจ้าจะไม่ต้องเหงา”“ฝ่าบาทเอาแต่ใจใครกันจะลืมได้ เมื่อคราวอยู่ที่ตำหนักฤดูหนาวก็เอาแต่ใจไม่เปลี่ยน”“เช่นนั้นอย่างไรเล่าเจ้าจึงตั้งครรภ์ข้าจึงไม่ต้องรอนาน หากไม่ไปที่ตำหนักฤดูหนาวรำลึกความหลังกันเจ้าจะตั้งครรภ์หรือไร ข้าเองตามใจชิงกวานน้อยที่อยากจะมีน้อง”หยงเจิ้งยิ้มเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อ อู่อินเฉิงกอดไว้แน่น“ข้ารักเจ้ามีเจ้าคนเดียวตลอดไปข้าสัญญาและจะไม
อินเฉิงลุกขึ้นพิงแท่นบรรทมเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่างมองเห็นชัดเจนแจ่มใส ทั้งสองตารอยยิ้มเป็นสุข ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของหยงเจิ้งที่หลับใหลไปกับอ้อมกอดของเขา ความสุขที่มาถึงยามที่ผ่านความทุกข์ระทม จึงนับว่าเป็นความสุขที่แท้จริงสายลมพัดผ่าน ชิงกวานอ๋องวิ่งหลบซุกตัวยังโขดหิน หยวนกังเกาหัวแกรกๆ ป้อคุนวิ่งตาม หันหน้าหันหลังไม่พบ อ๋องน้อยว่าแอบหลบอยู่ตรงไหนหยวนกังส่ายหน้าไปมา ลูบเคราวยาว“เราสองคนคงจะแก่ไปแล้วจึงไม่อาจหาท่านอ๋องน้อยพบ”“เชิญท่านเพียงลำพังเลยหยวนกัง ข้ายังไม่อยากจะแก่ท่านอ๋องน้อยวิ่งหลบรวดเร็วเหมือนชิงกวานอ๋องที่พลิกพลิ้วยิ่งกว่าใคร อีกหน่อยหากฝึกปรือวิชากระบี่คงหาตัวจับยาก”หยวนกังอมยิ้ม“ข้า ได้ยินว่าท่านอ๋องน้อยทรงขออนุญาตฝ่าบาทฝึกวิชากระบี่ เราสองคนคงต้องลับคมกันหน่อยเพื่อรอวันถวายการฝึกสอน”“ฮ่าาา เหมือนจริงๆ ช่างเหมือนท่านอ๋องชิงกวานเสียจริง มุ่งมั่นยิ่งนัก เราสองคนคงต้อง ทุ่มเทฝึกสอนกันให้มากหน่อย”ป้อคุนเอ่ยขึ้นดังๆ“หยวนกัง…ป้อคุน…..”ชิงกวานน้อยวิ่งออกจากที่ซ่อน กระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของหยวนกัง“ฮ่าาาาท่านอ๋องในที่สุดก็ยอมออกมา”ป้อคุนอมยิ้ม“ก็ข้าได้ยินว่า ท่านอาทั้ง
ดวงตาพร่ามัวกลอกกลิ้งไปมาทั้งซ้ายและขวา เสียงอ้อแอ้ขององค์ชายน้อยดังแว่วมา แต่ไกล“ชิงกวานน้อยของแม่ เจ้าจะรีบตื่นแต่เช้าทำไมกันเสด็จพ่อยังคงหลับใหล”เสียงหวานของหยงเจิ้งทำเอาอินเฉิงยิ้มกว้างยกมือขึ้นคลำที่ดวงตาทั้งสองข้างสูดลมหายใจลึกๆ“เสี่ยวเจิ้ง”หยงเจิ้งขยับกายหันมา มองร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาลืมตาอยู่บนแท่นบรรทม รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นที่ใบหน้างาม“ฝ่าบาท ท่านฟื้นแล้ว”ดวงตาซ้ายขวากลอกกลิ้งไปมา มองเห็นใบหน้างามเด่นชัด“ข้านอนไปนานแค่ไหน เสี่ยวเจิ้งกับองค์ชายน้อยถึงได้มาอยู่ข้างกายข้าได้”“องค์ชายน้อยชิงกวาน”อุ้มร่างเล็กที่ส่งเสียงอ้อแอ้ปลุกยามเช้ามาใกล้ๆ อินเฉิงรับเอาร่างเล็กจิ๋วไว้ในอ้อมแขน“ชิงกวาน ชื่อนี้เหมาะกับเจ้าเสียจริง เจ้า เป็นคนที่ทำให้ พ่อกับแม่ได้มีวันนี้วันที่เราพร้อมหน้า”หยงเจิ้งปาดน้ำตาที่เอ่อล้นขอบตา อินเฉิงดึงมือหยงเจิ้งให้นั่งลงข้างๆ เขาจูบซับน้ำตาให้เบาๆ“ท่านอาไม่อยากเห็นน้ำตาเจ้าหยงเจิ้งของข้า ดวงตานี้ของท่านอาอยากเห็นรอยยิ้มของเจ้า มิใช่หยาดน้ำตา”หยงเจิ้งยิ้มทั้งน้ำตา“มีวันนี้ได้เพราะท่านอ๋อง ข้าหยงเจิ้งเช่นไรจะกล้าขัดคำสั่ง”ยิ้มกว้างสดใส อินเฉิงกอดรวบร่าง
“ข้า อัปลักษณ์เพียงนี้ เป็นท่านอาที่จะต้องดูแลหยงเจิ้งต่อไป เป็นท่านอาอินเฉิงจึงวางใจ”หมอหลวงวิ่งถือหลวมยาเข้ามา อินเฉิง ขยับกายให้หมอหลวงตรวจดูอาการของ ชิงกวานอ๋อง“ฝ่าบาท ชิงกวานอ๋องไร้ความสามารถไม่อาจดูแลนาง ฝ่าบาทจึงคู่ควรที่สุด”หมอหลวงลุกขึ้นยืนประสานมือตรงหน้าอินเฉิงพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอินเฉิงหลับตาไล่หยาดน้ำตา หยวนกังเบือนหน้าหนีปาดน้ำตาที่ไหลริน“ท่านอา เราไปพักที่ตำหนักให้ท่านหมอ จัดเทียบยาดีไหม”น้ำเสียงอ่อนโยน“หยวนกังตามอาจารย์ให้ข้าทีข้าอยากจะพักเสียหน่อย ฝ่าบาทพยุงชิงกวานไปเถิด ให้หยวนกังตามอาจารย์”หยวนกังยิ้มกว้าง เหมือนจะเริ่มมีความหวังว่าอาจารย์กับวิชาแพทย์เถื่อนจะสามารถช่วยชีวิตท่านอ๋องได้“หยวนกังรีบไปแล้วท่านอ๋องอดทนหน่อย”วิ่งออกจากท้องพระโรงกระโดดขึ้นหลังม้าควบออกไปราวกับลูกดอกพุ่งเข้าสู่เป้าอินเฉิงพยุงชิงกวานอ๋องหมอหลวงตรวจดูอาการของป้อคุนอย่างเร่งรีบบนแท่นบรรทม ร่างสูงองอาจนอนเหยียดยาวใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้กลับซีดขาว แต่แววตายังอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้งที่อินเฉิงเคยเห็น เลือดสดๆ ยังไหลซึมออกจากบาดแผล“ท่านอาอดทนหน่อย อาจารย์ปู่กำลังมา”“เพื่อฝ่าบาทต่างหาก
อินฉางดวงตาเหลือกลานเมื่อเห็นว่า หมิงเยว่ล้มลงคว่ำหน้าลงกับพื้นเลือดอาบไปทั่วร่างบาง ตรงเข้าหอบเอาร่างบางที่หายใจรวยริน“ม่ายยยยไม่นะหมิงเยว่ต้องไม่ใช่เจ้าต้องไม่ใช่เจ้าหมิงเยว่ขะขะข้าขอโทษ หมิงเยว่ ข้าไม่ให้เจ้าตายไม่หมิงเยว่ อย่าทำแบบนี้หมิงเยว่”ทว่าร่างโชกเลือดหาได้ขยับเขยื่อนเคลื่อนไหวไม่ยังคงนิ่งงัน ดวงตาอาบไปด้วยหยาดน้ำตา สิ้นลมหายใจโดยไม่ได้ร่ำลา“หมิงเยว่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”อินฉางอุ้มร่างโชกเลือดไว้ในอ้อมแขนดวงตาแดงก่ำ“อินฉิง ท่านจะต้องรับผิดชอบ ปาถั่วรับบัญชาข้า ฆ่าอู่อินเฉิงกับป้อคุนแล้วสับร่างเป็นชิ้นๆ ”ปาถั่วก้มหน้าประสานมืออินฉางเดินโซเซพาร่างไร้วิญญาณของหมิงเยว่ออกจากท้องพระโรง“ยิง”ปาถั่วสั่งพลธนูทว่ายังไม่ทันได้เหนี่ยวคันธนู พลธนูทั้งหลายต่างล้มลงไปกองกับพื้นองครักษ์หลายนายต่างวิ่งถือกระบี่เข้ามาล้อมชิงกวานอ๋องที่ในมือกำกระบี่ ฟาดฟันสังหารมือยิงธนูจนบาดเจ็บล้มตาย“ฝ่าบาท”พยุง อินเฉิงที่ถูกลูกดอกปักเข้าที่ขาข้างขวา“ท่านอา มาทันเวลาพอดี”“อย่าเพิ่งพูดอะไร ฝ่าบาทจงรีบเปิดประตูให้คนของเรา ชิงกวานจะหันเหความสนใจของคนพวกนี้ ป้อคุนยังไหวหรือไม่”ป้อคุนที่ไม่อาจขยับกาย“ชิงกวา
ทัพของอู่อินเฉิง ดาหน้าที่ประตูวังหลวงแคว้นเหว่ย พลธนูเหนี่ยวคันธนูสุดแรงรอเพียงคำสั่งให้ยิงอยู่บนป้อมปราการสูงบนประตูวังทั้งสี่ด้าน“ยิง”ป้อคุนทะยานเข้ามาขวางอู่อินเฉิงที่ตกเป็นเป้าของธนูใช้กระบี่ในมือกวัดแกว่งคุ้มภัย อู่อินเฉิงเองก็กำกระบี่ในมือกวัดแกว่งปัดป้อง เหล่าทหารโห่ร้องหาได้สะทกสะท้านต่อความเจ็บความตายตรงหน้า“บุกเข้าไปในวังหลวงจับตัวอู่อินฉางมาคุกเข่าตรงหน้าฝ่าบาท”ป้อตี้ออกคำสั่ง ดังลั่น หทารกล้าทั้งหลายต่างพุ่งตัวเข้าไปยังประตูวัง ออกแรงดันประตู ให้เปิดอ้าออกเพื่อให้กองทัพเข้าไปภายในห่างจากวังหลวงสิบลี้“ท่านอ๋องเปลวไฟ ลุกไหม้อยู่ที่วังหลวงเกรงว่าตอนนี้ทัพของฝ่าบาทคงถึงที่นั่นแล้ว”หยวนกังเอ่ยปากด้วยสีหน้ากังวล“เร่งเดินทางอารักขาฝ่าบาท ข้าไม่อาจวางใจอู่อินฉางหาใช่ผู้ที่ซื่อตรงไม่จะต้องซ่อนกลโกงไว้รอฝ่าบาทเป็นแน่”ชิงกวานอ๋องควบม้าเร็วรี่ยังกลุ่มควันที่ลอยวนบนท้องฟ้าอินฉางนั่ ไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์มังกรในท้องพระโรง ในมือมีจอกสุรารสเลิศ ข้างกายเป็นหมิงเยว่ ที่นั่งก้มหน้ามองมือตัวเอง กับปาถั่วที่กุมกระบี่ข้างเอวไว้แน่นเสียงโห่ร้องใกล้เข้ามา อินเฉิงก้าวขายาวๆยังหน้าบัลลั
“ข้าหากจะต้องตายเพราะการณ์นี้ ก็คงจะต้องยอมเพราะเลือกข้างผิดเดิม อู่อินเฉิงไม่จะไม่เคยใส่ใจ กองทัพแต่ทว่าชิงกวานอ๋องกับผูกใจ เหล่าทหารกล้าบทเรียนครั้งนี้ ไม่อาจแก้ไขแม้ตอนนี้จะมีที่มั่นและกำลังคนแต่หากชิงกวานอ๋อง เอ่ยปากไม่แน่ว่าเหล่าทาหรพวกนี้จะย้ายข้างหรือไม่”“ข้าน้อยได้ยินมาว่า ชิงกวานอ๋องในครั้งนี้ไม่ได้ มาด้วยมีเพียงอู่อินเฉิงเท่านั้น”ปาถั่วขมวดคิ้ว“บางทีนี่อาจเป็นแผนการตลบหลังไม่อาจวางใจ”ถอนหายใจยาวตำหนักชิงหนิงกง“ฮองเฮาอู่อินเฉิงยกทัพกลับมาที่วังหลวง คงจะถึงวังหลวงในอีกไม่ช้า”หมิงเยว่ ลุกขึ้นจากแท่นนอนสีหน้าแสดงความดีใจ“เขากลับมาแล้วเขาไม่ได้ทอดทิ้งข้าเขายังรักข้าอย่างน้อยก็กลับมาทวงบัลลังก์และคงจะมารับข้าเป็นฮองเฮาของเขาเหมือนเคย”ตงฟางหัวถอนหายใจ หมิงเยว่หลายเดือนที่ผ่านมา สติหลุดลอย พูดจาเลื่อนเปื้อนติดอยู่ในความเพ้อฝันเสียมากกว่าความจริง“ฮองเฮา ไม่แน่ว่าอู่อินเฉิงจะกลับมาหาฮองเฮา”“เขาต้องมาในเมื่อในใจเขามีข้าเพียงคนเดียว เขาทำทุกอย่างเพื่อข้า ข้ารู้แล้วข้าเองก็จะทำทุกอย่างเพื่อเขาเช่นกันเขาจะได้ไม่ต้องลำบากทวงคืนบัลลังก์”ดวงตาเป็นประกายสดใสตงฟางหัวถอนหายใจ“ฮองเฮา